December 15, 2025

RML ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ โชว์ฟอร์มไตรมาสแรก ปี 2566 กวาดยอดขาย (Presales) รวม 518* ล้านบาท โตขึ้น 63%* จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 318* ล้านบาท หลังคอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District) ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) โครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ยอดโอนมากถึง 3,000* ล้านบาท หรือประมาณ 80%* ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน มั่นใจปิดการขายปีนี้ตามเป้า

 

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทฯ มีผลงานที่ดี เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ โดยสิ้นไตรมาสแรก ยอดโอนดีเกินคาด ส่วนยอดขายกวาดไปแล้วกว่า 85%* อีกทั้ง ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ โกยยอดขายแล้วถึงประมาณ 90%* รวมถึงบริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรดเอ ระดับลักชัวรี่ อย่าง ‘โอซีซี (วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์)’ ที่เป็น ที่กล่าวถึงมากที่สุดแห่งหนึ่งในขณะนี้ โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่รีเทลรวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70%* ตอกย้ำแบรนด์ RML ที่ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในขณะเดียวกัน ปีที่ผ่านมาจวบจนถึงปีนี้ บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้ดี จากกลยุทธ์แอสเสท ไลท์ (Asset light) ที่ไม่ต้องซื้อที่ดิน แต่ใช้ที่ดินของเจ้าของที่ดิน ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าที่ดินและต้นทุนทางการเงินจากการพัฒนาโครงการในอนาคต สร้างเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทฯ จะมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ เพื่อให้บริษัทฯ มีรากฐานทางการเงิน ที่แข็งแกร่ง และก้าวเข้าสู่แบรนด์อันดับ 1 ที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่”

บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 จำนวน 4,959* ล้านบาท ลดลงจาก 4,965 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 สืบเนื่องมาจากการทยอยโอนการกรรมสิทธิ์ของโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ที่เริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565

“สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 มองว่ามีแนวโน้มสดใสจากปัจจัยบวกของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น โดยความต้องการซื้ออสังหาฯ ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ยังคงคึกคัก ทั้งจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ทั้งพม่า, กัมพูชา, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์ และรัสเซีย พิสูจน์จากยอดขายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ จะรุกจัดกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ประเดิมด้วยการจัด ‘RML Pop-Up Lounge’ มอบข้อเสนอสุดเอ็กคลูซีฟให้ลูกค้า ครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลามในไตรมาสแรก อีกทั้งยังจัดแคมเปญทางการตลาด เพื่อมุ่งปิดการขายยูนิตที่เหลืออีก 15%* ของโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ตลอดจนยังคงหา ผู้เช่า ‘โอซีซี’ เพื่อเติมเต็มพื้นที่เช่าของอาคารทั้งหมด 61,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ไปจะมุ่งมั่นทำให้ ผลประกอบการของบริษัทฯ ปรับเพิ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อีกจำนวนมาก จากการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3 และยอดขายจากโครงการ ‘โรสวูด เรสซิเดนซ์เซส กมลา’ (Rosewood Residences Kamala) จังหวัดภูเก็ต ที่เตรียมเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ (Private Sales) ในครึ่งปีหลัง ซึ่งเรามั่นใจว่าจะเป็นโครงการอัลตร้า ลักชัวรี่ แบรนด์เด็ด เรสซิเดนซ์ (Ultra-Luxury Branded Residence) รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยอย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าวปิดท้าย

“เป๋าตังเปย์” ซูเปอร์วอลเล็ตที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่บนแอปฯ เป๋าตัง พัฒนาโดย “Infinitas” หรือ “บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด” ผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ดำเนินงานภายใต้ธนาคารกรุงไทย รวบกว่า 50 ร้านค้ามาให้ พร้อมจัดโปรโมชันรับลมร้อมแบบฮอตๆ ให้คนไทยได้อิ่มสุดคุ้มกับแคมเปญ “เป๋าเปย์ชวนชิม อิ่มทั่วกรุง ลดเต็มพุง สูงสุด 50 บาท” เพียงสแกน QR เพื่อชำระเงินผ่านเป๋าตังเปย์วอลเล็ต แล้วกดใช้คูปองส่วนลด 50% สูงสุด 50 บาท ณ ร้านค้าอร่อยทั่วกรุงหรือร้านถุงเงินที่ร่วมรายการ เช่น ครัวคุณหลวง อาหารตามสั่ง ร้านพิชซ่าดอลล่าร์ เจ๊เพ็ญ อาหารปักษ์ใต้ ร้านไก่ย่างจีระพันธ์ ครัวจุฬา 48 เชฟโส่ย ร้านนายอู๋ ข้าวแกงสามย่าน ร้านยำวารีญาวารี ร้านบะหมี่เกี๊ยวจรรยา เป็นต้น (จำกัด 1 คน / 1 สิทธิ์ รวม 3,000 สิทธิ์แรก ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) อร่อยฟินรับซัมเมอร์ ตั้งแต่ 17 เมษายน 2566 – 30 มิถุนายน 2566

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกลิงค์ https://krungthai.com/th/content/personal/paotang-pay ห

“สกาย กรุ๊ป” เผยผลประกอบการ Q1/66 กวาดรายได้ 820 ล้านบาท โตแกร่ง 75% กำไรสุทธิ 83 ล้านบาทรับอานิสงค์ยอดผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศทะลัก หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยว-การบินฟื้น ดันรายได้จากโครงการเกี่ยวกับสนามบินพุ่ง โชว์แบ็กล็อก 22,900 ล้านบาท เชื่อมั่น Aviation Tech แต้มต่อสำคัญพร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง เตรียมเร่งเครื่องจัดทัพ-ขยายธุรกิจใหม่ สยายปีกสู่ Beyond Tech Company สร้างความแข็งแกร่งในอนาคต

นายสิทธิเเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค. 66) บริษัทสามารถทำรายได้ 820 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 75% (YoY%) และมีกำไรสุทธิ 83 ล้านบาท ถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากรายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน อย่างระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) และโครงการการให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) ขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวประเทศไทยฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 บริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างการรอส่งมอบตามสัญญา (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 22,900 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ปอย่างแข็งแกร่ง

“ที่ผ่านมา สกาย กรุ๊ป ได้ลงทุนศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Tech) มาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี ทำให้เราสามารถสร้างการเติบโต แม้ต้องเผชิญกับท้าทายจาก COVID-19 เห็นได้จากการขยายตัวของสกาย กรุ๊ปและบริษัทที่เราเข้าไปร่วมลงทุน เราเชื่อว่านับจากวันนี้ไป ภาคการท่องเที่ยวและการบินทั่วโลกจะยังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ Aviation Tech กลายเป็นหนึ่งในแต้มต่อสำคัญของประเทศ” นายสิทธิเดช กล่าว

นายสิทธิเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 สกาย กรุ๊ป ยังคงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้าน Aviation Tech ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริการภายในสนามบิน (Airport Services) ให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว ช่วยเพิ่มความสามารถ (Capacity) ของท่าอากาศยานในการรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่พร้อมจะหลั่งไหลเข้าประเทศไทยตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเข้าประมูลงาน ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน มูลค่ารวมหลักหลายพันล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในอนาคต

ขณะเดียวกัน สกาย กรุ๊ป ยังมีแผนปรับโครงสร้างยกระดับองค์กรสู่ “Beyond Tech Company” มุ่งสร้างองค์กรให้เป็นมากกว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี และเปิดตัวบริษัทลูกเพื่อขยายธุรกิจใหม่ เสริมความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Connecting Thailand วางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมเปิดรับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีระดับโลกสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และพัฒนาบุคลากรเติมเต็ม Tech Ecosystem ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆ นี้

บิสกิต โซลูชั่น แนะองค์กรนำ AI ช่วยจัดการธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ 5 ด้าน วิจัยการตลาด ประหยัดงบโฆษณา ปั้นแคมเปญให้ปัง โต้ตอบลูกค้า 24 ชม. ช่วยเพิ่มกำไร ชี้ปรับใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม

อาทิ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว และบริการ หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนอุตสาหกรรมร้านอาหาร คว้าโอกาสเติบโตยุคธุรกิจร้านอาหารมาแรง เป็นธุรกิจด่านหน้าที่ได้รับปัจจัยบวกจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนได้ตามปกติ รวมถึงการท่องเที่ยวฟื้นตัว เทรนด์ผู้บริโภคโหยหาชีวิตนอกบ้าน คาดธุรกิจร้านอาหารเติบโตสูงถึง 4.5% ในปี 2566 นี้

นายสุทธิพันธุ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสกิต โซลูชั่น จำกัด หรือ BIZCUIT Solution เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี AI สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงธุรกิจร้านอาหารที่กำลังฟื้นตัวเติบโต จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดธุรกิจร้านอาหารปีนี้จะมีมูลค่าราว 4.18 - 4.25 แสนล้านบาท หรือโต 2.7% - 4.5% เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจด่านหน้าที่ได้รับปัจจัยบวกจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่ขับเคลื่อนได้ตามปกติ กำลังซื้อเริ่มดีขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว บวกกับพฤติกรรมโหยหาการใช้ชีวิตนอกบ้านของผู้บริโภค ที่ต้องการออกไปนั่งรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือแฮงค์เอาท์ สังสรรค์กับเพื่อนและคนในครอบครัวมากขึ้น ประกอบกับคนรุ่นใหม่ สนใจประกอบธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น เนื่องจากมีธุรกิจร้านอาหารประสบผลสำเร็จเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรม ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว และบริการ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย ธุรกิจประกัน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ที่สามารถนำเอาเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจในทุกกระบวนการทำงาน ทั้งในด้านของการบริหารต้นทุนที่แม่นยำ มีกำไรมากขึ้น การนำหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทำแทนแรงงานที่ขาดแคลน รวมไปถึงการนำมาช่วยวิเคราะห์แคมเปญทางการตลาด ช่วยผสานการขายและให้บริการ ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้าน หรือธุรกิจที่เน้นบริการหลังการขาย เพิ่มการยอดขายและช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี รักษาฐานลูกค้าเดิม และเพิ่มโอกาสในการสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยสามารถนำเทคโนโลยี AI เข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ 5 ด้านได้แก่

1. วิจัยทางการตลาด สามารถรวบรวมความพึงพอใจลูกค้าได้อย่างรวดเร็วจากลูกค้าที่มาใช้บริการจริง ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า แทนการทำการวิจัยที่ใช้แบบสอบถามแบบเดิม ซึ่งใช้เวลาเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่อัปเดตกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ทั้งยังใช้งบประมาณสูง

2. ด้านการวางงบโฆษณา ประหยัดงบ กำหนดกลุ่มเป้าหมายแม่นยำขึ้น ทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าสื่อโฆษณาในช่องทางต่าง ๆ ที่ลงทุนไป สร้างยอดขายจริงกลับมาเท่าไหร่ ด้วยการสกัดข้อมูล แยกกลุ่มเซ็กเมนท์ (Segment) วางแผนการบริหารงบประมาณโฆษณาบนช่องทางออนไลน์ไปแต่ละกลุ่มได้แม่นยำ ลดความสิ้นเปลืองในการทุ่มงบยิงโฆษณาหว่านแบบเดิม ๆ

3. ปั้นแคมเปญการตลาดให้ปัง มีประสิทธิภาพ โดยการนำเอาข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า มาพัฒนาต่อยอดเป็นแคมเปญกระตุ้นยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้

4. ให้บริการโต้ตอบลูกค้า 24 ชั่วโมง เพื่อรับรู้บริบทลูกค้าที่มีต่อร้านค้า กล่าวขอโทษเมื่อลูกค้าไม่พอใจ กล่าวขอบคุณหรือให้สิทธิพิเศษต่อลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ต่อติดกับลูกค้าอยู่เสมอ ตอบสนองได้รวดเร็วสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล

5. สร้างคลังข้อมูล เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และยังช่วยให้ AI เกิดการเรียนรู้ขั้นสูงสุดเกี่ยวกับธุรกิจหรือรูปแบบการขายข้ามสายที่ซับซ้อนมาก ไปพร้อมกับการเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า

อย่างไรก็ดี BIZCUIT ได้พัฒนา Fulloop ให้การเป็น MarTech สำหรับธุรกิจ โดยใช้ AI ที่มีความฉลาดด้านภาษาไทยมากที่สุด โดยสามารถวิเคราะห์ไปถึงเจตนาของความเห็นและข้อความ ในทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เนื่องจากพัฒนาโดยคนไทยที่มีความสามารถด้านการบริหารประสบการณ์ลูกค้า ปัจจุบันมีลูกค้าเชนร้านอาหารชั้นนำ อาทิ ซานตาเฟ่ เหมงนัวร์นัวร์ ซูชิเซนกิ ใช้บริการ รวมไปถึงในธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ ปัจจุบันมีลูกค้าเชนร้านอาหารชั้นนำ อาทิ ซานตาเฟ่ เหมงนัวนัว ซูชิเซกิ ใช้บริการ รวมไปถึงในธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ อาทิ Studio7, IndexLivingmall, Jubilee, ทีวีไดเร็ค(TVD) โดย Fulloop สามารถนำไปใช้ได้กับธุรกิจได้ทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ด้วยจุดแข็งที่ใช้งบประมาณน้อย AI เข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี นำข้อมูลประสบการณ์ลูกค้าไปต่อยอดด้านการตลาด การขาย และบริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทิพยประกันภัย หรือ TIP โชว์ผลงานไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิ 658 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 52.3% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาท โชว์เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 8,404 ล้านบาท เดินหน้าให้บริการลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและยกระดับประสบการณ์การประกันภัยให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ต่อยอดความแข็งแกร่งด้านการรับประกันภัยลูกค้าองค์กร

ทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำให้การประกันภัยนั้นครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกกลุ่ม ขณะที่ TIPH พร้อมลุยลงทุนต่อเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัย

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยผลการดำเนินงานของทิพยประกันภัย โดยในส่วนของรายได้ TIP ในไตรมาส 1/2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 311 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.8 โดยเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เติบโตร้อยละ 15.5 เบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เติบโตร้อยละ 6.2 และเบี้ยประกันภัยรถยนต์ เติบโตร้อยละ 2.5 ประกอบกับมีรายได้และกำไรจากเงินลงทุนรวม 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ TIP มีรายได้รวมทั้งหมดที่ 3,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.2 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 658 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาท เพิ่มขึ้น 226 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 52.3 จากไตรมาสก่อนหน้า

ในส่วนของงบการเงินรวมของบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566 จำนวน 639 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นจำนวน 1.08 บาท โดยมีผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยภายใต้กลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัยที่ขยายการลงทุนไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2.6 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 310.5 และบริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 10.7 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 83.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในปี 2566 TIPH ตั้งเป้าหมายให้ทุกบริษัทในกลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัยมีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 50% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้า และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ในส่วนของบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ซึ่งให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) มีการเติบโตที่ดีตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และตามการเติบโตของอุปสงค์สินเชื่อภาคธุรกิจและครัวเรือน บริษัทฯสามารถทำตามเป้าหมายในการขับเคลื่อนภารกิจเชิงสังคม ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อด้วยต้นทุนต่ำ จึงได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก และสามารถขยายพื้นที่ให้บริการสินเชื่อที่ดินทั่วประเทศได้ตามแผน

นอกจากนี้ บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจประกันภัยแบบ Pure Digital ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มประกันภัยแบบลูกค้ารายย่อย (Personal Line) ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ จะเริ่มให้บริการเร็วๆ นี้

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2566 TIPH อยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในธุรกิจประกันภัยในประเทศกัมพูชา และการลงทุนในธุรกิจที่เป็นแนวโน้มในอนาคต รวมถึงธุรกิจที่จะสามารถสร้าง New S-curve หรือ Synergy เพื่อสนับสนุนธุรกิจประกันภัย โดยจะเน้นลงทุนในช่วง Growth Stage ของธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้ทันที (Quick-win) ในรูปแบบการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) และยังอยู่ระหว่างการศึกษาการจัดตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลแบบครบวงจรเพื่อให้บริการกับทุกบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม TIPH เพื่อให้เกิดมาตรฐานและลดต้นทุนในการดำเนินงาน อีกทั้ง TIPH อยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้ โดยมีการยืนยันความแข็งแกร่งทางการเงิน และความสามารถทางการแข่งขันที่โดดเด่น จากการได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ที่ “AA” แนวโน้มคงที่ ที่สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท โดยบริษัทฯได้เสนอขายหุ้นกู้ต่อนักลงทุนสถาบันเรียบร้อยแล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้

ทั้งนี้ ดร.สมพร กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของ TIPH และบริษัทในกลุ่มยังคงแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากแผนการขยายงานและขยายฐานลูกค้าผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรม ประกอบกับแผนขยายการลงทุนของ TIPH ในปีนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการเพิ่มรายได้ การลงทุนขยายธุรกิจในประเทศและระดับภูมิภาค รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยของไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจของ TIPH ต่อไป

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เชิญชวนศิลปินมืออาชีพและศิลปินใหม่หรือสมัครเล่น ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566

เวทีการประกวดงานจิตรกรรมเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ต่อยอดสู่การประกวดระดับภูมิภาค โดยมุ่งสนับสนุนชุมชนศิลปินและศิลปินรุ่นเยาว์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีศิลปะระดับภูมิภาค และปีนี้ยูโอบีได้ขยายการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีการประกวดจิตรกรรมที่ทรงเกียรติที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สู่เวียดนามเป็นประเทศที่ห้า

สำหรับงานเปิดตัวในวันนี้ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้จัดให้มีการเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ เกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสของศิลปินไทยในการมุ่งสู่เส้นทางการเป็นศิลปินในเวทีศิลปะระดับสากล พร้อมบอกเล่าปัจจัยสำคัญที่เอื้อประโยชน์แก่ศิลปินในการเติบโตและประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปินระดับโลก อันได้แก่ การสร้าง อัตลักษณ์ทางศิลปะ เทคนิค ความหลงใหล และความมุ่งมั่นอันแรงกล้า นอกจากนี้ งานเสวนายังแบ่งปันวิธีที่ศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นจะเรียนรู้จากข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ของศิลปินอาชีพและผู้เชี่ยวชาญในวงการศิลปะ ซึ่งจะช่วยชี้แนะให้ประสบความสำเร็จในวงการศิลปะที่แข่งขันสูง การเสวนาครั้งนี้นำโดย อาจารย์ อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สื่อผสม) ปี 2563 และรองอธิบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ประธานคณะกรรมการตัดสิน การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ประเทศไทย คุณชมรวี สุขโสม ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2565 และ คุณนริศรา เพียรวิมังสา ศิลปินชื่อก้องผู้สร้างสรรค์ผลงานสีอะคริลิกและผ้า ที่มีประสบการณ์เข้าร่วมโครงการศิลปินในพำนักในประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอเมริกา

การออกแบบโลโก้การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14

การออกแบบโลโก้การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ประจำปี 2566 ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงาน ดิสโทเปีย ของคุณชมรวี สุขโสม ศิลปินไทยผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2565 รูปทรงกลมที่กำลังเปลี่ยนแปลงรูปร่างสื่อถึงโลกของเราที่พัฒนาและปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ตามวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาในระยะยาวของธนาคารที่จะไม่หยุดพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและอยู่เคียงข้างชุมชน

นางสาวธรรัตน โอฬารหาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปีนี้ ยูโอบีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายการจัดการประกวดจิตรกรรมยูโอบีนี้ไปสู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นได้ค้นพบความหลงใหลที่มีต่องานศิลปะ เพราะเราเชื่อว่าศิลปะช่วยยกระดับจิตใจและเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทางธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการเฟ้นหา ฟูมฟัก และสนับสนุนศิลปินผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และความสามารถในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 1 ทศวรรษ ผ่านการประกวดจิตรกรรมยูโอบีประจำปีและโครงการส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความสามารถและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละคน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่เพื่อนศิลปิน และเพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการสร้างอนาคตของอาเซียน”

เชิญชวนศิลปินส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 พร้อมเงินรางวัลสำหรับประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นที่เพิ่มขึ้น

ในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะชั้นนำในเอเชีย การประกวดจิตรกรรมยูโอบีประสบความสำเร็จในการเฟ้นหาศิลปินอาชีพและศิลปะใหม่หรือสมัครเล่นจากประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 เปิดรับผลงานศิลปะของผู้มีสัญชาติไทยและผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยผ่านระบบดิจิทัล www.uob.co.th/poy ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม ถึง 15 สิงหาคม 2566

พิธีประกาศและมอบรางวัลการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 จะจัดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ผลงานชนะเลิศจากประเทศไทยจะได้รับสิทธิเข้าแข่งขันในระดับภูมิภาคร่วมกับผลงานชนะเลิศจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เพื่อชิงเงินรางวัลอีก 13,000 เหรียญสิงคโปร์ นอกเหนือจากเงินรางวัลระดับประเทศ นอกจากนี้ ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับประเทศยังมีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นศิลปินในพำนัก ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 1 เดือนอีกด้วย พิธีประกาศและมอบรางวัลการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะจัดขึ้นที่โรงละครวิคตอเรีย ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566

นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นในภูมิภาคในการไล่ตามความฝันในแวดวงศิลปะ ยูโอบีจึงเพิ่มเงินรางวัลสำหรับประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่น โดยผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นจะได้รับเงินรางวัลเพิ่มเป็น 125,000 บาท

ส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินรุ่นเยาว์

เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินไทยเติบโตและประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปะระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เตรียมจัดทำคลิปวิดีโอเพื่อให้ความรู้ โดยมีศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบี อาทิ คุณปานพรรณ ยอดมณี คุณธิดารัตน์ จันทเชื้อ และคุณชมรวี สุขโสม มาร่วมแบ่งปันเทคนิค กระบวนการคิดในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และทัศนคติที่จำเป็นในการผลักดันผลงานให้เป็นที่รู้จักในเวทีศิลปะระดับสากล ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอแบ่งปันความรู้ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ผ่าน www.facebook.com/uob.th และ www.uob.co.th/uobandart

นอกจากนี้ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จะจัดเดินสายกิจกรรม “โรดโชว์ศิลปะ” ไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 20 แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเฟ้นหาศิลปินไทยรุ่นใหม่จากทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนศิลปะท้องถิ่นและนิสิตนักศึกษาสาขาวิชาศิลปะได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านศิลปะและรับแรงบันดาลใจจากศิลปินอาชีพและศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีที่ประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปะต่างประเทศ

 foodpanda  ส่งความคุ้มกับบริการ “pandapro” ที่เพิ่มวิธีสมัครด้วย “เงินสด” แถมยังมอบโปรฯ ส่วนลดค่าสมาชิกรายปี เหลือ 5 บาท/ เดือน คุ้มแบบจัดเต็มกับ 5 ความพิเศษเหนือใครทั้ง ส่งฟรี, ส่วนลดค่าอาหาร, ส่วนลดบริการรับเองที่ร้าน (Pick-up), ส่วนลด pandamart และ foodpanda shops และส่วนลดสำหรับทานอาหารที่ร้าน (Dine-in) ไปเลย

pandapro บริการแพ็กเกจสมาชิก จาก foodpanda ที่เปิดตัวไปในเดือนพฤศจิกายน 2564 จากเดิมลูกค้าสามารถชำระค่าสมัครสมาชิกผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และ E-Wallet ล่าสุด! pandapro เพิ่มความสะดวกอีกขั้น ให้ลูกค้าชำระค่าสมัครสมาชิกด้วย “เงินสด” ได้แล้ววันนี้ มาพร้อมโค้ดส่วนลดสุดคุ้ม “PROCASH” ลดไปเลยค่าสมาชิกแบบรายปี จาก 19 บาท/ เดือน เหลือ 5 บาท/ เดือน สมัครง่าย ๆ เพียง 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. กดสั่งอาหารและเพิ่ม pandapro ลงตะกร้า

2. เลือกแผนสมาชิกรายครึ่งปี หรือรายปี ถ้าสมัครรายปี อย่าลืมใส่โค้ด “PROCASH” ลดค่าสมาชิกเหลือ 5

บาท/ เดือน

 

3. เป็นชาวโปรทันทีเมื่ออาหารมาส่ง สามารถชำระเงินค่าอาหารและค่าสมัครผ่านไรเดอร์ได้เลย

หมายเหตุ* สามารถใส่โค้ด PROCASH เพื่อรับส่วนลดค่าสมัครเหลือ 5 บาทต่อเดือน ได้เฉพาะแผนสมาชิกรายปี (แบบ 12 เดือน) เท่านั้น โดยสามารถใช้โค้ดได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566

สำหรับสิทธิประโยชน์สมาชิกแพ็กเกจ pandapro มีดังต่อไปนี้

1. จัดส่งฟรี - ฟรีค่าจัดส่งจากร้านอาหารชั้นนำที่ร่วมรายการ 10 ครั้ง/ เดือน (สูงสุด 30 บาท) เมื่อสั่งอาหารเดลิเวอรี่ครบ 150 บาท หรือสั่งสินค้าจาก pandamart หรือ foodpanda shops ครบ 399 บาท

2. ส่วนลดค่าอาหารสูงสุด 60% - จากร้านอาหารและเมนูที่ร่วมรายการ

3. รับอาหารที่ร้าน (Pick-Up) - ลดเพิ่ม 5% สำหรับบริการเองที่ร้าน (Pick-Up) แบบไม่มียอดขั้นต่ำ

4. ส่วนลด foodpanda shops - ลดสูงสุด 30% เมื่อสั่งสินค้าจากร้านค้าที่ร่วมรายการ

5. ส่วนลดสูงสุด 25% (Dine-in) - รับส่วนลดสูงสุด 25% เมื่อใช้บริการทานที่ร้านกับอาหารชั้นนำที่ร่วมรายการ1

 เรียลมี (realme) แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วในโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ล่าสุด “realme 11 Pro Series 5G” ที่ประเทศจีน นำเสนอ 2 รุ่นคือ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G มาพร้อมดีไซน์ฝาหลัง ผลงานการคอลแลบกับนักออกแบบสิ่งทอชั้นนำระดับโลกจาก Gucci Prints พร้อมชูไฮไลต์ในรุ่นใหญ่ realme 11 Pro+ 5G ด้วยสุดยอดนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปแห่งปีที่หลายคนรอคอย

สมาร์ตโฟน realme ในตระกูล Number Series สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 50 ล้านเครื่อง จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ realme สามารถทุบสถิติยอดขายเกิน 100 ล้านเครื่องได้ในช่วงที่ผ่านมา และด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ว่าบริษัทจะไม่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ถ้าไม่มีนวัตกรรมใหม่ (No Leap-forward innovation, no product release) ทำให้ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องระดับแฟล็กชิปที่พร้อมสั่นสะเทือนวงการ โดยเป็นกล้องระบบ SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลกซึ่งทรงประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดสมาร์ตโฟนระดับราคาเดียวกัน และไม่เพียงมอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือระดับทั้งในด้านการซูม ความละเอียดของเม็ดพิกเซล และฟังก์ชันต่าง ๆ เท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังยกระดับการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงคุณสมบัติด้านอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หน่วยความจำ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ายเชส ซือ รองประธานบริษัท realme และประธานกรรมการบริหาร realme Global Marketing กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ตโฟนของเราคือการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งทำให้ realme 11 Pro 5G Series เป็นสมาร์ตโฟนที่มีเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดในกลุ่มแฟล็กชิป เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกล้องระดับแฟล็กชิปได้ง่ายขึ้น และเก็บภาพที่สวยงามเพื่อสร้างสรรค์แรงบันดาลใจได้ในทุก ๆ วัน”

realme 11 Pro+ 5G กล้อง SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก พร้อมพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด

realme 11 Pro+ 5G มอบประสบการณ์กล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom รุ่นอัปเกรดขนาด 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้างถึง f/1.69 รอบรับการจับภาพที่ความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล โดยที่ทุกพิกเซลมอบคุณภาพของภาพถ่ายได้อย่างเหนือระดับ

การถ่ายภาพจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสนานกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยีการซูมของ realme 11 Pro+ 5G ที่มอบพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ให้คุณถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัดแบบสุด ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ Auto-zoom ได้ด้วยการแตะคำสั่งเพียงครั้งเดียว โดยกล้องจะทำการซูมไปยังบริเวณที่กำหนดไว้แบบอัตโนมัติโดยยังคงมุมมองภาพที่สวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ

realme 11 Pro+ 5G ยังนำเสนอการตั้งค่าของกล้องระดับแฟล็กชิปอย่าง SuperOIS, Super NightScape, Moon Mode, และ Starry Mode Pro มอบอิสระแก่ผู้ใช้งานให้สามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และตัวตนในผลงานภาพถ่ายอย่างเต็มที่ ให้คุณค้นพบโลกกว้างและความรื่นรมย์ในการบันทึกความทรงจำที่มากกว่าด้วยโหมด กล้อง Sony Selfie Camera ที่มีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล รวมถึง Super Group Portrait Mode, One Take Mode และอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือ Street Photography Mode 4.0 ฟีเจอร์การถ่ายภาพยอดฮิตที่แฟน realme ทั่วโลกชื่นชอบอย่างมาก

realme 11 Pro+ 5G ฝาหลังสุดลักซ์ชัวรีด้วยแรงบันดาลใจจาก Gucci

realme 11 Pro 5G Series ไม่เพียงโดดเด่นในด้านกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ในเรื่องการออกแบบตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ได้รับการพัฒนาจาก realme Design Studio ผ่านความร่วมมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ Gucci เพื่อนำเสนอมาตรฐานงานดีไซน์ระดับไฮเอนด์และงานฝีมือจากแบรนด์ระดับลักซ์ชัวรี สู่หนุ่มสาวผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน realme ทั่วโลก

โดยเฉพาะโทนสี Sunrise Beige ซึ่งนำความงามมาจากโทนสีของมิลาน-เมืองแห่งแฟชั่น ผู้ออกแบบได้จับเอาความประทับใจในช่วงเวลาที่แสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงาม เกิดเป็นความสว่างเรืองรองสีทองอ่อนที่ฉาบไล่ไปทั่วทั้งตัวเมือง ผ่านกรรมวิธีการผลิตเกรดพรีเมียม รวมถึงการใส่รายละเอียดแนวตะเข็บแบบ 3 มิติที่สวยงามเสมือนงานของช่างฝีมือ มอบผิวสัมผัสระดับสูงด้วยหนังวีแกนลายผลลิ้นจี่ ผสานการทอแบบ 3 มิติเพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ที่งดงาม ทันสมัย พร้อมสะกดทุกสายตา

นอกจากนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพและมาตรฐานงานออกแบบขั้นสูง realme 11 Pro+ 5G ยังมาพร้อมประสิทธิภาพรอบด้านอันโดดเด่น ทั้งระบบชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และแบตเตอรี่ความจุถึง 5000mAh มาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และเทคโนโลยีถนอมดวงตาด้วยประสิทธิภาพการปรับระดับแสงที่ 2160Hz ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนปัจจุบัน ทั้งยังสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ เป็นครั้งแรกของโลก

realme 11 Pro 5G กับประสิทธิภาพ Premium 2160Hz PWM Dimming ในจอแสดงผลขอบโค้ง Curved Vision Display

realme 11 Pro 5G ใช้จอเกรดพรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง realme 11 Pro+ 5G โดยเป็นจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และประสิทธิภาพการลดระดับแสงที่ 2160Hz ครั้งแรกของโลก มอบความสว่างสู้แสงแดดจ้าได้อย่างดีเยี่ยม และปรับความสว่างหน้าจอแบบอัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ โดยได้รับ 2 มาตรฐานรับรองการปกป้องดวงตาจากสถาบันอันทรงเกียรติ TÜV Rheinland จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและความสบายตาในการใช้งานตลอดวัน

นอกจากจอแสดงผลชั้นเยี่ยม realme 11 Pro 5G ยังมีมาตรฐานการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G นำเสนอทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ซึ่งแต่ละโทนสีมอบสุนทรียภาพในการใช้งานขั้นสุด สำหรับกล้องถ่ายภาพมีความละเอียดถึง 100 ล้านพิกเซล พลังซูม 2 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด รวมถึงโหมดการใช้งานอย่าง Auto-Zoom Mode, Super NightScape Mode และ Street Photography Mode 4.0

realme 11 Pro 5G จึงเป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนแฟล็กชิปที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานขั้นสูง กินพลังงานต่ำ และให้หน่วยความจำขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังซีพียู Dimensity 7050 5G นำเสนอรุ่นความจุมาตรฐาน 12/256GB นอกจากนี้ ยังเสริมประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายด้วยระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC กับแบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมเฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด realme UI 4.0 และลำโพงคู่พานอรามิก Dolby ไว้อย่างครบครัน

และถึงแม้ realme 11 Pro 5G Series จะมาพร้อมกับความเป็นผู้นำในด้านเทคโนยีในทุกด้าน แต่ก็เปิดราคามาอย่างคุ้มค่าแบบคาดไม่ถึง โดย realme 11 Pro+ 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,999 หยวน (ประมาณ 9,737 บาท) และ realme 11 Pro 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,699 หยวน (ประมาณ 8264.33 บาท) อย่างไรก็ตาม realme 11 Pro 5G Series ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่จะมายกระดับสมาร์ตโฟนในระดับแฟล็กชิบให้ก้าวสู่อีกขั้นของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง

“Robinhood” (โรบินฮู้ด) แอปเพื่อคนตัวเล็ก ควงแขน “กาแฟพันธุ์ไทย” ยกขบวนความสดชื่นดับลมร้อน แจกเครื่องดื่มฟรีให้กับกลุ่มคนขับ “Robinhood Ride” ด้วย 5 เมนูยอดนิยม กว่า 5,000 แก้ว ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกสาขาในกรุงเทพ และปริมณฑล

เพื่อแทนความห่วงใยและเป็นกำลังใจในการขับขี่ทุกเส้นทางให้กับ Robinhood Driver สะท้อนจุดยืนของ Robinhood ที่พร้อมเคียงข้างและเป็นกำลังใจให้กับคนตัวเล็กทุกคนบนแพลตฟอร์มอย่างแท้จริง โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “Robinhood Ride” บริการเรียกรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน ที่มีส่วนช่วยในการสร้างงาน สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับกลุ่มคนขับ ให้สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมช่วยให้ผู้โดยสารมีทางเลือกในการเดินทาง ได้รับความสะดวกสบาย บนพื้นฐานของค่าบริการที่โปร่งใส และบริการที่สุภาพซึ่งเป็นจุดเด่นของแพลตฟอร์มเรา

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นคนขับกับ “Robinhood Ride” ทั้งคนขับรถแท็กซี่ และคนขับรถยนต์ส่วนบุคคลที่จดทะเบียนเป็นรถรับจ้างสาธารณะ สามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนได้ที่แอป Robinhood Driver (ทั้ง iOS และ Android) หรือลงทะเบียนได้ที่ลิงก์ https://drive.rbh.app/7LDO/kbb8ye9x สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดตามสิทธิพิเศษมากมายได้ที่ LINE@Robinhooddriver หรือ โทร 02 777 7564 กด 3

 

ผลตอบแทนสูงและวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ครองปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ด้าน Google และปตท. ยังครองแชมป์อันดับบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด

ยูนิเวอร์ซัม (Universum) บริษัทผู้นำระดับโลกด้านการวิจัย ให้คำปรึกษา และการสื่อสารแบรนด์ให้แก่องค์กร เผยข้อมูลตลาดแรงงานคนรุ่นใหม่ของไทยล่าสุด ผ่านรายงานผลสำรวจระดับโลก Universum Talent Research ประจำปี 2566 ที่ได้สำรวจความคิดเห็นและความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ต่อการทำงานในอนาคต พบว่า นักศึกษาสาขาธุรกิจอยากทำงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง

ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติอีกครั้งตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับนักศึกษาสาขาวิศวกรรม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ คนไทยรุ่นใหม่สนใจอยากทำงานในอุตสาหกรรมพลังงานเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นถึง 19% ในกลุ่มนักศึกษาสาขาวิศวกรรม และเพิ่มขึ้น 3.9% ในกลุ่มนักศึกษาสาขาธุรกิจ หลังประเทศไทยเดินหน้าพัฒนาความยั่งยืนในทุกภาคส่วน

การที่อุตสาหกรรมด้านพลังงานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่คนไทยรุ่นใหม่ สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะด้านการผลิตและการหันมาใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นองค์กรที่สามารถสื่อสารนโยบายและเป้าหมายธุรกิจในด้านความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน จะมีโอกาสดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ให้มาร่วมงานได้มากกว่า” นายไมค์ พาร์สันส์ (Mike Parsons) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูนิเวอร์ซัม กล่าว

 

นายไมค์ พาร์สันส์ (Mike Parsons) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูนิเวอร์ซัม

สำหรับ 3 อันดับอุตสาหกรรมยอดนิยมที่นักศึกษาสาขาธุรกิจสนใจมากที่สุด ได้แก่

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ (33%)

วิจัยการตลาด (28%)

และโฆษณา (27%)

ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต (35%)

ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี (30%) และ

การปรึกษาด้านไอทีและวิศวกรรม (28%) คือ 3 อุตสาหกรรมที่นักศึกษาสาขาวิศวกรรมสนใจมากที่สุดในปีนี้

ด้านอันดับบริษัทที่นักศึกษาสาขาธุรกิจอยากทำงานด้วยมากที่สุด กูเกิล (Google) ยังคงรั้งอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GMM Grammy) ยูนิโคล่ (UNIQLO) และไลน์ คอร์ปอเรชั่น (LINE Corporation)

ในขณะเดียวกันผลสำรวจยังเผยว่า นักศึกษาสาขาวิศวกรรมอยากทำงานกับปตท. (PTT) มากที่สุด ตามด้วยกูเกิล (Google) ปูนซิเมนต์ไทย (Siam Cement Group: SCG) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

รายงานผลสำรวจปีนี้ ยูนิเวอร์ซัมยังได้จัดแบ่งกลุ่มโปรไฟล์คนรุ่นใหม่ตามความต้องการและความสนใจที่ต่างกันเมื่อต้องเข้าทำงานในองค์กร โดยพบว่า

คนไทยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมตอบแบบสำรวจจัดอยู่ในกลุ่มมองหาไลฟ์สไตล์ที่สมดุล (Balance-Seekers) มากที่สุด (34%) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงาน (work-life balance) พวกเขามองหาองค์กรที่มีความมั่นคงและมีบรรยากาศการทำงานที่ดี ให้เงินเดือนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่น และมีความยืดหยุ่นที่พวกเขาสามารถบาลานซ์ภาระความรับผิดชอบเรื่องงานและความสนใจด้านอื่น ๆ นอกจากงานได้อย่างเหมาะสม

รองลงมาได้แก่กลุ่มไล่ตามเป้าหมายความท้าทาย (Go-Getters) (24%) ที่พร้อมเปิดรับโอกาสความท้าทายใหม่ ๆ และความรับผิดชอบที่มากขึ้นเพื่อการได้รับการเล็งเห็นถึงศักยภาพความสามารถและการเติบโตในองค์กรแบบก้าวกระโดด ตามมาด้วยกลุ่มเดินทางเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การทำงาน (Globe-Trotters) (15%) ที่มองหาโอกาสในการทำงานในองค์กรระดับสากลที่สามารถเดินทางไปต่างประเทศและได้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าทั่วโลก

และกลุ่มสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสังคม (Change-Makers) (14%) ที่อยากร่วมงานกับองค์กรที่ทำงานเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการเพื่อสาธารณะหรือองค์กรเพื่อสังคมก็ตาม โดยให้คุณค่ากับเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในองค์กร (diversity, equity, and inclusion: DE&I) และรู้สึกมีพลังในการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

ปัจจัยด้านผลตอบแทนและวัฒนธรรมองค์กรที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ

แม้คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะชอบการทำงานแบบระยะไกลหรือ remote working แต่พวกเขาก็รู้สึกกังวลว่าจะต้องทำงานเกินเวลา (48%) และไม่สามารถรักษาสมดุลชีวิตกับการทำงานที่ต้องการได้

ขณะที่ปัจจัยอย่าง “เงินเดือนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่น” และ “ผลตอบแทนอื่น ๆ” ยังคงเป็นสองปัจจัยสำคัญที่นักศึกษาไทยให้ความสำคัญมากที่สุด แต่พวกเขาก็มีความต้องการในคุณค่าอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ได้แก่ การร่วมงานกับองค์กรที่มีบรรยากาศการทำงานที่ดี มีความมั่นคงด้านอาชีพการงาน มีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถรักษาสมดุลชีวิตกับการงาน เปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพความสามารถได้เต็มที่ มีความเคารพต่อพนักงานอย่างเท่าเทียม และมองเห็นโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานที่ชัดเจน

นายพาร์สันส์ กล่าวว่า “ตลาดงานปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยคุณค่าเหล่านี้เพื่อดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ นอกจากการให้เงินเดือนและผลตอบแทนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่นแล้ว องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนและส่งเสริมพนักงาน ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน มีความยืดหยุ่น ส่งเสริมให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พร้อมมอบโอกาสการเติบโตในเส้นทางอาชีพ เมื่อองค์กรกำหนดนโยบายและผลักดันคุณค่าองค์กรเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ให้มาร่วมงาน รวมถึงเสริมชื่อเสียงขององค์กรในฐานะบริษัทที่คนอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดด้วย”

คนรุ่นใหม่ศึกษาข้อมูลองค์กรที่อยากทำงานผ่าน “เฟซบุ๊ก”

ในส่วนของช่องทางการสื่อสาร 80% ของนักศึกษาไทยกล่าวว่า พวกเขามักเข้าไปศึกษาข้อมูลขององค์กรที่พวกเขาสนใจทางช่องทางโซเชียลมีเดียขององค์กรนั้น ๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ซึ่งหัวข้อที่คนรุ่นใหม่สนใจมากที่สุด ได้แก่ เรื่องความหลากหลายและการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม เงินเดือนและผลตอบแทน และโอกาสในการเติบโตในอาชีพการงาน ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เพียงดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ถือเป็นปัจจัยหลักที่คนรุ่นใหม่ใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเลยทีเดียว

“องค์กรควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารประเด็นดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์ขององค์กรให้มากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ใช้ช่องทางดิจิทัลในการหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าวัฒนธรรมขององค์กรที่พวกเขาอยากร่วมงานด้วย นอกจากนี้ คนไทยรุ่นใหม่ยังอยากรู้แนวคิดของผู้บริหารองค์กรทั้งด้านคุณค่าที่องค์กรยึดถือ รวมถึงแผนธุรกิจในอนาคต องค์กรจึงควรสื่อสารประเด็นเหล่านี้ให้ชัดเจนในช่องทางออนไลน์เพื่อดึงดูดความสนใจและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ และสะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนช่วยเหลือพนักงาน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้านโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานที่ดีในแต่ละอุตสาหกรรมในอนาคตด้วย” นายพาร์สันส์ กล่าวเสริม

สำหรับความคาดหวังด้านเงินเดือน ผลสำรวจปีนี้เผยว่า เงินเดือนโดยเฉลี่ยที่คนรุ่นใหม่คาดหวังอยู่ที่ 466,379 บาทต่อปี ลดลง 3% จากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 479,000 บาทต่อปี โดยเงินเดือนที่นักศึกษาสาขาธุรกิจคาดหวังอยู่ที่ 441,195 บาทต่อปี ขณะที่เงินเดือนที่นักศึกษาสาขาวิศวกรรมคาดหวังในปีนี้อยู่ที่ 464,538 บาทต่อปี ความแตกต่างของเงินเดือนที่คาดหวังระหว่างเพศชายและหญิงปีนี้อยู่ที่ 10% โดยเงินเดือนที่คนรุ่นใหม่เพศชายคาดหวังอยู่ที่ 484,303 บาทต่อปี ส่วนเงินเดือนที่คนรุ่นใหม่เพศหญิงคาดหวังอยู่ที่ 437,455 บาทต่อปี

รายงานผลสำรวจ Universum Talent Research ปี 2566 ของประเทศไทย มาจากการจัดทำแบบสอบถามนักศึกษา 8,437 คนที่เรียนสาขาวิชา 112 สาขาจากมหาวิทยาลัยและสถานศึกษา 23 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างเดือนกันยายน 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 โดยผู้ตอบแบบสำรวจได้ประเมินและจัดอันดับองค์กรไทยและสากลจำนวน 128 ราย ซึ่งลิสต์จัดอันดับใช้ขั้นตอนการคัดเลือกและประเมินอิสระ

X

Right Click

No right click