December 06, 2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล  สร้างความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ให้กับวงการธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็วเศรษฐกิจหมุนตาม นอกจากเทคโนโลยีแล้ว ทรัพยากรที่สำคัญไม่แพ้กันคือกำลังคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ  นักวิเคราะห์วางแผนด้านธุรกิจ ที่ปรึกษาในเวลาสำคัญ เพราะหากพลาดแม้แต่ก้าวเดียว นั่นหมายถึงการตกเป็นเหยื่อทางธุรกิจของปลาใหญ่ทันที 

มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ร่วมกับ หอการค้าจังหวัดขอนแก่น และสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น จึงจัดเสวนาหัวข้อ “Sustainable Rise : 33 ปี KKBS ร่วมคิด ร่วมสร้าง สานพลังสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 33 ปี แห่งการสถาปนาคณะฯ เพื่อเป็นการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น องค์ความรู้ มุมมอง และประสบการณ์  จากภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ถึงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในมิติต่าง ๆ  ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยได้รับเกียรติจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ประธานเวทีเสวนา ร่วมด้วยคุณจักรกฤษณ์ ศิริพานิชย์ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น คุณเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น โดยมีดร.นริสรา พาลุสุข รองคณบดีฝ่ายบริหารและภาพลักษณ์องค์กร คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา  โดยมีนักศึกษา นักวิชาการธุรกิจและสื่อมวลชน ร่วมงานจำนวนมาก ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคาร BS.01 คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เผยว่า ไม่เพียงแต่พัฒนาวิสาหกิจชุมชนเท่านั้น แต่คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังเปรียบเสมือนคู่คิดของนักธุรกิจ ทั้งสมาชิกของหอการค้า สภาอุตสาหกรรมในจังหวัดขอนแก่น 33 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คณะฯ มีการพัฒนาสนับสนุนนักวิชาการ นักวิจัยด้านธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนตลอดจนสามารถเพิ่มมูลค่าธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากหลักหมื่นเป็นหลักแสน และหลักล้าน ถึงหลักร้อยล้าน

“เมื่อนักธุรกิจต้องการที่ปรึกษาทุกมิติ  อาทิ การวิเคราะห์คู่ค้า  การขายหุ้นบริษัท การทำบัญชี ฯลฯ ก็ล้วนแต่ให้คำปรึกษาอย่างครบถ้วน รอบด้าน คณะบริหารธุรกิจฯ มีการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้บางอย่างให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ประกอบด้วยเครื่องมือด้านธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับการตลาดสมัยใหม่ ในยุคที่มีการใช้ AI และประยุกต์เข้าไปในหลักสูตรให้นักศึกษา  ส่งเสริมการคิดอย่างมีประสิทธิภาพ  การใช้เครื่องมือ AI ในด้านบริหารธุรกิจใหม่ ๆ เราสามารถสร้างที่ปรึกษาในภาคธุรกิจที่ดีได้ ฉะนั้นการเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจของเรา ไม่หยุดนิ่งพร้อมผลักดันธุรกิจในจังหวัดขอนแก่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและประเทศไทย  พานักธุรกิจขยายไปสู่ลุ่มน้ำโขง ก้าวไปสู่อาเซียน และระดับโลก เราอยากเห็นนักศึกษาของเราเป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานของนักธุรกิจ ทำให้นักศึกษาของเราเติบโตพร้อมภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี กล่าว

ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี คณะฯ ได้ทุ่มเทในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ได้รับรางวัลการันตีต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติ และนานาชาติ ผ่านการประเมินคุณภาพ EdPEx หรือ โครงการนำเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศไปใช้ในการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  ในระดับ 300 คะแนน ซึ่งนับเป็นคณะแรกของกลุ่มคณะวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาบริหารธุรกิจของประเทศไทย และจากการจัดอันดับของสถาบัน SCIMAGO ในปี 2025 ประเภทสาขาวิชาด้าน BUSINESS, MANAGEMENT AND ACCOUNTING มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ และประเภทสาขาวิชา Economics, Econometrics and Finance อยู่ในอันดับ 4 ของประเทศ และนอกจากนี้ Times Higher Education (THE) องค์กรจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจากสหราชอาณาจักร ได้จัดอันดับ World University Rankings 2025 by subject: business and economics  สาขาด้านบริหารธุรกิจ และสาขาด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ในลำดับที่ 601-800 ของโลก และอยู่ในลำดับ 3 ร่วมของประเทศไทย โดยมีเพียง 8 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับการจัดอันดับ ทั้งนี้ผลการจัดอันดับที่เกิดขึ้นนับเป็นผลงานที่ร่วมกันสนับสนุนและผลักดันของคณะ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี (KKBS) คณะเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ และคณะสหวิทยาการ

พร้อมกันนี้ คณะฯ ยังเป็นสมาชิกและอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเข้าสู่การรับรองมาตรฐาน AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) ซึ่งเป็นสถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจและการบัญชีที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ การเป็นส่วนหนึ่งของ AACSB ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา การเรียนการสอน และงานวิจัยของคณะฯ ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับสากล

ทั้งนี้คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ก่อตั้งครั้งแรกในนาม “คณะวิทยาการจัดการ” เมื่อปี พ.ศ. 2535 จนถึงปี พ.ศ. 2559 ปีแห่งการเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี”เราเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดดเด่นด้วยหลักสูตรที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 ครอบคลุมสาขาวิชาสำคัญ พร้อมบูรณาการองค์ความรู้ทางธุรกิจกับภาคอุตสาหกรรม  เพื่อพัฒนาบัณฑิตที่มีทักษะรอบด้าน คิดสร้างสรรค์ และตอบสนองตลาดแรงงานยุคใหม่ ตามวิสัยทัศน์ “KKBS is a Premier Business School Focused on Industrial Integration for Sustainable Economic Development สถาบันบริหารธุรกิจชั้นนำที่มุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรมร่วมกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”

คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันการศึกษาที่บ่มเพาะนักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย ด้านการบริหารธุรกิจและการบัญชี ผนวกการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ นับเป็นกุญแจสำคัญในการนำพานักธุรกิจทั้งขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดใหญ่ ยกระดับขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคตะวันออกฉียงเหนือในทุกมิติ ไม่เพียงแค่อาเซียน แต่หมายรวมถึงเวทีโลก พร้อมขับเคลื่อนและผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัลให้เติบโตอย่างมั่นคงและก้าวสู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศผลสุดยอดนวัตกรรมจากเวที ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID” โจทย์แรกe-Juristic Person Transaction” ณ House Samyan สามย่านมิตรทาวน์ หลังการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศอย่างเข้มข้น โดย ทีม BCI: IdentityX เจ้าของโซลูชัน VerifyX แพลตฟอร์มสำหรับ e-Juristic Transaction การทำธุรกรรมของนิติบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำธุรกรรมนิติบุคคล ด้วยฟีเจอร์สำคัญ e-Juristic KYC, e-POA, d-Signature, e-Document Tracing โดยเน้นการยกระดับการออกหนังสือยืนยันยอดธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ และ โซลูชันการรับรองงบการเงินด้วย d-Signing ชนะใจกรรมการ คว้ารางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมโอกาสต่อยอดโซลูชัน Digital ID สำหรับนิติบุคคลสู่การใช้งานจริง!

นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า ETDA ขอแสดงความยินดีกับทั้ง 10 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID เวทีที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถและสร้างสรรค์ไอเดีย ที่จะช่วยให้ Digital ID กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้จริง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งหลังจากที่แต่ละทีมได้ผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างเข้มข้น จนก้าวสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ กับโจทย์การแข่งขันครั้งที่ 1 กับหัวข้อที่ท้าทายและสำคัญมากต่ออนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ นั่นคือหัวข้อ “e-Juristic Person Transaction” หรือการทำธุรกรรมของนิติบุคคลในรูปแบบดิจิทัล เพราะในยุคที่โลกหมุนเร็ว การทำธุรกรรมของภาคธุรกิจและองค์กรก็ต้อง ทันสมัย ปลอดภัย และตรวจสอบได้ การใช้ Digital ID สำหรับนิติบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่าง รวดเร็ว เชื่อถือได้ และลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงหรือฉ้อโกง เป้าหมายนี้สอดคล้องกับแผนการขับเคลื่อน Digital ID ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570) ที่ ETDA มุ่งพัฒนาเพื่อให้ประเทศไทยมีระบบที่รองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของนิติบุคคลได้อย่างน่าเชื่อถือ

สำหรับโจทย์ e-Juristic Person Transaction นี้ เราเปิดพื้นที่ให้เหล่านักพัฒนาและผู้มีใจรักนวัตกรรม ได้ออกแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์หลากหลายด้านทั้ง ใช้งานได้จริง สอดคล้องกับกฎหมาย เชื่อมต่อกับระบบเดิมได้ และสามารถต่อยอดในอนาคตสู่การใช้งานได้จริง เพราะสิ่งที่เรามองหา ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่คือโซลูชันที่ตอบโจทย์และช่วยวางรากฐานให้กับ สภาพแวดล้อมดิจิทัลที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

โดยเส้นทางการแข่งขันสำหรับโจทย์ที่ 1 นี้ เริ่มตั้งแต่เปิดรับสมัคร มีทีมสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก ก่อนจะผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนเหลือ 10 ทีมสุดท้าย ได้แก่ 1.ทีม ATTRA CARD 2.ทีม BCI: IdentityX 3.ทีม BOL 4.ทีม DeepPocket 5.ทีม Creden 6.ทีม EazyLaw 7.ทีม Finema Co. Ltd. 8.ทีม ID Pivot 9.ทีม InDistinct และ 10.ทีม TDID ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop และ Mentoring เพื่อลับคมไอเดียและเตรียมความพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจาก ETDA และพันธมิตร ก่อนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในวันนี้ (26 เมษายน 2568) ซึ่งทั้ง 10 ทีมได้นำเสนอผลงาน (Pitching) ต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังจากหน่วยงานชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้บริหารจาก ETDA,  กรมสรรพากร, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ บริษัท เทคซอส มีเดีย สะท้อนถึงการบูรณาการมุมมองเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมอย่างแท้จริง

หลังจากการพิจารณาอย่างเข้มข้น จากแนวคิดโซลูชันที่หลากหลายที่มุ่งมั่นสร้างสรรเพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจ ตั้งแต่การลดความยุ่งยากซับซ้อนของเอกสาร การยืนยันตัวตนผู้มีอำนาจลงนาม ไปจนถึงการสร้างความเชื่อมั่นในการทำสัญญาระหว่างองค์กร ในที่สุดผลการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID โจทย์ที่ 1 “e-Juristic Person Transaction” ก็ได้ทีมผู้ชนะคว้ารางวัลชนะเลิศ คือ ทีม BCI: IdentityX กับผลงาน VerifyX แพลตฟอร์มสำหรับ e-Juristic Transaction การทำธุรกรรมของนิติบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำธุรกรรมนิติบุคคล โดยเน้นยกระดับการออกหนังสือรับรองทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ คว้าเงินรางวัล 100,000 บาท และประกาศนียบัตรจาก ETDA  ตามมาด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม TDID กับผลงานแพลตฟอร์ม TrustBiz ช่วยพัฒนาให้การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เชื่อถือได้ ใช้งานได้จริง เป็น Solution การลงลายมือชื่อดิจิทัลสำหรับนิติบุคคล ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และประกาศนียบัตรจาก ETDA และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม Creden จากผลงานแพลตฟอร์ม e-Transaction ครบวงจรตั้งแต่ e-Signature, e-KYC, e-Stamp duty ไปจนถึง e-KYB เพื่อช่วยให้นิติบุคคลยืนยันตัวตนและทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท และประกาศนียบัตรจาก ETDA นอกจากนี้ ทุกทีมที่ได้รับรางวัลยังมีโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมสู่การใช้งานจริงร่วมกับ ETDA และพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงโอกาสในการนำเสนอผลงานบนเวที Tech Showcase Stage ในงาน Techsauce Global Summit 2025 อีกด้วย

“ในฐานะที่ ETDA เป็นหน่วยงาน Co-Creation Regulator ที่มุ่งส่งเสริมและร่วมสร้างนิเวศน์ที่เอื้อต่อการใช้งาน Digital ID เชื่อมั่นว่าพลังของความร่วมมือและไอเดียจากเวทีนี้ จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีกลไกรองรับการทำธุรกรรมของนิติบุคคลที่ทันสมัย เชื่อถือได้ และใช้งานได้จริงด้วย Digital ID  โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการแข่งขัน จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ชัดเจนของการผลักดันให้เกิดการใช้งาน Digital ID ในวงกว้าง ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดย ETDA พร้อมเดินหน้าร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อเร่งขับเคลื่อนให้เกิดการผลักดัน Digital ID อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” นางสาวจิตสถา กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม การเดินทางของ ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เตรียมพบกับการแข่งขันสุดเข้มข้นในโจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับคนต่างด้าวในประเทศไทยกันต่อ ติดตามรายละเอียดและความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.etda.or.th หรือเฟซบุ๊ก ETDA Thailand (www.facebook.com/ETDA.Thailand)

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ "เสียงของคุณ ช่วยขับเคลื่อนเทศบาลของเรา" เพื่อเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08:00 - 17:00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีชื่อ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ครอบคลุมทุกเทศบาลใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯ

ตรวจสอบสิทธิ์ง่าย ๆ ก่อนวันเลือกตั้ง

เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งสำคัญ กกต. ขอเชิญประชาชนตรวจสอบสิทธิ์และหน่วยเลือกตั้งของตนเองผ่านช่องทางดังนี้:

  1. ปิดประกาศ
  • ณ ที่ว่าการอำเภอ
  • ณ สำนักงานเทศบาล
  • ณ หน่วยเลือกตั้งหรือบริเวณใกล้เคียง
  1. เว็บไซต์ สำนักบริหารการทะเบียน กระทรวงมหาดไทย https://www.bora.dopa.go.th
  2. หนังสือแจ้งเจ้าบ้าน
  3. แอปพลิเคชัน Smart Vote หรือสอบถามสายด่วน 1444

ขั้นตอนการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง

  1. ตรวจสอบรายชื่อ: เช็กชื่อและลำดับที่จากบัญชีรายชื่อหน้าหน่วยเลือกตั้ง
  2. แสดงหลักฐาน: ยื่นบัตรประชาชน (บัตรหมดอายุก็ใช้ได้) หรือเอกสารราชการอื่น ๆ ที่มีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชน.
  3. รับบัตรเลือกตั้ง: คุณจะได้รับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ได้แก่:
    • บัตรสำหรับเลือกนายกเทศมนตรี (เลือกผู้สมัครได้ไม่เกิน 1 หมายเลข)
    • บัตรสำหรับเลือกสมาชิกสภาเทศบาล (เลือกผู้สมัครได้ไม่เกิน 6 หมายเลข)
  4. เข้าคูหาลงคะแนน: ทำเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่องทำเครื่องหมาย หากไม่ต้องการเลือกผู้สมัครใด สามารถทำเครื่องหมายในช่อง "ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" แล้วพับบัตรเลือกตั้ง
  5. หย่อนบัตรลงหีบ: โดยพับบัตรเลือกตั้งที่เรียบร้อยแล้วหย่อนลงหีบบัตรด้วยตัวเอง

ทำไมเสียงของคุณถึงสำคัญ?

"เทศบาลเป็นหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด มีบทบาทสำคัญในการดูแลและพัฒนาชุมชน เช่น การจัดการขยะ การดูแลถนนในซอย การพัฒนาสวนสาธารณะ หรือแม้แต่การส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น การเลือกผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลที่มีวิสัยทัศน์จึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้ก้าวหน้า"

ร่วมกันสร้างอนาคตเทศบาลของเรา

สำนักงาน กกต. คาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีผู้มาใช้สิทธิ์ไม่น้อยกว่า 70% ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชน

"เสียงของคุณคือพลังที่จะขับเคลื่อนเทศบาลให้ก้าวหน้า ดังนั้นในนามสำนักงาน กกต. ใคร่ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนออกมาใช้สิทธิ์กันอย่างพร้อมเพรียงในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้"  ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ทางเว็บไซต์ www.ect.go.th หรือโทรสายด่วน 1444

ส่งเสริมการใช้น้ำประปาอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านอย่างยั่งยืน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ ได้ลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจสอบอุบัติเหตุรถยนต์บรรทุกหัวลากทะเบียน 73-1430 ชลบุรี หางพ่วงทะเบียน 71-3810 ชลบุรี ชนท้ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันหมายเลขทะเบียน ขค 6161 อุดรธานี บริเวณจุดจอดรถฉุกเฉิน บนถนนมอเตอร์เวย์สาย 7 มุ่งหน้าจังหวัดชลบุรี ตำบลศีรษะจรเข้น้อย อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บกว่า 3 ราย โดยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย และติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูล กรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ทุกบริษัทประกันภัยตรวจสอบการทำประกันภัยของรถยนต์ทุกคัน ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกราย

จากการลงพื้นที่ของสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ เบื้องต้นพบว่า รถยนต์นั่งคันหมายเลขทะเบียน ขค 6161 อุดรธานี คันที่ถูกชน ทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับไว้กับบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) วงเงินความคุ้มครองสูงสุด 10,000,000 บาทต่อครั้ง

รถยนต์หัวลากคันหมายเลขทะเบียน 73-1430 ชลบุรี และรถยนต์หางพ่วงหมายเลขทะเบียน 71-3810 ชลบุรี มีประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับไว้กับบริษัท เอ็มเอสไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รวม 2 กรมธรรม์ วงเงินความคุ้มครองสูงสุดรวม 2 กรมธรรม์  20 ล้านบาท กรณีรถยนต์หัวลากและรถยนต์หางพ่วง เป็นฝ่ายผิด ผู้เสียหายจะได้รับค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้บาดเจ็บจะมีความคุ้มครองค่ารักษาสูงสุดตามจริง ไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน รวม 2 กรมธรรม์ 160,000 บาท สูญเสียอวัยวะ 200,000 - 500,000 บาทต่อคน รวม 2 กรมธรรม์  400,000 – 1,000,000 บาท ทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน รวม 2 กรมธรรม์ 600,000 บาท ค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน รวม 2 กรมธรรม์ 200 บาท ต่อวัน รวมกันไม่เกิน 40 วัน ต่อคน โดยมีวงเงินสูงสุด 10 ล้านบาทต่อกรมธรรม์

หากรถยนต์นั่งเป็นฝ่ายผิด ผู้ขับขี่จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่ารักษาพยาบาลตามจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท และกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพจำนวน 35,000 บาท ส่วนผู้โดยสารจะได้รับ  ความคุ้มครองค่ารักษาสูงสุดตามจริง ไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน  กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน  และค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน  200 บาท ต่อวัน

นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่ารถยนต์หัวลากคันหมายเลขทะเบียน 73-1430 ชลบุรี ยังทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 3 ไว้กับ บริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาคุ้มครองวันที่ 5 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2569 วงเงินความคุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัยบุคคลภายนอก 500,000 บาทต่อราย คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก 1,000,000 บาทต่อครั้งซึ่งจะต้องรอผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่าเป็นฝ่ายประมาทหรือไม่ ทั้งนี้ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน จึงยังไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุละเมิดดังกล่าวได้จนกว่าผลคดีจะเป็นที่ยุติ แต่อย่างไรก็ตาม การประกันภัยภาคบังคับมีเจตนารมณ์ในการรักษาพยาบาลหรือการเยียวยาอย่างรวดเร็วตามหลักสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลค่าทดแทนและค่าปลงศพ สำหรับกรณีรถยนต์ชนกันโดยยังไม่มีฝ่ายใดยอมรับผิด และปรากฏว่ารถยนต์ทั้งสองฝ่ายมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับที่กำหนดให้บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถยนต์คันที่มีผู้โดยสารนั่งมาแล้วบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจะสำรองจ่าย ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้เสียชีวิตไปก่อนตามความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยของรถยนต์คันที่โดยสารมา

ดังนั้น เบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิต 8 ราย จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับด้วยหลักสำรองจ่าย โดยผู้ขับขี่รถยนต์หมายเลขทะเบียน ขค 6161 อุดรธานี มีสิทธิได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท จากประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ และผู้โดยสารที่เสียชีวิตมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ จำนวน 500,000 บาทต่อราย ส่วนผู้โดยสารที่บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล สำนักงาน คปภ. ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเพื่อรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลโดยตรงแล้ว

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และขอร่วมไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง พร้อมยืนยันให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ โดยขอประชาสัมพันธ์ถึงเจ้าของรถยนต์ทุกคนทำการตรวจสอบว่ารถยนต์ของตนว่ามีประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ) แล้วหรือยัง ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สิทธิด้านประกันภัย สามารถติดต่อสายด่วน คปภ. โทร. 1186

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครและชำระเบี้ยผลิตภัณฑ์กรุงศรีประกันมะเร็ง ตลอดชีพ ขั้นต่ำ 5,000 บาท ต่อกรมธรรม์ ผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา รับทันทีหมอนรองคอ 1 ใบ ต่อกรมธรรม์ มูลค่า 390 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568

ทั้งนี้ กรุงศรีประกันมะเร็ง ตลอดชีพ รับประกันภัยโดย บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จ่ายเบี้ยเท่าเดิมทุกปี ตลอดชีพ คุ้มครองครอบคลุมมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะ สูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมเลือกเพิ่มเบี้ย เพิ่มค่ารักษาได้ตามใจ สมัครง่าย โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/cancer-plus

หนึ่งในเพียง 18 ธนาคารทั่วโลกที่รักษาอันดับ 1 ในประเทศ และได้ต่อเนื่องสองปีซ้อน

เขย่าวงการหนังไทยแนว ดราม่า (Erotic) ที่ไม่เหมือนใคร เมื่อ “โก๋ฟิล์ม”, “โก๋แก่” มันทุกเม็ด จัดงานกาล่าเปิดตัวภาพยนตร์ “Jenny, I Love You เจนนี่ ไอเลิฟยู” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (ชั้น 7 โรงหนัง SF) นำทีมขึ้นเวทีพูดคุย โดยผู้กำกับภาพยนตร์และเขียนบท : ต้น-จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ และ บุญส่ง นาคภู่ พร้อมด้วย ผู้กำกับภาพ : ธีรวัฒน์ รุจินธรรม และผู้ลำดับภาพ : ลี ชาตะเมธีกุล รวมถึงทีมนักแสดงนำ อาทิ “จ๋า” วีราณัฐ โควินทะสุด-มิสแกรนด์อุดรธานี ปี 2018 และผลงานการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรก, “ต๊อบ” ชัยวัฒน์ ทองแสง, จีรนันท์ ชำนาญเกษมพันธุ์, “แทค” ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม และ “ปู”ยะสะกะ ไชยสร ที่มาร่วมพูดคุยถึงเบื้องหลังในการทำงาน

 

ก่อนที่จะเรียนเชิญผู้บริหาร คุณต้น-จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ ผู้บริหารแบรนด์ ‘โก๋แก่’ ขนมทานเล่นยอดนิยมบ้านเรา และเจ้าของค่ายหนัง ‘โก๋ฟิล์ม’ และ คุณบุญส่ง นาคภู่ ขึ้นบนเวที เพื่อถ่ายภาพ และไปชมภาพยนตร์ “Jenny, I Love You เจนนี่ ไอเลิฟยู” ร่วมกัน

 

“Jenny, I Love You เจนนี่ ไอเลิฟยู" เป็นเรื่องราวของ “เจนนี่” (จ๋า-วีราณัฐ) หญิงสาวต่างจังหวัดหวังอยากมีชีวิตที่่ดีขึั้น แต่ทางเลือกในชีวิตของเธอมีไม่มากนัก ทำให้เธอจำต้องตัดสินใจไปเป็นสาวคาราโอเกะ ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทำให้เธอกลายเป็นที่หมายตาของเพศตรงข้าม ไม่เว้นแม้แต่เสี่ยสมคิด เศรษฐีหนุ่มที่หมายปองอยากได้เธอมาเป็นคู่ครอง และในระหว่างนั้นนั่นเอง  เจนนี่ ก็ได้ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

“Jenny, I Love You เจนนี่ ไอเลิฟยู" ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป รุกเสริมแกร่งธุรกิจรับมือกับความท้าทายในอุตสาหกรรมค้าปลีก พัฒนา True Virgo AI แพลตฟอร์ม AI สุดล้ำที่จะเปลี่ยนการบริหารร้านค้าแบบเดิมให้พัฒนาสู่ความเป็นร้านค้าอัจฉริยะ โดยร่วมมือกับ แซนด์สตาร์ (SandStar) ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีค้าปลีกอัจฉริยะชั้นนำระดับโลกซึ่งเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีกับ NVIDIA ในฐานะ NVIDIA Cloud Partner ช่วยผู้ประกอบการร้านค้าทุกขนาด ก้าวผ่านข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผสานประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการร้านค้า สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภค

True Virgo AI ได้รับการพัฒนาจากเทคโนโลยียุคใหม่ เป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ระบบเปิดที่ไม่ยึดติดกับ ระบบ Software หรือ Hardware สามารถเชื่อมต่อทุกระบบและทุกอุปกรณ์ที่หลากหลายภายในร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้องวงจรปิด ระบบอุปกรณ์เซ็นเซอร์ ระบบชำระเงิน และระบบจัดการคลังสินค้า เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ทำให้เกิดการจัดเรียงข้อมูลอย่างสมบูรณ์และประมวลผลข้อมูลเชิงลึก ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปัญญาประดิษฐ์ของ True Virgo AI ยังสามารถสามารถเรียนรู้แล้วนำข้อมูลไปต่อยอด สร้างการนำเสนอสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภค ลดความซ้ำซ้อนของจำนวนสินค้า มอบคำแนะนำในการบริหารจัดการร้าน เปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งให้เป็นแบบเฉพาะบุคคล ยกระดับการบริหารจัดการร้านค้าปลีกให้กลายเป็นร้านค้าที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI

นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น  กล่าวว่า “อุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไทยยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิต* การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการร้านค้าสามารถเข้าถึงและได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและก้าวทันต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ จึงเป็นหนึ่งในความตั้งใจของทรู ดิจิทัล เราส่งมอบเทคโนโลยีที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และค้นพบโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ที่จะเพิ่มยอดขาย สร้างแหล่งรายได้ใหม่ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

“True Virgo AI พัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยของทรู ดิจิทัล รวมทั้งความชำนาญและความต้องการของภาคธุรกิจไทยอย่างแท้จริง  ผสานศักยภาพระดับโลกด้าน AI ของ SandStar ที่ขับเคลื่อนโดย NVIDIA AI Engine ความร่วมมือกับ SandStar จึงเสริมพลังให้ True Virgo AI เป็นแพลตฟอร์ม AI ครบวงจร (Integrated AI Platform) ที่ก้าวล้ำ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการบริหารจัดการร้านค้ายุคใหม่ ซึ่งไม่เพียงทำให้ร้านค้าสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีและตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายในอุตสาหกรรมค้าปลีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงเรื่องการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายเอกราช กล่าวเสริม

นายยีลี วู ผู้ก่อตั้งและประธานคณะผู้บริหาร แซนด์สตาร์ กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับทั้ง NVIDIA และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพื่อนำเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของโลกมาสู่ประเทศไทย ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจ และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เป็นพันธมิตรที่ดีของเรา SandStar ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการค้าปลีกระดับโลกที่มุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมค้าปลีกด้วยอัจฉริยภาพของเทคโนโลยี AI ที่สามารถเชื่อมโยงหลอมรวมข้อมูลและประมวลผลได้แบบไร้รอยต่อ เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมค้าปลีกให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ เราได้ร่วมมือกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป พัฒนา True Virgo AI ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของ NVIDIA สำหรับร้านค้าอัจฉริยะ เพื่อต่อยอดเป็นโซลูชันสมาร์ทสโตร์ที่พร้อมให้บริการแล้วในประเทศไทย เราเชื่อมั่นในการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกับทรู ดิจิทัล กรุ๊ป รวมถึงการขยายบริการโซลูชันให้เติบโตรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”

ฟังก์ชั่นสุดล้ำของ True Virgo AI

  • ระบบช่วยบริหารจัดการร้านค้าดิจิทัล (Digital Store Assistance)

True Virgo AI เป็นโซลูชันแห่งอนาคตสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกทุกขนาดทุกรูปแบบ สามารถช่วยผู้ประกอบการดูแลร้านค้าให้จัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยดูแลลูกค้าด้วยการยกระดับประสบการณ์ภายในร้าน ช่วยดูแลพนักงานด้วยระบบอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับพนักงานในร้านได้อย่างลงตัว ลดเวลาการทำงาน

  • ระบบวิเคราะห์พร้อมแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ (Real-time Analysis & Notification)

True Virgo AI สามารถตอบสนองได้แบบเรียลไทม์ ประมวลผลข้อมูลและตอบสนองได้ทันที ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ผ่านระบบแจ้งเตือนหลากหลายช่องทาง ผู้ประกอบการสามารถจัดการร้านค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

  • ระบบเปิดเชื่อมต่อกับทุกอุปกรณ์ของร้านค้าได้อย่างไร้รอยต่อ (Universal Integrated Connector)

True Virgo AI เป็นระบบเปิดที่สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในร้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทันที ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด อุปกรณ์เซ็นเซอร์ จุดชำระเงิน และระบบจัดการคลังสินค้า จึงเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายและประหยัดการลงทุน พร้อมระบบเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (adaptive learning system) ช่วยให้เจ้าของร้านค้าสามารถบริหารจัดการร้านได้แบบเฉพาะเจาะจงตามพฤติกรรมของลูกค้า ปรับแต่งประสบการณ์ช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่กับการนำเสนอสินค้าและโปรโมชันที่ตรงใจลูกค้า จึงช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าและผลักดันยอดขายให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รูปแบบการใช้งานของ True Virgo AI จะเป็นรูปแบบการใช้แบบ Subscription คือมีความต้องการเท่าไร สามารถใช้ได้เท่านั้น ซึ่งรูปแบบนี้จะลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานระยะยาว และจะมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคปัจจุบัน

บลจ.กสิกรไทย ปักหมุดต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เตรียมเปิดเสนอขาย ThaiESGX 2 กองทุน 2 ทางเลือก ทั้งรูปแบบลงทุนในหุ้น 100% และแบบผสม 70/30 ในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เน้นหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง สนับสนุนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมพร้อมเสนอขาย 2 กองทุนน้องใหม่ Thai ESGX ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 โดยมีทั้งรูปแบบที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย 100% และแบบผสม 70/30 ในหุ้นไทยและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมั่นคง มีรายได้และกำไรที่ไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน

นายวินกล่าวต่อไปว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นหลายตัวมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงขึ้น โดยปัจจุบัน Dividend Yield ของ SET อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ผ่านมาที่ 3.2% ยิ่งกว่านั้น SET High Dividend ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนหุ้นกลุ่มที่มีอัตราจ่ายปันผลสูงต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราจ่ายปันผลเฉลี่ยสูงถึง 5.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลังที่ 4.2% โดยบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยในอนาคตนั้น จะมาจากอัตราปันผลที่สูงขึ้นเป็นหลัก โดยสนับสนุนจากการที่ 3 อุตสาหกรรมใหญ่สุดของ SET ได้แก่ พลังงาน ธนาคาร และสื่อสาร คิดเป็น 44% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่ (Mature Stage) ที่ความต้องการใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกิจการชะลอลงจากช่วง 15 ปีก่อน ทำให้มีความสามารถจ่ายปันผลได้สูงขึ้น

“บลจ.กสิกรไทย ประเมินผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ผู้ที่มีฐานภาษีในระดับสูงเกิน 20% และมองเห็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาในระดับที่น่าสนใจ และ 2) ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในกองทุน LTF ซึ่งกองทุน LTF จากกสิกรไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 58,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าผู้ที่มีเงินลงทุนใน LTF น้อยกว่า 500,000 บาท จะพิจารณาสับเปลี่ยนมาลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากหุ้นปันผลสูง” นายวินกล่าว

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มีความพร้อมและศักยภาพในการบริหารจัดการกองทุน Thai ESGX การันตีได้จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนาน เพื่อมุ่งหวังที่จะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถซื้อ และ/หรือ สับเปลี่ยนจาก LTF มายังกองทุน Thai ESGX ได้สะดวกและปลอดภัยผ่าน App K PLUS และ K-My Funds สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

X

Right Click

No right click