

ทรู คอร์ปอเรชั่น ทุ่มกำลังสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวและอาคารกำลังก่อสร้างย่านจตุจักรถล่ม ด้วยการวางโซลูชันเสริมสัญญาณมือถือเพื่อให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานกู้ภัยสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเสริมรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว เพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณมือถือให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ปฏิบัติการใช้งานด้วยประสิทธิภาพสูง
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ห่วงใยและขอแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เราเร่งระดมกำลังเพื่อสนับสนุนการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ โดยร่วมมือกับภาครัฐในการใช้ข้อมูลภาพรวมของการใช้งานเครือข่ายที่ไม่สามารถระบุตัวตน (non-identifiable network insights) ของผู้ใช้งานในช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ การวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวช่วยให้สามารถประเมินแนวโน้มได้ว่า ผู้ใช้บริการรายใดอาจยังติดอยู่ในซากอาคารหรือได้รับความปลอดภัยแล้ว โดยบริษัทฯ ได้จัดทีมศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) ติดต่อสอบถามผู้ใช้บริการ หากพบว่าไม่สามารถติดต่อได้ จะนำข้อมูลส่งต่อให้หน่วยกู้ภัยเพื่อเร่งค้นหาผู้ที่คาดว่ายังติดอยู่ในพื้นที่ประสบเหตุ”
ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในกรณีจำเป็นตามอำนาจตามกฎหมาย โดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการปฏิบัติงานและเร่งค้นหาผู้สูญหายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
บริษัทฯ สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยการใช้ข้อมูล ลักษณะการส่งสัญญาณในระบบเครือข่าย (network-level signaling patterns) เพื่อนำไปใช้ในการประเมินสภาพพื้นที่ การเข้าถึงของอุปกรณ์สื่อสาร และการวางแผนเชิงพื้นที่โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินมีประสิทธิภาพสูงสุดจากการส่งสัญญาณมือถือที่เคยมีอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก่อนเกิดเหตุ และเปรียบเทียบกับข้อมูลหลังเกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นดาต้าสนับสนุนการคาดการณ์เป็นผู้ที่ติดค้างอยู่ภายในอาคาร หรือออกนอกอาคารถล่ม และประเมินจำนวนผู้ประสบเหตุ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐสามารถวางแผนค้นหาและเข้าถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ
ทรู คอร์ปอเรชั่นนำทีมจัดเพิ่มสัญญาณมือถือในพื้นที่ประสบภัยอาคารถล่ม
· เพิ่มรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW) จำนวน 2 คัน
· พารามิเตอร์สัญญาณ (Event Parameter) ปรับแต่งค่าสัญญาณตามพฤติกรรมการใช้งาน
· จัดทีมวิศวกรเน็ตเวิร์กประจำพื้นที่อาคารถล่ม
· BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ทรูได้ยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์แผ่นดินด้วยการจัดตั้ง "วอร์รูม ที่ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับเหตุการณ์ After shock ที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประชาชนและหน่วยงานกู้ภัยจะยังคงสามารถใช้บริการการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแม้ในยามวิกฤติ
คณะผู้บริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร ร่วมด้วยนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด และนางสาววิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการ อาวุโสฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร นำคณะสื่อมวลชนทำกิจกรรมซีเอสอาร์ด้านความยั่งยืน ด้วยการปลูกต้นราโพ ตามชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ซึ่งต้นราโพเป็นพืชที่ช่วยเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพราะช่วยป้องกันการพังทลายของตลิ่ง บรรเทาน้ำท่วม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย รวมถึงนำมาทำเป็นหลอดดูดน้ำเพื่อใช้แทนหลอดพลาสติก

อีกทั้งในทริป “ล่องเรินลุง” ตลอดระยะ 3 วัน 2 คืน เป็นทริปที่ปราศจากการใช้ขวดพลาสติกและลดการการสร้างขยะพลาสติกให้ได้มากที่สุด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนเป็นอย่างดี กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่ จังหวัดพัทลุง เมื่อเร็วๆ นี้
ยูนิโคล่ แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลก จัดกิจกรรมเวิร์คชอปงานศิลปะในชื่อ ‘Bouquet of Peace’ ใน 25 เมื่องทั่วโลก อาทิ ปารีส, นิวยอร์ก, โตเกียว รวมถึงกรุงเทพฯ ด้วย โดยกิจกรรมเพื่อสันติภาพในครั้งนี้จะจัดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป สำหรับประเทศไทย จะจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 20 – 28 มีนาคม 2568
ซึ่งเวิร์คชอปในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญสำหรับการเปิดตัวเสื้อยืดลายล่าสุดจากผลงานของปาโบล ปิกัสโซ (Pable Picasso) ทั่วโลก ผลงานศิลปะทั้งหมดที่สร้างสรรค์โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจาก 25 เมืองทั่วโลก จะถูกนำไปประกอบที่ Musée National Picasso กรุงปารีส เพื่อสร้างผลงานศิลปะชิ้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเพื่อสันติภาพ พร้อมร่วมกิจกรรมเวิร์คชอปส่งต่อสันติภาพผ่านศิลปะด้วยเด็กๆ จากโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม ที่ร้านยูนิโคล่ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา
เสื้อยืดคอลเลคชันผลงานของปาโบล ปิกัสโซ (Pable Picasso) ศิลปินผู้ปฏิวัติวงการงานศิลป์ในศตวรรษที่ 20 ประกอบไปด้วย เสื้อยืดคอลเลคชันผลงานของปาโบล ปิกัสโซ มีทั้งหมด 4 ลาย และ อีก 1 ลายพิเศษสำหรับโปรเจคเสื้อยืดการกุศล PEACE FOR ALL ของยูนิโคล่ คอลเลคชันเสื้อยืดนี้เป็นครั้งแรกของยูนิโคล่ที่นำผลงานของปิกัสโซมาสร้างสรรค์เป็นผลงานล่าสุดในคอลเลคชัน ความร่วมมืออันหายากนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของ The Estate of Pablo Picasso ผู้ซึ่งสนับสนุนวิสัยทัศน์อันยาวนานของยูนิโคล่ในการมีส่วนสนับสนุนสังคมเพื่อให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้น
![]()
งานศิลปะที่จัดแสดงบนเสื้อยืด PEACE FOR ALL (ซ้าย) ของคอลเลคชันนี้คือ Bouquet of Friendship (1958) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อการเดินขบวนเพื่อสันติภาพที่จัดขึ้นที่สตอกโฮล์มในปี 1958 กำไรทั้งหมดจากการจำหน่ายเสื้อยืด PEACE FOR ALL จะบริจาคให้กับองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
คอลเลคชัน UT จะจัดแสดงผลงานสี่ชิ้นที่วาดโดยปิกัสโซจากช่วงปี 1920 ถึง 1940 ซึ่งเป็นช่วงที่เขามีความหลากหลายและสร้างสรรค์ผลงานมากที่สุด ผลงานศิลปะที่จัดแสดง ได้แก่ Dove of Peace (1949) ซึ่งวาดภาพนกพิราบสีขาวเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ซึ่งได้รับการเลือกเป็นสัญลักษณ์ในการประชุมสันติภาพนานาชาติครั้งแรกที่กรุงปารีสในปี 1949 เสื้อยืด PEACE FOR ALL และ UT รุ่นใหม่นี้แสดงถึงการสนับสนุนข้อความสันติภาพโลกตลอดชีวิตของปิกัสโซผ่านผลงานที่ก้าวข้ามขนบธรรมเนียมของศิลปะ และยังคงครองใจผู้คนมากมายในปัจจุบัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางสาวพิจิกา สงวนศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนพนักงาน มอบเงินบริจาคจากการระดมทุนในองค์กร รวมกว่า 130,000 บาท ให้แก่มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม (Operation Smile Thailand) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการผ่าตัดโดยทีมแพทย์อาสาของมูลนิธิฯ ให้กับเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ในพื้นที่ห่างไกล โอกาสนี้ นางสาวจุฑารัตน์ วิบูลสมัย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาแหล่งทุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ให้เกียรติเป็นตัวแทนรับมอบ
ข้อมูลจากมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ระบุว่า ทั่วโลก มีเด็กเกิดมาพร้อมภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ทุก ๆ 3 นาที และในประเทศไทย เด็ก 1 ใน 700 คน หรือประมาณ 2,000 รายต่อปีต้องเผชิญกับภาวะดังกล่าว โดยการผ่าตัดเพียง 45 นาที สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้ตลอดไป ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 - 30,000 บาทต่อครั้ง

การมอบเงินบริจาคในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคมของ Sea (ประเทศไทย) ซึ่งมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการสร้างสรรค์สังคมสำหรับทุกคน (Inclusive Society) ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนแก่มูลนิธิสร้างรอยยิ้มได้โดยตรง ที่เว็บไซต์ https://operationsmile.or.th/
บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด จัดงานทำบุญบริษัทฯ ประจำปี 2568 นำโดย นางสาวอริสา อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง พร้อมด้วยนายธนภูมิ อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมถวายนม 1,800 กล่องและเงินบริจาค แด่วัดยานนาวา พระอารามหลวง เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลต่อองค์กร ณ บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) เมื่อเร็วๆ นี้
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดโครงการพิเศษเพื่อสังคมนำเบี้ยประกันภัยโรคมะเร็งส่วนหนึ่งบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศล โดยเมื่อลูกค้าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็ง บริษัทฯ จะหักเบี้ยประกันภัยจำนวน 50 บาทต่อกรมธรรม์ มอบให้แก่ชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงทั้งก่อนและหลังผ่าตัดให้เกิดการปรับตัวกับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2568
ลูกค้าสามารถซื้อประกันภัยโรคมะเร็งที่กำหนดผ่านช่องทางดังนี้
- ประกันภัยโรคมะเร็งซูเปอร์เซฟ ซื้อผ่านบริษัทฯ โดยตรงได้ที่โทร. 0 2285 8888 / เว็บไซต์บริษัทฯ bangkokinsurance.com / LINE @bangkokinsurance รวมถึงสาขากรุงเทพประกันภัย และ BKI Care Station จุดบริการประกันภัยในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ
- ประกันภัยโรคมะเร็ง CA 1st ซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ
ทั้งนี้ การทำประกันภัยโรคมะเร็ง นอกจากลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์แล้ว เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีในหมวดประกันสุขภาพได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับโครงการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล โดยนอกจากประกันภัยโรคมะเร็งแล้ว เมื่อซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA Holiday แผน 3 กรมธรรม์ใหม่ ผ่านเว็บไซต์บริษัทฯ สามารถเลือกการบริจาคเงินจำนวน 300 บาท แทนการรับของสมนาคุณ โดยมอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลศิริราช และชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี
นายวัชรินทร์ เครือแดง ผู้จัดการสำนักงานสุราษฎร์ธานี พร้อมพนักงานบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มอบเงินจำนวน 180,000 บาท ให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร โดยมี นางทัศนียา ลิ้มอุดมพร รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปสร้างบ้าน โครงการ Home&Hope “การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นางสมหมาย ศักดิ์ภูเขียว อายุ 75 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลเขาทะลุ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
โครงการ Home&Hope เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) มอบเงินเพื่อพัฒนาการศึกษา ให้กับวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี โดยมีนายเจริญ ไชยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมเกียรติยศ วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี เมื่อเร็วๆนี้
มูลนิธิทีทีบี เดินหน้าจัดงาน Networking Workshop เปิดพื้นที่เชื่อมโยงเครือข่ายและโอกาสในการสนับสนุนงานด้านการพัฒนาสังคม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการสร้างเครือข่าย อาทิ เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร พร้อมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางในการทำงานที่ส่งเสริมกันและกัน โดยมีตัวแทนกว่า 20 องค์กรด้านการพัฒนาสังคม ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมขน ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องต่อชุมชนของตัวเองเพื่อร่วมเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

นางสาวมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า “มูลนิธิทีทีบีได้จัดงาน ttb Networking Workshop ต่อเนื่อง และได้รับการตอบรับจากเครือข่ายองค์กรภาคีด้านการพัฒนาสังคมเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของมูลนิธิทีทีบีในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กรเครือข่าย โดยเรามีเป้าหมายต้องการสร้างมิตรภาพและเครือข่ายระหว่างองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาสังคมได้เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือ มีการวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร รวมถึงแลกเปลี่ยนและหาโอกาสในการทำงานที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อส่งต่อองค์ความรู้สู่ชุมชน
“ในส่วนของทีทีบีทุก ๆ ปี จะมีอาสาสมัครทีทีบีใช้ความรู้ ทักษะของพนักงานไปทำงานจิตอาสากับชุมชน ตามแนวคิด Make REAL Change ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรในการจุดประกายการ “ให้” คืนสู่ชุมชน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มีพนักงานเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครกว่า 4,000 คน เกิดโครงการเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน 23 โครงการ และตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 280 โครงการ”

นายอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเยียวยาจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย “I SEE U Contemplative Care” ให้ความเห็นว่า การเข้าร่วมงาน ttb Networking Workshop ครั้งนี้ได้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การสร้างสัมพันธ์กับเครือข่ายอื่น ๆ โดยองค์กรที่เข้มแข็งอย่างทีทีบี จะสามารถช่วยเติมเต็ม I SEE U ได้ ไม่ว่าการขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ การพัฒนาเครื่องมือในการขับเคลื่อนกิจการ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการเข้าร่วมงานในครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความจริงใจและพลังของมูลนิธิทีทีบีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับความเห็นของนายพีระพจน์ พลอยแก้ว หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา บอกว่า เข้าร่วม ttb Networking Workshop เป็นครั้งที่สองแล้ว สิ่งที่ได้คือ การได้รู้จักเพื่อนจากองค์กรต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงแนวคิดของแต่ละองค์กร เป็นโอกาสในการเรียนรู้และนำไปปรับใช้ในการพัฒนางานขององค์กร ซึ่งมูลนิธิเชื่อว่าความรู้เป็นทรัพยากรที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสร้างความยั่งยืนในการทำงานได้ คนยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตน้อยมาก จึงอยากสื่อสารให้สังคมตระหนักและเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน อาสาสมัครทีทีบีเคยไปช่วยพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังมีจุดอ่อนเรื่องคอนเทนต์ มองว่าทีทีบีมีองค์ความรู้เรื่องสร้างคอนเทนต์ที่ทันสมัยและน่าสนใจ คิดว่าหากได้องค์ความรู้เพิ่มเติมน่าจะช่วยทำให้คอนเทนต์ที่นำเสนอได้รับความสนใจและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ปิดท้ายกับเสียงสะท้อนของ นางสาวษรขวัญ ผุดบัวน้อย เจ้าหน้าที่สื่อสารสังคม มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) กล่าวว่า การเข้าร่วมทำกิจกรรมครั้งนี้เป็นประโยชน์มาก ทำให้ได้พบเครือข่ายใหม่ ๆ และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งการมีคอนเน็กชันถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงาน เพราะเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ การร่วมมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรอื่น ๆ จะช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสู่ความสำเร็จได้

“ขอขอบคุณมูลนิธิทีทีบีที่จัดงาน ttb Networking Workshop ทำให้แต่ละองค์กรได้รู้จักกัน แม้ว่าอาจจะมาจากสายงานที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีจุดเชื่อมที่สามารถทำงานร่วมกันได้ และยังมุ่งมั่นกับการส่งเสริมพัฒนาเด็ก สอดคล้องกับเป้าหมายของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก โดยเราเชื่อว่าการทำให้เด็กเห็นศักยภาพและคุณค่าของตัวเอง การส่งเสริมให้เด็กมีเป้าหมายและมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเอง คือการพัฒนาที่ยั่งยืน” นางสาวษรขวัญกล่าว
มูลนิธิทีทีบี มุ่งมั่นและตั้งใจเดินหน้าจุดประกายเยาวชนและชุมชน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ติดตามกิจกรรมดี ๆ ต่อได้ที่ https://www.ttbfoundation.org
แกร็บ ประเทศไทย จับมือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ มูลนิธิองค์กรทำดี เปิดตัวแคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” เพื่อส่งเสริมและยกระดับความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมป้องกันการคุกคามทางเพศ สอดรับกับนโยบาย “ปลอดภัยดี” ของ กทม. ที่มุ่งลดจุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุ และสาธารณภัย โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมกับกลุ่มไรเดอร์และคนขับ แกร็บผ่าน 3 ไฮไลท์หลัก คือ กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด เพื่อกระตุ้นจิตอาสาในการรายงานจุดเสี่ยงภัยทั่วกรุงเทพฯ ผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue การรณรงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยคุกคามทางเพศผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ที่ได้ ดร. ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมให้ความรู้ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ IoT อาทิ กล้องบันทึกภาพ และปุ่มฉุกเฉิน (SOS) ภายในรถยนต์โดยสาร เพื่อสร้างความอุ่นใจในการเดินทางให้กับทั้งผู้ใช้บริการและคนขับ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นที่จะสร้างเมืองที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามนโยบาย ‘ปลอดภัยดี’ โดยยกระดับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมเพื่อสร้างความอุ่นใจรอบด้านให้กับประชาชนภายใต้แนวคิด 3 ส. อันได้แก่ สว่าง ผ่านการติดตั้งและซ่อมแซมไฟฟ้าแสงสว่างในที่สาธารณะ สะดวก ผ่านการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยเพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยหรือหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง และ สบายใจ ผ่านการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องทุกความเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยง โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา กทม. ได้ดำเนินการปรับปรุงจุดเสี่ยงอาชญากรรมไปแล้วกว่า 177 จุด ทั้งนี้ การผนึกความร่วมมือกับแกร็บโดยเปิดโอกาสให้คนขับและไรเดอร์มาช่วยปักหมุดจุดมืดในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบาย ‘กรุงเทพฯ ต้องสว่าง’ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการระบุจุดเสี่ยงและแก้ไขปัญหาแสงสว่างตามจุดต่างๆ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสปัญหาอาชญากรรม ซึ่งถือเป็นอีกแรงสำคัญที่จะช่วยสร้างเมืองที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นให้กับทุกคน”
![]()
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและคนขับถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแกร็บ ดังนั้น เราจึงได้ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น แกร็บยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมประเด็นด้านความปลอดภัยในสังคม อาทิ การขับขี่ปลอดภัย รวมถึงการป้องกันการคุกคามทางเพศด้วย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยกันสอดส่องดูแล ยับยั้ง และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในปีนี้ เราจึงได้ริเริ่มแคมเปญ ‘เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab’ โดยร่วมมือกับ กทม. และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนขับแกร็บ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องเดินทางในท้องถนนและมีโอกาสพบเจอกับผู้คนเป็นจำนวนมากในทุกวัน โดยส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยแคมเปญนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแกร็บในการยกระดับความปลอดภัยผ่านการใช้เทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกพลเมืองดีให้กับคนขับ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ปลอดภัย และน่าอยู่สำหรับทุกคน”
กิจกรรมหลักภายใต้แคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” ประกอบด้วย
· กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด สร้างกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัย: โดยแกร็บร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร เชิญชวนคนขับแกร็บในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วยกันสอดส่องและรายงานพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บริเวณถนนหรือซอยที่ไฟฟ้าดับ สัญญาณไฟคนข้ามชำรุด หรือพื้นที่เปลี่ยวใกล้ชุมชน ด้วยการถ่ายภาพบริเวณที่เสี่ยงภัย และส่งต่อไปที่ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุง และแก้ไขต่อไป โดยปัจจุบันคนขับแกร็บได้เริ่มรายงานจุดเสี่ยงภัยไปแล้วกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ
![]()
· การรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการป้องกันการคุกคามทางเพศ: โดยแกร็บได้จัดทำคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศและแนวทางในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามให้แก่คนขับแกร็บ โดยได้ ดร. บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมถ่ายทอดความรู้และปลุกจิตสำนึก พร้อมแนะนำให้คนขับสามารถแยกแยะพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการคุกคามทางเพศ และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
· การยกระดับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการและคนขับ: นอกจากการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาใช้ อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre ศูนย์ความปลอดภัยที่ให้ผู้โดยสารขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน ฟีเจอร์ Share My Ride ที่สามารถแชร์เส้นทางการเดินทางแบบเรียลไทม์ให้กับเพื่อนและครอบครัวได้ หรือฟีเจอร์ Audio Protect ที่มีการบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีที่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์แล้ว ในปีนี้ แกร็บได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี IoT อาทิ ปุ่มฉุกเฉิน (SOS) และกล้อง Karta Dashcam ภายในห้องโดยสารเพื่อบันทึกภาพระหว่างการเดินทาง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้ทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการ โดยจะเน้นไปที่บริการ GrabCar for Ladies (บริการเรียกรถที่ให้บริการโดยคนขับผู้หญิง)
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ (มพส.) หรือ FOPDEV จัดพิธีส่งมอบบ้านและห้องน้ำ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงใหม่รวม 12 หลัง แก่ผู้สูงอายุและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างฉับพลันในปี 2567 ณ ชุมชนยางซ้าย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย โดยได้รับเกียรติจากนายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นตัวแทนรับมอบ

การส่งมอบที่อยู่อาศัยดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จจากโครงการที่ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมมือกับ พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชัน และ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล จัดขึ้นโดยมีอาสาสมัคร “PRUVolunteers” จากทั้งเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งทีมผู้บริหารระดับสูงจาก พรูเด็นเชียล ประเทศไทย และ อีสท์สปริง อินเวสทเมนทส์ กว่า 70 คน จาก 16 ประเทศทั่วโลก มาร่วมกันซ่อมแซมและสร้างบ้านใหม่ทั้งหมด 12 หลัง เพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยพิบัติให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปลอดภัย ตามเจตนารมณ์ "ชีวิตมีกัน... ทุกวันดีกว่า"
นางสาวจิราพร ประเสริฐศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ภาคเหนือตอนล่าง นายสิงห์ สุขโท้ ผู้จัดการสำนักงานพิษณุโลก พร้อมพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มอบเงินจำนวน 180,000 บาท ให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย โดยมี นางฐิติพร ศิริโกศล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปสร้างบ้าน “โครงการ Home & Hope การพัฒนาที่อยู่อาศัยเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นางปรางทิม ช้างไผ่ อายุ 58 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
โครงการ HOME & HOPE เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง แบรนด์ “เรืองไพร โปรดักส์” จากโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น งานทำมือ ที่ใส่ใจทุกขั้นตอน โดดเด่นด้วยสีเหลืองนวลธรรมชาติจาก “ดอกดาวเรือง” ที่ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ชอบซื้อเป็นของขวัญของฝาก โดย ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เลือกเป็นโรงเรียนนำร่องในโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว โรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 เพื่อพัฒนาศักยภาพทักษะอาชีพให้แก่นักเรียนที่สนใจเป็นผู้ประกอบการ พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งร่วมกับซีพี ออลล์ โดยตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า จากการเดินหน้า โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ซึ่งเป็นแผนงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 ของซีพี ออลล์ โดย โรงเรียนวังไพรวิทยาคม อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องในโซนภาคตะวันออก ที่ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค จนล่าสุดโรงเรียนได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง” รวมถึงเป็นแหล่งผลิตและจำหน่าย “เรืองไพร โปรดักส์” สินค้าผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง อาทิ ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดเดรส ฯลฯ
“ศูนย์การเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง ตั้งอยู่ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ต.วังใหม่ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ถือเป็นแหล่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับรายได้ของเศรษฐกิจในชุมชน และเป็นพื้นที่ให้นักเรียนได้ยกระดับทักษะการเป็นผู้ประกอบการจิ๋ว ด้วยพื้นฐานอาชีพหลักของชาวตำบลวังใหม่คือ อาชีพเกษตรกรปลูกดาวเรือง จึงคิดสร้างสรรค์สกัดสีจากดาวเรืองมาทำเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้าจากผ้ามัดย้อม โดยใช้ “ใบไม้” มาเป็นลวดลายหลักที่ไม่ซ้ำใคร เนื่องจากสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ จัดเป็นสินค้าแรร์ไอเทม ของโรงเรียนเลยทีเดียว” นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ ภายใต้โครงการ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้บูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ กระบวนการปลูก การแปรรูป การตลาด การจัดการบัญชี และการออกแบบแพ็คเกจจิ้ง รวมถึงทักษะการขายออนไลน์บนช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น
คุณครูอัมพร สุคนเขตร์ ครูชำนาญการพิเศษวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว ผู้รับผิดชอบโครงการการพัฒนาการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่น กล่าวเสริมเรื่องบรรยากาศการเรียนการสอนว่า ตลอดระยะเวลา 4 เดือน หรืออย่างน้อย 15 สัปดาห์ ในการอบรมหลักสูตรนี้ เด็กๆ จะได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายผ่านการปฏิบัติจริงสู่การสร้างงานสร้างอาชีพได้ในอนาคต โดยหลักสูตรประกอบด้วย 6 รายวิชา ได้แก่ 1.การเพาะปลูกดาวเรือง 2.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นของใช้ อาทิ สบู่ แชมพู ครีมบำรุงผิว 3.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม 4.การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) 5.หลักการบริหารธุรกิจ 6.การบริหารจัดการตลาดสมัยใหม่ รู้สึกภูมิใจมากๆ ค่ะที่ได้เห็นเด็กๆ ช่วยการพัฒนาสินค้าด้วยสมองสองมือกันด้วยความตั้งใจ

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการจิ๋ว “น้องลูกปลา” นส.แก้วตา เต็งมิ่ง นักเรียนชั้นม.5 ตอบด้วยรอยยิ้มว่าหนูชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นผ้ามัดย้อมและผ้าพิมพ์ลายธรรมชาติ (Eco Print) ตั้งแต่การปลูก ตัด ตากแห้งดอกดาวเรือง ไปจนถึงกระบวนการมัดย้อมค่ะ ที่ชอบเนื่องจากเราได้ออกแบบจินตนาการลายเองจากใบไม้ที่หาได้ในโรงเรียน ซึ่งแต่ละชิ้นที่ออกมาลายจะไม่ซ้ำกัน เห็นผลงานแล้วรู้สึกภูมิใจค่ะ
“น้องปันปัน” นาย วีรชน มีบุญมาก นักเรียนชั้นม.6 เผยว่าชอบรายวิชาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดาวเรืองเป็นอาหารว่าง และเครื่องดื่ม เนื่องจากโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทำอาหาร ยิ่งพอได้มีโอกาสทำเบเกอรี่และข้าวเกรียบจากดอกดาวเรืองก็ยิ่งสนุก พอลองชิมดูสรุปรสชาติอร่อยครับ เหมาะกับการเป็นอาหารว่างมากๆ ส่วนเครื่องดื่มก็มีการสกัดดอกดาวเรืองมาทำเป็นน้ำดาวเรืองผสมน้ำผึ้งมะนาวโซดา รสชาติหอมอร่อยกลมกล่อม ดื่มแล้วสดชื่นมากครับ
“หนูทั้งสองคนต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ทีมงาน ซีพี ออลล์ ที่มาให้ความรู้ด้านการขาย การโปรโมทสินค้าทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดีย Tiktok Facebook หรือแม้แต่ทักษะการบริการ การขายของหน้าร้าน ปัจจุบันหนูทั้งสองคนได้นำทักษะเหล่านี้มาใช้ในการช่วยโรงเรียนโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองด้วย ซึ่งสนุกมาก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากๆค่ะ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้เพิ่มทักษะการขายจริงด้วยค่ะ” น้องๆกล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันสินค้าได้รับการตอบรับจากคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนมีองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างอาชีพให้ทางบ้านและเกิดรายได้จริง หากต้องการอุดหนุนสินค้าสามารถสั่งซื้อได้ 3 ช่องทาง 1.ที่โรงเรียนวังไพรวิทยาคม สามารถเข้ามาชมสินค้าหรือศึกษาชมงานได้ตลอดในเวลาราชการ 2.งานแสดงสินค้า งานอีเว้นต์ หรืองานนิทรรศการต่างๆ 3.ช่องทางออนไลน์ กดติดตามได้ที่ Facebook : Rueang Prai - เรืองไพร โปรดักส์ และในอนาคตซีพี ออลล์ตั้งเป้าพัฒนาสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์เสริมแกร่งสร้างรายได้ยั่งยืน

ปัจจุบัน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดูแลโรงเรียนภายใต้ CONNEXT ED รวมประมาณ 610 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนกว่า 160,000 คน โมเดลที่ประสบความสำเร็จของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ภายใต้โรงเรียน CONNEXT ED เพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงเรียน CONNEXT ED ในภาคตะวันออก เพื่อสร้างทักษะอาชีพ สร้างรากฐานการศึกษาไทยให้แข็งแรง ช่วยติดอาวุธให้เด็กไทยเติบได้อย่างยั่งยืน