เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือการสนับสนุนโครงการ KKU Volleyball Academy กับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเสรณี (กลาง) นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ. นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล (ที่ 3 จากขวา) อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ. เพียรศักดิ์ ภักดี รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ และ รศ. ดร.เพ็ญศรี เจริญวานิช คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี พร้อมมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อมุ่งส่งเสริมสนับสนุนนักเรียน-นักศึกษาหญิงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความชื่นชอบและมีความสามารถด้านกีฬาวอลเลย์บอล ให้มีโอกาสฝึกซ้อมกีฬาด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการกีฬาของมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะ และเพิ่มขีดศักยภาพให้สูงขึ้นจนสามารถต่อยอดก้าวสู่การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลมืออาชีพทั้งในระดับชาติและระดับโลกในอนาคต ซึ่งการสนับสนุนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจของเอไอเอในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนและสังคมไทย ตลอดจนสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยมีนายกฤช ธีรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต ภูมิภาค 4 และนายนครินทร์ ทองเฟื่อง ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เขต 15 เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ ณ ห้องรับขวัญ โรงแรมบายาสิตา เมื่อเร็วๆ นี้
ถึงแม้ว่าวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชนบ้านหินดาด ต.หินดาด อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา จะพึ่งพิงอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ และเด็กๆในพื้นที่ อยู่ในบริบทของสิ่งแวดล้อมการเติบโตตามอัตลักษณ์ของชุมชน
แต่ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่สนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เป็นการส่งเสริมโอกาสและยกระดับการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน
รร.บ้านหินดาด ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลาง เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียน 294 คน เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนในโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ที่นำกระบวนการ Coding และ Robotics มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ภายใต้โครงการ "Coding Robotics Kids"
และกำหนดให้ Coding อยู่ในแผนการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้น โดยตั้งเป้าให้นักเรียนมีทักษะการเขียน โปรแกรมควบคุมบอร์ดสมองกล สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อและใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีวิทยากรจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาสนับสนุนการอบรมครูผู้สอน และมีผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ (School Partner :SP) จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ชวนทีม Robot ของซีพีเอฟ และวิทยากรจากภายนอกมาร่วมสอนน้องๆ นักเรียน ฝึกให้นักเรียนมีทักษะการวางแผน คิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้วยกระบวนการ Coding Robotics
นายสหพันธ์ เปาจันทึก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหินดาด เล่าว่า แม้โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุนแท็บเล็ตจาก สพฐ. แต่วัสดุอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอน Coding ก็ยังไม่เพียงพอ จึงนำเรื่องนี้ปรึกษากับทีมผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ของซีพีเอฟ ภายใต้โครงการคอนเน็กซ์ อีดี เสนอโครงการ Coding Robotics Kids และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากซีพีเอฟ เพื่อจัดซื้อชุดการเรียนการสอน Coding ด้วยโปรแกรม Micro:bit นำมาต่อยอดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ อาทิ ป. 3- ป.4 ให้เรียน Coding อย่างง่าย เช่น การต่อบล็อกควบคุมหุ่นยนต์ ชั้นป.5 เริ่มเรียนโปรแกรม Coding ไมโครบิท ต่อบล็อกโค้ด การทำงาน-ควบคุม-รับค่าเซ็นเซอร์ เปิดปิดไฟหรือวัดอุณหภูมิ ด้วย Coding ชั้นป.6 เรียนรู้การเขียน Coding การควบคุมหุ่นยนต์รถวิ่ง
"Coding สอนให้เด็กๆคิดวิเคราะห์ ฝึกทักษะคิดแก้ปัญหาเป็นกระบวนการ นำความรู้มาประยุกต์ใช้กับวิชาอื่นๆได้ ที่ผ่านมา จัดการสอนไปแล้ว 1 รุ่น มีนักเรียนประมาณ 40 คน ที่สามารถเขียน Coding อย่างง่ายได้ ภาคเรียนนี้จะสอนอีก1 รุ่น ประมาณ 40-50 คน ให้นักเรียนในชุมนุมการเขียนโปรแกรมด้วยไมโครบิท Coding เป็นพี่เลี้ยงส่งต่อความรู้ให้น้องๆ คาดหวังว่าในระยะต่อไป จะต่อยอดกระบวนการคิดจากบทเรียน สู่การทำสมาร์ทฟาร์มง่ายๆ" ผอ.สหพันธ์ กล่าว
ด.ญ.กัญญาพัชร แก้วขวาน้อย นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า รู้สึกสนุกกับการเรียน Coding ได้ทำกิจกรรมเรียนรู้หลายอย่าง ที่สามารถนำความรู้ไปต่อยอด เช่น การทำโมเดลฟาร์มอัจฉริยะ ขอขอบคุณพี่ๆซีพีเอฟที่มอบโอกาสและสนับสนุนการเรียนรู้ดีๆ ขณะที่ ด.ญ.ปิ่นมาลา จินดามาตย์ เล่าถึงสิ่งที่ได้รับ นอกจากความรู้จากการเรียน Coding ยังสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการเรียนรู้วิชาอื่นได้ ดีใจมากที่มีพี่ๆซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนโครงการดีๆอย่างนี้ให้กับโรงเรียนของเรา ส่วน ด.ช.อภิณัฐ ตันกระโทก นักเรียนชั้นม.1 บอกว่า Coding ทั้งสนุกและให้ความรู้ที่นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และยังได้ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปช่วยชุมชนต่อไป
ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 สร้างเด็กดี มีคุณธรรม โดยล่าสุด ปีการศึกษา 2567 ซีพีเอฟสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านวิชาการ และฝึกทักษะด้านวิชาชีพ 74 โรงเรียน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสระบุรี ควบคู่กับเดินหน้าสร้างผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ (SP) ซึ่งปัจจุบันมี SP ของซีพีเอฟรวม 93 คน ทำหน้าที่เป็นคู่คิด ร่วมทำงานกับผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู สู่เป้าหมายยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของไทยและลดความเหลื่อมล้ำ
เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ นำทีมผู้บริหาร พนักงาน และตัวแทนนักวิ่งมาราธอน จากกิจกรรม เจนเนอราลี่ พรีเซ้นต์ เขาค้อ มาราธอน 2024 (Generali Presents Khaokho Marathon 2024) ต่อยอดการสร้างสังคมสู่ความยั่งยืน มอบอุปกรณ์การเรียนรู้ และของใช้จำเป็น พร้อมติดตั้งพัดลมจำนวน 22 เครื่อง รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท ให้แก่น้อง ๆ โรงเรียนบ้านห้วยขอนหาด ในพื้นที่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทยให้ดียิ่งขึ้น
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะผู้บริหาร พนักงาน กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เยี่ยมชมโรงเรียน พร้อมทำกิจกรรมร่วมกับน้อง ๆ และส่งมอบอุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้ และของใช้จำเป็น อาทิ เช่น น้ำดื่ม เก้าอี้ กระดาษ สี ชนิดต่าง ๆ รวมถึง หมวกนิรภัย จำนวน 100 ใบ นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งพัดลมติดผนังจำนวน 22 เครื่อง ภายในโรงเรียนบ้านห้วยขอนหาด เพื่อปรับปรุงสภาพแวดในโรงเรียนให้มีคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการ "ปันรัก ปันของ ให้น้องใช้เรียน" เพื่อการสร้างอนาคตในการเรียนรู้ที่ดีให้กับน้อง ๆ เยาวชนของชาติ โดยมี นางสาวเปรมวิสาข์ คำหงษ์ รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยขอนหาด เป็นตัวแทนรับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงเรียนบ้านห้วยขอนหาด จังหวัดเพชรบูรณ์
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย วลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เครือเฮอริเทจ (ขวาบน) จัดโครงการ “ห้องเรียนโภชนาการ ครั้งที่ 12” ณ โรงเรียนวัดราษฎร์ศรัทธาราม ตำบลตลาดจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อให้นักเรียนระดับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 6 ได้รับความรู้เกี่ยวกับหลักโภชนาการ ประโยชน์ของสารอาหาร และการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างถูกต้อง รวมถึงการเสริมความรู้ในการอ่านและความเข้าใจ เกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากผลิตภัณฑ์ ผ่านสื่อการเรียนรู้และกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สานต่อโครงการดิจิทัลบัส จัดกิจกรรมแรกของปี 2567 ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทยฯ จังหวัดสกลนคร ตามเป้าหมายด้านการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านดิจิทัลในประเทศไทย ผ่านการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรให้ได้อีก 2,000 คน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6 จังหวัดทั่วประเทศไทยในปีนี้
โครงการดิจิทัลบัสครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือระหว่างหัวเว่ย ประเทศไทย กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทยฯ จังหวัดสกลนคร ซึ่งถือว่าศูนย์การศึกษาในพื้นที่ห่างไกล รองรับนักเรียนจาก 9 พื้นที่เขตหมู่บ้าน ทั้งหมด 262 คน ตั้งแต่ระดับการศึกษาชั้นอนุบาล 1 จนถึงประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 โดยการจัดโครงการดิจิทัลบัสร่วมกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ครั้งนี้ได้มีการปรับเนื้อหาหลักสูตรให้มุ่งเน้นเรื่องการน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการนำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาบุคลากรดิจิทัลในประเทศไทย โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล
หัวเว่ยได้จัดโครงการดิจิทัลบัสผ่านการร่วมมือกับโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เพื่อนำความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาให้เยาวชนได้ประยุกต์ใช้กับความรู้จากสถาบันการศึกษา ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และวัฒนธรรมในพื้นที่ห่างไกล จนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราพบว่าประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัลยังเป็นปัญหาที่พบได้ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงพื้นที่ห่างไกลในไทยซึ่งมีการพัฒนาและขยายตัวทางเทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ ทำให้เกิดช่องว่างในการเข้าถึงองค์ความรู้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล
ทั้งนี้ หัวเว่ยตั้งเป้าหมายฝึกอบรมนักเรียนและบุคลากรในประเทศไทยจำนวน 2,000 คน ผ่านโครงการดิจิทัลบัส ในปี 2567 ครอบคลุมในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ นครพนม กระบี่ กาญจนบุรี ชัยภูมิ นครนายก และระยอง โดยโครงการในจังหวัดนครนายกและระยองเป็นความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยกับองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO และเป็นการต่อยอดจากโครงการที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2566 โดยในปีนี้ หัวเว่ยยังได้ปรับหลักสูตรดิจิทัลบัสให้เข้ากับโรงเรียนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างความตระหนักรู้เรื่องการนำเทคโนโลยีประยุกต์ใช้ภาคการเกษตร การนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาเกษตรกรรมในครัวเรือนให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการมอบความรู้เรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนในการป้องกันภัยที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
ดร.อภิสิทธิ์ พึ่งพร ผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้กล่าวถึงโครงการดิจิทัลบัสของหัวเว่ยว่า “ผมต้องขอขอบคุณหัวเว่ยที่ให้การสนับสนุนเยาวชนและบุคลากรในประเทศไทยด้วยการส่งมอบองค์ความรู้ดิจิทัลผ่านโครงการดิจิทัลบัสมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครั้งนี้ยังเสริมด้วยกิจกรรมสันทนาการให้แก่เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1-3 การมอบอาหารกลางวัน ร่วมปลูกต้นไม้ ปรับแต่งทัศนียภาพสถานศึกษา เป็นต้น โครงการดิจิทัลบัสถือเป็นโครงการที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดี รวมทั้งช่วยสร้างโอกาสและสร้างความฝันให้กับเด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทย”
ตลอดช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โครงการดิจิทัลบัสของหัวเว่ยได้ให้การฝึกอบรมองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้แก่นักเรียนช่วงชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด แพทย์อาสา และแรงงานท้องถิ่นรวมแล้วกว่า 4,500 คน ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี สงขลา พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ นครราชสีมา พิจิตร พะเยา กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช และนครนายก
นอกจากนี้หัวเว่ยยังมีโครงการให้การสนับสนุนด้านการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ร่วมมือกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนโครงการส่วนพระองค์ฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การสนับสนุนอุปกรณ์หน้าจออัจฉริยะ Ideahub จำนวน 24 เครื่องให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สุขศาลาพระราชทานทั่วประเทศไทย ตลอดจนโครงการนำร่อง Huawei Smart PV solution สนับสนุนโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงไฟฟ้าและการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดิจิทัลบัสถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ “เติบโตพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” ของหัวเว่ย ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนเรื่องความเท่าเทียมทางดิจิทัลผ่านภารกิจของหัวเว่ยเรื่อง ‘นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’ (Lead Everyone Forward, Leave No One Behind)
บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะ ‘Green Insurer’ หรือผู้นำบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นำโดยคุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอกซ่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (แถวหลัง คนขวา) พร้อมด้วยคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (แถวหลัง คนซ้าย) จัดกิจกรรมใหญ่ ในสัปดาห์แห่งการทำความดี หรือ “Week for Good” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกบริษัทของแอกซ่าทั่วโลกจัดขึ้นพร้อมกัน ระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายน 2566 โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นในการให้ความสำคัญกับด้าน Climate Change และ Biodiversity และในปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “น้ำ” ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เพราะโลกของเรามีน้ำอยู่มากถึง 71% และเป็นน้ำจืดเพียง 2.5% เท่านั้น
บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมที่หลากหลายเกี่ยวกับน้ำมากมาย โดยกิจกรรมไฮไลท์ “Clean Up Canal เก็บขยะบริเวณคลองลาดพร้าว” เป็นกิจกรรมที่ร่วมมือกับ TerraCycle Thai Foundation โดยผู้บริหารพร้อมด้วยพนักงานจิตอาสา รวมพลัง Hearts in Action ร่วมเก็บขยะลำคลองได้จำนวนมากถึง 1,616 กิโลกรัม กิจกรรมดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยสร้างจิตสำนึก ร่วมดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และป้องกันมลพิษทางน้ำก่อนไหลลงสู่ทะเล และกลายเป็นขยะทะเลที่เป็นปัญหาใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีกิจกรรม River Life Game เกมส์คัดแยกขยะ กิจกรรม Water Treatment เรียนรู้การบำบัดน้ำเสีย ผ่านการทำบึงประดิษฐ์ขนาดย่อม กิจกรรม Water is Life Talk การเรียนรู้ความสำคัญของการอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อม จากคุณนุ่น ศิรพันธ์ ดาราสาวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และคุณพีระ พร้อมสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเล รวมถึงกิจกรรม Water Wisdom Online Quiz การร่วมตอบคำถามเกี่ยวกับการจัดการน้ำ และร่วมแบ่งปันไอเดียการลดใช้น้ำในชีวิตประจำวัน โดยได้รับความสนใจจากผู้บริหาร และพนักงานหัวใจทำงานเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,756 คน นับเป็นชั่วโมงการทำความดีได้มากถึง 2,095 ชั่วโมง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของพนักงานพลังจิตอาสา ที่ใช้หัวใจทำงาน หรือ Hearts in Acton ที่เป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักด้านความรับผิดชอบของสังคมของบริษัทฯ
ทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นแรงผลักดัน และขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม สู่ความยั่งยืนของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดโครงการ“เก็บขยะชายหาดทะเลและปล่อยสัตว์ทะเลคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ” โดยได้รับเกียรติจาก นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส นำทีมพนักงานจิตอาสาและครอบครัว ปล่อยเต่าทะเล ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ และสัตว์น้ำอื่น ๆ จำนวน 720 ตัว พร้อมเก็บขยะบริเวณชายหาดตะวันรอน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นาวาเอก พงษ์ศักดิ์ รามนุช ผู้อำนวยการ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือ เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ เรื่องวิถีชีวิตและการอนุรักษ์เต่าทะเล กิจกรรมดังกล่าวเป็น ๑ ในโครงการด้านการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือในสังคม จำนวน 72 โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นและปลุกสร้างจิตสำนึกให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากต่อไป
“โครงการสหพัฒน์ให้น้อง” อีกหนึ่งโครงการดี ๆ ที่บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายสำคัญในการสนับสนุนเยาวชนไทยให้เห็นคุณค่าของ การทำความดี ปลูกฝังเยาวชนไทยตั้งแต่วัยเด็ก ให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดีและมีความซื่อสัตย์ ด้วยการส่งต่อเรื่องราวเพื่อเป็นแรงบันดาลใจผ่านทางรายการสร้างสรรค์เพื่อสังคม
สำหรับในปีนี้ “โครงการสหพัฒน์ให้น้อง” เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว โดยที่ผ่านมาได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ตัวจิ๋วไปแล้ว 182 โรงเรียน ซึ่งการดำเนินการในปีนี้มีเป้าหมายลงพื้นที่โรงเรียน 26 แห่ง ที่มีการอบรมปลูกฝังให้นักเรียนเป็นเด็กดี มีคุณธรรม ร่วมเฟ้นหาและพูดคุยกับ “ยอดมนุษย์ตัวจิ๋ว” (Little Hero) ตัวแทนเด็กดี ประพฤติดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ กตัญญู มีจิตอาสา มีความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำความดีให้ครอบครัวและสังคม โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จะมุ่งไปยังโรงเรียนขนาดกลางที่มีจำนวนนักเรียน 200-250 คน และเป็นโรงเรียนที่มีการปลูกฝังส่งเสริมคุณธรรมให้กับนักเรียน เพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้เติบโตเป็นต้นกล้าที่งดงาม เป็นอีกพลังในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติให้มีแต่ความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ล่าสุด ทีมงานสหพัฒน์ ได้ลงพื้นที่โรงเรียนวัดธัญญะผล จ.ปทุมธานี เพื่อตามหาน้อง ๆ ที่เป็นเด็กดี มีคุณธรรม และมีความซื่อสัตย์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนใน สังคมไทย พร้อมให้ความรู้แก่น้อง ๆ ผ่าน กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการธนาคารขยะออมทรัพย์ เรียนรู้เรื่องการแยกขยะเพื่อลดปริมาณขยะ จากวิทยากรประจำฐาน การ DIY สิ่งของจากขยะเหลือทิ้งที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อให้น้อง ๆ สามารถนำความรู้ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองโรงเรียนและชุมชนต่อไป
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เด็กและเยาวชน ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ซึ่ง"โครงการสหพัฒน์ให้น้อง" มุ่งมั่นในการสนับสนุนเยาวชนไทยให้เห็นคุณค่าของการทำความดี ปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก ให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดีและมีความซื่อสัตย์ โดยเราเชื่อว่าโรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่สามารถบ่มเพาะเยาวชนคุณภาพได้ เป็นอีกพลังในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
“สิรินทรา สรรเสริญ” ผู้อำนวยการ โรงเรียนวัดธัญญะผล จ.ปทุมธานี กล่าวว่า “โครงการสหพัฒน์ให้น้องมีการดำเนินการที่สอดคล้องและเป็นแนวทางเดียวกันกับโรงเรียน ในการมุ่งปลูกฝังเยาวชนไทยให้มีคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนได้ปลูกฝังเยาวชนให้เป็นเด็กดี มีคุณธรรม ยึดเรื่องความซื่อสัตย์ และจิตอาสาเป็นหลัก เพราะมองว่าการเรียนรู้การเป็นจิตอาสา จะทำให้เด็กและเยาวชน เรียนรู้ความเสียสละ สร้างให้เกิดคุณธรรม จริยธรรมในจิตใจ เพื่อเติบโตไปอย่างมีคุณภาพในสังคม”
“ด.ช.ประภากรณ์ คัลชัย” หรือ “น้องกันโซ่” อายุ 12 ปี นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตัวแทนเด็กดี “ยอดมนุษย์ตัวจิ๋ว” ได้เปิดเผยความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ว่า “รู้สึกดีใจที่พี่ ๆ สหพัฒน์ ได้มาจัดกิจกรรมที่โรงเรียน สิ่งที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากการได้เรียนรู้การแยกขยะต่าง ๆ แล้ว ยังได้ฝึกความกล้าแสดงออก จากการที่ตนได้เป็นตัวแทนพูดเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนอีกด้วย”
นับเป็นโครงการดี ๆ ที่มุ่งบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์จิ๋ว ให้เติบโตเป็นต้นกล้าที่งดงาม เป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี จัดโครงการบริจาคนมกล่องยูเอชทีให้แก่โรงเรียนเนื่องในวันดื่มนมโลก ภายใต้โครงการ “World Milk Day วันดื่มนมโลก @ Big C ปีที่ ๙” ซึ่งเป็น ๑ ในโครงการด้านการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือในสังคม จำนวน ๗๒ โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้แทนรับมอบนมยูเอชที จำนวน ๑๓๓,๘๙๓ กล่อง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษา จำนวน ๑๔๓ โรงเรียน ใน ๓๓ จังหวัด
นายวรปัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมาย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการให้ความรู้และฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษศรีรัช ประจำปี 2567 ณ สวนหย่อมและลานกีฬาซอยอยู่ดี เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
นายวรปัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมาย กทพ. กล่าวว่า นอกจากภารกิจหลักในการให้บริการทางพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนรวมถึงการขนส่ง และเป็นทางเลือกกในการเดินทางของพี่น้องประชาชนแล้ว กทพ. ยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชุมชนรอบเขตทางพิเศษ จึงได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์มาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญอีกภารกิจหนึ่ง การจัดกิจกรรมการให้ความรู้การป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษศรีรัชในวันนี้ นับเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์นดีให้เกิดขึ้นระหว่าง กทพ. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โดยในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานเขตสาทร ชุมชนกิ่งจันทน์ ชุมชนกุศลทอง ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนพัฒนาวรพจน์ ชุมชนจันทน์ร่ำรวย โรงเรียนวัดดอน และโรงเรียนวัดยานนาวา เข้าร่วมกิจกรรม โดยในวันนี้ ได้มีการให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย ในการนี้ กทพ. ได้มอบถังดับเพลิงเพื่อมอบให้กับชุมชนกิ่งจันทน์ ชุมชนกุศลทอง ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนพัฒนาวรพจน์และ ชุมชนจันทน์ร่ำรวย ชุมชนละจำนวน 5 ถัง พร้อมทั้งได้มอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียน และถังดับเพลิง ให้กับโรงเรียนวัดดอน และโรงเรียนวัดยานนาวา โรงเรียนละจำนวน 5 ถัง อีกด้วย
“การทางพิเศษฯ ได้ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน ผมหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นายวรปัชญ์ ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ยังคงเดินหน้าลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังและเร่งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในระยะเร่งด่วน พร้อมเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นเต็มรูปแบบ
นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ SCGC กล่าวว่า “หลังจากที่ได้ลงพื้นที่พบชุมชนอย่างใกล้ชิด เพื่อรับฟังข้อห่วงกังวลต่าง ๆ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเร่งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในระยะเร่งด่วนทันที โดยในด้านสุขภาพ ได้ดูแลและรักษากรณีมีอาการเจ็บป่วย จัดที่พักนอกพื้นที่ชั่วคราวสำหรับกลุ่มเปราะบางที่อยู่ใกล้พื้นที่เกิดเหตุ รวมไปถึงการนำทีมบุคลากรทางการแพทย์มาดูแลอย่างใกล้ชิด และในส่วนคุณภาพสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทฯ ยังเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชน จำนวน 40 จุด ต่อเนื่อง เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้กับชุมชน”
นายมงคล ย้ำเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีการระบายน้ำออกนอกโรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนที่ตกมาในช่วงนี้ โดยได้กักเก็บไว้ในบ่อพักและรางระบายน้ำฝน ซึ่งจะทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกับสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง หากผลตรวจวัดคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจึงจะระบายน้ำออกจากโรงงาน สำหรับน้ำและโฟมที่เกิดจากการดับเพลิง ได้ส่งกำจัดโดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ เทศบาลเมืองมาบตาพุด ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดโครงการ “Bumrungrad Young Take Care” ณ สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จ.นครปฐม เมื่อวันอังคารที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อสืบสานประเพณีไทย และส่งต่อความห่วงใยให้กับผู้สูงอายุ
โดยตระหนักถึงความสำคัญของการแบ่งปันและมีมิตรไมตรีต่อกัน ตลอดจนการอนุรักษ์ สืบสาน และส่งเสริมประเพณีไทย ในการระลึกถึงผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นสมาชิกสำคัญในสังคม จึงจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว มอบยาและเวชภัณฑ์ เลี้ยงอาหารกลางวัน รวมถึงกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม เสริมสร้างความสุขและสุขภาพจิตที่ดี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยา ช่วยเหลือ และแสดงความห่วงใยต่อสังคม
“เราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่ไปกับการดูแลกันอย่างเอื้ออาทร โดยการส่งมอบความรู้และความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และการสาธารณสุขตามมาตรฐานสากลให้แก่ประชาชนอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมให้กับบุคลากรแล้ว ยังเป็นการตอบแทนและส่งต่อความห่วงใย เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและสร้างสรรค์ความยั่งยืนสู่สังคมไปพร้อมกัน” คุณนภัส เปาโรหิตย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าว
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอีกมากมายภายใต้แนวคิด “Your smile is my Happiness” ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืนตามพันธกิจขององค์กร
เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพ สนับสนุนโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 42 ร่วมสร้างโอกาสการเรียนรู้แก่เยาวชนจากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ มุ่งพัฒนาทัศนคติแนวคิด สู่การพัฒนาตนเองและครอบครัว สู่การเป็น “คนดีของสังคม” พร้อมนำความรู้ไปต่อยอดสร้างโอกาสทางการศึกษาในอนาคต ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี กรุงเทพมหานคร
โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 42 ได้รับเกียรติจาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกมูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ พร้อมด้วย นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ โดยมี นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารสูงสุด สายงานด้านบริหารกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนบริษัท ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำศาสนา ครอบครัวอุปถัมภ์ เยาวชนผู้ร่วมโครงการฯ และครูพี่เลี้ยง เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 350 คน
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวว่า “สานใจไทย สู่ใจใต้” ชื่อโครงการนี้ได้แสดงออกถึงความร่วมมือของทุกคนในประเทศไทย ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือดูแล ส่งเสริม ให้ความอนุเคราะห์แก่เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสได้รับสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันไว้ นอกจากนี้ ขอฝากถึงเยาวชนให้จดจำดำริของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่ว่า "ความเป็นไทย และความเป็นธรรม" ความเป็นไทย หมายถึง ความรัก ความผูกพัน โอบอ้อมอารี โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเชื่อเหมือนกัน แต่เมื่อมารวมกันเป็นคนไทยแล้ว ก็จะมีสิ่งนั้นอยู่ในความรู้สึกอยู่ในความคิดของทุกคน และเมื่อมีความเป็นไทย มีความผูกพันกันแล้ว การให้ "ความเป็นธรรม" ก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก จากความยุติธรรม มีความเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบวัฒนธรรมและกฎหมายของสังคม
ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล กล่าวว่า ซีพีและซีพีเอฟ โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 สำหรับโครงการฯในรุ่น 42 นี้ บริษัทมอบผลิตภัณฑ์อาหาร ไข่ไก่สดซีพี และข้าวตราฉัตร ให้แก่เยาวชนและพี่เลี้ยง จำนวน 350 คน สำหรับนำไปประกอบอาหารบริโภคตลอดช่วงที่พักอาศัยกับครอบครัวอุปถัมภ์ ในระหว่างวันที่ 17 เมษายน – 27 พฤษภาคม 2567 ตลอดระยะเวลาการจัดกิจกรรมเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ทักษะอาชีพ และได้พำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ได้พัฒนาทัศนคติแนวคิด สู่การพัฒนาตนเองและครอบครัว เพื่อเป็นคนดีของสังคม พร้อมนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดสร้างโอกาสทางการศึกษาต่อไปในอนาคต
ทางด้าน อาวาตีฟ โชติจันทร์ ตัวแทนเยาวชน กล่าวถึงสาเหตุที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ว่าต้องการพัฒนาตนเอง และออกจากกรอบ ประกอบกับอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยหวังว่าจะได้นำประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนาในด้านต่างๆ และโครงการฯ นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่น
กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการจัดในนาม มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็นครั้งแรก โดยมูลนิธิฯ มีเป้าหมาย สนับสนุนให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเดียวกัน มีความเป็นธรรม ความเป็นไทยเท่าเทียมกัน โดยโครงการ “สานใจไทย สู่ ใจใต้” เกิดขึ้นจากดำริของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ