December 14, 2025

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นพ.สมสกุล ศรีพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแพทย์ฝ่ายบริหารจัดการด้านสุขภาพ และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 500,000 บาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง ครั้งที่ 17” ซึ่งทางศิริราชจะได้นำเงินสนับสนุนดังกล่าวไปสมทบกองทุน "ห้องผ่าตัดศิริราช" โดยมี ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ ผศ.นพ.พรพจน์ เปรมโยธิน ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องรับรองงานองค์กรสัมพันธ์และกิจการพิเศษ (2) ตึกอำนวยการ ชั้น 1

ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง” มาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย ตระหนักถึงการเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การเดิน-วิ่ง เพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’

มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลักดันศักยภาพของการศึกษาแพทย์ไทยผ่านการสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาคาร และเครื่องมือทางการแพทย์จากผู้บริจาค ซึ่งเป็นพลังแห่งน้ำใจที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการรับบริจาคร่างกาย การรักษาสภาพร่างอาจารย์ใหญ่ และการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง และแพทย์นวัตกร ควบคู่กับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการศึกษาแพทย์ และเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ก้าวเข้าสู่ระบบสาธารณสุขในยุคดิจิทัล

‘อาจารย์ใหญ่’ คือผู้ที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมเสริมสร้างทักษะด้าน กายวิภาคศาสตร์ก่อนรักษาผู้ป่วยจริง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในกระบวนการรักษาและลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และอาจารย์ใหญ่ยังมีบทบาทด้านการวิจัยเพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล ผ่าน การพัฒนาเทคนิคการรักษารูปแบบใหม่ ตลอดจนการทดลองนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการศึกษามาต่อยอดเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

อ.ดร. เบญริตา จิตอารี อาจารย์สาขาพรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่เปรียบเสมือน ‘ผู้ให้’ ที่สร้างอนาคตใหม่ทางการแพทย์ได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนักศึกษาแพทย์การเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของแต่ละอวัยวะภายในของมนุษย์ผ่านการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์ ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) นักศึกษาแพทย์จะได้ศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ควบคู่กับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้สู่การต่อยอดการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

อาคารกายวิภาคคลินิกเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจรแห่งแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านการรับบริจาคร่างกายและดูแลร่างอาจารย์ใหญ่จนเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการรักษา-คงสภาพและจัดเก็บร่างอาจารย์ใหญ่ ด้านการบริหารการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้านการผลิตสื่อการเรียน การสอนที่มีคุณภาพภายในห้องเรียนของอาคารกายวิภาคคลินิกนำเทคโนโลยีการสอนและอุปกรณ์ผ่าตัดทันสมัยเข้ามาช่วยในการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัดจริงในรูปแบบสามมิติ โดยเฉพาะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้สามารถเรียนรู้โครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาจากบทเรียนและรูปภาพสองมิติเพียงอย่างเดียว โดยเนื้อหาที่อยู่ภายในระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงของอาจารย์ใหญ่ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และถือเป็นแห่งแรกในไทยที่ผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ขึ้นเอง รวมถึงมีเครื่องจำลองระบบภาพกายวิภาคเสมือนจริง (Anatomage Table) ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกเวลา โดยอาคารแห่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 (ชั้น Pre-clinic) เข้ามาเรียนเฉลี่ยปีละ 220 คน สำหรับแพทย์เฉพาะทางมีห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid Operating Room) รองรับเทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูง ช่วยให้สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

 

นอกจากบทบาทของอาจารย์ใหญ่ในด้านการเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ร่างอาจารย์ใหญ่ยังถูกนำมาใช้เพื่อทดลองและฝึกฝนการใช้นวัตกรรมการแพทย์ล้ำสมัย รวมทั้งสำหรับการฝึกฝนและพัฒนากระกวนการทำหัตถการต่างๆ ทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดเฉพาะทาง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความชำนาญการก่อนนำไปใช้จริงกับผู้ป่วย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ปัจจุบัน อาคารกายวิภาคคลินิกได้รับร่างอาจารย์ใหญ่เฉลี่ยเพียง 15 ร่างต่อเดือน จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคร่างกายประมาณ 300 คนต่อเดือน ขณะที่จำนวนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 200 ร่างต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนการศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ได้ทั้งหมด

“กายวิภาคศาสตร์คลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี ศึกษาและปรับเปลี่ยนสูตรของสารที่ใช้คงสภาพอาจารย์ใหญ่อยู่เสมอให้สามารถรักษาสภาพเพื่อให้คงคุณภาพของเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงคนที่ยังมีชีวิตและใช้ในการศึกษาได้ในระยะเวลายาวนานที่สุด รวมทั้งเพื่อให้มีการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดก่อนจัดงานพระราชทานเพลิงศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ที่มอบองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา นอกจากนี้ ยังตั้งใจเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคร่างกาย เพื่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจกับการบริจาคร่างกายมากขึ้น” อ.ดร. เบญริตา จิตอารี กล่าวปิดท้าย

มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การมอบงบประมาณสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะทางการแพทย์ พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางกายวิภาคศาสตร์ นำไปสู่การยกระดับวงการแพทย์ไทยในอนาคต ร่วมบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ได้ที่ อาคาร กายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ขอเชิญร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และ โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th

 

“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้าน ดูแลพื้นที่ป่า 6,000 ไร่ ป้องกันป่าเสื่อมโทรม-เพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน หวังลดคาร์บอนมากกว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมอบเงินพิเศษเพิ่มอีก 1 ล้าน ตะลุยอีก 4 โครงการย่อย ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงเรียน-จัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์-พัฒนาศูนย์เด็กใฝ่ดี-รับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน ตอกย้ำแนวคิดเซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมสนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท สำหรับการดูแลพื้นที่ป่ากว่า 6,000 ไร่ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ลดปัญหาการเกิดไฟป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) บรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

“เราเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ถือเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมเราให้เข้าถึงชุมชนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่า เป็นผู้ดูแลป่า เชื่อมให้เราสามารถร่วมสนับสนุนบุคลากรที่มีส่วนสำคัญตั้งแต่รากฐานในการดูแล ป้องกัน และบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีผืนป่าที่ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนต่อไป” นายพงศภัค กล่าว

สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และภาคีภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือกับภาวะโลกร้อนหรือโลกรวน รวมทั้งไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการเผาไหม้เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ และฝุ่นควันจากไฟป่า ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าภายใต้ความดูแลของโครงการครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด รวม 147,037 ไร่ 120 ชุมชน โดย บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ถือเป็นสมาชิกรายล่าสุดภายใต้ความร่วมมือนี้ และคาดว่าจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วง 3 ปี

 

นายพงศภัค กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯภายใต้โครงการดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้บริจาคเงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาทให้แก่มูลนิธิ เพื่อดำเนินงานในอีก 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1.โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับโรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา จ.เชียงราย เพื่อช่วยส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบท 2.โครงการ Science Fair ให้เยาวชนดอยตุงได้เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเติบโตสู่อนาคต 3.โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย สนับสนุน “ศูนย์เด็กใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชน และ 4.โครงการสนับสนุนการรับรองปริมาณ Carbon Credit จากป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

บางกอกเคเบิ้ล เป็นองค์กรของคนสายวิทย์ พนักงานจำนวนมากของเราเป็นวิศวกร เป็นนักเคมี เป็นช่าง และวันนี้เราไม่ได้ทำแค่สายไฟฟ้า แต่เราพยายามขับเคลื่อนทิศทางองค์กรไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์เซลล์ EV Charger เราจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการนำร่องสนับสนุนใน 4 โครงการนี้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯและองค์กรอื่นๆ ในโครงการที่มีส่วนสำคัญในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางอรัญญา โสภณกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม มอบสิ่งของอุปโภค บริโภค และสิ่งจำเป็น ให้แก่ ครูบุญชู ม่วงไหมทอง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่รับดูแลเด็กพิเศษ เด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะด้านร่างกาย การเรียนรู้ สมาธิสั้น และออทิสติก ฯลฯ ณ มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดงานวิ่งการกุศล “Bumrungrad Race to Heal 2025 Presented by Bumrungrad Hospital Foundation” ประเภท Family Run 2.5 กิโลเมตร, Fun Run 5 กิโลเมตร และ Mini Marathon 10 กิโลเมตร ณ อุทยานสวนจตุจักร เป็นครั้งที่ 2 หลังจากงาน Bumrungrad Run for Health 2023 โดยนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด มอบให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เข้าสู่ปีที่ 45 ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ส่งมอบการบริบาลทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสบการณ์การรักษาที่เป็นเลิศให้กับผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล ในฐานะโรงพยาบาล เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพดีและป้องกันโรคเป็นหลัก จึงได้สานต่อกิจกรรมงานวิ่งการกุศลต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป้าหมายในการดูแลสุขภาพของประชาชนแบบองค์รวม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นกับบุคลากรของโรงพยาบาลฯ นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพอย่างเอื้ออาทรตามค่านิยมขององค์กร พร้อมสานต่อปณิธานของ คุณชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “การดำเนินธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับสังคมด้วย” โดยเฉพาะการสานต่อโครงการ “รักษ์ใจไทย” ที่ร่วมกับมูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อช่วยเหลือผ่าตัดรักษาเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดผู้ด้อยโอกาส ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ช่วยเหลือเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดให้ได้รับการผ่าตัดมาแล้วมากถึง 830 ราย

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “อาสาบำรุงราษฎร์”, โครงการส่งเสริมสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณร, กองทุนการศึกษาแพทย์, โครงการ “ตำรวจ (ปอด) ปลอดภัย”, โครงการ “เด็ก-เด็ก ปลอดยุง” ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคมอีกมากมาย โดยมุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับประชาชนทั่วประเทศ

มอบเงินสร้างบ้านให้กับผู้ด้อยโอกาส จังหวัดสุพรรณบุรี

น้ำและปุ๋ย ถือเป็นปัจจัยการผลิตพืชที่สำคัญ และยังเป็นต้นทุนการผลิตหลักของเกษตรกร การลดภาระค่าใช้จ่ายไปพร้อมๆกับได้เพิ่มผลผลิตไปในคราวเดียว “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” เป็นโครงการที่ตอบโจทย์นี้ และยังเป็นอีกแนวทางการสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เพื่อรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

โครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ที่ซีพีเอฟดำเนินการมานานกว่า 20 ปี ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตพืชไร่และพืชสวนดีขึ้น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่าย จากการลดการใช้ปุ๋ยเคมี โดยซีพีเอฟนำน้ำปุ๋ยจากการบำบัดด้วยระบบ Biogas ในฟาร์มสุกร ซึ่งเป็นน้ำที่ยังมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัยซึ่งพนักงานปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์มไว้เพื่อบริโภค และด้วยสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆปี  น้ำปุ๋ยจากฟาร์ม จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรโดยรอบ

 

สิงห์คำ อินทะ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจอมทอง จ.เชียงใหม่ มาใช้กับไร่ข้าวโพดหวาน มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เริ่มแรกที่ขอใช้น้ำปุ๋ยเพราะต้องการลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุไนโตรเจนสูงเหมาะกับข้าวโพดหวาน ต้นโตไว ฝักใหญ่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จึงเพิ่มตาม และยังลดค่าปุ๋ยได้ถึง 50-70% จากนั้นเกษตรกรรอบข้างก็ชวนกันมาใช้น้ำปุ๋ย ปัจจุบันใช้อยู่ 15 ราย ทั้งปลูกข้าวโพดหวานและผักสวนครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ที่ผ่านมาไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้ง มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี

 

ด้าน ณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี เล่าว่า รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ซึ่งปัจจุบันปรับปรุงเป็นระบบท่อลำเลียงน้ำที่เปิดใช้วันละ 2-4 ราย ให้เกษตรกร 20 ราย บนพื้นที่ 200 กว่าไร่ ใช้ในสวนผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ กล้วย เฉพาะตนเองใช้ในสวนทุเรียน 10 กว่าไร่ ผลผลิตดีขึ้นมาก ติดผลดี คุณภาพผลผลิตดี เพราะน้ำปุ๋ยมีอินทรีย์วัตถุที่ดีแทนปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ต้นไม้จึงเจริญงอกงาม ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปกว่า 20-30%

 

จากความสำเร็จของธุรกิจสุกร เป็นแนวทางที่ดีที่ธุรกิจอื่นๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบ อาทิ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ จำนวน 9 แห่ง ที่ส่งต่อน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรใกล้เคียง วิโรจน์ ใจด้วง ปลูกหญ้าเนเปียร์ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ซึ่งการปลูกหญ้าต้องใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก จึงเริ่มรับน้ำตั้งแต่ปี 2564 จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยฟาร์มวางระบบท่อยาว 1 กิโลเมตร ส่งมาให้โดยต้องผสมกับน้ำจากคลองชลประทานอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ตอนหลังเก็บเกี่ยวหญ้าเพื่อปรับสภาพดิน ใช้น้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง หลังใช้พบว่าหญ้าลำต้นอวบใหญ่ใบใหญ่โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรียอีกเลย ช่วยลดรายจ่ายไปถึง 4,000 บาทต่อปี และได้ผลผลิตเพิ่มเกือบ 50%

 

นอกจากนี้ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ยังต่อยอดสู่การทำปุ๋ยกากไบโอแก๊สด้วย ไพบูลย์ ทาพิลา เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยอีกราย ที่เริ่มรับปุ๋ยกากไบโอแก๊สมาใช้กับไร่อ้อย 100 ไร่ เมื่อปี 2564 คาดหวังว่าจะช่วยประหยัดต้นทุน และลดการใช้ปุ๋ยเคมีซ้ำๆที่ทำให้สภาพดินเสียหาย หลังใช้แล้วไม่ผิดหวัง คุณภาพดินดีขึ้น อ้อยงามลำใหญ่ยาว ผลตอบแทนจากการขายอ้อยก็ดีขึ้นด้วย ก่อนนี้เคยใช้ปุ๋ยเคมีมีค่าใช้จ่ายปีละ 3 แสน หลังใช้ปุ๋ยชีวภาพช่วยลดต้นทุนได้ถึง 50-70%

 

เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ไม่เพียงเกิดประโยชน์กับองค์กร แต่ยังมองรวมไปถึงความมั่นคงด้านน้ำตลอดห่วงโซ่คุณค่าอีกด้ว

พร้อมเปิดโครงการ “ไทยพาณิชย์รวมใจไทยให้โลหิต” ประจำปี 2568

กรมป่าไม้และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอเชิญชวนป่าชุมชนทั่วประเทศ ร่วมชิงรางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2568 และเงินรางวัล 200,000 บาท ภายใต้โครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ปีที่ 18 ที่มุ่งส่งเสริมการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระตุ้นจิตสำนึกและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2568 นี้ รางวัลประเภทดีเด่นได้หยิบยกประเด็นด้านการรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและบรรลุสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ผ่านกลไก “ป่าชุมชน”

ป่าชุมชนที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2568 ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ เว็บไซต์กรมป่าไม้ www.forest.go.th และเว็บไซต์ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) www.ratch.co.th หรือติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่ “สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ทั่วประเทศ” และสำนักจัดการป่าชุมชน โทร. 0 2561 4292-3 ต่อ 5654

การประกวดป่าชุมชน ภายใต้โครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ประจำปี 2568 ประกอบด้วยรางวัลรวม 16 รางวัล มูลค่าเงินรางวัลรวม 1.4 ล้านบาท ได้แก่

1. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ชนะเลิศระดับประเทศ จะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน 200,000 บาท

2. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน รองชนะเลิศระดับประเทศ 3 รางวัล จะได้รับถ้วยรางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 150,000 บาท

3. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ชนะเลิศระดับภาค 4 รางวัล จะได้รับโล่รางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 100,000 บาท

4. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน รองชนะเลิศระดับภาค 4 รางวัล จะได้รับโล่รางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 50,000 บาท

5. รางวัลป่าชุมชนดีเด่น ด้านการรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ 4 รางวัล จะได้รับถ้วยรางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 50,000 บาท

การพิจารณาตัดสินรางวัลคัดเลือกจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน และแผนงานการอนุรักษ์ที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช  (กลางซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มอบเงินบริจาคจำนวน 43,025,632 บาท ให้แก่ ศิริราชมูลนิธิ โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล (กลางขวา) คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆ นี้

เงินบริจาคดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมบริจาคผ่านบัตรเครดิต และใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท เพื่อนำไปสนับสนุนการดำเนินงานของศิริราชมูลนิธิในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาลศิริราช

ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ กล่าวว่า “ศิริราชมูลนิธิเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาล เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยและสังคมโดยรวม การสนับสนุนจากเคทีซีและสมาชิกถือเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้มูลนิธิสามารถดำเนินภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”

นางสาวสิรีรัตน์ กล่าวว่า “เคทีซีมีความมุ่งมั่นในการร่วมสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส โครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างภาคเอกชนและภาคประชาสังคม และเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของหลักการ ESG ที่เคทีซีให้ความสำคัญ”

X

Right Click

No right click