

เช้าที่สดใสในหน้าฝนบริเวณบ้านไร่ลุงคริส เสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มจากเด็กๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ บ้างจับกลุ่มปีนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มเงาอย่างสนุกสนาน บ้างไกวชิงช้า บ้างวิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าสูงต่ำลาดชัน สะท้อนความสุขจากการได้สัมผัสธรรมชาติรอบตัว ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาอุทยานแห่งชาติสามหลั่น จ.สระบุรี ที่มีทั้งป่า เขา อ่างเก็บน้ำ ทุ่งนาและแมลงมากมาย จึงเหมาะกับการเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศน์ และเป็นที่มาของโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ของกรุงเทพประกันชีวิต ที่จัดขึ้นเพื่อชักชวนลูกค้าพร้อมสมาชิกตัวน้อยให้มาร่วมกิจกรรมการปลูกฝังให้รัก เห็นคุณค่าและใส่ใจในธรรมชาติ พร้อมสร้างความผูกพันในครอบครัวผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน

อรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ในการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ที่ให้ความสำคัญกับความใส่ใจในทุกมิติ โดยเฉพาะในส่วนของลูกค้า เราเห็นคุณค่าของคำว่า “ครอบครัว” ที่เป็นหน่วยเล็ก ๆ ในสังคม จึงส่งมอบความอุ่นใจ ความสบายใจ และความสุข ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ สร้างความมั่นคงทางใจให้กับเด็กและเป็นรากฐานของสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยังร่วมกันส่งต่อความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ผ่านการเรียนรู้ให้กับหัวใจดวงน้อยของเด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

“โครงการ Little Heart Care & Learn with Nature” ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากการลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน BLA Happy Life Application โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 วัน ๆ ละ 40 ครอบครัว ซึ่งแต่ละวันมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 120 คน สะท้อนถึงความใส่ใจของคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกใช้เวลาไปกับลูกในกิจกรรมเล็กๆ เพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ฐาน ภายใต้การดูแลโดยคุณครูและวิทยากรผู้มีประสบการณ์การสอนเด็กในรูปแบบบูรณาการ เพื่อให้ความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติ ซึ่งเริ่มต้นช่วงเช้าด้วย ฐานที่ 1 “ใส่ใจแมลงเพื่อนรัก” ที่ให้น้อง ๆ ได้จับแมลงเพื่อทำความคุ้นเคยกับแมลงชนิดต่างๆ ในธรรมชาติ รวมทั้งเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและการป้องกันตนเองหากเจอแมลงที่อาจมีพิษ ฐานที่ 2 “สังเกต ใส่ใจ บันทึกไว้ในความทรงจำ” โดยการนำแมลงที่จับได้มาดูอย่างใกล้ชิด ฝึกสังเกตและวาดภาพแมลงที่เห็นตามสัดส่วนจริง ช่วยให้เข้าใจและจดจำลักษณะแมลงแต่ละชนิดได้ดีขึ้น

สำหรับช่วงบ่าย เริ่มต้นด้วย ฐานที่ 3 “มัดย้อม ใส่ใจ สีสันจากธรรมชาติ” โดยนำสีจากธรรมชาติมาสร้างสรรค์ลวดลายลงบนผืนผ้า ฝึกการคิด สังเกตและสร้างจินตนาการ ฐานที่ 4 “ปั้นด้วยใจ ใส่ใจ ทุกก้อนดิน” อีกหนึ่งช่วงเวลาคุณภาพ ความสุข ความอบอุ่นในครอบครัว ทุกคนร่วมกันสร้างชิ้นงานจากดินเหนียว ช่วยกันลงสี สร้างพัฒนาการการใช้นิ้วมือ การสัมผัส สร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ และปิดท้าย ฐานที่ 5 “พายไปด้วยกัน ใส่ใจ ไปพร้อมกัน” กิจกรรมว่ายน้ำและพายเรือแพในบ่อน้ำธรรมชาติ ให้เด็กๆ เรียนรู้ในการคอยช่วยเหลือดูแลกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งไม้พาย ช่วยประคองเรือ หรือกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

“ทุกๆ กิจกรรมในโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ช่วยสร้างโอกาสในการสื่อสาร พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคุณพ่อ คุณแม่และน้อง ๆ ทุกคนได้ร่วมกันวางแผน ลงมือทำ เรียนรู้ความอดทน พร้อมนำผลงานจากการสร้างสรรค์ภายในครอบครัวกลับบ้านด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเราได้ยินเสียงหัวเราะและมองเห็นความสัมพันธ์อันน่ารักภายในครอบครัว จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่พวกเราทีมงานกรุงเทพประกันชีวิต รู้สึกประทับใจและดีใจที่ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อร่วมกันสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน เป็นความใส่ใจที่เรามอบให้ และอยากให้ลูกค้าได้ติดตามสิทธิประโยชน์และกิจกรรมดีๆ ที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสถึงความห่วงใยและความตั้งใจของเราที่พร้อมดูแลและสนับสนุนทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ แอปพลิเคชัน BLA Happy Life ของเราค่ะ” อรนาฎกล่าวทิ้งท้าย
ปรบมือ คุณพ่อ+ลูกชาย คุณกฤษณ์ และคุณณภัทร ณรงค์เดช ชวนเพื่อนๆมาร่วมทำความดีอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และในปีนี้ 2025 ได้แบ่งปันสิ่งดีดีต่อสังคมด้วยการบริจาคเสื้อผ้าใหม่ อุปกรณ์การเรียนรู้ ของใช้จำเป็นให้แก่เด็กๆและเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กเล็กกว่า 80 ชีวิต ทั้งสองท่านมอบรอยยิ้ม ความรัก ความอบอุ่นสุดฮีลใจ โดยทุกปีทั้งคุณพ่อ+ลูกชาย มีความตั้งใจ เล็งเห็นความสำคัญในการตอบแทนสังคม ทั้งคู่เชื่อว่าความรัก ความเมตตาจะเป็นตัวขับเคลื่อนสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น นับเป็นตัวอย่างครอบครัวที่ดีอย่างมาก

ณ มูลนิธิเด็ก่อนในสลัม ในพระอุปภัมภ์ สาขาเสือใหญ่ รัชดาภิเษก ที่ผ่านมา
ในยุคที่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทางทะเลกำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก ระบบนิเวศใต้ท้องทะเลของไทยก็กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการกระทำของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เต่าทะเลเป็นสัตว์อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่อาศัยในท้องทะเลมานานนับล้านปี กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากปัจจัยต่างๆ ทั้งการทำประมงเกินขนาด การท่องเที่ยวที่ขาดความรับผิดชอบ และปัญหาขยะพลาสติกในทะเล แม้ว่าเต่าทะเลจะมีสัญชาตญาณอันน่าทึ่งในการเอาตัวรอด เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว แต่หากไม่มีการอนุรักษ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง สัตว์ทะเลที่มีคุณค่านี้อาจเหลือเพียงภาพจำในอนาคตอันใกล้

ด้วยพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางทะเล และได้มีพระราชเสาวนีย์ให้กองทัพเรือดำเนินการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการฟื้นฟูประชากรเต่าทะเลในประเทศไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน สืบเนื่องจากแนวพระราชดำริ ดังกล่าว โครงการ "ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา" ครั้งที่ 51 จึงได้จัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ฐานทัพเรือพังงา จังหวัดพังงา เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน และงานอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทยสืบไป
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวคิดของโครงการว่า "ศาสตร์พระราชาคือหลักแห่งการพัฒนาที่เคารพธรรมชาติ เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่า ภูเขา หรือท้องทะเล ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราทั้งสิ้น การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน คือคำตอบของการเอาชนะวิกฤตสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน และเป็นกุญแจสู่การอยู่รอดของโลกในวันข้างหน้า"

ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยกองทัพเรือเมื่อปี พ.ศ. 2538 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และยังเป็นสถานที่สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการดูแลระบบนิเวศทางทะเลและสัตว์ทะเลหายาก โดยคณะผู้เข้าร่วมได้รับฟังการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล บทบาทของกองทัพเรือในการอนุรักษ์ และกระบวนการดูแลลูกเต่าตั้งแต่ฟักไข่จนถึงการปล่อยกลับสู่ทะเล ไฮไลท์สำคัญของกิจกรรมคือการที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงสร้างความประทับใจแต่ยังปลูกฝังจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้แก่เยาวชนและผู้เข้าร่วมทุกคน
จากนั้น คณะผู้เข้าร่วมได้เดินทางไปยังโรงแรมอัปสรา บีชฟร้อนท์ รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า เขาหลัก ซึ่งเป็นต้นแบบของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมี นางกันทิมา แสงหลี รองกรรมการผู้จัดการ ให้การต้อนรับ และร่วมบรรยายในหัวข้อ "Green Hotel ต้นแบบโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการโรงแรมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการใช้พลาสติก การจัดการของเสีย ไปจนถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศโดยรอบ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

กิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ "Mind Spa" ซึ่งประกอบไปด้วย การเดินจงกรมภาวนาบนชายหาดเพื่อฝึกสติ และเชื่อมโยงจิตใจกับธรรมชาติ การตักบาตรพระสงฆ์บริเวณสะพานไม้ชายทะเล และการปล่อยปูดำคืนสู่ป่าชายเลนของโรงแรม ซึ่งไม่เพียงเป็นการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตแต่ยังส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งอันเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ
นอกจากกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โครงการยังให้ความสำคัญกับมิติด้านการศึกษาและการพัฒนาเยาวชน โดยมีการมอบทุนการศึกษาจากมูลนิธิธรรมดีให้แก่นักเรียนในพื้นที่ และมอบหนังสือจากโครงการ "อมรินทร์อาสา อ่านพลิกชีวิต" เพื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนที่มีความต้องการ

การสัมมนาและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแบ่งปันความรู้ อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และอาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม ที่ปรึกษาและอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ผู้คิดค้นนวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 หรือ Interactive Board Game หนึ่งเดียวในโลก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2030
โครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) คุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย มูลนิธิธรรมดี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพังงา ภายใต้แคมเปญ The Joys of Phangnga ที่มุ่งเน้นกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีความหมาย และได้รับการสนับสนุนหนังสือจากโครงการอมรินทร์อาสาอ่านพลิกชีวิต อมรินทร์กรุ๊ป
CPF ผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน รวมใจจิตอาสาทั่วประเทศ เติมเต็มคลังเลือด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
“โครงการทำความดีบริจาคโลหิต“ คือกิจกรรมที่บริษัทฯ ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนหนึ่งในค่านิยมสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์และซีพีเอฟ ในการ “ตอบแทนคุณแผ่นดิน”

โดยร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนผู้บริหาร พนักงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป มาร่วม “ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ และตอกย้ำคุณค่าของการเป็น “ผู้ให้” ที่แท้จริง

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง CPF และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เหล่ากาชาด ทหาร ตำรวจ โรงเรียน และชุมชน ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน พร้อมปลูกจิตสำนึกถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อส่งต่อชีวิตและความหวังให้แก่เพื่อนมนุษย์
ฟังเรื่องจริงที่อบอุ่นหัวใจได้ที่ >> https://youtube.com/shorts/MlbORapwhAo
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและชุมชนที่ขาดแคลน โดยนางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (ซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เป็นตัวแทนส่งมอบเงินบริจาค เพื่อสมทบทุนเข้าโครงการอุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โดยการบริจาคครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำใจของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมกันใช้จ่ายผ่านบัตร และใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER แลกเปลี่ยนเป็นเงินบริจาค โดยทุก ๆ 1000 คะแนน สามารถแลกเป็นเงินบริจาคมูลค่า 100 บาท ซึ่งมียอดใช้จ่ายบัตรเครดิตที่เข้าร่วมโครงการรวมกว่า 29,625,629 บาท เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก ครอบครัว และชุมชนที่เผชิญความยากลำบาก ช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษา และสนับสนุนการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน โดยมีนางรสลิน โกแวร์ (ขวา) ผู้อำนวยการ มูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นผู้รับมอบ ณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
นางสาวสิรีรัตน์ กล่าวว่า "เคทีซีต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้เด็ก ๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ขอขอบคุณสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมแบ่งปันน้ำใจและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อให้เด็กไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถก้าวสู่อนาคตที่สดใสได้อย่างมั่นคง"
นางรสลิน กล่าว “มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งเน้นการพัฒนา และการรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความยุติธรรมทางสังคม โดยทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชนในการมีส่วนช่วยขจัดปัญหาความยากจน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ปัจจุบันมูลนิธิฯ มีพื้นที่ดำเนินงานด้านโครงการพัฒนา 56 แห่ง ใน 35 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมดูแลเด็กในโครงการกว่า 38,000 คน โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศ เชื้อชาติ ภาษา และศาสนา ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังแห่งการให้ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็ก ๆ และชุมชนให้ดีขึ้น ขอขอบคุณสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืนค่ะ”
เว็บไซต์ข่าว ออนไลน์ นิวส์ไทม์ : www.onlinenewstime.com ได้จัดกิจกรรม “ปล่อยปูคืนสู่ทะเล” เป็นครั้งแรก ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 ภายใต้โครงการ “จากมือเรา สู่ทะเล: ปูม้ากลับบ้าน ทะเลไทยคืนสมดุล” เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม และการนำเสนอข่าวสาร ความรู้บนหลักการของข่าวสารที่มีคุณประโยชน์และพลังแห่งการคิดบวกและความรู้สู่ความยั่งยืน
กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้า สถานีวิจัยประมงศรีราชา คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปล่อยลูกปูม้าระยะแรกฟักจำนวน 3,750,000 ตัว และแม่ปูม้าที่มีไข่แก่นอกกระดองสีเทาดำทั้งหมด อีกจำนวน 15 ตัวลงสู่ทะเล คืนชีวิตสู่ทะเลไทย เสริมวงจรระบบนิเวศ ฟื้นปูม้าสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ พร้อมนิสิตร่วมเรียนรู้การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลทางวิชาการที่ระบุว่าแม้อัตรารอดของลูกปูจะอยู่เพียงราว 1% แต่นั่นก็หมายถึงการต่อชีวิตให้ปูม้าอีกกว่า 37,500 ตัว ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญทั้งในเชิงนิเวศและเศรษฐกิจ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทะเลไทยได้เผชิญ “วิกฤตปูม้า” จากการจับเกินขนาด ภาวะโลกร้อน และการลดลงของถิ่นอาศัย
ปูม้า ยังถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ที่เป็นผู้ส่งออกปูม้าอันดับ 18 ของโลก สร้างรายได้กว่า 2,087 ล้านบาท ในปี 2564 และถือเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศ การอนุรักษ์ปูม้า จึงไม่เพียงรักษาสมดุลธรรมชาติ แต่ยังเป็นการเสริมรากฐานของเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

นางสาวชนิตา งามเหมือน บรรณาธิการข่าวและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าว ออนไลน์ นิวส์ไทม์ กล่าวว่า
“ในโอกาสที่เว็บไซต์ของเราก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เราอยากสร้างสิ่งที่จับต้องได้เพื่อตอบแทนสังคมและธรรมชาติ เพราะเรามีความเชื่อว่า ลูกปูตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ คือพลังแห่งความหวังของท้องทะเลไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในวันที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปไกลกว่าคลื่นลม หัวใจของมนุษย์... ยังต้องเรียนรู้จากธรรมชาติอยู่เสมอ หากเราต้องการให้ข่าวสารของเรามีชีวิต — ก็ต้องไม่ลืมส่งคืน ‘ชีวิต’ ให้กับโลกใบนี้เช่นกัน”
ภายในกิจกรรมยังมีการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ปูม้าอย่างยั่งยืน โดย อาจารย์สาโรจน์ เริ่มดำริห์ นักวิชาการประมง สถานีวิจัยประมงศรีราชา พร้อมกิจกรรมตอบคำถามความรู้สิ่งแวดล้อมเพื่อชิงรางวัลจากทางเว็บไซต์ และสร้างการมีส่วนร่วมของ นิสิตนักศึกษาฝึกงาน จากสถานีวิจัยประมงศรีราชา ที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก
นายอลงกต อินทรชาติ หัวหน้าสถานีวิจัยประมงศรีราชา ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคณะผู้จัดงาน พร้อมร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด โดยกล่าวว่า “กิจกรรมนี้เป็นโอกาสที่ดี และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ดีระหว่างภาควิชาการและสื่อสารมวลชน เพื่อจุดประกายให้คนรุ่นใหม่เข้าใจบทบาทของความหลากหลายทางชีวภาพ และเห็นคุณค่าของระบบนิเวศทะเลไทย เราหวังว่าจะได้สานต่อความร่วมมือนี้ไปยังโอกาสต่อ ๆ ไป เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนให้กับท้องทะเลไทย”

กิจกรรมครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนหลักจาก บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งร่วมส่งเสริมภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ที่ร่วมสร้างสีสันให้กับงาน ด้วยการสนับสนุนสแน็กบ็อกซ์และเครื่องดื่มสำหรับผู้ร่วมกิจกรรม
การจัดกิจกรรม “ปล่อยปูคืนสู่ทะเล” ของเว็บไซต์ข่าวในปีที่ 9 ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน แต่ยังเป็นเวทีแห่งความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ระบบนิเวศของทะเลไทย และปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ให้กับคนรุ่นใหม่ ร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติในยุคโลกเดือด
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ผนึกกำลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ลงพื้นที่นำร่องรวมพลังปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำน่าน กว่า 20,000 ต้น รวมมูลค่ากว่า 2,600,000 บาท โดยร่วมกับศูนย์อบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Training Center for Community Forest Asia and Pacific - RECOFTC) ภายใต้โครงการต้นไม้ของเรา “Trees 4 ALL” ควบคู่กับรณรงค์ความปลอดภัยการเดินทางในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ณ จังหวัดน่าน โดยมีนางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ได้แก่ ภาวะภัยแล้ง สภาพมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ดินถล่ม และอุทกภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศ สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นความสำคัญของความเสี่ยงภัยจากธรรมชาติ และมีนโยบายขับเคลื่อนการดำเนินงานที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมด้าน ESG และมาตรการเชิงป้องกัน Loss Prevention ของอุตสาหกรรมประกันภัย จึงริเริ่มกิจกรรม “รณรงค์ความปลอดภัยการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง และกิจกรรมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูต้นน้ำน่าน ประจำปี 2568” ณ จังหวัดน่าน เพื่อส่งเสริมความเป็นเอกภาพของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในการรณรงค์การขับขี่และการเดินทางปลอดภัยและเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงาน คปภ. ในการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างยั่งยืน
สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลัก คือ กิจกรรมแรก ขบวนรถรางรณรงค์ความปลอดภัยการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่องรอบอำเภอเมืองน่าน และการมอบหมวกนิรภัยให้แก่ประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ รวมจำนวน 300 ใบ จากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอเอ จำกัด กิจกรรมที่สอง นิทรรศการส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และเครือข่ายพันธมิตร และกิจกรรมที่สาม การปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูต้นน้ำน่าน จำนวนกว่า 20,000 ต้น อาทิ ต้นพยุง และต้นยางนา เป็นต้น รวมมูลค่ากว่า 2,600,000 บาท ผ่านการดำเนินการของศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้โครงการต้นไม้ของเรา Trees 4 All ซึ่งเป็นโครงการอุปถัมภ์ต้นไม้ตั้งแต่การปลูก ติดตามการอยู่รอด รวมถึงการเจริญเติบโตของต้นไม้โดยเกษตรกรในพื้นที่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า “การจัดกิจกรรมในวันนี้ นับเป็นการบูรณาการกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับมาตรการเชิงป้องกัน Loss Prevention ของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการประกันภัยและเตรียมพร้อมต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกิจกรรมเสวนา สร้างการตระหนักรู้เพื่อรับมืออุทกภัยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปัจจุบัน เมื่อปลายปี 2567 และกิจกรรมการเสวนา ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ (Adapting to climate change : New World - New Risk - new Practice) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนของศูนย์ปฏิบัติการด้านการประกันภัย เพื่อบริหารจัดการและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ (ศูนย์ ICD) ในการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการประกันภัยให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ และเห็นถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้วยการทำประกันภัย เพราะการมีระบบประกันภัยที่ดีควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะช่วยให้สังคมไทยมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญกับวิกฤตในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมความรู้ด้านความปลอดภัยให้แก่ชุมชน จึงจัดกิจกรรม BKI ส่งเสริมความปลอดภัย ห่วงใยชุมชน โดยมีนายธีรยุทธ กิจวรพัฒน์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจสาขา นำพนักงานจิตอาสาบรรเทาภัย (Emergency Response Team: ERT) รวมถึงวิทยากรจากบริษัท ชิลด์ ไฟร์ เซฟตี้ เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมอบรมให้ความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ชุมชนพื้นที่แขวงยานนาวา จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านแบบ ชุมชนโรงน้ำแข็ง ชุมชนพระยานคร และชุมชนศรีสุริโยทัย รวมกว่า 40 คน เพื่อให้คนในชุมชนมีความรู้และทักษะการปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน สามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยในเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธีก่อนนําส่งโรงพยาบาล

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มอบอุปกรณ์การปฐมพยาบาล รถเข็นผู้ป่วย ชุดเฝือกสำเร็จรูป และกระเป๋ายาพร้อมเวชภัณฑ์ให้แก่ชุมชน โดยมีนายธวัชชัย แพงไทย ผู้อำนวยการเขตสาทร เป็นผู้แทนรับมอบ ณ ลานอเนกประสงค์ ใต้ทางด่วน (สาทร 17) ของชุมชนบ้านแบบ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เดินหน้าสานต่อโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์” ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ ชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ร่วมกับ ทีมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) โดยได้รับเกียรติจาก รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วย นายอนันต์ บันลังน้อย ประธานชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดโครงการ

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์” เป็นการสานต่อโครงการฯ ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ด้วยจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ผ่านบริการตรวจรักษาเบื้องต้นแก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ โดยรอบโรงพยาบาลฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อกระจายความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

สำหรับโครงการฯ ในครั้งนี้ ได้ผนึกกำลังร่วมกับแพทย์จากศูนย์อายุรกรรม ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์เด็ก และศูนย์ทันตกรรมวมถึง พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด และบุคลากรของโรงพยาบาลฯ เป็นจำนวนกว่า 60 คน ซึ่งมีทั้งประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่พร้อมให้บริการตรวจรักษา ดูแล และคัดกรองผู้ป่วยตามอาการอย่างตรงจุด รวมถึงสนับสนุนอาหารกลางวันและยาสามัญประจำบ้าน เพื่อนำกลับไปดูแลตัวเองได้อีกด้วย โดยมีผู้เข้ารับการรักษากว่า 300 คน ละยังมอบถุงยังชีพและข้าวสารจากกองทุนทอมสันให้แก่ผู้ป่วยติดเตียงอีก 20 ชุด

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “เป็นเวลากว่า 23 ปี ที่เราได้ดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่งมอบการบริบาลด้านการแพทย์และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพให้แก่ชุมชนภายใต้มาตรฐานของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยอาศัยความร่วมมือกับชุมชนในการสำรวจและจัดทีมแพทย์ให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงานของบำรุงราษฎร์มาโดยตลอด ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมแห่งสุขภาวะที่ดี สู่การสร้างสรรค์ชุมชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน”
แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในภาคกลางของเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จะผ่านไปแล้วกว่า 1 เดือน แต่ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) และ Let's Save The Strays, International LLC. ยังคงเร่งดำเนินการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานยังเสียหายหนัก ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คน ชุมชน และสัตว์อีกจำนวนมากยังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
"จนถึงขณะนี้ มีสัตว์กว่า 1,000 ตัวที่ได้รับการรักษาจากบาดแผลที่เกิดจากภัยพิบัติ กระดูกหัก โรคพาร์โว โรคไข้หัดสุนัข การติดเชื้อจากการกัดกัน และภาวะฉุกเฉินด้านระบบสืบพันธุ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น การติดเชื้อในมดลูกอย่างรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดในสัตว์เพศเมียที่ไม่ได้ทำหมันและตั้งท้องโดยไม่คาดคิด

ปัจจุบัน เรากำลังให้อาหารสัตว์มากถึง 800 ตัวต่อวัน โดยแจกจ่ายอาหารจากสำนักงานเล็ก ๆ ของเราพร้อมกับผู้ให้อาหารข้างถนน ที่ช่วยนำอาหารไปให้สุนัขและแมวจรจัดจำนวนหลายพันตัวที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่หลังภัยพิบัติ ซึ่งยังคงเอาชีวิตรอดตามกองขยะ อาคารร้าง และวัด” คุณเอมี ชอฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Let's Save The Strays, International กล่าว
หนึ่งเดือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมัณฑะเลย์ สถานการณ์ยังคงยากลำบากจากปัญหาสาธารณูปโภคขาดแคลน ถนนเสียหาย และคลินิกสัตวแพทย์บางแห่งยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ นอกจากการช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและ Let's Save The Strays, International ยังมีแผนการช่วยเหลือระยะยาวในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ได้แก่:

“เราตระหนักดีว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ มนุษย์และสัตว์ต่างต้องการความช่วยเหลือ การดูแลสัตว์ในช่วงเวลาวิกฤตไม่เพียงช่วยชีวิตสัตว์ แต่ยังบรรเทาความทุกข์ใจของผู้คนที่รักและห่วงใยสัตว์เหล่านั้น และจากบทเรียนในการช่วยเหลือสัตว์จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเนปาลเมื่อปี 2558 เราเรียนรู้ว่าการวางแผนระยะยาวยิ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการช่วยเหลือเร่งด่วน" คุณโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าว
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) มุ่งมั่นในการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติมานานกว่า 50 ปี ผ่านการให้บริการด้านอาหาร น้ำสะอาด การรักษาพยาบาล และการอพยพสัตว์จากพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า และพายุไต้ฝุ่น โดยได้ดำเนินภารกิจช่วยเหลือสัตว์กว่า 250 ครั้ง และช่วยชีวิตสัตว์มาแล้วกว่า 7 ล้านตัวทั่วโลก

นอกจากนี้ องค์กรฯ ยังรณรงค์ให้รัฐบาลและชุมชนทั่วโลกรวมการคุ้มครองสัตว์ไว้ในแผนการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เพื่อปกป้องชีวิตสัตว์และรักษาแหล่งรายได้ของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะยากจน ให้สามารถฟื้นตัวและกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างยั่งยืนหลังภัยพิบัติ
การได้รับประทานอาหารที่ดี มีสารอาหารครบถ้วน เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อาจเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดีได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเติบโต และพัฒนาการทางสมองของเด็กๆ ด้วย
ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา เครือซีพี ร่วมกับ CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการ ริเริ่ม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532 ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เพื่อโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

ขณะเดียวกัน นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการด้านการเกษตรครบวงจรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
นอกจากจะได้อิ่มท้อง จากผลผลิตไข่ไก่ที่พวกเขาช่วยกันดูแลด้วยตนเองแล้ว โรงเรือนเลี้ยงไก่จึงกลายเป็นห้องเรียนอาชีพ ที่ทำให้พวกเขาได้ลงมือทำจริงทุกขั้นตอน ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ และยังกลายเป็นทักษะติดตัวนำไปใช้ต่อในอนาคต

ไข่ไก่ที่ผลิตได้ ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบสำคัญในโครงการอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ไข่ส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองและคนในชุมชน กลายเป็นคลังอาหารของชุมชนแบบยั่งยืน ถือเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้ทั้งโรงเรียนและชุมชน ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วถึง 988 แห่ง ทั่วประเทศ เด็กๆ กว่า 223,000 คน และคุณครูอีก กว่า 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ
โรงเรือนเลี้ยงไก่ พันธุ์ไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยสอนเทคนิคการเลี้ยงไก่ให้ถูกวิธีแบบมืออาชีพ มีซีพีเอฟที่ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือโรงเรียน รวมไปถึงการให้ความรู้ เรื่องการจัดการฟาร์ม การตลาด การแปรรูปอาหาร และการจัดการของเสียจากฟาร์มด้วย เรียกได้ว่า เด็กๆ ไม่ได้แค่เลี้ยงไก่ แต่ได้เรียนรู้แบบครบวงจร

ที่สำคัญยังยกระดับโรงเรียนให้เป็น Action Learning Base ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพของชุมชน ต่อยอดสร้างคลังอาหารที่มั่นคงในระดับท้องถิ่น และขยายองค์ความรู้สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ทุกวันนี้ โครงการฯ ผลิตไข่ไก่ได้มากกว่า 27.6 ล้านฟองต่อปี เลยทีเดียว และมีเป้าหมายขยายไปให้ครบ 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศภายในปี 2573 เพื่อให้น้องๆ กว่า 300,000 คน ได้บริโภคไข่ไก่อย่างทั่วถึง

โครงการฯนี้ นอกจากจะทำให้น้องๆนักเรียนและชุมชนได้รับประโยชน์แล้ว CPF ยังได้จัดจ้างคนพิการในชุมชนเพื่อช่วยทำงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ตามศักยภาพของพวกเขา อาทิ ช่วยดูแลความสะอาดบริเวณโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ทำความสะอาดภายในโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ และปลูกผักสวนครัว จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการรวม 503 คน
CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ มุ่งมั่นเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อช่วยเติมเต็มโภชนาการดีๆ ให้เด็กๆ สร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนในโรงเรียน ด้วยตระหนักดีว่าการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ การสร้างทุนมนุษย์ ที่จะไปสู่อนาคตที่ดีอย่างยั่งยืน
ไปดูความน่ารัก + ความภูมิใจของเด็กๆ กันเลย
ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนำ เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านความยั่งยืน ล่าสุด ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท วรุณา จำกัด (VARUNA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนคาร์บอนอย่างยั่งยืน ในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) จำกัด เปิดตัวโครงการนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ผ่านแอปทรูมันนี่ ให้คนไทยสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน
ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อบริการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน ผ่านโครงการที่พัฒนาภายใต้มาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program - โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่สามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการปลูกป่าไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งานแอปทรูมันนี่ ซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวน 5,800 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 386,000 ต้น (ข้อมูล ณ 20 เมษายน 2568)
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ผู้ใช้งานสามารถสนับสนุนการปลูกป่าไม้ไทยผ่านโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) อย่างถูกต้อง ครอบคลุมพื้นที่ป่าในจังหวัดแพร่ ได้แก่ สวนป่าขุนแม่คำมี, สวนป่าวังชิ้น และสวนป่าแม่ยม-แม่แปง โดยมีองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นเจ้าของโครงการและบริษัทวรุณา ผู้พัฒนาโครงการ ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวางแผนการปลูก การดูการเติบโตของต้นไม้ ประเมินคาร์บอนเครดิต และตรวจสอบโครงการ โดยใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเข้าร่วมสนับสนุน

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ภายใต้เครือ แอสเซนด์ กรุ๊ป ต่างมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ เชื่อมโยงและสนับสนุนคนไทยในด้านความยั่งยืน โดยล่าสุด เราได้ร่วมมือกับ วรุณา เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่ มีส่วนร่วมในการร่วมลดคาร์บอนผ่านโครงการป่าไม้ในไทย ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตผ่านแอปทรูมันนี่ได้อย่างง่าย ๆ และโปร่งใสเพราะสามารถตรวจสอบได้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการนำร่องโครงการสนับสนุนความยั่งยืนด้านป่าไม้ภายในประเทศ และวางรากฐานสู่การขยายผลในอนาคต

นางสาวพณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา จำกัด กล่าวว่า “วรุณา มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตสีเขียวที่ยั่งยืน และสร้างประโยชน์สูงสุดต่อพื้นที่เกษตรและป่าไม้รวมถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ความร่วมมือกับทรูมันนี่ และแอสเซนด์ บิท ในครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยเข้าถึงการมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมได้ในวงกว้างผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่แล้ว พร้อมร่วมผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย SDG 13 Climate Action และร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน”
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตง่าย ๆ และโปร่งใสด้วยบล็อกเชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถชดเชยคาร์บอนได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทสำหรับโครงการในไทย โดยสามารถเลือกแพ็กเกจได้ตามต้องการ (1, 3 , 10, 30 หรือ 90 วัน) ระบบจะตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่เพื่อซื้อและเบิร์นโทเคนคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บนเครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะ (Polygon) ในรูปแบบ NFT เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดต้นทุนเมื่อเทียบกับบริการชดเชยคาร์บอนรูปแบบเดิมหลายเท่าตัว สร้างประสบการณ์ที่ง่าย สะดวก และเข้าถึงได้สำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://tmn.app.link/CARBON_CREDIT
บมจ. ซีพี ออลล์ โดยฝ่ายบริหารเครือข่ายอุดมศึกษา สำนักประสานรัฐกิจ ร่วมกับ มูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ร่วมพัฒนาและส่งเสริมเยาวชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อในสายอาชีพ และเพื่อพัฒนาตนเองไปสู่การประกอบอาชีพที่มั่นคงในอนาคต ถือเป็น 1 ในนโยบายสร้างคนผ่านการศึกษาของ ซีพี ออลล์ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี

ภายในงานนำโดย นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ และ พลตำรวจเอก สุนทร ซ้ายขวัญ ประธานมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ นายโตมร จันทรา ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สำนักประสานรัฐกิจ ดร.วิชา จุ้ยชุม กรรมการมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ นายสุรพงษชัย ลิ้มภิกุล เหรัญญิกมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมเป็นพยาน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในจังหวัดภาคใต้ ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา

ซีพี ออลล์ ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาตลอดหลักสูตร ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 200 ทุน ต่อรุ่น ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 300 ทุน ต่อรุ่น ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการค้าสมัยใหม่ ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ รวมถึงสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตามดุลพินิจจากทางบริษัท จำนวน 500 ทุน ต่อรุ่น และเมื่อจบการศึกษาตามหลักสูตร สามารเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เหมาะสมมีรายได้ และอาชีพที่มั่นคง
มูลนิธิ รวมถึงเครือข่ายขององค์กรสมาคม ชมรมของชาวปักษ์ใต้ ในแต่ละจังหวัด จะดำเนินการสรรหาและคัดเลือกเยาวชน ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ที่มีคุณสมบัติตามที่บริษัท กำหนดเข้าร่วมโครงการ พร้อมดำเนินการอำนวยความสะดวกในการประสานงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ และการสมัครเข้าศึกษาต่อ รวมถึงติดตามประเมินผลและปรับปรุงโครงการความร่วมมือให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในงาน คณะผู้บริหาร ซีพี ออลล์ และ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) ได้นำคณะมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ เยี่ยมชมพื้นที่ต่างๆ ภายในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เพื่อให้ทราบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสถานศึกษา และหลักสูตรในคณะต่างๆ รวมถึงรูปแบบการเรียนการสอน แบบ Work-Base Education ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ อีกด้วย
ซีพี ออลล์ มีนโยบายสำคัญในการสร้างคนผ่านการศึกษา เพื่อส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ก้าวสู่ 30 ปี ให้เป็นคนเก่ง คนดี ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยในปีการศึกษา 2568 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ให้แก่เยาวชน 440 กรมธรรม์ และครูพี่เลี้ยงจำนวน 30 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 470 กรมธรรม์ที่ร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ให้เยาวชนได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในกรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัดภาคกลางสำหรับนักเรียนจำนวน 320 คน และพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 120 คน ตลอดจนเพิ่มทักษะประสบการณ์ในการเรียนรู้ความเป็นผู้นำและผู้ตาม ในการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

โดยในครั้งนี้เอไอเอได้มอบต่อเนื่องมาเป็นรุ่นที่ 4 เพื่อช่วยให้เยาวชน และครอบครัวของเยาวชนคลายความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในขณะที่เดินทางมาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่ต่างภูมิลำเนา ซึ่งการมอบความคุ้มครองดังกล่าวยังตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ ที่เรามุ่งมั่นในการสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดังกล่าว จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี