

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดโครงการพิเศษเพื่อสังคมนำเบี้ยประกันภัยโรคมะเร็งส่วนหนึ่งบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศล โดยเมื่อลูกค้าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็ง บริษัทฯ จะหักเบี้ยประกันภัยจำนวน 50 บาทต่อกรมธรรม์ มอบให้แก่ชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงทั้งก่อนและหลังผ่าตัดให้เกิดการปรับตัวกับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2568
ลูกค้าสามารถซื้อประกันภัยโรคมะเร็งที่กำหนดผ่านช่องทางดังนี้
- ประกันภัยโรคมะเร็งซูเปอร์เซฟ ซื้อผ่านบริษัทฯ โดยตรงได้ที่โทร. 0 2285 8888 / เว็บไซต์บริษัทฯ bangkokinsurance.com / LINE @bangkokinsurance รวมถึงสาขากรุงเทพประกันภัย และ BKI Care Station จุดบริการประกันภัยในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ
- ประกันภัยโรคมะเร็ง CA 1st ซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ
ทั้งนี้ การทำประกันภัยโรคมะเร็ง นอกจากลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์แล้ว เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีในหมวดประกันสุขภาพได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับโครงการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล โดยนอกจากประกันภัยโรคมะเร็งแล้ว เมื่อซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA Holiday แผน 3 กรมธรรม์ใหม่ ผ่านเว็บไซต์บริษัทฯ สามารถเลือกการบริจาคเงินจำนวน 300 บาท แทนการรับของสมนาคุณ โดยมอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลศิริราช และชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี
นายวัชรินทร์ เครือแดง ผู้จัดการสำนักงานสุราษฎร์ธานี พร้อมพนักงานบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มอบเงินจำนวน 180,000 บาท ให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร โดยมี นางทัศนียา ลิ้มอุดมพร รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปสร้างบ้าน โครงการ Home&Hope “การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นางสมหมาย ศักดิ์ภูเขียว อายุ 75 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลเขาทะลุ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
โครงการ Home&Hope เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) มอบเงินเพื่อพัฒนาการศึกษา ให้กับวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี โดยมีนายเจริญ ไชยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมเกียรติยศ วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี เมื่อเร็วๆนี้
มูลนิธิทีทีบี เดินหน้าจัดงาน Networking Workshop เปิดพื้นที่เชื่อมโยงเครือข่ายและโอกาสในการสนับสนุนงานด้านการพัฒนาสังคม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการสร้างเครือข่าย อาทิ เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร พร้อมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางในการทำงานที่ส่งเสริมกันและกัน โดยมีตัวแทนกว่า 20 องค์กรด้านการพัฒนาสังคม ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมขน ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องต่อชุมชนของตัวเองเพื่อร่วมเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

นางสาวมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า “มูลนิธิทีทีบีได้จัดงาน ttb Networking Workshop ต่อเนื่อง และได้รับการตอบรับจากเครือข่ายองค์กรภาคีด้านการพัฒนาสังคมเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของมูลนิธิทีทีบีในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กรเครือข่าย โดยเรามีเป้าหมายต้องการสร้างมิตรภาพและเครือข่ายระหว่างองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาสังคมได้เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือ มีการวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร รวมถึงแลกเปลี่ยนและหาโอกาสในการทำงานที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อส่งต่อองค์ความรู้สู่ชุมชน
“ในส่วนของทีทีบีทุก ๆ ปี จะมีอาสาสมัครทีทีบีใช้ความรู้ ทักษะของพนักงานไปทำงานจิตอาสากับชุมชน ตามแนวคิด Make REAL Change ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรในการจุดประกายการ “ให้” คืนสู่ชุมชน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มีพนักงานเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครกว่า 4,000 คน เกิดโครงการเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน 23 โครงการ และตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 280 โครงการ”

นายอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเยียวยาจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย “I SEE U Contemplative Care” ให้ความเห็นว่า การเข้าร่วมงาน ttb Networking Workshop ครั้งนี้ได้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การสร้างสัมพันธ์กับเครือข่ายอื่น ๆ โดยองค์กรที่เข้มแข็งอย่างทีทีบี จะสามารถช่วยเติมเต็ม I SEE U ได้ ไม่ว่าการขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ การพัฒนาเครื่องมือในการขับเคลื่อนกิจการ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการเข้าร่วมงานในครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความจริงใจและพลังของมูลนิธิทีทีบีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับความเห็นของนายพีระพจน์ พลอยแก้ว หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา บอกว่า เข้าร่วม ttb Networking Workshop เป็นครั้งที่สองแล้ว สิ่งที่ได้คือ การได้รู้จักเพื่อนจากองค์กรต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงแนวคิดของแต่ละองค์กร เป็นโอกาสในการเรียนรู้และนำไปปรับใช้ในการพัฒนางานขององค์กร ซึ่งมูลนิธิเชื่อว่าความรู้เป็นทรัพยากรที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสร้างความยั่งยืนในการทำงานได้ คนยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตน้อยมาก จึงอยากสื่อสารให้สังคมตระหนักและเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน อาสาสมัครทีทีบีเคยไปช่วยพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังมีจุดอ่อนเรื่องคอนเทนต์ มองว่าทีทีบีมีองค์ความรู้เรื่องสร้างคอนเทนต์ที่ทันสมัยและน่าสนใจ คิดว่าหากได้องค์ความรู้เพิ่มเติมน่าจะช่วยทำให้คอนเทนต์ที่นำเสนอได้รับความสนใจและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ปิดท้ายกับเสียงสะท้อนของ นางสาวษรขวัญ ผุดบัวน้อย เจ้าหน้าที่สื่อสารสังคม มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) กล่าวว่า การเข้าร่วมทำกิจกรรมครั้งนี้เป็นประโยชน์มาก ทำให้ได้พบเครือข่ายใหม่ ๆ และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งการมีคอนเน็กชันถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงาน เพราะเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ การร่วมมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรอื่น ๆ จะช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสู่ความสำเร็จได้

“ขอขอบคุณมูลนิธิทีทีบีที่จัดงาน ttb Networking Workshop ทำให้แต่ละองค์กรได้รู้จักกัน แม้ว่าอาจจะมาจากสายงานที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีจุดเชื่อมที่สามารถทำงานร่วมกันได้ และยังมุ่งมั่นกับการส่งเสริมพัฒนาเด็ก สอดคล้องกับเป้าหมายของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก โดยเราเชื่อว่าการทำให้เด็กเห็นศักยภาพและคุณค่าของตัวเอง การส่งเสริมให้เด็กมีเป้าหมายและมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเอง คือการพัฒนาที่ยั่งยืน” นางสาวษรขวัญกล่าว
มูลนิธิทีทีบี มุ่งมั่นและตั้งใจเดินหน้าจุดประกายเยาวชนและชุมชน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ติดตามกิจกรรมดี ๆ ต่อได้ที่ https://www.ttbfoundation.org
แกร็บ ประเทศไทย จับมือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ มูลนิธิองค์กรทำดี เปิดตัวแคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” เพื่อส่งเสริมและยกระดับความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมป้องกันการคุกคามทางเพศ สอดรับกับนโยบาย “ปลอดภัยดี” ของ กทม. ที่มุ่งลดจุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุ และสาธารณภัย โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมกับกลุ่มไรเดอร์และคนขับ แกร็บผ่าน 3 ไฮไลท์หลัก คือ กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด เพื่อกระตุ้นจิตอาสาในการรายงานจุดเสี่ยงภัยทั่วกรุงเทพฯ ผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue การรณรงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยคุกคามทางเพศผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ที่ได้ ดร. ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมให้ความรู้ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ IoT อาทิ กล้องบันทึกภาพ และปุ่มฉุกเฉิน (SOS) ภายในรถยนต์โดยสาร เพื่อสร้างความอุ่นใจในการเดินทางให้กับทั้งผู้ใช้บริการและคนขับ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นที่จะสร้างเมืองที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามนโยบาย ‘ปลอดภัยดี’ โดยยกระดับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมเพื่อสร้างความอุ่นใจรอบด้านให้กับประชาชนภายใต้แนวคิด 3 ส. อันได้แก่ สว่าง ผ่านการติดตั้งและซ่อมแซมไฟฟ้าแสงสว่างในที่สาธารณะ สะดวก ผ่านการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยเพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยหรือหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง และ สบายใจ ผ่านการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องทุกความเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยง โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา กทม. ได้ดำเนินการปรับปรุงจุดเสี่ยงอาชญากรรมไปแล้วกว่า 177 จุด ทั้งนี้ การผนึกความร่วมมือกับแกร็บโดยเปิดโอกาสให้คนขับและไรเดอร์มาช่วยปักหมุดจุดมืดในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบาย ‘กรุงเทพฯ ต้องสว่าง’ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการระบุจุดเสี่ยงและแก้ไขปัญหาแสงสว่างตามจุดต่างๆ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสปัญหาอาชญากรรม ซึ่งถือเป็นอีกแรงสำคัญที่จะช่วยสร้างเมืองที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นให้กับทุกคน”
![]()
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและคนขับถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแกร็บ ดังนั้น เราจึงได้ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น แกร็บยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมประเด็นด้านความปลอดภัยในสังคม อาทิ การขับขี่ปลอดภัย รวมถึงการป้องกันการคุกคามทางเพศด้วย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยกันสอดส่องดูแล ยับยั้ง และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในปีนี้ เราจึงได้ริเริ่มแคมเปญ ‘เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab’ โดยร่วมมือกับ กทม. และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนขับแกร็บ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องเดินทางในท้องถนนและมีโอกาสพบเจอกับผู้คนเป็นจำนวนมากในทุกวัน โดยส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยแคมเปญนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแกร็บในการยกระดับความปลอดภัยผ่านการใช้เทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกพลเมืองดีให้กับคนขับ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ปลอดภัย และน่าอยู่สำหรับทุกคน”
กิจกรรมหลักภายใต้แคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” ประกอบด้วย
· กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด สร้างกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัย: โดยแกร็บร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร เชิญชวนคนขับแกร็บในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วยกันสอดส่องและรายงานพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บริเวณถนนหรือซอยที่ไฟฟ้าดับ สัญญาณไฟคนข้ามชำรุด หรือพื้นที่เปลี่ยวใกล้ชุมชน ด้วยการถ่ายภาพบริเวณที่เสี่ยงภัย และส่งต่อไปที่ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุง และแก้ไขต่อไป โดยปัจจุบันคนขับแกร็บได้เริ่มรายงานจุดเสี่ยงภัยไปแล้วกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ
![]()
· การรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการป้องกันการคุกคามทางเพศ: โดยแกร็บได้จัดทำคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศและแนวทางในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามให้แก่คนขับแกร็บ โดยได้ ดร. บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมถ่ายทอดความรู้และปลุกจิตสำนึก พร้อมแนะนำให้คนขับสามารถแยกแยะพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการคุกคามทางเพศ และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
· การยกระดับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการและคนขับ: นอกจากการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาใช้ อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre ศูนย์ความปลอดภัยที่ให้ผู้โดยสารขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน ฟีเจอร์ Share My Ride ที่สามารถแชร์เส้นทางการเดินทางแบบเรียลไทม์ให้กับเพื่อนและครอบครัวได้ หรือฟีเจอร์ Audio Protect ที่มีการบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีที่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์แล้ว ในปีนี้ แกร็บได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี IoT อาทิ ปุ่มฉุกเฉิน (SOS) และกล้อง Karta Dashcam ภายในห้องโดยสารเพื่อบันทึกภาพระหว่างการเดินทาง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้ทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการ โดยจะเน้นไปที่บริการ GrabCar for Ladies (บริการเรียกรถที่ให้บริการโดยคนขับผู้หญิง)
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ (มพส.) หรือ FOPDEV จัดพิธีส่งมอบบ้านและห้องน้ำ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงใหม่รวม 12 หลัง แก่ผู้สูงอายุและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างฉับพลันในปี 2567 ณ ชุมชนยางซ้าย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย โดยได้รับเกียรติจากนายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นตัวแทนรับมอบ

การส่งมอบที่อยู่อาศัยดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จจากโครงการที่ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมมือกับ พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชัน และ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล จัดขึ้นโดยมีอาสาสมัคร “PRUVolunteers” จากทั้งเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งทีมผู้บริหารระดับสูงจาก พรูเด็นเชียล ประเทศไทย และ อีสท์สปริง อินเวสทเมนทส์ กว่า 70 คน จาก 16 ประเทศทั่วโลก มาร่วมกันซ่อมแซมและสร้างบ้านใหม่ทั้งหมด 12 หลัง เพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยพิบัติให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปลอดภัย ตามเจตนารมณ์ "ชีวิตมีกัน... ทุกวันดีกว่า"
นางสาวจิราพร ประเสริฐศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ภาคเหนือตอนล่าง นายสิงห์ สุขโท้ ผู้จัดการสำนักงานพิษณุโลก พร้อมพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มอบเงินจำนวน 180,000 บาท ให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย โดยมี นางฐิติพร ศิริโกศล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปสร้างบ้าน “โครงการ Home & Hope การพัฒนาที่อยู่อาศัยเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นางปรางทิม ช้างไผ่ อายุ 58 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
โครงการ HOME & HOPE เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง แบรนด์ “เรืองไพร โปรดักส์” จากโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น งานทำมือ ที่ใส่ใจทุกขั้นตอน โดดเด่นด้วยสีเหลืองนวลธรรมชาติจาก “ดอกดาวเรือง” ที่ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ชอบซื้อเป็นของขวัญของฝาก โดย ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เลือกเป็นโรงเรียนนำร่องในโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว โรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 เพื่อพัฒนาศักยภาพทักษะอาชีพให้แก่นักเรียนที่สนใจเป็นผู้ประกอบการ พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งร่วมกับซีพี ออลล์ โดยตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า จากการเดินหน้า โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ซึ่งเป็นแผนงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 ของซีพี ออลล์ โดย โรงเรียนวังไพรวิทยาคม อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องในโซนภาคตะวันออก ที่ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค จนล่าสุดโรงเรียนได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง” รวมถึงเป็นแหล่งผลิตและจำหน่าย “เรืองไพร โปรดักส์” สินค้าผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง อาทิ ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดเดรส ฯลฯ
“ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง ตั้งอยู่ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ต.วังใหม่ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ถือเป็นแหล่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับรายได้ของเศรษฐกิจในชุมชน และเป็นพื้นที่ให้นักเรียนได้ยกระดับทักษะการเป็นผู้ประกอบการจิ๋ว ด้วยพื้นฐานอาชีพหลักของชาวตำบลวังใหม่คือ อาชีพเกษตรกรปลูกดาวเรือง จึงคิดสร้างสรรค์สกัดสีจากดาวเรืองมาทำเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้าจากผ้ามัดย้อม โดยใช้ “ใบไม้” มาเป็นลวดลายหลักที่ไม่ซ้ำใคร เนื่องจากสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ จัดเป็นสินค้าแรร์ไอเทม ของโรงเรียนเลยทีเดียว” นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ ภายใต้โครงการ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้บูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ กระบวนการปลูก การแปรรูป การตลาด การจัดการบัญชี และการออกแบบแพ็คเกจจิ้ง รวมถึงทักษะการขายออนไลน์บนช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น
คุณครูอัมพร สุคนเขตร์ ครูชำนาญการพิเศษวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว ผู้รับผิดชอบโครงการการพัฒนาการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่น กล่าวเสริมเรื่องบรรยากาศการเรียนการสอนว่า ตลอดระยะเวลา 4 เดือน หรืออย่างน้อย 15 สัปดาห์ ในการอบรมหลักสูตรนี้ เด็กๆ จะได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายผ่านการปฏิบัติจริงสู่การสร้างงานสร้างอาชีพได้ในอนาคต โดยหลักสูตรประกอบด้วย 6 รายวิชา ได้แก่ 1.การเพาะปลูกดาวเรือง 2.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นของใช้ อาทิ สบู่ แชมพู ครีมบำรุงผิว 3.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม 4.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) 5.หลักการบริหารธุรกิจ 6.การบริหารจัดการตลาดสมัยใหม่ รู้สึกภูมิใจมากๆ ค่ะที่ได้เห็นเด็กๆ ช่วยการพัฒนาสินค้าด้วยสมองสองมือกันด้วยความตั้งใจ

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการจิ๋ว “น้องลูกปลา” นส.แก้วตา เต็งมิ่ง นักเรียนชั้นม.5 ตอบด้วยรอยยิ้มว่าหนูชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) ตั้งแต่การปลูก ตัด ตากแห้งดอกดาวเรือง ไปจนถึงกระบวนการมัดย้อมค่ะ ที่ชอบเนื่องจากเราได้ออกแบบจินตนาการลายเองจากใบไม้ที่หาได้ในโรงเรียน ซึ่งแต่ละชิ้นที่ออกมาลายจะไม่ซ้ำกัน เห็นผลงานแล้วรู้สึกภูมิใจค่ะ
“น้องปันปัน” นาย วีรชน มีบุญมาก นักเรียนชั้นม.6 เผยว่าชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม เนื่องจากโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทำอาหาร ยิ่งพอได้มีโอกาสทำเบเกอรี่และข้าวเกรียบจากดอกดาวเรืองก็ยิ่งสนุก พอลองชิมดูสรุปรสชาติอร่อยครับ เหมาะกับการเป็นอาหารว่างมากๆ ส่วนเครื่องดื่มก็มีการสกัดดอกดาวเรืองมาทำเป็นน้ำดาวเรืองผสมน้ำผึ้งมะนาวโซดา รสชาติหอมอร่อยกลมกล่อม ดื่มแล้วสดชื่นมากครับ
“หนูทั้งสองคนต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ทีมงาน ซีพี ออลล์ ที่มาให้ความรู้ด้านการขาย การโปรโมทสินค้าทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดีย Tiktok Facebook หรือแม้แต่ทักษะการบริการ การขายของหน้าร้าน ปัจจุบันหนูทั้งสองคนได้นำทักษะเหล่านี้มาใช้ในการช่วยโรงเรียนโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองด้วย ซึ่งสนุกมาก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากๆค่ะ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้เพิ่มทักษะการขายจริงด้วยค่ะ” น้องๆกล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันสินค้าได้รับการตอบรับจากคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนมีองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างอาชีพให้ทางบ้านและเกิดรายได้จริง หากต้องการอุดหนุนสินค้าสามารถสั่งซื้อได้ 3 ช่องทาง 1.ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม สามารถเข้ามาชมสินค้าหรือศึกษาชมงานได้ตลอดในเวลาราชการ 2.งานแสดงสินค้า งานอีเว้นต์ หรืองานนิทรรศการต่างๆ 3.ช่องทางออนไลน์ กดติดตามได้ที่ Facebook : Rueang Prai - เรืองไพร โปรดักส์ และในอนาคตซีพี ออลล์ตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์เสริมแกร่งสร้างรายได้ยั่งยืน

ปัจจุบัน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดูแลโรงเรียนภายใต้ CONNEXT ED รวมประมาณ 610 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนกว่า 160,000 คน โมเดลที่ประสบความสำเร็จของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ภายใต้โรงเรียน CONNEXT ED เพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงเรียน CONNEXT ED ในภาคตะวันออก เพื่อสร้างทักษะอาชีพ สร้างรากฐานการศึกษาไทยให้แข็งแรง ช่วยติดอาวุธให้เด็กไทยเติบได้อย่างยั่งยืน
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นพ.สมสกุล ศรีพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแพทย์ฝ่ายบริหารจัดการด้านสุขภาพ และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 500,000 บาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง ครั้งที่ 17” ซึ่งทางศิริราชจะได้นำเงินสนับสนุนดังกล่าวไปสมทบกองทุน "ห้องผ่าตัดศิริราช" โดยมี ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ ผศ.นพ.พรพจน์ เปรมโยธิน ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องรับรองงานองค์กรสัมพันธ์และกิจการพิเศษ (2) ตึกอำนวยการ ชั้น 1
ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง” มาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย ตระหนักถึงการเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การเดิน-วิ่ง เพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลักดันศักยภาพของการศึกษาแพทย์ไทยผ่านการสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาคาร และเครื่องมือทางการแพทย์จากผู้บริจาค ซึ่งเป็นพลังแห่งน้ำใจที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการรับบริจาคร่างกาย การรักษาสภาพร่างอาจารย์ใหญ่ และการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง และแพทย์นวัตกร ควบคู่กับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการศึกษาแพทย์ และเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ก้าวเข้าสู่ระบบสาธารณสุขในยุคดิจิทัล
‘อาจารย์ใหญ่’ คือผู้ที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมเสริมสร้างทักษะด้าน กายวิภาคศาสตร์ก่อนรักษาผู้ป่วยจริง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในกระบวนการรักษาและลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และอาจารย์ใหญ่ยังมีบทบาทด้านการวิจัยเพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล ผ่าน การพัฒนาเทคนิคการรักษารูปแบบใหม่ ตลอดจนการทดลองนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการศึกษามาต่อยอดเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

อ.ดร. เบญริตา จิตอารี อาจารย์สาขาพรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่เปรียบเสมือน ‘ผู้ให้’ ที่สร้างอนาคตใหม่ทางการแพทย์ได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนักศึกษาแพทย์การเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของแต่ละอวัยวะภายในของมนุษย์ผ่านการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์ ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) นักศึกษาแพทย์จะได้ศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ควบคู่กับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้สู่การต่อยอดการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”
อาคารกายวิภาคคลินิกเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจรแห่งแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านการรับบริจาคร่างกายและดูแลร่างอาจารย์ใหญ่จนเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการรักษา-คงสภาพและจัดเก็บร่างอาจารย์ใหญ่ ด้านการบริหารการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้านการผลิตสื่อการเรียน การสอนที่มีคุณภาพภายในห้องเรียนของอาคารกายวิภาคคลินิกนำเทคโนโลยีการสอนและอุปกรณ์ผ่าตัดทันสมัยเข้ามาช่วยในการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัดจริงในรูปแบบสามมิติ โดยเฉพาะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้สามารถเรียนรู้โครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาจากบทเรียนและรูปภาพสองมิติเพียงอย่างเดียว โดยเนื้อหาที่อยู่ภายในระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงของอาจารย์ใหญ่ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และถือเป็นแห่งแรกในไทยที่ผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ขึ้นเอง รวมถึงมีเครื่องจำลองระบบภาพกายวิภาคเสมือนจริง (Anatomage Table) ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกเวลา โดยอาคารแห่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 (ชั้น Pre-clinic) เข้ามาเรียนเฉลี่ยปีละ 220 คน สำหรับแพทย์เฉพาะทางมีห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid Operating Room) รองรับเทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูง ช่วยให้สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากบทบาทของอาจารย์ใหญ่ในด้านการเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ร่างอาจารย์ใหญ่ยังถูกนำมาใช้เพื่อทดลองและฝึกฝนการใช้นวัตกรรมการแพทย์ล้ำสมัย รวมทั้งสำหรับการฝึกฝนและพัฒนากระกวนการทำหัตถการต่างๆ ทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดเฉพาะทาง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความชำนาญการก่อนนำไปใช้จริงกับผู้ป่วย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ปัจจุบัน อาคารกายวิภาคคลินิกได้รับร่างอาจารย์ใหญ่เฉลี่ยเพียง 15 ร่างต่อเดือน จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคร่างกายประมาณ 300 คนต่อเดือน ขณะที่จำนวนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 200 ร่างต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนการศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ได้ทั้งหมด
“กายวิภาคศาสตร์คลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี ศึกษาและปรับเปลี่ยนสูตรของสารที่ใช้คงสภาพอาจารย์ใหญ่อยู่เสมอให้สามารถรักษาสภาพเพื่อให้คงคุณภาพของเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงคนที่ยังมีชีวิตและใช้ในการศึกษาได้ในระยะเวลายาวนานที่สุด รวมทั้งเพื่อให้มีการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดก่อนจัดงานพระราชทานเพลิงศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ที่มอบองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา นอกจากนี้ ยังตั้งใจเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคร่างกาย เพื่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจกับการบริจาคร่างกายมากขึ้น” อ.ดร. เบญริตา จิตอารี กล่าวปิดท้าย
มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การมอบงบประมาณสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะทางการแพทย์ พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางกายวิภาคศาสตร์ นำไปสู่การยกระดับวงการแพทย์ไทยในอนาคต ร่วมบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ได้ที่ อาคาร กายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ขอเชิญร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และ โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้าน ดูแลพื้นที่ป่า 6,000 ไร่ ป้องกันป่าเสื่อมโทรม-เพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน หวังลดคาร์บอนมากกว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมอบเงินพิเศษเพิ่มอีก 1 ล้าน ตะลุยอีก 4 โครงการย่อย ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงเรียน-จัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์-พัฒนาศูนย์เด็กใฝ่ดี-รับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน ตอกย้ำแนวคิดเซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม
นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมสนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท สำหรับการดูแลพื้นที่ป่ากว่า 6,000 ไร่ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ลดปัญหาการเกิดไฟป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) บรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
“เราเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ถือเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมเราให้เข้าถึงชุมชนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่า เป็นผู้ดูแลป่า เชื่อมให้เราสามารถร่วมสนับสนุนบุคลากรที่มีส่วนสำคัญตั้งแต่รากฐานในการดูแล ป้องกัน และบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีผืนป่าที่ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนต่อไป” นายพงศภัค กล่าว
สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และภาคีภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือกับภาวะโลกร้อนหรือโลกรวน รวมทั้งไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการเผาไหม้เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ และฝุ่นควันจากไฟป่า ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าภายใต้ความดูแลของโครงการครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด รวม 147,037 ไร่ 120 ชุมชน โดย บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ถือเป็นสมาชิกรายล่าสุดภายใต้ความร่วมมือนี้ และคาดว่าจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วง 3 ปี

นายพงศภัค กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯภายใต้โครงการดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้บริจาคเงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาทให้แก่มูลนิธิ เพื่อดำเนินงานในอีก 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1.โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับโรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา จ.เชียงราย เพื่อช่วยส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบท 2.โครงการ Science Fair ให้เยาวชนดอยตุงได้เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเติบโตสู่อนาคต 3.โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย สนับสนุน “ศูนย์เด็กใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชน และ 4.โครงการสนับสนุนการรับรองปริมาณ Carbon Credit จากป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“บางกอกเคเบิ้ล เป็นองค์กรของคนสายวิทย์ พนักงานจำนวนมากของเราเป็นวิศวกร เป็นนักเคมี เป็นช่าง และวันนี้เราไม่ได้ทำแค่สายไฟฟ้า แต่เราพยายามขับเคลื่อนทิศทางองค์กรไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์เซลล์ EV Charger เราจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการนำร่องสนับสนุนใน 4 โครงการนี้” นายพงศภัค กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯและองค์กรอื่นๆ ในโครงการที่มีส่วนสำคัญในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมในอนาคต
สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว
บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางอรัญญา โสภณกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม มอบสิ่งของอุปโภค บริโภค และสิ่งจำเป็น ให้แก่ ครูบุญชู ม่วงไหมทอง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่รับดูแลเด็กพิเศษ เด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะด้านร่างกาย การเรียนรู้ สมาธิสั้น และออทิสติก ฯลฯ ณ มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดงานวิ่งการกุศล “Bumrungrad Race to Heal 2025 Presented by Bumrungrad Hospital Foundation” ประเภท Family Run 2.5 กิโลเมตร, Fun Run 5 กิโลเมตร และ Mini Marathon 10 กิโลเมตร ณ อุทยานสวนจตุจักร เป็นครั้งที่ 2 หลังจากงาน Bumrungrad Run for Health 2023 โดยนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด มอบให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เข้าสู่ปีที่ 45 ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ส่งมอบการบริบาลทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสบการณ์การรักษาที่เป็นเลิศให้กับผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล ในฐานะโรงพยาบาล เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพดีและป้องกันโรคเป็นหลัก จึงได้สานต่อกิจกรรมงานวิ่งการกุศลต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป้าหมายในการดูแลสุขภาพของประชาชนแบบองค์รวม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นกับบุคลากรของโรงพยาบาลฯ นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพอย่างเอื้ออาทรตามค่านิยมขององค์กร พร้อมสานต่อปณิธานของ คุณชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “การดำเนินธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับสังคมด้วย” โดยเฉพาะการสานต่อโครงการ “รักษ์ใจไทย” ที่ร่วมกับมูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อช่วยเหลือผ่าตัดรักษาเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดผู้ด้อยโอกาส ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ช่วยเหลือเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดให้ได้รับการผ่าตัดมาแล้วมากถึง 830 ราย
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์”, โครงการส่งเสริมสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณร, กองทุนการศึกษาแพทย์, โครงการ “ตำรวจ (ปอด) ปลอดภัย”, โครงการ “เด็ก-เด็ก ปลอดยุง” ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคมอีกมากมาย โดยมุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับประชาชนทั่วประเทศ