December 06, 2025

หลังจากเริ่มให้บริการเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อเมซ ซูเปอร์แอป (Amaze Super App) แอปช้อปปิ้งคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เปลี่ยนทุกพอยท์ของคุณเป็นพลังช้อปจากเครือซีพี ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยความคืบหน้าล่าสุดและโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและร้านค้าไทยยุคใหม่ โดยได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากผู้ใช้งานจริงถึงความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่ง ทั้งจากโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพี อาทิ ALL POINT, My Lotus's, Makro PRO POINT และ True Point รวมถึงพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำ  ไม่ว่าจะเป็น KrungSri, FirstChoice, POINTX, UOB, BBL, GSB และ KBank   เพื่อให้ผู้ใช้   อเมซ  ซูเปอร์แอป  สามารถรวมพอยท์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าพอยท์เดียว หมดกังวลเรื่องพอยท์กระจัดกระจายและหมดอายุ ทั้งยังสามารถสะสมและใช้พอยท์แทนเงินสดได้สะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้นแบบไม่มีขั้นต่ำ

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยถึงการเปิดตัว Amaze Super App ว่า “Amaze เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างสิทธิประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้า โดยนำเอาผู้ผลิตมาพบกับผู้บริโภคในเครือข่ายฐานลูกค้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีมากกว่า 100 ล้านผู้ใช้งานทั่วประเทศ นี่คือก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ที่เรากำลังดำเนินการ”

“หัวใจสำคัญของ Amaze คือการมุ่งนำเอาประโยชน์สูงสุดกลับไปสู่ผู้บริโภคและสมาชิก ด้วยการใช้ข้อมูลที่ดี ถูกต้อง และแม่นยำ ทำให้เราสามารถเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อยอดด้วยจุดแข็งของการเป็นบริษัทไทยที่มีความโดดเด่นด้านบริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการระดับโลก” คุณศุภชัยกล่าว

นอกจากนี้ คุณศุภชัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “Amaze คือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สร้างโดยคนไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการในยุคดิจิทัล และผลักดันให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

คุณธรินทร์ ธนียวัน ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มด้านอีคอมเมิร์ซ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า Amaze Super App เป็นแพลตฟอร์ม Loyalt E-Commerce  และเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ที่เครือซีพีตั้งใจวางรากฐานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงแต้มสะสมจากหลายแหล่งให้กลายเป็นมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน ผ่านระบบที่ปลอดภัย โปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทย

แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในวันนี้ ต้องไม่หยุดเพียงแค่การค้าขายออนไลน์ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data) อย่างมีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิของผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ในขณะเดียวกันก็วางพื้นฐานสำหรับการทำ Personalized Commerce และ Retail Media อย่างครบวงจรในอนาคต

ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร กรรมการผู้จัดการ Amaze Super App บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “อเมซ ซูเปอร์แอป ไม่ได้เป็นแค่แอปที่รวมพอยท์จากหลายแหล่งมาไว้ในที่เดียว แต่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติโครงสร้างการใช้พอยท์ในประเทศไทย เรามองเห็นศักยภาพของพอยท์ที่คนไทยมีอยู่แต่ยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงพัฒนา  อเมซ ซูเปอร์แอป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรวมพอยท์นำไปใช้จ่ายได้ง่าย คุ้มค่ากว่าเดิม และเกิดมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน

โอกาสนี้หน่วยธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร ทรู คอร์เปอร์เรชั้น เปิดเผยว่า "Amaze เป็นระบบ CRM ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากว่า 40 ล้านบัญชีของทรูมากที่สุด ซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ของทรูที่มีเป้าหมายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกสบายของผู้บริโภค"

ด้านนายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มสายงานการพาณิชย์สินค้า CP AXTRA เปิดเผยว่า “Amaze สามารถทำให้ลูกค้าของ CP AXTRA ใช้พอยท์ Earn และ Burn ง่ายขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยให้สิทธิประโยชน์ของแต่ละกลุ่มธุรกิจเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ”

เช่นเดียวกับนายณัฏฐ์วุฒิ อยู่ปราโมทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนัก Online Sales & Marketing CP ALL ระบุว่า “Amaze เป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าของ CP ALL ที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ให้สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกระดับ เปลี่ยนจาก Daily life Shopping สู่การเป็น Lifestyle Shopping มากขึ้น”

ขณะที่นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ศักยภาพด้านการผลิตสินค้าอาหาร จะสามารถร่วมมือกับ Amaze ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอาหารของผู้บริโภคที่จะทำให้สะดวกสบายมากยิ่งข้น

สำหรับสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับสมาชิก อเมซ ซูเปอร์แอป ที่จะยกระดับทุกประสบการณ์การช้อป เริ่มจากความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่งมาเป็น อเมซพอยท์ ได้ในแอปเดียว ใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้าแบบไม่มีขั้นต่ำ พร้อมสินค้าที่มีให้เลือกมากมายกว่า 100,000 รายการ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้พอยท์สั่งสินค้า 7-Eleven และ Lotus’s ได้ง่าย ๆ พร้อมบริการจัดส่งถึงมือภายใน 1–3 ชั่วโมง และยังได้รับโปรโมชั่นเดียวกับหน้าร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริโภคยังสามารถเลือกช้อปสินค้าแท้จากแบรนด์ดังได้ที่ อเมซมอลล์ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอม พร้อมดีลสุดคุ้มมากมาย อีกทั้งทุกครั้งที่ช้อป ยังได้รับ อเมซพอยท์ สะสมไว้ใช้จ่ายในครั้งต่อไปแบบสบาย ๆ

พิเศษสุดจาก อเมซมอลล์ สำหรับช่วงเปิดตัว รับดีลและข้อเสนอเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ได้แก่

  • รับฟรีทันที 2,000 อเมซพอยท์ (มูลค่า 20 บาท) ใช้ซื้อสินค้าที่ 7-Eleven, Lotus's และสินค้าแบรนด์ดังในอเมซมอลล์ พร้อมรับคูปองส่วนลดและสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus's, Makro, TRUE, TRUE Money และแบรนด์ดังจากอเมซมอลล์ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 10,000 บาท!
  • โอนพอยท์บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาเป็นอเมซพอยท์ครั้งแรก รับอเมซพอยท์เพิ่มสูงสุด 150,000 พอยท์ (มูลค่า 1,500 บาท) ต่อ 1 ธนาคาร ยิ่งถือบัตรเครดิตหลายธนาคาร ยิ่งได้รับสิทธิเยอะ
  • ช้อปสินค้าดังกับดีลเด็ด ลดสูงสุดถึง 90% กับ Amaze Mall Day ทุกวันพุธ ทุบราคาเริ่มต้นแค่ 9 บาท แถมพอยท์คืน สูงสุด 15%
  • สุดคุ้มสำหรับสายตุน - ทุกวันเสาร์ เหมาเซเว่น - รับพอยท์เพิ่ม 11 เท่า เมื่อช้อปอาหารพร้อมทาน เครื่องดื่ม และสินค้าที่เข้าร่วมจาก 7-Eleven ผ่านแอปอเมซ ขั้นต่ำ 300 บาท และใช้คูปองลดเพิ่ม 30 บาท
  • ช้อปสินค้า Lotus's ผ่านแอปอเมซครั้งแรก รับทันที คูปองส่วนลด 20 บาท เมื่อซื้อครบ 99 บาท พร้อมรับพอยท์เพิ่ม 10 เท่า ไม่มีขั้นต่ำ
  • สามารถดาวน์โหลดอเมซและสมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพียงค้นหา ‘Amaze Super App’ 

ลิงก์ดาวน์โหลด: https://amazeshop.onelink.me/21uQ/d7ewyfsn  

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.amaze.shop/th/

SCGP ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท EBITDA 4,232 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน รับแรงหนุนจากกลยุทธ์ปรับตัวรวดเร็ว รุกตลาดอาเซียนรองรับดีมานด์ผู้บริโภคภายในประเทศ เดินหน้าวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สร้างฐานผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา เสริมประสิทธิภาพลดต้นทุนพลังงานด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning พร้อมบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ เผยแผนรับมือนโยบายภาษี ใช้จุดแข็งเครือข่ายการผลิตในภูมิภาค พอร์ตสินค้าหลากหลาย การส่งออกตลาดศักยภาพสูง บูรณาการการผลิตและวัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาเซียนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเตรียมสินค้าก่อนถึงวันหยุดในไทยและอินโดนีเซีย การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าก่อนมาตรการภาษี อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนในจีนและเวียดนามได้รับผลกระทบจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับความต้องการในสินค้าคงทนที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดมากขึ้น

SCGP มุ่งเน้นการขายภายในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์อุปโภคบริโภค รวมถึงปรับกลยุทธ์การส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ SCGP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning รวมถึงการจัดการต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 มีรายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ความต้องการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตจากนโยบายกระตุ้นภายในประเทศ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2 ถึง 7 ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยที่ยังคงสูงกว่าภูมิภาคอื่น และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า สำหรับต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มทรงตัว และมีความท้าทายจากภาคการส่งออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับการรับมือจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) SCGP ได้เตรียมแผนเชิงรุก มุ่งปรับตัวรวดเร็ว สร้างความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านคุณภาพสินค้า ความร่วมมือ สร้างความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) เพื่อส่งมอบสินค้า บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมแผนการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงแผนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งยังมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการจ้างผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในยุโรปตะวันออก  

 

นอกจากนี้ ยังเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยการมุ่งเน้นขยายตลาดในอาเซียน รวมถึงการเพิ่มโอกาสใหม่ในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยได้ร่วมลงทุนในบริษัทโฮวะ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 25 กับ Howa Sangyo Company Limited เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ด้วยกำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายนปีนี้ และเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในตลาด Healthcare Supplies ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญมาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่บริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุนประมาณ 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม ปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาของประเทศไทย และช่วยเพิ่มโอกาสการขายผ่านช่องทางของ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปนด้วย

 

บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 39 ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37 ในปี 2567 และล่าสุด Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีด ที่ผลิตจากกระดาษ แบรนด์ “Fest by SCGP” ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAIFEX-HOREC Innovation Awards จากเวที THAIFEX-HOREC Asia 2025 นอกจากนี้ SCGP ขับเคลื่อน ESG เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในไตรมาสแรก สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็นร้อยละ 42 จากร้อยละ 38 ในปีก่อน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้

บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2 นำโดยดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน (กลาง) กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมจากมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น พร้อมด้วยคณะกรรมการ (จากซ้ายไปขวา) นายกองเอกเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช กรรมการอิสระและประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และนายสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ กรรมการอิสระและประธานคณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนและสรรหา โดยที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติเห็นชอบทุกวาระการประชุมตามที่คณะกรรมการเสนอ ณ อาคารกรุงเทพประกันภัย สำนักงานใหญ่ ถนนสาทรใต้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568

เริ่มแล้ว มหกรรมแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน “สถาปนิก’68” โดย สมาคมสถาปนิกสยามฯ ร่วมกับ ทีทีเอฟ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” ตอกย้ำสถาปัตยกรรมมีความสำคัญในทุกเรื่องราวจากอดีตจนถึงปัจจุบันและนำไปสู่อนาคต ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษมากมาย รวมถึงพื้นที่จัดแสดงสินค้านวัตกรรมเพื่อการออกแบบ-ก่อสร้างครบวงจร จากผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 1,000 ราย คาดมีผู้ร่วมชมงานจากทั่วโลกกว่า 325,000 คน ตลอด 6 วันของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายอเส สุขยางค์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยถึงการจัดงานสถาปนิก ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของแวดวงนักออกแบบ โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดงานเพื่อเผยแพร่วิชาชีพสถาปัตยกรรมมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2529 โดยใช้ชื่องานว่า “สถาปนิก’29” และได้จัดงานมาเป็นประจำต่อเนื่องจนถึง สถาปนิก’68 ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งที่ 37 โดยคงวัตถุประสงค์หลักของการเป็นพื้นที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกในแวดวงสถาปัตยกรรม ผ่านงานแสดงนิทรรศการ การประชุมสัมมนา การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ที่มีบทบาทส่งเสริมวิชาชีพสถาปัตยกรรม การพัฒนาองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรม มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม รวมถึงยังสามารถสะท้อนศิลปวัฒนธรรม และมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้ ด้วยการเป็นสื่อกลางในการจัดแสดงนิทรรศการด้านการออกแบบ จัดแสดงสินค้าเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้าง การให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ โดยรวบรวมผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำของไทยและต่างประเทศ มาจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันที่ใหญ่มากถึง 75,000 ตร.ม ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดในระดับอาเซียน

นายธันว์ ศรีจันทร์ ประธานจัดงานสถาปนิก’68 กล่าวเสริมถึงงานสถาปนิก’68 ถือเป็นการต่อยอดนำเสนอนิทรรศการเนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี สมาคมฯ โดยปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” สะท้อนการเชื่อมต่อระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผ่านองค์ประกอบเชิงสัญลักษณ์ที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว โดยที่ผ่านมาสถาปนิกได้ร่วมงานกับหลากหลายวิชาชีพจากทั่วทุกภูมิภาค ได้สำรวจและทบทวนถึงทิศทางที่สถาปัตยกรรมไทยได้ก้าวเดินผ่านมาหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานเทคนิคและวัฒนธรรมจากอดีต การปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและความต้องการของสังคมในแต่ละยุค รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เคยเป็นและสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเรามีเส้นทางและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและตัวตนของสถาปนิกอย่างไรเพื่อมองอนาคตไปด้วยกัน

นิทรรศการไฮไลต์และกิจกรรมภายในงานสถาปนิก’68 แบ่งเป็น 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนนิทรรศการหลัก โดยมี นิทรรศการ ‘ทบทวน ทิศทาง : Past Present Perfect’ นิทรรศการแสดงผลลัพธ์จาก Student Workshop ของนักศึกษา ‘ชิ้นแรก ชิ้นล่า : From the First Piece to the Latest’  พื้นที่จัดแสดงผลงานของเหล่าสมาชิก 4 องค์กรวิชาชีพสถาปนิก ‘เรื่องเล่า 3 รุ่น’ กิจกรรมถ่ายทอดประสบการณ์และเรื่องราวความถนัดของผู้บรรยาย ส่วนนิทรรศการวิชาการ ส่วนนิทรรศการวิชาชีพ ส่วนพื้นที่กิจกรรมและบริการ และส่วนงานสัมมนาวิชาการ ที่นำเสนอนิทรรศการประกวดแบบเชิงแนวความคิด (ASA Experimental Design Competition) การแสดงผลงานการประกวดแบบในระดับนานาชาติที่เปิดให้สมาชิกสมาคมฯ สถาปนิก นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมส่งผลงานแสดงแนวคิดในการออกแบบภายใต้ธีม “อนาคตนิยม Future Nostalgia In Architecture”

ส่วนของนิทรรศการวิชาชีพ ประกอบด้วย นิทรรศการรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2568 นิทรรศการผลงานนักศึกษาโดยสถาบันการศึกษา นิทรรศการ ASA TOD ที่นำเสนอแนวทางเลือกในการพัฒนาที่ดินรอบสถานีขนส่งสาธารณะตามแนวทาง Transit Oriented Development (TOD) เพื่อส่งเสริมการใช้ที่ดินในรูปแบบที่อำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการเดินทางของระบบขนส่งต่างๆ นิทรรศการและงานเสวนา 'น้ำท่วม กับ หมวกยายเตียม' จากน้ำใจ สู่การออกแบบที่พักพิงฉุกเฉินสะเทินน้ำสะเทินบกเพื่อชุมชน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในส่วนของงานสัมมนา วิชาการ ประกอบด้วย ASA Forum & Professional Seminar ซึ่งในครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความรู้จากรุ่นสู่รุ่น โดยแบ่งเป็นส่วน ASA International Forum 3 Gen ซึ่งจะเป็นงานบรรยายของสถาปนิกชื่อดังที่มีผลงานระดับนานาชาติ เป็นสถาปนิกไทยและต่างชาติที่มีภูมิหลังและผลงานที่แสดงลักษณะของแต่ละยุคอย่างชัดเจน ขณะที่งานสัมมนา ASA Professional Seminar จะเป็นงานที่เชิญผู้เชี่ยวชาญในไทยของแต่ละสาขาวิชาที่มีประโยชน์แก่การประกอบวิชาชีพของสถาปนิกในปัจจุบัน โดยงานครั้งนี้จะมีความพิเศษ คือ ASA Classroom กิจกรรมสัมมนาที่มาในรูปแบบการทำ Workshop หรือสอนการใช้งานโปรแกรม Computer สำหรับงานออกแบบต่างๆ ทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเน้นให้ผู้เข้าฟังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและสามารถนำไปใช้ได้จริงด้วย

ด้าน นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะออแกไนเซอร์จัดงาน เปิดเผยว่า การจัดงานในปีนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงาน เห็นได้จากจำนวนผู้เข้าชมที่ลงทะเบียนล่วงหน้าในปีนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านกว่า 16.92% และเป็นสัดส่วนชาวต่างชาติมากกว่าปีที่ผ่านมา คิดเป็น 85% โดยการจัดงานยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนวงการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมไทยให้เดินหน้าด้วยนวัตกรรม การออกแบบ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก

ในปีนี้มีพื้นที่ในการจัดงานรวมกว่า 75,000 ตารางเมตร โดยมีผู้แสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมมากกว่า 1,000 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็น 1.65% ซึ่งเป็นผู้แสดงสินค้าต่างประเทศ คิดเป็น 18.7% ของผู้แสดงสินค้าทั้งหมด ประกอบด้วยประเทศจีน ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย เยอรมัน เวียดนาม ฮ่องกง อิสราเอล ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอด 6 วันมากกว่า 325,000 คน

สำหรับโซนที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในครั้งนี้ คือ “Renovation Lab” เป็นพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมเกี่ยวกับการปรับปรุงและซ่อมแซมอาคาร ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองกระแสการรีโนเวตอาคารเก่าและซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายให้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์วิถีชีวิตสมัยใหม่ พร้อมจัดแสดงวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาทิ เหล็ก H-Beam กับการเป็นโครงสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว จากแบรนด์ Siam Yamamoto Steel นอกจากนี้ยังมี Selected Products from International Exhibitors ซึ่งรวบรวมนวัตกรรมเด่นจากแบรนด์ต่างประเทศ ทั้งด้านวัสดุก่อสร้าง พลังงานทางเลือก และโซลูชันเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ ที่พร้อมให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสนวัตกรรมจริงตลอดระยะเวลาการจัดงาน

ขณะที่หลายแบรนด์ผลิตภัณฑ์เตรียมนำเทคโนโลยีมาอวดโฉมกันอย่างจุ อาทิ SCG นำเทรนด์วัสดุก่อสร้างและโซลูชันตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “SEAMLESS QUALITY LIVING เชื่อมต่อทุกมุมมองเพื่อการใช้ชีวิต” จัดเต็มสินค้านวัตกรรมงานออกแบบที่สวยงาม ปลอดภัย และอยู่สบายเข้ากับแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “Waste to Construction” พร้อมพบกับงานทอล์คถอดรหัสการออกแบบและสเปควัสดุเพื่องานสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำจาก DECAAR by SCG และพลิกโฉมงานดีไซน์สู่งานออกแบบใหม่ไร้ขีดจำกัดจาก SCG Metaluxe พร้อมร่วมเวิร์คช้อป Q-CON Let's Grow Together เปลี่ยนโลกจากกระถางมวลเบารักษ์โลกสนับสนุนรายได้ให้ชุมชน พิเศษกับโปรโมชัน “ช้อปเพลิน ดีลดี เกินคุ้มเพื่อคนรักบ้าน” รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 83,600 บาท สมาชิก SCG Family รับคะแนนเพิ่มอีก 50,000 บาท และ Taiwan Excellence Pavilion ที่พร้อมเผยนวัตกรรมสุดล้ำจาก 10 แบรนด์ชั้นนำของไต้หวัน ที่จะเปลี่ยนโลกของงานก่อสร้างและออกแบบให้ล้ำไปอีกขั้น อาทิ Smart Home, Building, และ Sustainable Design โดย 10 บริษัทชั้นนำกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์จาก Taiwan Excellence หรือเรียกว่า “ผลิตภัณฑ์ดีเด่นจากไต้หวัน”

และปิดท้ายด้วยพื้นที่จัดแสดงรูปแบบพิเศษ Thematic Pavilion ที่พร้อมให้ทุกคนมาร่วมสัมผัสประสบการณ์จริง จำนวน 6 พื้นที่ ได้แก่ 1. Looklen Architects x S-ONE GROUP, 2. pbm X NIPPON PAINT, 3. Flat12x X VANACHAI GROUP, 4. A&A x FAMELINE, 5. ativich x VG, 6. POAR x WOODDEN

สำหรับงานสถาปนิก’68 ภายใต้ธีม ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยทางผู้จัดงานได้จัดเตรียมรถตู้บริการรับ-ส่งฟรี จากงานสู่ปลายทางสถานีรถไฟฟ้า (MRT สถานีสวนจตุจักร และ MRT สถานีพระราม 9) ตั้งแต่เวลา 09.30 – 20.30 น. สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.ArchitectExpo.com และ Facebook Page : งานสถาปนิก : ASA EXPO

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. ในฐานะประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน กล่าวว่า “สสว. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ MSME ของประเทศ มีความตั้งใจในการจัดประกวดรางวัล MSME Provincial Champion Awards เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ MSME เกิดการสร้างแรงบันดาลใจในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การประกวดดังกล่าวจะเป็นกลไลสำคัญในการกระจายโอกาสการพัฒนาไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ”

นางสาวพัชนีกานต์ นาคบัว ผู้อำนวยการฝ่ายประสานเครือข่ายผู้ให้บริการ SMEs และส่งเสริมนโยบายภาครัฐ กล่าวว่า “การจัดประกวดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับงานประกวดรางวัล MSME Provincial Champion Awards 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ MSME National Awards ปีงบประมาณ 2568 โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างต้นแบบผู้ประกอบการ MSME รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ MSME ตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตและเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล”

“การประกวดรางวัล MSME Provincial Champion Awards 2025 ครั้งที่ 3 นี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการค้นหาและส่งเสริมผู้ประกอบการ MSME ที่มีศักยภาพ โดยใช้แนวทางเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award - TQA) มาปรับใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณามอบรางวัลให้กับ MSME ที่มีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีมาตรฐานให้เป็นที่ประจักษ์และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลและมีความเหมาะสมจะได้รับการสนับสนุนในการต่อยอดธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในระดับประเทศและระดับสากลต่อไป โดยการมอบรางวัลอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 สิงหาคม 2568” ผู้อำนวยการฝ่ายประสานเครือข่ายฯ กล่าว

ผู้ประกอบการ MSME สามารถสมัครได้ถึง 15 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 6 ช่องทาง ได้แก่ Facebook Fan page: การประกวดรางวัลสุดยอด MSME จังหวัด / Line:SMEPVC2025 / E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. / โทรศัพท์: 082-829-0100 / เว็บไซต์: http://smenationalawards.com และสแกน QR Code สำหรับใบสมัครออนไลน์ โดยผ่านกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติและคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย และพิจารณาคัดเลือก “สุดยอด MSME จังหวัด” จำนวน 77 จังหวัด

สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ อาทิ การตรวจสุขภาพธุรกิจ เข้าร่วมอบรมจากกูรูธุรกิจ รับคำปรึกษาพัฒนาองค์กร ศึกษาดูงานองค์กรชั้นนำในประเทศ โอกาสศึกษาดูงานต่างประเทศ (สำหรับผู้ชนะในแต่ละภาคธุรกิจ) รับโล่รางวัลและประกาศเกียรติคุณ โอกาสสำคัญในการยกระดับธุรกิจสู่เวทีระดับประเทศ “สุดยอด MSME จังหวัด” ประจำปี 2568 ร่วมสร้างความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รับมอบประกาศนียบัตรรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 ด้านการจัดการและรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศของกลุ่มตรวจสอบ จาก ดร.วิชิต โสภิตานนท์รัตน์ Country Chief Executive บริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด

 

โดยธนาคารได้รับการรับรองเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 ใน 2 หมวด ได้แก่ กระบวนการบริหารงานตรวจสอบ และระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการปฏิบัติงานตรวจสอบ ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับระบบการควบคุม การรักษาความปลอดภัยข้อมูลและระบบสารสนเทศ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้

The Coffee Club และ TunTunZai เปิดป๊อปอัพสโตร์ครั้งแรกในไทย มาพร้อมกับธีมใหม่ล่าสุด “Capybara Tuntunzai Bakery” ร้านเบเกอรี่สุดน่ารักที่ออกแบบด้วยคาปิบาราทุกตารางนิ้ว ชวนคนไทยมาฟินกับ “Capybara Tuntunzai” พร้อมกันที่ห้างสรรพสินค้า Emsphere ชั้น G นอกจากนี้ยังจะได้ลิ้มลองเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษที่ The Coffee Club ได้รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อแฟนๆ “Capybara Tuntunzai” มากกว่า 4 เมนู โดยป๊อปอัพสโตร์จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 เมษายน – 26 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

พลาดไม่ได้กับการร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่าง The Coffee Club และ TunTunZai ในงาน "Capybara Tuntunzai Bakery" ที่ห้างสรรพสินค้า Emsphere ชั้น G โดยงานนี้ถือว่าเป็นการเปิดป๊อปอัพสโตร์นอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก สำหรับป๊อปอัพสโตร์ในไทยจะมาในธีมใหม่ล่าสุด “Capybara Tuntunzai Bakery” ร้านเบเกอรี่สุดน่ารักที่ออกแบบด้วยคาปิบาราทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่หน้าต่างร้านรูปคาปิบาราตัวโต ไปจนถึงของเล่น Tuntunzai รูปขนมปังนับไม่ถ้วน

 

ป๊อปอัพสโตร์ “Capybara Tuntunzai Bakery” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 เมษายน – 26 พฤษภาคม 2568 โดยภายในการจะได้พบกับความน่ารักที่จะมาละลายใจมีการตกแต่งป๊อปอัพสโตร์ด้วยตัวการ์ตูน “Capybara Tuntunzai” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์โลกน่ารักที่มีนิสัย “ชิลล์แมกซ์” โดยการเปิดป๊อปอัพสโตร์ในครั้งนี้ถือว่าเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งร้านด้วยธีม “Capybara Tuntunzai Bakery” ที่ออกแบบด้วยองค์ประกอบ คาปิบาราทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่หน้าต่างร้านที่ตกแต่งด้วยรูปคาปิบาราตัวโต ไปจนถึงของเล่น Tuntunzai รูปขนมปังน่ารักนับไม่ถ้วน และพลาดไม่ได้กับเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษที่ The Coffee Club ได้รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อแฟนๆ “Capybara Tuntunzai” ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น

  • Chocolate Overload - ช็อกโกแลตโอเวอร์โหลด เมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลตปั่น รสชาติหอม หวานลงตัว
  • Strawberry Overload - สตรอว์เบอร์รี่โอเวอร์โหลด ความหวานละมุนที่คุณต้องลอง
  • Caramel Coffee - คาราเมลคอฟฟี่ กาแฟหอมกรุ่นผสมความหวานของคาราเมล
  • Strawberry Green Tea - ชาเขียวสตรอว์เบอร์รี่ เมนูซิกเนเจอร์สุดฮิตของร้าน The Coffee Club

พิเศษสำหรับลูกค้า 200 ท่านแรก รับฟรีสติ๊กเกอร์ลิมิเต็ดเอดิชั่นคาปิบารา Tuntunzai พร้อมกิจกรรมพิเศษอื่นๆ อีกมากมายภายในงาน ทั้งนี้ป๊อปอัพสโตร์ “Capybara Tuntunzai Bakery” จะเปิดให้ทุกคนได้สัมผัสความน่ารักของ “Capybara Tuntunzai” เพียง 1 เดือนเท่านั้น มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ความน่ารักของคาปิบารากับเครื่องดื่มแสนอร่อยได้แล้วตั้งแต่ 25 เมษายน  - 26 พฤษภาคม 2568 ห้างสรรพสินค้า Emsphere ชั้น G

ดีป้า เปิดฉากกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM อย่างเป็นทางการ เผย 10 ทีมเด่นที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วม Bootcamp พร้อมรับความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในวงการอีสปอร์ตผ่านกิจกรรมเวิร์คช็อป เพื่อยกระดับศักยภาพก่อนวัดฝีมือและรับโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจในกิจกรรม Demo Day & Business Matching ในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า อุตสาหกรรมอีสปอร์ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วทุกมุมโลก ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ดีป้า จึงได้เปิดตัว depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM อีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลต์ภายใต้โครงการ depa ESPORTS ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างสรรค์ระบบนิเวศที่แข็งแกร่งให้กับวงการอีสปอร์ตไทย โดยมุ่งพัฒนาทักษะด้านเกมและความรู้ด้านธุรกิจที่จำเป็นให้กับน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมอีสปอร์ต พร้อมรวบรวมวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ และ Mentor ระดับแนวหน้าของวงการอีสปอร์ตไทยที่จะมาถ่ายทอดความรู้และทักษะในเกมและนอกเกม ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอีสปอร์ตโดยภาพรวม เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพในอนาคต โดยกิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM เปิดรับสมัครทีมที่สนใจจากทั่วประเทศ ก่อนเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกจากการสัมภาษณ์และประเมินผลงานที่ผ่านมา รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพในการพัฒนาของผู้สมัครจนได้ 10 ทีมที่มีความโดดเด่นเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ANT DPU, ARTIAS, BIGZISE, Chicken Time, DBM E-Sports, NKP esport1, PN eSport, PSU ม.สงขลานครินทร์, SLVR และ Star Dream Legends

 

น้อง ๆ ทั้ง 10 ทีมได้เข้าร่วม Bootcamp ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19–20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นค่ายฝึกอีสปอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และตลอด 1 เดือนจากนี้ยังมีกิจกรรมเวิร์คช็อปและการเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้รับความรู้ พัฒนาทักษะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอีสปอร์ตไทย พร้อมกันนี้ น้อง ๆ จะได้เข้าร่วมแข่งขัน Daily Tournament ซึ่งคะแนนที่ได้รับจากการแข่งขันจะถูกนำไปคำนวณเป็นรางวัลในกิจกรรม Demo Day ด้วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

นอกจากนี้ กิจกรรม depa ESPORTS ACCELERATOR PROGRAM ยังได้เปิดโอกาสให้กับน้อง ๆ ทั้ง 10 ทีมแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ใน Demo Day & Business Matching ชิงเงินรางวัลรวม 200,000 บาท โดยน้อง ๆ จะได้พบปะโดยตรงกับคณะกรรมการและผู้ที่สนใจจากทั่วประเทศ รวมถึงสโมสรอาชีพ นักลงทุน และผู้สนับสนุนในอุตสาหกรรมที่พร้อมมอบโอกาสและเครือข่ายเพื่อการต่อยอดในอนาคตหลังเห็นถึงความสามารถผ่านการแข่งขัน การนำเสนอ และการแสดงทักษะต่าง ๆ และยังได้รับโอกาสในการเดินทางศึกษาดูงานในต่างประเทศเพื่อเปิดประสบการณ์วงการอีสปอร์ตระดับสากล ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการเปิดประตูสู่วงการอีสปอร์ตอย่างเต็มตัว โดย Demo Day & Business Matching จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ที่ True Digital Park (West) แฟนอีสปอร์ตและเหล่าเกมเมอร์ต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.depa.or.th และเพจเฟซบุ๊ก depa Thailand

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมกับรายการ The First Ultimate จัดกิจกรรม Art Of Cuisine ภายใต้แคมเปญ “The First Ultimate Big Fan by กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ปีที่ 4” นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต (คนที่ 6 จากซ้าย) ให้เกียรติกล่าวต้อนรับลูกค้าและเปิดงาน โดยกิจกรรมสุดพิเศษนี้ จัดขึ้นเพื่อพาลูกค้าคนสำคัญสัมผัสประสบการณ์ท่องโลกผจญภัยแฟนตาซีไปกับเรื่องราวอันแสนสนุกบนโต๊ะอาหารไปกับเชฟตัวจิ๋ว (Le Petit Chef) ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แบบสามมิติเสมือนจริง ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้สร้างทั้งความสุข ความสนุกสนาน และมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ลูกค้าคนสำคัญของเรา  สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเงินการคลังของไทย ในงาน MOF Journey: 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง โดยจัดโปรโมชันเงินฝากเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับงานนี้เท่านั้น เริ่มต้นด้วยเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 150 วัน อัตราดอกเบี้ยแบบ Step up เฉลี่ย 2.55% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 3.00% ต่อปี จองสิทธิ์ภายในงาน จำนวนจำกัด วันละ 150 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ และพลาดไม่ได้กับแคมเปญแห่งปี “ออมร้อย ชิงร้อยล้าน” ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ลุ้นรับรางวัลพิเศษมูลค่ารวม 100 ล้านบาท แบ่งเป็น รางวัลพิเศษ มูลค่า 1 ล้านบาท งวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 จำนวน 30 รางวัล และรางวัลพิเศษ มูลค่า 70 ล้านบาท งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เพียง 1 รางวัลเท่านั้น สำหรับผู้ฝากสลากตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 15 กรกฎาคม 2568 หรือเลือกฝากสลากออมสินพิเศษ / สลากดิจิทัล แบบ 2 ปี พร้อมรับของที่ระลึก

นอกจากนี้ยังมี เงินฝาก Smart Junior เพื่อเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 7 – 23 ปีบริบูรณ์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.50% ต่อปี และได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.10% ต่อปี เมื่อมียอดเงินฝากคงเหลือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอย่างต่อเนื่อง โดย 24 เดือนแรก รับดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มขึ้น 0.10% ทุก 2 เดือน สูงสุดไม่เกิน 1.60% ต่อปี และรับดอกเบี้ยโบนัสเพิ่มขึ้น 0.50% ใน 6 เดือนสุดท้าย ระยะเวลาฝากรวม 30 เดือน เปิดบัญชีขั้นต่ำ 1 บาท และเปิดบัญชีเงินฝาก 100 บาทขึ้นไป รับกระปุกออมสินคอลเลกชันพิเศษ GSB Love Earth ภายในบูธยังมีกิจกรรมพิเศษและรับกระปุกออมสิน รวมถึงการแนะนำการลงทะเบียนสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส นวัตกรรมสินเชื่อสำหรับคนที่ไม่เคยกู้แบงก์ได้มาก่อนอีกด้วย

งานครบรอบ 150 ปี วันสถาปนากระทรวงการคลัง จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อดีต–ปัจจุบัน-อนาคต” เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้เรียนรู้ถึงวิวัฒนาการด้านการคลังของไทยที่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศตั้งแต่อดีตสู่ภารกิจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มั่งคงและยั่งยืนในอนาคต ภายในงานยังเป็นการร่วมแสดงพลังความสามัคคี การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการบริการประชาชนและการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของหน่วยงานในสังกัด จึงขอเชิญชวนร่วมสัมผัสนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่น่าสนใจ ทั้งจากบูธธนาคารออมสิน และหน่วยงานต่าง ๆ ในระหว่างวันที่ 1 - 3 พฤษภาคม 2568 ณ Hall 3 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

X

Right Click

No right click