

MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร มีการเตรียมความพร้อมระบบจำหน่ายไฟฟ้าตามแผนงานการป้องกันและบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่สำคัญในระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดับไฟ เพื่อดูแลและปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่ง MEA เตรียมความพร้อมด้านระบบไฟฟ้า จัดเจ้าหน้าที่ดูแลระบบไฟฟ้า และลงพื้นที่ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของ MEA มีประสิทธิภาพ มั่นคงและปลอดภัยอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะมีแจ้งประกาศดับไฟให้ทราบล่วงหน้า ตรวจสอบประกาศดับไฟ MEA ไม่พลาดทุกการแจ้งเตือน ดังนี้
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MEA Smart Life ได้ที่ App Store และ Play Store เท่านั้น http://onelink.to/measmartlife
- LINE OA "MEA Connect" (@meathailand ของแท้ต้องมีโล่เขียวหน้าชื่อ MEA Connect)
- เว็บไซต์ทางการของการไฟฟ้านครหลวง https://www.mea.or.th/
คลิกประกาศดับไฟ : https://www.mea.or.th/public-relations/power-outage-notifications/power-outage-maintainence-announcement
ทั้งนี้ MEA ไม่ตัดกระแสไฟฟ้าบ้านผู้ป่วยที่ใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล (ผู้ป่วยติดเตียง)พร้อมตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล ในการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าได้ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว MEA ดำเนินการตามประกาศของ กกพ. มาอย่างต่อเนื่อง โดยยืดระยะเวลาการค้างชำระค่าไฟฟ้ารวมกันได้ไม่เกิน 3 เดือน ยืดระยะเวลาที่จะถูกถอดเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า (มิเตอร์) หรือถูกถอดสาย ดังนั้น เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลต้องอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ (เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องดูดเสมหะ ฯลฯ) เพื่อการรักษาพยาบาล สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่การไฟฟ้านครหลวงเขตทุกเขต
คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.mea.or.th/public-relations/corporate-news-activities/announcement/rxpfUa9EA
MEA เตือนผู้ใช้ไฟฟ้าให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นพนักงานของ MEA โทรแจ้งเตือนตัดไฟฟ้า และให้ผู้ใช้ไฟฟ้าโอนเงินเพื่อชำระค่าไฟฟ้า MEA ยืนยันไม่มีบริการให้พนักงาน MEA โทรหาผู้ใช้ไฟฟ้าดังกล่าว สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียทางการต่าง ๆ ของ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง และติดตามข่าวสารงานบริการของ MEA ผ่านทางเว็บไซต์ www.mea.or.th
บมจ. ซีพี ออลล์ โดยฝ่ายบริหารเครือข่ายอุดมศึกษา สำนักประสานรัฐกิจ ร่วมกับ มูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ร่วมพัฒนาและส่งเสริมเยาวชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อในสายอาชีพ และเพื่อพัฒนาตนเองไปสู่การประกอบอาชีพที่มั่นคงในอนาคต ถือเป็น 1 ในนโยบายสร้างคนผ่านการศึกษาของ ซีพี ออลล์ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี

ภายในงานนำโดย นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ และ พลตำรวจเอก สุนทร ซ้ายขวัญ ประธานมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ นายโตมร จันทรา ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สำนักประสานรัฐกิจ ดร.วิชา จุ้ยชุม กรรมการมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ นายสุรพงษชัย ลิ้มภิกุล เหรัญญิกมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมเป็นพยาน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในจังหวัดภาคใต้ ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา

ซีพี ออลล์ ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาตลอดหลักสูตร ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 200 ทุน ต่อรุ่น ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 300 ทุน ต่อรุ่น ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการค้าสมัยใหม่ ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ รวมถึงสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตามดุลพินิจจากทางบริษัท จำนวน 500 ทุน ต่อรุ่น และเมื่อจบการศึกษาตามหลักสูตร สามารเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เหมาะสมมีรายได้ และอาชีพที่มั่นคง
มูลนิธิ รวมถึงเครือข่ายขององค์กรสมาคม ชมรมของชาวปักษ์ใต้ ในแต่ละจังหวัด จะดำเนินการสรรหาและคัดเลือกเยาวชน ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ที่มีคุณสมบัติตามที่บริษัท กำหนดเข้าร่วมโครงการ พร้อมดำเนินการอำนวยความสะดวกในการประสานงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ และการสมัครเข้าศึกษาต่อ รวมถึงติดตามประเมินผลและปรับปรุงโครงการความร่วมมือให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในงาน คณะผู้บริหาร ซีพี ออลล์ และ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) ได้นำคณะมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ เยี่ยมชมพื้นที่ต่างๆ ภายในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เพื่อให้ทราบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสถานศึกษา และหลักสูตรในคณะต่างๆ รวมถึงรูปแบบการเรียนการสอน แบบ Work-Base Education ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ อีกด้วย
ซีพี ออลล์ มีนโยบายสำคัญในการสร้างคนผ่านการศึกษา เพื่อส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ก้าวสู่ 30 ปี ให้เป็นคนเก่ง คนดี ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยในปีการศึกษา 2568 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท
GQ Apparel ได้เปิดตัว GQ Pro MED Scrubs (Professional Modern Essential Design) แบรนด์ชุดสครับสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการดีไซน์ของ GQ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนวัตกรรมเครื่องแต่งกายที่สร้างสรรค์เสื้อผ้าคุณภาพเป็นเวลายาวนานกว่า 50 ปี ด้วยความชำนาญและประสบการณ์จากเสื้อผ้าพร้อมฟังก์ชันที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมกางเกงในไข่เย็น กางเกงยีนส์เย็น และเสื้อเชิ้ตผ้าสะท้อนน้ำ
ในครั้งนี้ GQ ได้ขยายขอบเขตการออกแบบเพื่อคนรักงานไปสู่วงการการแพทย์
ซึ่งกว่าจะลงตัวเป็น GQ Pro MED Scrubs ที่ทุกคนได้เห็น ต้องผ่านเวลาทำงานกว่า 2 ปี ค้นคว้าวิจัยยาวนานนับ 1,000 ชั่วโมง ร่วมกับแพทย์หลากหลายสาขา รวมถึงปรึกษากับจักษุแพทย์จาก TRSC โดยตรง เพื่อให้สามารถเข้าใจและแก้ปัญหาต่างๆ ที่พบในชุดสครับที่บุคลากรทางการแพทย์ใช้ในปัจจุบัน จนได้เป็นชุดสครับที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันจากข้อมูลจริงของคนทำงานจริง
ในฐานะผู้นำการรักษาสุขภาพดวงตาและแก้ไขสายตา เรามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ การรักษา การบริการ และค้นหาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลรักษาสุขภาพดวงตาและแก้ไขสายตาอย่างต่อเนื่อง TRSC International Eye and Vision Center เราเชื่อว่าชุดสครับไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องแต่งกายของแพทย์ หรือบุคคลากรทางการแพทย์ วิชาชีพการสาธารณสุข แต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมืออาชีพ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ต้องพร้อมทั้งในแง่ของสมรรถนะการทำงาน ความน่าเชื่อถือในการให้การตรวจวินิจฉัย พร้อมคำปรึกษา และการให้บริการระดับสากล

"จริงๆ แล้วแพทย์กับชุดสครับแยกกันไม่ออกนะครับ ดังนั้นต้องมีความรู้สึกที่ดี กระชับกับตัว ทำให้ทำงานได้คล่องตัว ไม่รบกวนการทำงาน" นพ. เอกเทศ ชันซื่อ ผู้อำนวยการแพทย์ TRSC International Eye and Vision Center
การร่วมมือกับ GQ Apparel ครั้งนี้ จึงเป็นการยกระดับชุดสครับให้ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชัน การใช้งาน และภาพลักษณ์ของบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความแม่นยำสูง ทั้งในการตรวจรักษา และการผ่าตัดในห้องผ่าตัดชุดสครับ GQ Pro MED Scrubs ช่วยให้ทีมแพทย์เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ คล่องตัว และยังดูดีได้โดยไม่ต้องเสียเวลาจัดเตรียมเสื้อผ้า ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ TRSC ในการใส่ใจรายละเอียดเพื่อการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้รับบริการทุกคน

การเปิดตัว GQ Pro MED Scrubs ครั้งนี้คือหมุดหมายใหม่ของ GQ Apparel ในการพัฒนาชุดทำงานที่ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง ผ่านนวัตกรรมที่คิดถึงฟังก์ชันและความสบาย มีให้เลือกทั้งรุ่น Premium และ Elite Edition เพื่อผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
GQ Pro MED Scrubs รุ่น Premium Edition: ชุดสครับยกระดับความพรีเมียม มีให้เลือกถึง 16 สี ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย สะท้อนความมั่นใจแบบมืออาชีพ เพื่อให้การทำงานเต็มไปด้วยพลังและประสิทธิภาพสูงสุด

เนื้อผ้าพิเศษ สะท้อนน้ำ ระบายความชื้น ช่วยให้สวมใส่ได้สบาย พร้อมทรงกระชับ พอดีตัว จากดีไซน์ที่คำนึงถึงการเสริมรูปลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ พร้อมความสบายในการเคลื่อนไหวที่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ

GQ Pro MED Scrubs รุ่น Elite Edition: ชุดสครับที่ครบทั้งฟังก์ชันและแฟชั่นได้อย่างลงตัว ผ่านดีไซน์อันโดดเด่นจากแรงบันดาลใจในงานตัดเย็บแบบฝรั่งเศส เข้ากับนวัตกรรมที่ถูกพัฒนามาจากปัญหาจริงของแพทย์ เพื่อให้การทำงานที่ทั้งสะดวกสบายและมีสไตล์

ด้วยช่องเก็บของสูงสุดถึง 44 ช่อง และนวัตกรรมผ้าสะท้อนน้ำด้านนอก ดูดซับความชื้น ระบายความร้อนด้านใน ช่องป้องกันคราบเลอะ และช่วยลดเหงื่อสะสมระหว่างวัน นอกจากนี้ยังใส่ใจในรายละเอียดสำคัญ มีกระเป๋าเครื่องรางสำหรับพกพระเพื่อความอุ่นใจและเก็บของมีค่าอย่างปลอดภัย
ดีป้า ชี้ตราสัญลักษณ์ dSURE ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความสามารถในการทำงาน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และผ่านการขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลจะช่วยขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ระดับ 4.0 เผยเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย โครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับ 4.0
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวบนเวทีเสวนา Data-driven Industry: ผนึกกำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ในงานแถลงผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมปี 2567 ว่า ที่ผ่านมา ดีป้า ได้ดำเนินการในเรื่องของมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล ‘dSURE’ ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน (Safety) ความสามารถในการทำงาน (Functionality) และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และผ่านการขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัล แหล่งรวบรวมสินค้า/บริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐาน คุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และได้รับการรับรองด้วยตราสัญลักษณ์ dSURE
“ดีป้า มองว่า dSURE จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวไปสู่ระดับ 4.0: Automation เพราะนอกจากจะเป็นการการันตีคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโซลูชันมาใช้บริหารจัดการธุรกิจแล้ว dSURE จะเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่นำเทคโนโลยีบนบัญชีบริการดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสูงสุด 200% ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐสามารถจัดจ้างได้ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงตามระเบียบพัสดุ พร้อมกันนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการดิจิทัลสามารถเข้าสู่ตลาดภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสการลงทุนใหม่ ๆ และต่อยอดสู่ตลาดสากล ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.depa.or.th/thailanddigitalcatalog” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ดีป้า มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ พร้อมยกตัวอย่างว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีระบบ PromptPay และ PromptBiz ขณะที่ ดีป้า กำลังดำเนินการในส่วนของแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทยที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเปิดตลาดสู่สากล ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับ 4.0 แต่กระบวนการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่ายและจะต้องอาศัยการทำงานกับหลายภาคส่วน พร้อมกันนี้ ดีป้า ยังมีแผนที่จะสร้างระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลและบล็อคเชนเพื่อนำมาใช้ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลใหม่จะช่วยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเติบโตได้เร็วขึ้น
BAM ผู้นำธุรกิจ AMC ประกาศเสริมทัพ ดึง พรรณี วรวุฒิจงสถิต และ แมนพงศ์ เสนาณรงค์เสริมทัพกรรมการ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน เผย BAM โดดเด่นในกลุ่มหุ้นปันผลสูง (SET High Dividend 30) มั่นใจสามารถสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องแม้ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน พร้อมเคียงข้างระบบสถาบันการเงินเดินหน้าแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพด้วยการช่วยเหลือลูกหนี้ให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจปกติ และฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยบริหารจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายอย่างมีประสิทธิภาพ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568ได้มีการประกาศผลประกอบการของ BAM ปี 2567 ว่ามีกำไรสุทธิ 1,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากปี 2566 และเตรียมจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติแต่งตั้ง นางพรรณี วรวุฒิจงสถิต ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ กรรมการกำกับกิจการเพื่อความยั่งยืน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 โดยนางพรรณี วรวุฒิจงสถิต สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท บัญชีมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิชาเอกการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการวิชาชีพบัญชีด้านการบัญชีภาษีอากร สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบัญชีหรือการเงิน ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือในการสอบทานงบการเงินของ BAM ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติแต่งตั้ง นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ กรรมการกำกับความเสี่ยง กรรมการกำกับกิจการเพื่อความยั่งยืน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท MBA ด้าน Finance and Quantitative จาก Cleveland State University ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอดีตรองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์การทำงานด้านการบริหารวาณิชธนกิจ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินให้กับบริษัทเอกชน และสถาบันการเงิน สำหรับการแต่งตั้งกรรมการครั้งนี้ นับว่าเป็นการเสริมทัพ BAM ให้มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีคุณวุฒิและมีประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานในระดับผู้นำองค์กรขนาดใหญ่ ถือเป็นการยกระดับการกำกับดูแลกิจการและต่อยอดวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กร พร้อมทั้งเสริมศักยภาพให้ BAM มีความพร้อมในการดำเนินงานและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ดร.รักษ์ฯ กล่าวอีกว่า BAM พร้อมเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์เชิงรุกในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน แม้ต้องเผชิญหน้าความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนด้วยปัจจัยต่างๆ อาทิ สงครามการค้าโลกยุคใหม่ (Trade War 2.0) และแนวนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุคใหม่ (Trump 2.0) โดย BAM ยังคงยืนยันนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งถือได้ว่า BAM เป็นหลักทรัพย์ที่โดดเด่นอยู่ในกลุ่มหุ้นปันผลสูง SETHD (SET High Dividend 30) พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ให้โอกาสลูกหนี้ NPLs ในการได้หลักประกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายใหญ่ รายกลาง ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงินของตน โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน
ขณะที่ การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายหรือ NPAs นั้น BAM ได้มีการแบ่งกลุ่มทรัพย์ ประเภทบ้าน ที่ดิน คอนโด และทรัพย์เพื่อการลงทุนนำเสนอลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมาย (Target Segment) ด้วยช่องทางและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developers) ในการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินรอการขาย หรือสถาบันการเงินที่จะมาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้และลูกค้าซื้อทรัพย์ของ BAM
ดร.รักษ์ฯ กล่าวโดยสรุปว่าการดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกถือได้ว่าครอบคลุมมิติสำคัญทางธุรกิจของ BAM อีกทั้งการเสริมทัพคณะกรรมการด้วยการดึงผู้ทรงคุณวุฒิที่มีวิสัยทัศน์ และประสบการณ์ในการกำกับดูแลกิจการสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้ BAM สามารถก้าวไปข้างหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารและพนักงาน BAM ในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้ง NPLs และ NPAs อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงช่วยให้ BAM ยืนหยัดได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังแปรเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการลงทุนได้ ด้วยการนำทรัพย์สินเหล่านี้มาสร้างมูลค่าเพิ่มและผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่ผู้ลงทุน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของ BAM ในฐานะผู้นำธุรกิจ AMC ที่จะช่วยพลิกฟื้นสินทรัพย์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่มีบทบาทมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผู้ใช้บริการสามารถทำรายการถอนเงินสดจากตู้ ATM ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารบนโทรศัพท์มือถือได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตร ATM
บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) ในฐานะผู้ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ ได้พัฒนาบริการ Cardless ATM Withdrawal หรือ บริการถอนเงินสดแบบไม่ใช้บัตรข้ามธนาคาร ที่ช่วยให้การเข้าถึงเงินสดสะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพกบัตร ATM อีกต่อไป และไม่ต้องเสียเวลาตามหาตู้ของธนาคารตนเอง เพราะสามารถถอนเงินสดจาก ตู้ ATM ธนาคารใดก็ได้ที่ร่วมให้บริการ ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารเจ้าของบัญชี โดยบริการนี้เป็นการต่อยอดระบบ ATM Switching ของ NITMX โดยรองรับการทำธุรกรรมผ่านรูปแบบ One-Time Password (OTP) และ QR Code
ลักษณะของบริการ
บริการ Cardless ATM Withdrawal จะต่อยอดจากระบบ ATM Switching เดิม โดยรองรับการทำธุรกรรมใน 2 รูปแบบ ได้แก่
ธนาคารที่เป็นเจ้าของบัญชีจะต้องพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของแอปพลิเคชันให้สามารถรองรับการส่งคำขอถอนเงินแบบไม่ใช้บัตร ในขณะที่ธนาคารผู้ให้บริการจะต้องพัฒนาให้ตู้ ATM รองรับการยืนยันตัวตนและจ่ายเงินสดโดยใช้มาตรฐานข้อความเดียวกัน (common message standard) ของระบบ ITMX ATM Switch โดยบริการนี้จะให้บริการกับธนาคารที่มีความพร้อมทั้งในรูปแบบ OTP และรูปแบบ QR Code
ความปลอดภัยของระบบ Single Payment
NITMX ให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่านระบบ Single Payment โดยมีการเข้ารหัสข้อมูลตลอดเส้นทางการส่งผ่าน และใช้เครือข่ายเฉพาะ (Private Network) ระหว่างธนาคารสมาชิกกับบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการเชื่อมต่อผ่าน Security Key เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรการเหล่านี้ช่วยให้ระบบการโอนเงินและชำระเงินของประเทศมีความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล ป้องกันการดักข้อมูล การปลอมแปลง และการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระบบ พร้อมรับรองความถูกต้องครบถ้วนของธุรกรรมที่เกิดขึ้น
Cardless ATM Withdrawal ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ NITMX ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศให้ทันสมัย สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และรองรับการเติบโตของธุรกรรมในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) ผู้จัดงาน การแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC ซึ่งได้รับการสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจาก บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน สำหรับการเฟ้นหาสุดยอดแนวคิดธุรกิจในปี 2025 ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในเอเชีย (Asia’s Longest-running Global Student Startup Competition) และยังเป็นเวทีสำหรับนิสิต และนักศึกษาที่จะได้ร่วมแสดงศักยภาพ ประชันความคิด แผนธุรกิจภายใต้แนวคิด "Growing Impactful Ventures" มุ่งสนับสนุนแนวคิดธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีฝันในการสร้างธุรกิจได้นำเสนอแนวคิด สร้างเครือข่าย และต่อยอดสู่เวทีระดับโลก ทั้งนี้การแข่งขันจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2568 ณ สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์

“ที่ศศินทร์ เรามุ่งมั่นในการพัฒนาผู้นำที่สามารถสร้างอิมแพคอย่างยั่งยืนได้จริง การแข่งขันแผนธุรกิจในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางผู้ประกอบการที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเกือบ 50% ของสตาร์ตอัปในพอร์ตโฟลิโอของเราอยู่ในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ (MedTech), เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech), เทคโนโลยีเกษตร (Agri Tech) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งแต่ละทีมได้นำเสนอแนวทางและนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกในวันข้างหน้า” นายดิเบียนดู โบส (Dibyendu Bose) รองผู้อำนวยการกำกับดูแลฝ่ายยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และการพัฒนา สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าว

ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ (Suracha Udomsak) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม SCGC เผยว่า “SCGC มุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านโพลิเมอร์และเฟ้นหาโซลูชันต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งช่วยต่อยอดศักยภาพให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน โดย SCGC ให้ความสำคัญกับการคิดค้นและวิจัยสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับวิถีการเปลี่ยนแปลงของโลกและการใช้ชีวิตของผู้คน อาทิ การพัฒนานวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer™ การคิดค้นเทคโนโลยี SMX™ เพื่อทำให้เม็ดพลาสติกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงทำให้ใช้ปริมาณเม็ดพลาสติกน้อยลง ความร่วมมือกับศศินทร์ในการจัดแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC เพื่อส่งเสริมสตาร์ตอัปนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชัน เป็นการสร้างพื้นที่และเปิดโอกาสให้ไอเดียจากหลาย ๆ แห่งได้เติบโตสู่เชิงพาณิชย์ สตาร์ตอัปคือจุดเริ่มต้นและเป็นพลังสำคัญในการริเริ่มนวัตกรรม ท่ามกลางความท้าทายของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ขอให้ทุกทีมได้ใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมยกระดับความเป็นสตาร์ตอัปสู่การเป็นธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในระดับสากล”

การแข่งขัน Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC มีทีมจากทั่วโลกสมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 308 ทีม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 11% ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดมาจาก 82 สถาบันอุดมศึกษา โดยเป็นสถาบันที่เข้าร่วมครั้งแรกถึง 32 สถาบัน โดยการแข่งขันในปีนี้ ได้รับเกียรติจากเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิมากประสบการณ์ มาร่วมเป็นกรรมการตัดสิน เพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมที่มีแนวคิดในการทำธุรกิจที่ดีที่สุดและคู่ควรกับรางวัลเกียรติคุณพระราชทาน H.M. The King’s Award จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และรางวัลเกียรติคุณพระราชทาน HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn's Sustainability Award จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ พร้อมรางวัลเงินสดรวมมูลค่า 42,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,500,000 บาท

สำหรับ 20 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ได้แก่
สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/bangkokbusinesschallenge หรือติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เผยทิศทางธุรกิจประจำปี 2568 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Smart Beauty & Wellness ด้วย 6 กลยุทธ์หลัก มุ่งขยายเครือข่าย สร้างนวัตกรรม แตกไลน์สินค้าใหม่ เสริมบริการสุขภาพ และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ภายใต้แนวคิด "Health is Beauty, Beauty is Health" รองรับการเติบโตของเทรนด์สุขภาพและความงามที่เติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมลงทุนต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง

วัตสัน พลิกเกมสุขภาพและความงามไทย
นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้ วัตสัน ประเทศไทย มุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ของการดูแลสุขภาพและความงาม ยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมทั้งสุขภาพภายในและความงามภายนอก ซึ่งเราไม่เพียงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า แต่ยังสร้างคุณค่าที่ดีที่สุดให้ลูกค้าและสังคมในระยะยาว”
ปฏิวัตินิยามใหม่ของสุขภาพและความงาม 6 กลยุทธ์หลัก
เสริมสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนสุขภาพดีสู่ทุกชุมชน : ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความงาม โดยยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง มีแผนเปิดสาขาใหม่ 55 แห่งภายในปี 2568 และพัฒนาหน้าร้านเดิมให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยสาขามากกว่า 750 สาขา ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและความงามที่เข้าถึงง่ายและสะดวกสบายที่สุดสำหรับลูกค้าทุกคน

Health Accelerate ปฏิวัติการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง : ยกระดับมาตรฐานบริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เสริมทัพด้วยเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนทั่วประเทศ เพื่อให้คำปรึกษาเชิงลึก รองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างตรงจุด ส่งเสริมการจ้างงานเภสัชกรอายุ 60 ปี สนับสนุนการดูแลตัวเองผ่านตัวเลือกสินค้าด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นกว่า 350 รายการ วัตสันยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของทีมเภสัชกรอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ Health Care Intelligence Training (HIT) Programme ซึ่งจัดขึ้น 4 ครั้งต่อปี โดยมีเป้าหมายให้เภสัชกรสามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพและความงามได้อย่างเชี่ยวชาญ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจในการดูแลตัวเอง พร้อมร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าทั่วประเทศ

Smart Wellness สินค้าตราวัตสัน สุขภาพดีที่เข้าถึงได้ทุกวัน : เดินหน้าพัฒนาไลน์สินค้า "ตราวัตสัน" ภายใต้แนวคิด Smart Wellness เสริมทางเลือกเพื่อสุขภาพและความงามอย่างครบวงจร โดยปีนี้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ เดย์ไวต้า (Dayvita) วิตามินที่คิดมาเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากวัย Dayvita 30+ และ 40+ โดยพัฒนาสูตรใหม่สำหรับบุคคลอายุ 50+ ตอบโจทย์ความต้องการทั้งชาย-หญิง พร้อมยกระดับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่ม Nutri 10,000 และ L-Gluta Berry สำหรับลูกค้าที่ต้องการทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงรุกตลาดเวชสำอางสำหรับผิวแพ้ง่ายที่คิดค้นมาเพื่อคนเอเชียโดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ Dermaction Plus by Watsons ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอกที่ครบครัน เข้าถึงง่าย เพิ่มการดูแลตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงเดินหน้าเพื่อให้สินค้าตราวัตสันเป็นหนึ่งในทางเลือกหลักของผู้บริโภคที่ต้องการดูแลตัวเองเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสมดุลและการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ O+O ผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์ มอบประสบการณ์ที่เชื่อมต่อทุกที่ ทุกเวลา : มุ่งสร้างประสบการณ์ชอปปิงแบบไร้รอยต่อที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลอย่างตรงจุด ชูความแข็งแกร่งผ่านมาตรฐานคุณภาพสินค้าที่น่าเชื่อถือ มีตัวเลือกหลากหลาย ครบ จบในที่เดียวทุกความต้องการแบบไม่มีข้อจำกัด ด้วยสินค้าบนแพลตฟอร์มวัตสันออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์,แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดียกว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมทุกหมวดสุขภาพและความงาม พร้อมบริการ Click and Collect ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากที่ไหนก็ได้ พร้อมรับสินค้าได้ด้วยตนเองที่สาขาใกล้บ้าน ซึ่งใช้งานง่าย ไม่ต้องรอนาน และสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว เพื่อเชื่อมต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้ลูกค้าชอปได้ทุกที่ ทุกเวลาได้อย่างอิสระ

ขับเคลื่อน Loyalty ด้วยพลังอินไซต์สู่สมาชิก 10 ล้านคน : ด้วยฐานสมาชิกวัตสัน คลับ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งกว่า 88% เป็นผู้หญิง คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของประชากรหญิงทั่วประเทศ วัตสันจึงมีความเข้าใจเชิงลึกถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคได้กลายเป็นพลังสำคัญในการพัฒนา Loyalty Program นำมาต่อยอดด้วยการพัฒนา Store Segmentation ที่เลือกคัดสรรสินค้าให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านส่วนลดและการสะสมคะแนนแล้ว สมาชิกวัตสัน คลับยังจะได้รับประสบการณ์สุดพิเศษที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมเวิร์กช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ หรือกิจกรรมใกล้ชิดกับเซเลบริตี้ชื่อดัง ซึ่งคัดสรรมาเพื่อสมาชิกโดยเฉพาะ เสริมสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และลูกค้าให้ลึกซึ้งและยั่งยืนยิ่งขึ้น

“ความงามที่ยั่งยืน” ความงามและสุขภาพที่ใส่ใจโลกและชุมชน : เดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ ความงาม สังคมและสิ่งแวดล้อม สานต่อพันธกิจด้านความยั่งยืนด้วยแนวคิด 3P (People Planet Product)
People: ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ สนับสนุนบ้านพักฉุกเฉินต่อเนื่องกว่า 18 ปี หรือแคมเปญ Give a Smile ตั้งเป้ามอบรอยยิ้มให้เด็กปากแหว่งเพดานโหว่ 10,000 ราย
Planet: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) จากการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ตอกย้ำ พันธกิจซีโร่คาร์บอนภายในปี 2573 อย่างเป็นรูปธรรม
Product: เพิ่มสินค้า Sustainable Choices สินค้าเพื่อความยั่งยืนเป็นทางเลือกให้กับลูกค้ากว่า 900 รายการ

“วัตสันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘Health is Beauty, Beauty is Health’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพและความงามที่ตอบโจทย์คนไทยทุกเจเนอเรชัน ด้วยรอยยิ้มและประสบการณ์ที่ดีอย่างแท้จริง” คุณนวลพรรณ กล่าวทิ้งท้าย
SCGP เดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในตลาด Healthcare Supplies รุกขยายสู่การผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาในไทย ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ คาดเริ่มผลิตสินค้าภายในมกราคม ปี 2569 จำหน่ายแก่สถานพยาบาลในไทยและผู้จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการขยายตลาด Healthcare Supplies ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการรุกเข้าสู่ตลาดหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตหลอดฉีดยา กำลังการผลิต 180 ล้านชิ้นต่อปี และเข็มฉีดยาอีก 100 ล้านชิ้นต่อปี ในโรงงานของบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ใน SCGP จังหวัดระยอง ใช้งบลงทุน 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตสินค้าภายในเดือนมกราคม 2569

การลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ SCGP ได้ผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) ที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาเข็มฉีดยาและการจัดจำหน่ายมากกว่า 20 ปี มาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่ VEM-TH ที่มีศักยภาพด้านการฉีดขึ้นรูปวัสดุ ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และชิ้นส่วนพลาสติกที่มีความแม่นยำสูง ด้วยมาตรฐานรับรองห้องสะอาดที่มีการควบคุมปริมาณอนุภาคและอุณหภูมิ (Cleanroom ISO8) ภายใต้การควบคุมการผลิตด้วยระบบที่เข้มงวด เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ ONCE และจัดจำหน่ายแก่สถานพยาบาลทั่วประเทศรวมถึงผู้จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมของ ONCE ที่มีความเชื่อมั่นในแบรนด์พร้อมกับขยายฐานลูกค้าใหม่ ตลอดจนร่วมกันพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ
ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั่วโลกเติบโตขึ้น โดยคาดว่าตลาดจะมีการเติบโตร้อยละ 4 ต่อปีโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2567-2570 ทั้งนี้ ในปัจจุบันสินค้าที่ขายในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า การจัดตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยจะต่อยอดให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และรองรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศที่กำลังเติบโต การเพิ่มการผลิตนี้จะช่วยให้ SCGP นำองค์ความรู้ทางการการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid plastic packaging) และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบอ่อนตัว (Flexible packaging) มาต่อยอดและขยายเข้าสู่ธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีการออกแบบสินค้าและความสามารถในการผลิตที่มีความแม่นยำสูง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตผ่านการประสานกำลังทางธุรกิจ (Synergy) ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การใช้ VEM-TH ในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนถึงการใช้ Deltalab, S.L. ที่สเปน เป็นช่องทางการขายในยุโรปได้ด้วย
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านระดับโลก ขยายไลน์อัปสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วยการเปิดตัวเครื่องล้างจานเป็นครั้งแรก ประเดิมตลาดพร้อมกันถึง 2 รุ่น ได้แก่ เครื่องล้างจานแอลจี รุ่น DFC335HM และเครื่องล้างจานแอลจี รุ่น DFC533FV ที่มาพร้อมจุดแข็งทั้งประสิทธิภาพในการล้าง ความทนทาน การประหยัดพลังงาน และการนำจานเข้าออกเครื่องได้อย่างสะดวกง่ายดาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด เพื่อส่งมอบทั้งสุขอนามัยและความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ตามสโลแกน ‘Life’s Good.’ ของแอลจี
ผลการสำรวจผู้บริโภคที่จัดทำโดยแอลจีพบว่าประสิทธิภาพการล้างจานคือปัจจัยอันดับแรกที่ผู้บริโภคมองหาในการเลือกซื้อเครื่องล้างจาน แอลจีจึงได้พัฒนาเทคโนโลยี QuadWash ที่ไม่เพียงฉีดพ่นน้ำได้ 4 ทิศทาง แต่ยังสามารถหมุนรอบได้หลายทิศทาง พร้อมด้วยเทคโนโลยี Dual Zone Wash ที่สามารถเลือกระดับแรงกดที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละชั้นวางได้ แถมยังมีโปรแกรมการล้างรูปแบบต่างๆ ให้เลือกใช้ตามภาชนะที่เลือกล้างอีกถึง 10 โปรแกรม เครื่องล้างจานของแอลจีจึงสามารถทำความสะอาดภาชนะได้อย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุม นอกจากนี้ ยังสบายใจได้ในเรื่องสุขอนามัย เพราะมีเทคโนโลยี TrueSteam ที่ใช้ไอน้ำรอบทิศทางในการฆ่าเชื้อโรคด้วยอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส ทำให้ภาชนะสะอาดเป็นพิเศษโดยใช้น้ำในปริมาณน้อย
นอกจากนี้ เครื่องล้างจานของแอลจีทั้งสองรุ่นยังมีนวัตกรรม Inverter Direct Drive มอเตอร์เอกสิทธิ์เฉพาะของแอลจีที่ออกแบบให้มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยลง จึงสามารถทำงานได้อย่างเงียบเชียบและมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยประหยัดพลังงาน อุ่นใจได้ด้วยการรับประกันยาวนานถึง 10 ปี ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาความทนทานในเครื่องใช้ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ อีกไฮไลต์หนึ่งของเครื่องล้างจานแอลจีคือการใช้งานที่สะดวกสบายด้วย EasyRack Plus ชั้นวางที่สามารถปรับได้หลายรูปแบบเพื่อให้นำจานเข้า-ออกได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งสามารถปรับขาวางจานช่วยให้วางภาชนะได้หลากหลายประเภท ตลอดจนสามารถปรับความสูงของชั้นวางจานได้ถึง 3 ชั้น นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชัน LG ThinQ ที่จะคอยแจ้งเตือนเมื่อเครื่องทำงานเสร็จ พร้อมฟังก์ชันในการวิเคราะห์การใช้งานเบื้องต้น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการใช้งานได้ด้วยตนเองอย่างสะดวกรวดเร็ว และประหยัดเวลา ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สะท้อนถึงความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างแท้จริง

เครื่องล้างจานแอลจี รุ่น DFC335HM (สีดำ) พร้อมวางจำหน่ายแล้วในราคา 49,900 บาท และเครื่องล้างจานแอลจี รุ่น DFC533FV (สีเงิน) พร้อมวางจำหน่ายในราคา 39,900 บาท ทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและเว็บไซต์ www.lg.com/th หรือสามารถซื้อผ่านบริการ LG Subscribe เฉพาะเครื่องล้างจานแอลจี รุ่น DFC335HM (สีดำ) ในราคาเริ่มต้น 799 บาทต่อเดือน พร้อมบริการดูแลโดยช่างผู้เชี่ยวชาญของแอลจี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ LG Subscribe ได้ที่ www.lg.com/th/subscribe หรือสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2057-5757 พร้อมทั้งสามารถติดตามกิจกรรมต่างๆ จากแอลจีได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ LG Global และอินสตาแกรม lg_thailand