December 14, 2025

แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์  ที่เกิดขึ้นในภาคกลางของเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จะผ่านไปแล้วกว่า 1 เดือน แต่ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) และ Let's Save The Strays, International LLC. ยังคงเร่งดำเนินการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานยังเสียหายหนัก ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คน ชุมชน และสัตว์อีกจำนวนมากยังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

"จนถึงขณะนี้ มีสัตว์กว่า 1,000 ตัวที่ได้รับการรักษาจากบาดแผลที่เกิดจากภัยพิบัติ กระดูกหัก โรคพาร์โว โรคไข้หัดสุนัข การติดเชื้อจากการกัดกัน และภาวะฉุกเฉินด้านระบบสืบพันธุ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น การติดเชื้อในมดลูกอย่างรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดในสัตว์เพศเมียที่ไม่ได้ทำหมันและตั้งท้องโดยไม่คาดคิด

ปัจจุบัน เรากำลังให้อาหารสัตว์มากถึง 800 ตัวต่อวัน โดยแจกจ่ายอาหารจากสำนักงานเล็ก ๆ ของเราพร้อมกับผู้ให้อาหารข้างถนน ที่ช่วยนำอาหารไปให้สุนัขและแมวจรจัดจำนวนหลายพันตัวที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่หลังภัยพิบัติ  ซึ่งยังคงเอาชีวิตรอดตามกองขยะ อาคารร้าง และวัด” คุณเอมี ชอฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Let's Save The Strays, International กล่าว

หนึ่งเดือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมัณฑะเลย์ สถานการณ์ยังคงยากลำบากจากปัญหาสาธารณูปโภคขาดแคลน ถนนเสียหาย และคลินิกสัตวแพทย์บางแห่งยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ นอกจากการช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและ Let's Save The Strays, International ยังมีแผนการช่วยเหลือระยะยาวในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ได้แก่:

  • การสร้างคลินิกสัตวแพทย์ขึ้นใหม่เพื่อฟื้นฟูการรักษาขั้นสูง
  • การเพิ่มการฉีดวัคซีนเร่งด่วนเพื่อป้องกันการระบาดของโรค
  • การกลับมาดำเนินโครงการ TNVR (การทำหมันและฉีดวัคซีนสัตว์จรจัด) ซึ่งเป็นภารกิจหลัก
    เพื่อควบคุมประชากรสัตว์และลดความทุกข์ทรมาน

“เราตระหนักดีว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ มนุษย์และสัตว์ต่างต้องการความช่วยเหลือ การดูแลสัตว์ในช่วงเวลาวิกฤตไม่เพียงช่วยชีวิตสัตว์ แต่ยังบรรเทาความทุกข์ใจของผู้คนที่รักและห่วงใยสัตว์เหล่านั้น และจากบทเรียนในการช่วยเหลือสัตว์จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเนปาลเมื่อปี 2558 เราเรียนรู้ว่าการวางแผนระยะยาวยิ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการช่วยเหลือเร่งด่วน" คุณโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าว

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) มุ่งมั่นในการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติมานานกว่า 50 ปี ผ่านการให้บริการด้านอาหาร น้ำสะอาด การรักษาพยาบาล และการอพยพสัตว์จากพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า และพายุไต้ฝุ่น โดยได้ดำเนินภารกิจช่วยเหลือสัตว์กว่า 250 ครั้ง และช่วยชีวิตสัตว์มาแล้วกว่า 7 ล้านตัวทั่วโลก

นอกจากนี้ องค์กรฯ ยังรณรงค์ให้รัฐบาลและชุมชนทั่วโลกรวมการคุ้มครองสัตว์ไว้ในแผนการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เพื่อปกป้องชีวิตสัตว์และรักษาแหล่งรายได้ของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะยากจน ให้สามารถฟื้นตัวและกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างยั่งยืนหลังภัยพิบัติ

การได้รับประทานอาหารที่ดี มีสารอาหารครบถ้วน เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อาจเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดีได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเติบโต และพัฒนาการทางสมองของเด็กๆ ด้วย

ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา เครือซีพี ร่วมกับ CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการ ริเริ่ม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532 ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เพื่อโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

ขณะเดียวกัน นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการด้านการเกษตรครบวงจรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

นอกจากจะได้อิ่มท้อง จากผลผลิตไข่ไก่ที่พวกเขาช่วยกันดูแลด้วยตนเองแล้ว โรงเรือนเลี้ยงไก่จึงกลายเป็นห้องเรียนอาชีพ ที่ทำให้พวกเขาได้ลงมือทำจริงทุกขั้นตอน ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ และยังกลายเป็นทักษะติดตัวนำไปใช้ต่อในอนาคต

ไข่ไก่ที่ผลิตได้ ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบสำคัญในโครงการอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ไข่ส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองและคนในชุมชน กลายเป็นคลังอาหารของชุมชนแบบยั่งยืน ถือเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้ทั้งโรงเรียนและชุมชน ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วถึง 988 แห่ง ทั่วประเทศ เด็กๆ กว่า 223,000 คน และคุณครูอีก กว่า 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ

โรงเรือนเลี้ยงไก่ พันธุ์ไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์ต่างๆ  รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยสอนเทคนิคการเลี้ยงไก่ให้ถูกวิธีแบบมืออาชีพ มีซีพีเอฟที่ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร  เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือโรงเรียน   รวมไปถึงการให้ความรู้ เรื่องการจัดการฟาร์ม การตลาด การแปรรูปอาหาร และการจัดการของเสียจากฟาร์มด้วย เรียกได้ว่า เด็กๆ ไม่ได้แค่เลี้ยงไก่ แต่ได้เรียนรู้แบบครบวงจร

 

 ที่สำคัญยังยกระดับโรงเรียนให้เป็น Action Learning Base ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพของชุมชน ต่อยอดสร้างคลังอาหารที่มั่นคงในระดับท้องถิ่น และขยายองค์ความรู้สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ทุกวันนี้ โครงการฯ ผลิตไข่ไก่ได้มากกว่า 27.6 ล้านฟองต่อปี เลยทีเดียว และมีเป้าหมายขยายไปให้ครบ 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศภายในปี 2573 เพื่อให้น้องๆ กว่า 300,000 คน ได้บริโภคไข่ไก่อย่างทั่วถึง

โครงการฯนี้ นอกจากจะทำให้น้องๆนักเรียนและชุมชนได้รับประโยชน์แล้ว CPF ยังได้จัดจ้างคนพิการในชุมชนเพื่อช่วยทำงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ตามศักยภาพของพวกเขา อาทิ ช่วยดูแลความสะอาดบริเวณโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ทำความสะอาดภายในโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ และปลูกผักสวนครัว จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการรวม 503 คน

CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ มุ่งมั่นเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อช่วยเติมเต็มโภชนาการดีๆ ให้เด็กๆ สร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนในโรงเรียน ด้วยตระหนักดีว่าการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ การสร้างทุนมนุษย์ ที่จะไปสู่อนาคตที่ดีอย่างยั่งยืน

ไปดูความน่ารัก + ความภูมิใจของเด็กๆ กันเลย

 

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนำ เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านความยั่งยืน ล่าสุด ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท วรุณา จำกัด (VARUNA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนคาร์บอนอย่างยั่งยืน ในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) จำกัด เปิดตัวโครงการนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ผ่านแอปทรูมันนี่ ให้คนไทยสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน

ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อบริการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน ผ่านโครงการที่พัฒนาภายใต้มาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program - โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่สามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการปลูกป่าไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งานแอปทรูมันนี่ ซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวน 5,800 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 386,000 ต้น (ข้อมูล ณ 20 เมษายน 2568)

ภายใต้ความร่วมมือนี้ ผู้ใช้งานสามารถสนับสนุนการปลูกป่าไม้ไทยผ่านโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) อย่างถูกต้อง ครอบคลุมพื้นที่ป่าในจังหวัดแพร่ ได้แก่ สวนป่าขุนแม่คำมี, สวนป่าวังชิ้น และสวนป่าแม่ยม-แม่แปง โดยมีองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นเจ้าของโครงการและบริษัทวรุณา ผู้พัฒนาโครงการ ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวางแผนการปลูก การดูการเติบโตของต้นไม้ ประเมินคาร์บอนเครดิต และตรวจสอบโครงการ โดยใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเข้าร่วมสนับสนุน

 

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ภายใต้เครือ แอสเซนด์ กรุ๊ป ต่างมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ เชื่อมโยงและสนับสนุนคนไทยในด้านความยั่งยืน โดยล่าสุด เราได้ร่วมมือกับ วรุณา เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่ มีส่วนร่วมในการร่วมลดคาร์บอนผ่านโครงการป่าไม้ในไทย ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตผ่านแอปทรูมันนี่ได้อย่างง่าย ๆ และโปร่งใสเพราะสามารถตรวจสอบได้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการนำร่องโครงการสนับสนุนความยั่งยืนด้านป่าไม้ภายในประเทศ และวางรากฐานสู่การขยายผลในอนาคต

 

นางสาวพณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา จำกัด กล่าวว่า “วรุณา มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตสีเขียวที่ยั่งยืน และสร้างประโยชน์สูงสุดต่อพื้นที่เกษตรและป่าไม้รวมถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ความร่วมมือกับทรูมันนี่ และแอสเซนด์ บิท ในครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยเข้าถึงการมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมได้ในวงกว้างผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่แล้ว พร้อมร่วมผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย SDG 13 Climate Action และร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตง่าย ๆ และโปร่งใสด้วยบล็อกเชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถชดเชยคาร์บอนได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทสำหรับโครงการในไทย โดยสามารถเลือกแพ็กเกจได้ตามต้องการ (1, 3 , 10, 30 หรือ 90 วัน) ระบบจะตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่เพื่อซื้อและเบิร์นโทเคนคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บนเครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะ (Polygon) ในรูปแบบ NFT เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดต้นทุนเมื่อเทียบกับบริการชดเชยคาร์บอนรูปแบบเดิมหลายเท่าตัว สร้างประสบการณ์ที่ง่าย สะดวก และเข้าถึงได้สำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://tmn.app.link/CARBON_CREDIT

 

 

บมจ. ซีพี ออลล์ โดยฝ่ายบริหารเครือข่ายอุดมศึกษา สำนักประสานรัฐกิจ ร่วมกับ มูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ร่วมพัฒนาและส่งเสริมเยาวชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อในสายอาชีพ และเพื่อพัฒนาตนเองไปสู่การประกอบอาชีพที่มั่นคงในอนาคต ถือเป็น 1 ในนโยบายสร้างคนผ่านการศึกษาของ ซีพี ออลล์ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี

 

ภายในงานนำโดย นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ และ พลตำรวจเอก สุนทร ซ้ายขวัญ ประธานมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพี ออลล์  นายโตมร จันทรา ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สำนักประสานรัฐกิจ  ดร.วิชา จุ้ยชุม กรรมการมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ นายสุรพงษชัย ลิ้มภิกุล เหรัญญิกมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมเป็นพยาน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในจังหวัดภาคใต้ ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา

 

ซีพี ออลล์ ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาตลอดหลักสูตร ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 200 ทุน ต่อรุ่น ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ ที่เข้าร่วมโครงการระบบทวิภาคี กับทางบริษัท จำนวน 300 ทุน ต่อรุ่น  ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการค้าสมัยใหม่ ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในความร่วมมือ รวมถึงสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง ในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์  ตามดุลพินิจจากทางบริษัท จำนวน 500 ทุน ต่อรุ่น และเมื่อจบการศึกษาตามหลักสูตร สามารเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เหมาะสมมีรายได้ และอาชีพที่มั่นคง

มูลนิธิ รวมถึงเครือข่ายขององค์กรสมาคม ชมรมของชาวปักษ์ใต้ ในแต่ละจังหวัด จะดำเนินการสรรหาและคัดเลือกเยาวชน ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ที่มีคุณสมบัติตามที่บริษัท กำหนดเข้าร่วมโครงการ พร้อมดำเนินการอำนวยความสะดวกในการประสานงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ และการสมัครเข้าศึกษาต่อ รวมถึงติดตามประเมินผลและปรับปรุงโครงการความร่วมมือให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในงาน คณะผู้บริหาร ซีพี ออลล์ และ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) ได้นำคณะมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ เยี่ยมชมพื้นที่ต่างๆ ภายในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เพื่อให้ทราบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสถานศึกษา และหลักสูตรในคณะต่างๆ รวมถึงรูปแบบการเรียนการสอน แบบ Work-Base Education ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ อีกด้วย

ซีพี ออลล์ มีนโยบายสำคัญในการสร้างคนผ่านการศึกษา เพื่อส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ก้าวสู่ 30 ปี ให้เป็นคนเก่ง คนดี ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยในปีการศึกษา 2568 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ให้แก่เยาวชน 440 กรมธรรม์ และครูพี่เลี้ยงจำนวน 30 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 470 กรมธรรม์ที่ร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ให้เยาวชนได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในกรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัดภาคกลางสำหรับนักเรียนจำนวน 320 คน และพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 120 คน ตลอดจนเพิ่มทักษะประสบการณ์ในการเรียนรู้ความเป็นผู้นำและผู้ตาม ในการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

โดยในครั้งนี้เอไอเอได้มอบต่อเนื่องมาเป็นรุ่นที่ 4 เพื่อช่วยให้เยาวชน และครอบครัวของเยาวชนคลายความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในขณะที่เดินทางมาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่ต่างภูมิลำเนา ซึ่งการมอบความคุ้มครองดังกล่าวยังตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ ที่เรามุ่งมั่นในการสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดังกล่าว จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี

เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก (Earth Day) วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามชั้นนำของ เอเอส วัตสัน ประกาศขยายความร่วมมือกับ ClimatePartner เพื่อยกระดับโครงการชดเชยคาร์บอน สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้า Watsons Sustainable Choice ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 4,000 ตัน

สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าเลือกอย่างชาญฉลาด เพื่อใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ยั่งยืน วัตสันเปิดตัวโครงการชดเชยคาร์บอนร่วมกับ ClimatePartner ตั้งแต่ปี 2566 โดยเริ่มต้นในผลิตภัณฑ์ 7 กลุ่ม และปัจจุบันมีความพยายามขยายให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ 30 กลุ่ม ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของวัตสันต่อความยั่งยืน โดยโครงการนี้เปิดตัวที่ Watsons O+O (ออฟไลน์และออนไลน์) ทั่วไทย ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ตุรกี และตลาดกลุ่มประเทศ GCC (พันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันออกกลาง)

วัตสันมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ในขณะที่รับประกันว่าทุกการซื้อจะสร้างความแตกต่างที่มีความหมายและสร้างผลกระทบ นอกเหนือจากความพยายามในการปลูกป่าอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ริมบารายา  ประเทศอินโดนีเซีย* วัตสันมุ่งเน้นไปที่การปลูกป่าที่สำคัญในติ่งซี สาธารณรัฐประชาชนจีน** ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ภัยแล้ง และการพังทลายของดินอย่างรุนแรง โครงการนี้เกี่ยวข้องกับการปลูกพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่คัดเลือกเพื่อความทนทานในสภาพกึ่งแห้งแล้ง โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนที่ดินทำการเกษตรที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นป่าที่เจริญเติบโต

นอกเหนือจากประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ยังสร้างโอกาสในการจ้างงานคนท้องถิ่นในการปลูกต้นไม้และดูแลรักษาป่า โดยส่วนหนึ่งมีผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทสำคัญ ซึ่งช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและเสริมพลังให้กับชุมชนท้องถิ่น

ตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและได้รับความคิดเห็นเชิงบวก อาทิ เจสัน โฮห์ ลูกค้าจากมาเลเซียแบ่งปันว่า "ผมชอบซื้อสินค้า Sustainable Choices ที่วัตสัน เพราะทุกครั้งที่ซื้อจะช่วยสนับสนุนโลกให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผมหันมาใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในทุก ๆ วัน"

โคลอี้ หวอง ลูกค้าจากฮ่องกงกล่าวว่า "รหัส QR Code ที่แสดงบนชั้นวางสินค้า Sustainable Choices ช่วยให้ฉันสามารถค้นหาเกี่ยวกับกระบวนการลดคาร์บอน ซึ่งช่วยแสดงให้เห็นว่าวัตสันใส่ใจเรื่องการจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร"

วนิดา จากประเทศไทยกล่าวว่า “ครอบครัวของฉันตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ยั่งยืน หลังจากทราบว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมากตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ซึ่งทางเลือกที่ดีกว่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ตั้งแต่ต้นทาง แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้จริง”

การสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์ Sustainable Choices เป็นขั้นตอนสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่ช่วยค้ำจุนพวกเราทุกคน ซึ่งเราสามารถร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกที่วงกว้าง เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและอุดมสมบูรณ์กว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป โดยวันคุ้มครองโลก นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเดินทางของวัตสัน เพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมพลังให้ลูกค้า Look Good. Do Good. Feel Great. คือดูดีจากภายนอก ทำดีจากภายใน และรู้สึกดีที่ได้มอบสิ่งดีๆ คืนสู่สังคมเพื่อสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

กรุงเทพฯ – บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ในประเทศไทย เมียนมา และกัมพูชา ผนึกกำลังเปิดโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา โดยร่วมกันจัดตั้งช่องทางรับบริจาค พร้อมสมทบทุนเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดย ทรูมันนี่ ประเทศไทย ได้เปิดช่องทางให้ผู้ใช้แอปทรูมันนี่สามารถร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวทั้งในประเทศไทยและเมียนมา โดยเงินบริจาคจะถูกส่งตรงเข้าสู่บัญชีของสภากาชาดไทยโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อใช้ในการจัดหาอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค สิ่งของจำเป็น และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

ส่วน ทรูมันนี่ เมียนมา ได้จัดตั้งกองทุน ‘Pray for Myanmar Charity’ เพื่อเปิดรับบริจาคผ่านแอป TrueMoney และเครือข่ายตัวแทนทรูมันนี่ (TrueMoney Agents) ที่มีอยู่หลายหมื่นแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทรูมันนี่ในประเทศไทย เมียนมา และกัมพูชา จะร่วมสมทบทุนตามยอดบริจาคของผู้ใช้ผ่านกองทุนดังกล่าว โดยไม่หักค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือผ่านสภากาชาดเมียนมา (MRCS)

โครงการในประเทศไทยจะเปิดรับบริจาคจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ขณะที่กองทุนในเมียนมาจะปิดรับบริจาคในวันที่ 21 เมษายน 2568 ทรูมันนี่ขอเชิญชวนผู้ใช้บริการและประชาชนทั่วไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อกำลังใจและความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมบริจาค สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.truemoney.com/donation/

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  นำโดย คุณ รพีชัย  จินตเศรณี รองผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมรถยนต์  พร้อมทีม TIP Smart Assist   ร่วมพิธีปล่อยแถวเตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้บริการช่วยเหลือประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มอบน้ำดื่มทิพย จำนวน 1,200 ขวด  และบ๊วยเค็ม  ให้แก่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)  เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมเป็นกำลังใจในการดูแลประชาชนทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผู้บังคับการตำรวจจราจร เป็นผู้รับมอบ และได้รับเกียรติจาก พล.ต.ต.สันติ์นที ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาฝ่ายธุรกิจภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีในครั้งนี้  ณ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)

บำรุงราษฎร์ สานต่อโครงการ “ตำรวจ (ปอด) ปลอดภัย” ประจำปี 2568 ส่งต่อความห่วงใยสุขภาพให้แก่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินี เพื่อบรรเทาผลกระทบทางสุขภาพจากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน

สายการบินเวียตเจ็ท (เวียดนาม) ให้บริการเที่ยวบินพิเศษ 2 เที่ยว ได้แก่ VJ2875 และ VJ2877 ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330 และ A321 ขนส่งทีมกู้ภัยเวียดนามสู่เมียนมา เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการบรรเทาทุกข์จากเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาร์ เที่ยวบินทั้งสองออกจากท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย ฮานอย สู่ ย่างกุ้ง ในช่วงบ่ายของวันที่ 30 มีนาคม 2568 พร้อมเจ้าหน้าที่จากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะและกระทรวงกลาโหมของเวียดนาม

เวียตเจ็ทเร่งดำเนินการขออนุญาตบินและเตรียมความพร้อมด้านเทคนิคอย่างรวดเร็ว โดยมอบหมายลูกเรือและพนักงานที่มีประสบการณ์สนับสนุนภารกิจนี้ เที่ยวบินดังกล่าวขนส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยจำนวน 106 นาย พร้อมสุนัขค้นหาและอุปกรณ์ช่วยเหลือกว่า 60 ตัน อาทิ อุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหาร เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย

นาย Dinh Viet Phoung ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินเวียตเจ็ท กล่าวว่า “เวียตเจ็ทมีความพร้อมสำหรับภารกิจพิเศษเสมอ เราจัดเตรียมทุกอย่างอย่างรวดเร็ว เพื่อส่งทีมกู้ภัยไปยังเมียนมาโดยเร่งด่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที”

เจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมงานเวียตเจ็ทเร่งขนถ่ายสิ่งของและนำส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยทันทีที่เครื่องบินลงจอด ณ ย่างกุ้ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ตำรวจ และทหารเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหา กู้ภัย และให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์

เวียตเจ็ทมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมควบคู่กับการบริการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเคยให้บริการเที่ยวบินบรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่อินโดนีเซียในปี 2561 พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนที่ฟิลิปปินส์ในปี 2556 และช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้ขนส่งบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพื่อบรรเทาทุกข์ เวียตเจ็ทยังคงให้ความสำคัญกับกิจกรรมการกุศลและการช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ออกนโยบายสนับสนุนผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว โดยผู้โดยสารที่เดินทางไปยังกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ระหว่างวันที่ 28 – 31 มีนาคม 2568 สามารถเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินในเส้นทางเดิมได้ 1 ครั้ง (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) กำหนดวันเดินทางใหม่ภายใน 30 วัน นับจากวันเดินทางเดิม หรือเลือกรับค่าบัตรโดยสารคืนในรูปแบบวงเงินเครดิตเชลล์ เพื่อใช้ภายใน 365 วัน นับจากวันเดินทางเดิม นโยบายนี้ครอบคลุมเที่ยวบินของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ รวมถึงเที่ยวบินเชื่อมต่อ (เที่ยวบินรหัส VZ) และมีผลบังคับใช้ทันที ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทางติดต่อทางการของสายการบินฯ หรือที่เว็บไซต์ www.vietjetair.com

X

Right Click

No right click