

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ดีขึ้นกว่าไตรมาส 4 ปี 2567 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งต่อเนื่อง 12,889 ล้านบาท กำไร 1,099 ล้านบาท จากการเร่งปรับตัวสู้ความท้าทายในทุกธุรกิจ และมาตรการเสริมความเข้มแข็งการเงินต่อเนื่อง พร้อมยกระดับ “4 กลยุทธ์” สู้ศึกสงครามการค้าโลกรุนแรงยืดเยื้อ 1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก 2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ ทั้ง “สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้” 3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง 4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน มั่นใจธุรกิจมีเสถียรภาพเติบโตได้ท่ามกลางความท้าทาย

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาท เนื่องจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ตามมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เร่งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการ รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลก่อสร้างและงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายต่อเนื่อง ขณะที่เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารต้นทุนและปรับพอร์ตสินค้า รวมถึงเอสซีจีพี ที่ยังคงแข็งแกร่งจากการมุ่งเน้น การเติบโตเพื่อรองรับอุปสงค์ของผู้บริโภคภายในประเทศของกลุ่มอาเซียน เสริมพอร์ตสินค้าสำหรับผู้บริโภค (Consumer Packaging) ควบคู่กับการบริหารต้นทุน

ขณะเดียวกัน เอสซีจี ได้ดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจี มีกระแสเงินสด (EBITDA) 12,889 ล้านบาท สะท้อนการปรับตัวฉับไวของธุรกิจเพื่อคงศักยภาพการแข่งขันท่ามกลางความท้าทาย
สำหรับ สถานการณ์สงครามการค้าโลกจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่รุนแรง ล่าสุด “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8% ปัจจัยสำคัญมาจากการลดประมาณการ GDP ลงเกือบทุกประเทศ สำหรับ GDP ประเทศไทย ปรับลดลงเหลือ 1.8%

เอสซีจี ได้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลก พบว่า 1.) ผลกระทบทางตรงต่อเอสซีจี มีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของเอสซีจี 2.) ผลกระทบทางอ้อม หากพ้นระยะที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568 จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลกจะชะลอตัวรุนแรง การส่งออกระหว่างประเทศ รวมถึงการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย จะส่งผลให้
การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น”
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า “สงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันทั่วโลก แต่ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ตลอดจนบางตลาดยังมีกำลังซื้อสูงสำหรับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products - HVA Products) สินค้ากรีน (Green Products) และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ (Quality Affordable Products) เอสซีจี จึงยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก 2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ ทั้ง “สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้” 3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง และ 4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ทำต่อเนื่องอย่างได้ผล ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถฝ่าความท้าทายจากสงครามการค้าโลกได้อย่างทันท่วงที”
4 กลยุทธ์รับมือสงครามการค้าโลก ของทุกธุรกิจในเอสซีจี
1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เพื่อรับมือสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่อาจเข้ามาแข่งขัน ด้วยวิธีการดังนี้

2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ

3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยขยายการส่งออกสินค้า เช่น ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ กระเบื้องคอนกรีต สมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและความต้องการ เช่น ประเทศที่ปรับตัวและได้ประโยชน์จากสงครามการค้า โดยใช้เครือข่ายของธุรกิจต่าง ๆ ของเอสซีจีที่มีอยู่ทั่วโลก
4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน โดยสลับฐานการผลิตและส่งออกจากประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า ฐานการผลิตที่หลากหลายซึ่งเป็นจุดแข็งของเอสซีจีจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที เช่น บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพี ที่มีฐานการผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ และกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน สามารถผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทย และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม แม้สงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน และอุปสงค์เคมีภัณฑ์ชะลอตัว แต่ เอสซีจีซี คาดว่าจะได้รับอานิสงส์บวกจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเคมีภัณฑ์ลดลง เอสซีจีซี จึงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการเชิงรุกได้แก่ 1.) ลดต้นทุนบริหารอย่างต่อเนื่อง 2.) เพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ให้กลับมาเดินเครื่องได้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม และ 3.) เร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง พร้อมขยายธุรกิจสินค้ากรีน และดิจิทัล โซลูชัน เช่น DRS by Repco NEX
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เอสซีจีเล็งเห็นถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก และได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์สงครามการค้าโลก จึงพร้อมเปิดบ้านสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ถ่ายทอดความรู้ เสริมศักยภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ ผ่านโครงการ ‘Go Together’ ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และจะครบเป้าหมายเฟสแรก 1,200 คนในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงโครงการ ‘NZAP’ ที่มีผู้เข้าร่วมแล้ว 106 ราย ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันนี้ เราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน”
กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) นำโดย นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย จัดโครงการชี้แจงทำความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชีและการชำระหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัยแก่บุคลากร สำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ โดยมุ่งเน้นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และภารกิจ พร้อมแนวทางการดำเนินงานของ กปว. ในการบริหารจัดการกรณีบริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชี ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย โดย กปว. ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงาน เพื่อให้บุคลากร คปภ. สามารถนำข้อมูลไปถ่ายทอดและให้คำแนะนำแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน

ครั้งนี้ ได้มีการเปิดโอกาสให้บุคลากร คปภ. ได้ซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ โดยประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือกรณีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทล่าสุดที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตฯ โดย กปว. ได้ชี้แจงถึงแนวทางการจัดการหนี้สินของบริษัท และแนวปฏิบัติในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยอย่างละเอียด เพื่อให้บุคลากร คปภ. สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง กปว. และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชัยภูมิ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่น สำนักงาน คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในพื้นที่ มีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนและ กปว. มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชี จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ประชาชนและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการประชาสัมพันธ์เชิงรุกของ กปว. ที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเข้าถึงง่ายแก่ประชาชน โดยผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน คปภ. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยในจังหวัด
กปว. มุ่งหวังว่าความร่วมมือในลักษณะนี้จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับระบบประกันภัย และทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันภัยในชีวิตและธุรกิจ พร้อมมั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ กปว. จะเข้ามาดูแลและดำเนินการตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยทุกคน โดยจะทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กร และการสื่อสารองค์กร คว้ารางวัลระดับนานาชาติ “International Finance Award 2024” สาขารางวัล Best Marketing Campaign Insurance จากแคมเปญ “Being a woman shouldn’t be a risk” หรือ “เป็นผู้หญิงไม่ควรต้องเสี่ยง” เป็นแคมเปญภาพยนตร์โฆษณาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของผู้หญิงในหลากหลายประเทศ ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ในทุกช่วงวัยของชีวิต ทุกคนต่างต้องเผชิญความเสี่ยง ความท้าทายต่างๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นผู้หญิงไม่ควรต้องเสี่ยง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยสร้างแรงผลักดันให้ผู้หญิงมีความมั่นใจ ในทุกๆ ก้าวเดินของชีวิต ไม่ว่าจะผ่านอุปสรรคใดๆ โดยรางวัลดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนด้านความคุ้มครองที่เท่าเทียมที่บริษัทฯ ผลักดันโดยเสมอมา
รางวัลระดับนานาชาติดังกล่าวนี้ เป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการเงินและการประกันภัยทั่วโลก โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิร่วมพิจารณาจากเกณฑ์สำคัญที่ครอบคลุมทั้ง ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบแคมเปญ ประสิทธิภาพของเครื่องมือในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ความสามารถในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า เป็นต้น
กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล แถลงผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ (สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2568) โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นดังนี้ มีผลกำไรธุรกิจใหม่ (New Business Profit) เติบโตเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 608 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตามวิธีการคำนวณแบบ Traditional Embedded Value -TEV) มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) เติบโตเพิ่มขึ้น 4% อยู่ที่ 1,677 ล้านเหรียญสหรัฐ และ มีอัตรากำไรจากธุรกิจใหม่ (New Business Margin) เพิ่มขึ้น 2 จุดเปอร์เซ็นต์
นายอนิล วัธวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล เปิดเผยว่า “เรายังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตด้วยคุณภาพที่เน้นการสร้างกำไรจากธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการดำเนินงาน ที่แข็งแกร่งไตรมาสแรกปีนี้ ได้สะท้อนภาพรวมของผลตอบแทนธุรกิจที่เป็นบวกและการสร้างทุนที่มั่นคง แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของเราอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับประสบการณ์และตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
อัตราผลกำไรจากธุรกิจใหม่ (NBP) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 12% สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานที่เราวางไว้ในปีนี้ซึ่งคาดว่า กำไรจากธุรกิจใหม่ตลอดปีจะเติบโตเกินกว่า 10% การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มาจากผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียลในหลายประเทศ ที่มีส่วนผลักดันให้เราเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณและ อัตรากำไร(margin)ที่ขยายตัว 2 จุดเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยี และปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้วยการแต่งตั้ง มร. จอห์น ไช่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายขายช่องทางตัวแทนระดับภูมิภาค ควบคู่กับการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่ดูแลตลาดใน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม เรายังคำนึงถึงส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ พรูเด็นเชียล ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 442 ล้านเหรียญสหรัฐ (49 ล้านหุ้น) ภายใต้โครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 23 เม.ย. 2568 และยังอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ถึงการนำธุรกิจจัดการสินทรัพย์ในอินเดียเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยตั้งใจนำรายได้สุทธิส่งมอบให้แก่ผู้ถือหุ้น
ด้านสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านภาษีและมาตรการการค้าระหว่างประเทศที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้ ผมเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ด้วยสถานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ผสานกับเครือข่ายธุรกิจของเราในหลายประเทศ ผมยังคงเชื่อมั่นว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความผันผวน แต่พรูเด็นเชียลยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วยช่องทางที่หลากหลาย และโอกาสมากมายจากตลาดของเราในหลายประเทศเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจที่มั่นคงและสร้างผลกำไรในระยะยาว” นายอนิล กล่าวทิ้งท้าย
MEA จัดงานเปิดตัวโครงการ MEA ENERGY AWARDS 2025 หรือ โครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารปีที่ 8 เดินหน้าส่งเสริมอาคารต้นแบบรางวัลตราสัญลักษณ์มาตรฐานอาคารประหยัดพลังงาน โดยมีอาคารเครือข่ายเข้าร่วมแล้วมากกว่า 700 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีอาคารผ่านเกณฑ์ประเมินได้รับตราสัญลักษณ์ฯ ทั้งสิ้น 438 แห่ง เปิดรับสมัครอาคารเข้าร่วมแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า MEA ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จำหน่ายดูแลระบบไฟฟ้าสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ MEA ได้ดำเนินกิจการด้วยความตระหนักต่อประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) และ MEA มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง บริการมั่นใจ โปร่งใส ห่วงใยสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร และสนับสนุนการลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ ตลอดจนสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดใช้พลังไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างพอเพียงในอนาคต

โครงการ MEA ENERGY AWARDS ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ MEA ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 เพื่อส่งเสริมให้อาคารใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดูแลคุณภาพอากาศภายในอาคารตามเกณฑ์มาตรฐาน โดย MEA เชื่อว่าการสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของอาคารเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงาน พร้อมสนับสนุนด้านองค์ความรู้ การประเมินดัชนีการใช้พลังงาน และการตรวจวัดคุณภาพอากาศ จะช่วยผลักดันให้เกิดการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดการใช้พลังงาน และสร้างค่านิยมการอนุรักษ์พลังงานภายในองค์กรอย่างยั่งยืน ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา MEA ได้พัฒนาหลักเกณฑ์การประเมินอย่างต่อเนื่อง จนสามารถผลักดันให้อาคารที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากสามารถผ่านเกณฑ์ประเมิน และกลายเป็นต้นแบบด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2568 นี้ นับเป็นปีที่ 8 ของการดำเนินโครงการ โดยยังคงได้รับความสนใจจากอาคารในพื้นที่บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในมาตรฐาน MEA ENERGY AWARDS ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาตราสัญลักษณ์ MEA ENERGY AWARDS ระดับ STANDARD ต้องผ่านเงื่อนไขหลัก 2 ด้าน ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า (MEA Index) และคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) โดยในด้าน MEA Index อาคารทุกประเภทต้องมีค่าดัชนีไม่เกิน 1.00 หากเกินจะถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ส่วนด้านคุณภาพอากาศภายในอาคาร ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้งาน จะมีการตรวจวัด 2 ลักษณะ คือ เชิงพื้นที่และเชิงเวลา ครอบคลุมพารามิเตอร์สำคัญ เช่น CO, CO2, PM2.5, PM10, TVOCs และ Formaldehyde อ้างอิงตามมาตรฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่ออาคารผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จะได้รับตราสัญลักษณ์ MEA ENERGY AWARDS พร้อมสิทธิ์ขอรับเงินสนับสนุนจาก MEA เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในอาคาร คิดเป็นร้อยละ 20 ของวงเงินลงทุน และไม่เกิน 1,000,000 บาทต่ออาคาร ภายใต้งบประมาณรวม 15 ล้านบาท โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2569 ซึ่งผลประหยัดที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของอาคารและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้โดยตรง

ทั้งนี้อาคารที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน MEA ENERGY AWARDS ระดับ STANDARD ยังมีสิทธิ์ขอรับการพิจารณารางวัลระดับ PREMIUM ซึ่งจัดขึ้นเพื่อยกย่องอาคารต้นแบบด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ GOLD และสูงสุดคือ PLATINUM โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเข้าประเมินโดยตรงผ่านการเยี่ยมเยียนผู้บริหารระดับสูงของอาคาร เพื่อพิจารณาให้คะแนนจาก 4 ด้านหลัก ได้แก่
สำหรับอาคารที่ได้รับรางวัลจะได้รับทั้งองค์ความรู้เพิ่มเติม และการยอมรับในฐานะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดย MEA จะประกาศผลรางวัลในช่วงปลายปีนี้

ผู้ว่าการกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ MEA ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่คือ คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็นประเภทอาคารที่กำลังได้รับความนิยม เข้าถึงง่าย และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ MEA ENERGY AWARDS ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยในปีที่ 8 ของโครงการ ได้เปิดรับสมัครอาคารเข้าร่วมทั้งหมด 10 ประเภท ได้แก่ โรงพยาบาล โรงแรม โรงเรียน มหาวิทยาลัย สำนักงาน ไฮเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าขนาดเล็ก/ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเปิดรับเป็นปีแรก

จากผลความสำเร็จของโครงการที่ผ่านมา อาคารเครือข่ายสมัครเข้าร่วมประเมินกว่า 700 แห่ง มีอาคารผ่านเกณฑ์ได้รับตราสัญลักษณ์ฯแล้ว 438 แห่ง รวมผลประหยัดพลังงานไฟฟ้า 54.57 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 219.17 ล้านบาท ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 30,706 ตัน
MEA ขอเชิญอาคารที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการ MEA ENERGY AWARDS 2025 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งเปิดรับอาคารในเขตพื้นที่บริการ MEA คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ จำนวน 120 แห่ง ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.meaenergyawards.info และส่งใบสมัครทางอีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 กรกฎาคม 2568 หรือสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ที่ปรึกษาฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โทร. 09 5775 7972 , 08 4011 3888 สามารถติดตามข่าวสารโครงการได้ทาง Line: MEA Energy Awards (@meaenergyawards) และ www.facebook.com/MEAAward
พฤกษาฯ รีเทิร์นแคมเปญดัง “PRUKSA PASS ผ่านง่ายๆ ย้ายเข้าเลย” (พฤกษาพาส) ตอบรับเสียงเรียกร้องจากลูกค้าที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมแต่ยังไม่มั่นใจเรื่องการขอสินเชื่อธนาคาร สามารถเข้าพักอาศัยในโครงการได้ทันที ด้วยการผ่อนชำระตรงกับทางโครงการเป็นระยะเวลา 1 ปี ไม่มีภาระผูกพันกับธนาคารในช่วงแรก ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ามีเวลาในการจัดการวางแผนทางการเงิน และเพิ่มโอกาสในการยื่นขอสินเชื่อผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมมอบบริการจากสถาบันการเงินพันธมิตร ให้คำปรึกษาด้านการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าของคอนโดอย่างมั่นใจ โดยปักหมุด 5 โครงการในทำเลทองเข้าร่วมโครงการ พฤกษาฯ มุ่งมั่นในการส่งมอบโครงการคุณภาพพร้อมความใส่ใจ เพื่อชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข”

นายภัคริน ทัตติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ท่ามกลางภาวะการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคหลายกลุ่มมีแนวโน้มถูกปฏิเสธมากขึ้น ล่าสุด แคมเปญ “PRUKSA PASS ผ่านง่าย ๆ ย้ายเข้าเลย” ทางเลือกใหม่ของคนอยากมีคอนโด กลับมาอีกครั้งเพื่อลดข้อจำกัด และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของคอนโดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการชำระเงินแต่ยังไม่พร้อมหรือไม่สะดวกในการขอสินเชื่อทันที อาทิ เจ้าของกิจการ อาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ พนักงานใหม่ที่ยังไม่ผ่านโปร รวมถึงพนักงานเอกชน ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ แต่ยังมีภาระหนี้เดิม หรือมีความกังวลในการขอสินเชื่อ แคมเปญนี้ลูกค้าสามารถชำระค่างวดรายเดือนกับโครงการตรงเป็นระยะเวลา 1 ปี และสามารถนำมาเป็นส่วนลดยอดเงินกู้จากธนาคารได้อีกด้วย นอกจากจะช่วยให้ลูกค้ามีเวลาวางแผนการเงินอย่างมั่นใจ ยังเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อผ่านได้ง่ายขึ้นในอนาคต แคมเปญนี้ จึงถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ในการสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงการมีบ้านเป็นของตนเองได้จริง”

แคมเปญ “PRUKSA PASS ผ่านง่าย ๆ ย้ายเข้าเลย” มอบทางเลือกใหม่ให้ลูกค้ามีคอนโดได้ง่ายขึ้น

นอกจากสิทธิประโยชน์หลักจากแคมเปญ “ PRUKSA PASS ผ่านง่าย ๆ ย้ายเข้าเลย” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันทีโดยไม่ต้องรออนุมัติสินเชื่อแล้ว ทางโครงการยังมอบข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ความง่ายในการเป็นเจ้าของ อาทิ รับฟรี Furniture Package ตกแต่งให้ครบทั้งห้อง พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน โดยมีโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ 5 โครงการ ได้แก่ Plum Condo แจ้งวัฒนะ – ดอนเมือง, Plum Condo พระราม 2, The Privacy Parc Taopoon, Chapter One Spark Charan และ Chapter One All รามอินทรา ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้าน* และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Sales Gallery โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ หรือนัดหมายกับน้องใส่ใจ Chat Bot ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ เพื่อลงทะเบียนเยี่ยมชมโครงการ พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษ ๆ สำหรับลูกบ้านพฤกษาเพิ่มเติมได้ที่
Line Official: https://pruksa.co/line_pruksapass เพจเฟซบุ๊ก Pruksa Family Club
เว็บไซต์ https://www.pruksa.com/p/pruksa-pass หรือโทร.1739
นายฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ สมานสิน และนายชูเกียรติ ยั่งยืนบางชัน ผู้ช่วยผู้ว่าการ MEA ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้โครงการ “ตรวจสอบอาคารจากผลกระทบแผ่นดินไหว” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง MEA และมูลนิธิช่างไทยใจอาสา เพื่อประเมินความมั่นคงของโครงสร้างอาคาร และเสริมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในชุมชนเมือง

ก่อนการลงพื้นที่ MEA ได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่คณะผู้ปฏิบัติงาน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนายอาวุธดี กฤษฎีธรากุล เลขาธิการมูลนิธิช่างไทยใจอาสา ถ่ายทอดองค์ความรู้ในหัวข้อ “แนวทางการตรวจสอบอาคารเบื้องต้นหลังเหตุดินถล่ม” และการใช้ “แบบฟอร์มการตรวจสอบอาคารและการบริหารจัดการงาน” เพื่อเสริมทักษะการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

MEA ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนพันธกิจในการดูแลความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่บริการ ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้ การปฏิบัติงานเชิงรุก และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืน

ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคารรับมอบ 2 รางวัลระดับประเทศและระดับโลก ได้แก่ 1. รางวัล Best Online Trade Facilitation Solution in Thailand จากนิตยสาร Alpha South East Asia 2. รางวัล The World’s Best Trade Finance Providers 2025 – Thailand จากนิตยสาร Global Finance ซึ่งธนาคารได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลเพื่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่พร้อมเคียงข้างลูกค้าในทุกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกรรมระหว่างประเทศ ทั้งในมิติของความสะดวก ความปลอดภัย และความแม่นยำ โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์ม K BIZ และ K-Connect Intertrade (KCIT) ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถโอนเงินและดำเนินธุรกิจนำเข้า-ส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบดิจิทัลแบบครบวงจร
อีกทั้งธนาคารยังคงเดินหน้าปรับใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง AI, Robotic Process Automation (RPA) และ Optical Character Recognition (OCR) เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติ เพิ่มความรวดเร็วและลดความซับซ้อนในการบริการลูกค้า ในขณะเดียวกัน ยังร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ร่วมกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการทดลองใช้ Digital Currency สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ หรือการสร้าง Trade Digital Platform เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของธุรกรรมระหว่างประเทศของไทยให้พร้อมสู่อนาคต