นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions Roadmap ภายในปี 2050 เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้า Net Zero ทั้ง 3 Scope รวมถึงกำหนดมาตรการสนับสนุนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น การปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการอนุรักษ์ป่า รวม 50,000 ไร่ ภายใน 10 ปี เพื่อเพิ่มอาณาเขตป่าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน ภายใต้ชื่อโครงการ “ปลูกป้องโลก” ซึ่งธนาคารได้คิกออฟการปลูกป่าออมสิน แปลงที่ 1 ขนาด 1,600 ไร่ ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อำเภอด่านซ้าย และอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยได้รับเกียรติจากนายอนุพงศ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายสราวุฒิ บุญเกื้อ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน นำโดย นางสาววชิรา การสุทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความยั่งยืน นายสุชาติ เจริญธรรม ผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 10 และทีมงานทั้งจากธนาคารออมสิน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการกว่า 100 ชีวิต ได้ร่วมกันปลูกต้นกล้าพันธุ์ไม้ รวม 11 ชนิด เช่น ไม้สัก ไม้แดง ยางนา มะค่าโมง ประดู่ป่า ตะเคียนทอง ตะแบก ฯลฯ
“โครงการปลูกป้องโลก” เป็นมาตรการสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน Net Zero 2050 ตามมติคณะกรรมการธนาคารออมสิน ตั้งเป้าปลูกป่าทดแทนป่าเสื่อมโทรมขนาดพื้นที่ 30,000 ไร่ และการอนุรักษ์ป่าขนาดพื้นที่ 20,000 ไร่ รวมจำนวนพื้นที่ป่าโดยธนาคารออมสินตลอดระยะเวลา 10 ปี (ปี 2567 – 2576) รวม 50,000 ไร่ คิดเป็นปริมาณคาร์บอนที่ดูดซับสะสมกว่า 35,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2) โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้ในการจัดสรรพื้นที่ปลูกป่าทดแทนให้ได้ตามเป้าหมาย (ไม่รวมพื้นที่ป่าอนุรักษ์) นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างรายได้จากการดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่าให้กับชาวบ้านของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ และเป็นการปลูกฝังสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการใส่ใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแก่ชุมชนต้นน้ำอีกด้วย
ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จับมือพันธมิตรเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) เป็นปีที่ 11 มอบโอกาสที่เท่าเทียมทางอาชีพให้แก่ผู้ขาดโอกาสทางสังคม มุ่งเน้นการกระจายโอกาสในการทำงาน การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชน พร้อมจัดงาน “Partnership Day” มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง
และมุ่งขยายโครงการฯ ไปยังพันธมิตรทางธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ผู้ขาดโอกาสเพิ่มขึ้นในประเทศไทย นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการอัปเดตการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายในประเทศ ตามวิสัยทัศน์ L’Oréal For The Future ที่มุ่งเร่งเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้คำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก และร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วนโดยทีมงานลอรีอัลด้วยเช่นกัน
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชากล่าวว่า “ในฐานะบริษัทผู้นำด้านความงามระดับโลกที่มีเป้าหมายในการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ลอรีอัล ให้ความสำคัญในการทำงานที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเติบโตทางธุรกิจ นอกจากนั้น เรายังตระหนักดีถึงความหนักหนาของปัญหาที่โลกและสังคมกำลังเผชิญ และความจำเป็นที่ทุกๆ ฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วม เราจึงมุ่งส่งเสริมให้พันธมิตรทางธุรกิจของเรา ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสทางสังคมผ่านโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) ซึ่งถือเป็นหนึ่งโครงการสำคัญ โดยลอรีอัล กรุ๊ป ได้ตั้งเป้าในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030”
จากเป้าหมายของลอรีอัล กรุ๊ปในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030 นั้น ในปี 2023 ได้ดำเนินโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 429 โครงการครอบคลุมพื้นที่ 1,069 แห่งใน 67 ประเทศ และช่วยให้คนกว่า 93,165 คนให้สามารถเข้าถึงงานได้ โดยการทำงานครอบคลุมทั้งในด้าน การจ้างงานผู้ขาดโอกาส และการจัดซื้อวัตถุดิบจากชุมชน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ Inclusive Sourcing และการให้โอกาสทางอาชีพผ่านการอบรบทักษะอาชีพเสริมสวยภายใต้โครงการ Beauty for a Better Life
“ในส่วนของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยนั้น เริ่มดำเนินโครงการ Inclusive Sourcing จัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคมมาตั้งแต่ปี 2014 จากจุดเริ่มต้นที่มีผู้ขาดโอกาสทางสังคมที่ได้รับประโยชน์ผ่านโครงการนี้ 6 คนในปีแรก มาเป็น 234 คนในปี 2024 และยังมีการขยายโครงการในการสร้างรายได้ให้บริษัทรายเล็กกลุ่ม SMEs และบริษัทสตรีเป็นเจ้าของ เรายังคงมุ่งหน้าผลักดันความร่วมมือกับพันธมิตรของเรา พร้อมกับการมองหาพันธมิตรใหม่ที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการเส้นทางการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ตามพันธกิจเพื่อความยั่งยืนของเรา พันธมิตรทางธุรกิจคือกุญแจความสำเร็จในการดำเนินโครงการนี้ของเรา Partnership Day ถือเป็นวันสำคัญที่ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2016 เพื่อเชิดชูเกียรติพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการขับเคลื่อนสังคมอย่างยั่งยืน” นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา กล่าวเสริม
ในปีนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ได้มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง พันธมิตรประเภท Silver ได้แก่ บริษัท ฟรองค์ อินเตอร์เทรด จำกัด, พันธมิตรประเภท Gold ได้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.รีแพ็ค และพันธมิตรประเภท Platinum ได้แก่ บริษัท พีเอ็มจี อินทิเกรทเต็ด คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังได้ต้อนรับบริษัท SMEs และบริษัทที่มีสตรีเป็นเจ้าของที่ได้รับโอกาสการจ้างงานจากบริษัทฯ และในเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
นอกจากการมอบรางวัลยกย่องพันธมิตรแล้ว ลอรีอัล กรุ๊ปยังอัปเดตการดำเนินการตามวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืน L’Oréal For The Future ซึ่งมีการดำเนินงานจริงจังในหลากหลายมิติ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกรุ๊ป ครอบคลุมในเรื่องของการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Fighting Climate Change), การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Manage Water Sustainably), เคารพความหลากหลายทางชีวภาพ (Respecting Biodiversity) และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (Preserving Natural Resources) โดยในส่วนของลอรีอัล ประเทศไทยนั้น มีการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การเริ่มนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) มาใช้สำหรับการขนส่งสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการใช้มาตรการเข้มงวดในการลดการขนส่งสินค้าทางอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการทำงานในด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ภายในงาน ลอรีอัล ยังได้เสริมความเข้าใจร่วมกันในเป้าหมายด้านความยั่งยืนภายใต้ L’Oréal For The Future โดยเน้นในการทำงานในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางพันธมิตร เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน อาทิ การออกแบบและสร้างจุดวางสินค้าและร้านค้าบนหลักการความยั่งยืนที่คำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลหรือสามารถนำไปรีไซเคิลได้เมื่อสิ้นอายุการใช้งาน การจัดงานอีเว้นท์ที่คำนึงถึงการใช้วัสดุและการลดขยะสิ้นเปลือง การทำการสื่อสารการตลาดบนกล่องบรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK มอบทุนการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์เพื่อการประกอบอาชีพแก่เพื่อนผู้พิการผ่านมูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน 10 ทุน เป็นเงิน 300,000 บาท ภายใต้โครงการ “EXIM เพื่อโอกาสในการประกอบอาชีพ” โดยมีนายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการมีความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อช่วยเหลือให้เพื่อนผู้พิการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ณ มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567
Rachel Gupta (ราเชล กุบตา) มิสแกรนด์อินเดีย 2024 เข้าเยี่ยมเด็กที่มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ชุมชนคลองเตย กรุงเทพฯ ระหว่างการเยือนประเทศไทย โดยได้ร่วมทำกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ด้วยการบริจาคสิ่งของจำเป็นมูลค่ากว่า 10,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและมีส่วนร่วมในโครงการชุมชนสัมพันธ์ที่มุ่งพัฒนาสภาพความเป็นอยู่และสร้างอนาคตที่ดีสำหรับเด็กและครอบครัวในพื้นที่ชุมชนแออัด ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ Rachel ในประเทศอินเดีย ซึ่ง Rachel ได้ทุ่มเทในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้เข้าถึงการศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูง
ระหว่างการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ Rachel ยังได้รับเกียรติเข้าร่วมงานประกวดมิสแกรนด์สระบุรี 2025 ในฐานะแขกรับเชิญคนสำคัญ โดยเข้าร่วมในรอบประกวดชุดว่ายน้ำและรอบตัดสินอีกด้วย
สำหรับการอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rachel ติดตามได้ที่ อินสตาแกรม
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำบริษัทฯ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Insurer ร่วมกับมูลนิธิ ลากูน่า ภูเก็ต และศูนย์วิจัยทรัพยากรทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 3 จากซ้าย) คุณอังคณา โตสิลานนท์ รองประธาน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (คนที่ 3 จากขวา) พนักงานจิตอาสากรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และเครือลากูน่า นักเรียนจากโรงเรียนมูลนธิลากูน่า ภูเก็ต พร้อมทั้งชาวบ้านคลองเคียง ร่วมกันปลูกป่าชายเลนปีที่ 2 ภายใต้โครงการ Save Our Sea จำนวน 1,200 ต้น ซึ่งสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ ได้มากถึง 32 ตันต่อปี ณ โรงเรียนคลองเคียนรัฐราษฏร์รังสรรค์ จ.พังงา
โดยกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และพันธมิตรยังมีจุดมุ่งหมายร่วมกันผ่านความมุ่งมั่นใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมทะเลของประเทสไทย รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อน ส่งเสริม และกระตุ้นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ และรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล (Climate Change & Biodiversity) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมการพัฒนาพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อม
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมเพื่อสังคมดีๆ จาก กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตติศักดิ์ ทองฟุก รองผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนเดินทางเข้ามอบเงินบริจาคพร้อมสิ่งของเครื่องใช้อุปโภค บริโภคที่จำเป็น ในโครงการ "ร่วมใจสานฝันน้อง" กับกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิต เพื่อร่วมบริจาคเครื่องอุปโภค บริโภค ให้แก่สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี ชายและหญิง จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีส่งมอบ พร้อมด้วย นายพิสิฐ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายวินัย เก่งสุวรรณ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการคนพิการ และตัวแทนจากบ้านราชาวดีชายและบ้านราชาวดีหญิง จังหวัดนนทบุรี เป็นผู้รับมอบ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาสังคมและการแบ่งปัน รวมถึงสร้างความร่วมมือในภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอย่างยั่งยืน
บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในทุกมิติของการสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน โดยชวนพนักงานที่มีจิตอาสาและนักศึกษาฝึกงาน SCN พร้อมใจเข้าร่วมกิจกรรมเย็บเต้านมเทียม ภายใต้โครงการ Sabina Sewing Cup Sewing Heart เย็บเต้ารวมใจ สู้ภัยมะเร็งเต้านม เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่าตัดเต้านมและสูญเสียความมั่นใจในเรื่องของบุคลิกภาพหลังจากรับการรักษาให้กลับมามีรอยยิ้มกับสรีระของตนเองอีกครั้ง โดยกิจกรรมได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยผู้บริหาร สานต่อการขยายผลสร้าง Social Impact ให้แก่ชาวบ้านในชุมชนตำบลเกาะศรีบอยา จังหวัดกระบี่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาการศึกษาและทักษะการเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยได้มอบเรือกู้ชีพ “ออมสินชีพรักษ์ 2” และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการกู้ชีพฉุกเฉินให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะศรีบอยา สำหรับใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินกรณีเจ็บป่วยรุนแรงหรือเกิดอุบัติเหตุ เพื่อส่งต่อถึงบริการทางการแพทย์บนฝั่งได้ทันท่วงที ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
พร้อมมอบกระเป๋าและชุดปฐมพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะจำและบ้านเกาะศรีบอยา มอบเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ในโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อสังคม เพื่อส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้รับโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี ข้อมูล ข่าวสารอย่างเท่าเทียม อีกทั้งมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์เสริมสร้างพัฒนาการเด็ก ให้แก่โรงเรียนบ้านเกาะจำ โรงเรียนบ้านเกาะปู และโรงเรียนบ้านติงไหร ตลอดจนแว่นสายตาให้แก่ผู้สูงอายุ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะศรีบอยา จังหวัดกระบี่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายสายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า มอบน้ำดื่มจำนวน 3,000 ขวด แก่สำนักงานเขตบางซื่อ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และประชาชนจิตอาสาในกิจกรรม “จิตอาสา รักษาสภาพคู คลอง” ภายในพื้นที่สำนักงานเขตบางซื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำให้กับกรุงเทพมหานคร โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ และประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ ในการทำความสะอาด กำจัดวัชพืชและขยะสิ่งปฏิกูลกีดขวางทางน้ำในคลอง ตัดแต่งกิ่งไม้ ปรับแต่งภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาชุมชุนและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมี นายเจษฎา ประภาสะวัต ผู้อำนวยการเขตบางซื่ิอ เป็นผู้แทนรับมอบ ณ ที่ทำการสำนักงานเขตบางซื่อ เมื่อเร็วๆนี้
ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ กสทช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมวิกฤตในอำเภอศรีสำโรงและอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เพื่อตรวจสอบคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการในพื้นที่ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งนำถุงยังชีพ 500 ชุดมอบแก่ผู้ประสบภัยในชุมชนต่างๆ โดยมีนายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. และรักษาการเลขาธิการ กสทช. พร้อมด้วยทีมงาน นำทีมลงพื้นที่ ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้วางแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดตั้งทีมเฝ้าระวังต่อเนื่องพื้นที่จังหวัดภาคกลางและกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือไหลบ่าและฝนตกหนัก
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นขอส่งกำลังใจถึงผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกท่าน โดยล่าสุดทีมงานของเรานอกจากจะดูแลความพร้อมระบบสื่อสารให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแล้ว ยังได้เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือ พร้อมนำถุงยังชีพ อาหารแห้ง น้ำดื่ม และยา มอบแก่ผู้ประสบภัยในจังหวัดสุโขทัยซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำเหนือทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ทั้งนี้ เราได้ดำเนินการช่วยเหลือจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดน่าน และโรงพยาบาลน่านในการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมมือกับ กสทช. ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตรวจสอบสัญญาณมือถือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทรูและดีแทคว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและน้ำเหนือที่ไหลผ่าน ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่”
ทีมเน็ตเวิร์กของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ประจำการตามสถานีฐานต่างๆ ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทางภาคเหนือ และพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดอื่นๆ โดยทีมงานได้เข้าปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนตามแผนฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ ทรูได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) พร้อมระบบ AI คอยเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งจัดเตรียมรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) และยานพาหนะทั้งรถและเรือสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม ตลอดจนอุปกรณ์สำรองและอะไหล่สำหรับซ่อมแซมในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้มอบความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งรวมถึงการขยายระยะเวลาใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน การระงับการตัดสัญญาณ และการขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนของทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เป็นเวลา 7 วัน สำหรับลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ (ลูกค้าจะได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์)
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ตัวแทนโดย ผู้จัดการสาขา และพนักงาน บิ๊กซี สาขาน่าน บิ๊กซี สาขาเชียงราย 1 บิ๊กซี สาขาแพร่ และ บิ๊กซี สาขาสุโขทัย ร่วมใจอาสาเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง ส่งมอบถุงยังชีพ สิ่งของจำเป็น และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์วิกฤต และขอส่งพลังและกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยและผ่านพันวิกฤตนี้ไปโดยเร็ว
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทยอย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุดได้ส่งทีมเน็ตเวิร์กลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อดูแลสถานีฐานและเน็ตบ้านให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งในจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา และแพร่ เป็นต้น พร้อมทั้งทีมภูมิภาคของทรู คอร์ปอเรชั่นเร่งนำอาหาร น้ำดื่มช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้มอบความช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งรวมถึงการขยายวันใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน การระงับการตัดสัญญาณ และการขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนของทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เป็นเวลา 7 วัน แก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดต่างๆ (รอรับ SMS ยืนยัน)
บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามแผนฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทีมปฏิบัติการพิเศษประจำ BNIC (ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ) พร้อม AI คอยเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น รถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) และยานพาหนะสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเดินหน้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง