

TikTok ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Consumer Insights ในกลุ่มธุรกิจยอดนิยม รวมถึงเคล็ดลับพร้อมด้วยเครื่องมือและโซลูชันด้านการตลาดที่สำคัญ ที่จะช่วยให้นักการตลาด และแบรนด์วางแผนการตลาดและการขายที่ประสบความสำเร็จในช่วง Songkran & Summer ที่จะถึงนี้ โดยผลสำรวจจาก Kantar [1] ล่าสุด พบว่า 63% ของผู้ใช้ TikTok ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากขึ้นช่วงสงกรานต์และ 98% วางแผนใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมในช่วงเวลานี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์และร้านค้าทุกขนาดที่จะใช้ช่วงเวลาพิเศษนี้ใช้โซลูชั่นแบบ Full-Funnel ขับเคลื่อนผ่านคอนเทนต์ความบันเทิง พิชิตใจผู้บริโภคในช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่ผู้คนพร้อมจับจ่ายใช้สอย
นางสาวสิรินิธิ์ วิรยศิริ Head of Business Marketing, TikTok Thailand กล่าวว่า "สงกรานต์และซัมเมอร์ที่กำลังจะถึงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้บริโภคพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น จึงเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการสร้างการรับรู้และความชื่นชอบในแบรนด์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และสร้างการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งขึ้น TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีความหลากหลาย เราจึงมีทั้งอินไซต์ที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มได้มากขึ้น โซลูชั่นการตลาดที่ครบวงจร และเคล็ดลับที่จะช่วยให้นักการตลาดสร้างแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงช่องทางอีคอมเมิร์ซ นอกจากนั้นเรายังมีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่งและมีพลังในการสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างเต็มเปี่ยมที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถประสบความสำเร็จอีกด้วย"
พฤติกรรมผู้บริโภคช่วง Songkran & Summer 2025: ผู้ใช้งาน TikTok ดูคอนเทนต์แบบไหน
· อัปเดทเทรนด์ใหม่ ๆ อาทิ แฟชั่นสมัยใหม่ที่ผสมผสานความร่วมสมัยกับวัฒนธรรม, สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำช่วงเทศกาล เมนูอาหารและร้านเด็ดที่กำลังเป็นไวรัล
· หาแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว เช่น วางแผนทริปผ่านรีวิวจากครีเอเตอร์, ค้นหาแพ็กเกจท่องเที่ยวและเลือกดูโปรโมชันพิเศษ
· เลือกชมสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ ๆ ตามเทศกาล อาทิ สกินแคร์และเครื่องดื่มที่มีเฉพาะช่วงเทศกาล, ชมรีวิวสินค้ามาใหม่จากครีเอเตอร์และแบรนด์
· ค้นหาไอเดียและติดตามเทรนด์ความงามและแฟชั่น เช่น เทคนิคการแต่งหน้าและการดูแลผิวหน้าร้อน, สไตล์การแต่งตัวที่เหมาะสมกับกิจกรรมในช่วงนั้น ๆ
หลังจากได้ดูคอนเทนต์ ผู้ใช้ TikTok มี Action ตามหลัง ดังนี้
70% มองหาโปรโมชันหรือส่วนลด เพื่อค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุด 64% ค้นหารีวิวและคำแนะนำผลิตภัณฑ์ เพื่อชมประสบการณ์ใช้งานจริงของผู้ใช้ และ 52% ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อศึกษาเพิ่มก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อ และมีผู้ใช้ TikTok เกินกว่าครึ่ง (58%) วางแผนที่จะซื้อสินค้าในช่วงเวลานี้บน TikTok Shop [1] นั่นหมายความว่าแบรนด์ที่ปรากฏบน TikTok พร้อมมีเนื้อหาที่น่าสนใจสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้โดยตรง

Top 5 กลุ่มสินค้ายอดนิยมที่ผู้ใช้ TikTok ซื้อก่อนและระหว่างสงกรานต์
1. อาหารและเครื่องดื่มบรรจุกล่อง
2. บริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง และการท่องเที่ยว
3. สินค้าอุปโภค บริโภค ส่วนผสมและเครื่องปรุงต่าง ๆ
4. เสื้อผ้าและเครื่องประดับ
5. เครื่องสำอาง ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

เจาะอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคกับ 3 กลุ่มธุรกิจมาแรงช่วง Songkran & Summer ปีนี้บน TikTok
1. กลุ่มความงามและสกินแคร์
· 96% ของผู้ใช้ตั้งใจจะใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากขึ้นสำหรับสินค้าความงาม
· กลุ่มอายุ 25-34 ปี เป็นกลุ่มที่มีการจับจ่ายสูงสุด โดยมากกว่า 50% วางแผนใช้จ่ายมากกว่า 3,400 บาท
· ผู้ใช้มากกว่า 90% พร้อมทดลองแบรนด์และผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ ๆ
2. กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
· ผู้ใช้ TikTok วางงบประมาณสำหรับใช้จ่ายกับอาหารและเครื่องดื่มสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ TikTok ถึง 25%
· โดยกลุ่มอายุ 25-34 ปี มีแผนในการใข้จ่ายสำหรับอาหาร เฉลี่ยอยู่ที่ 4,200 บาทต่อคน
· ผู้ใช้ TikTok ส่วนใหญ่มีความตั้งใจในการค้นหาและทดลองแบรนด์ใหม่ ๆ
3. กลุ่มการท่องเที่ยว
· มากกว่า 90% วางแผนท่องเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่กับครอบครัวหรือเพื่อน
· กลุ่มอายุ 25-34 ปี เป็นผู้นำเทรนด์การท่องเที่ยว และเป็นนักเดินทางที่ Active ที่สุด โดย 37% วางแผนท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
· ผู้ใช้ TikTok มีแนวโน้มที่จะใช้เวลาประมาณ 3-6 วัน เพื่อเดินทางช่วง Songkran & Summer และส่วนใหญ่เตรียมงบไว้ใช้จ่ายราว 17,000-34,000 บาท

นอกจากการมีอินไซต์ผู้บริโภคที่น่าสนใจในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์แล้ว แบรนด์ต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคและเพิ่มการมีส่วนร่วมในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์และฤดูร้อนนี้ การใช้พลังของครีเอเตอร์และเครื่องมือต่าง ๆ ของ TikTok เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จากข้อมูลล่าสุดและเทรนด์ที่กำลังมาแรง TikTok ยังได้เผยถึงเคล็ดลับสำคัญในการพัฒนา Creative Content สร้าง Brand Love พิชิตใจลูกค้าบน TikTok
1. ใช้พลังความสร้างสรรค์จากบรรดา Content Creator ข้อมูลจาก TikTok [2] พบว่าหลังจากเห็นวิดีโอจากครีเอเตอร์ 55% ของผู้ใช้ TikTok รู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น 56% ได้รับแรงบันดาลใจให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ และ 1 ใน 3 ของผู้ใช้ TikTok ค้นหาแบรนด์อย่างตั้งใจอีกด้วย [3]
2. เพิ่มการไลฟ์สดเป็นทางเลือก พร้อมใช้ครีเอเตอร์ช่วยเล่าเรื่อง 95% ของผู้ใช้ TikTok สนใจดู Livestream หรือ Live Shopping ช่วงเทศกาล Songkran & Summer ปีนี้ [1] นับเป็นโอกาสดีของแบรนด์และร้านค้า ซึ่ง 3 สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมซื้อสินค้าบน LIVE ได้แก่ โปรโมชันต้องโดน คุณภาพของสินค้า/บริการต้องดี และ Host ต้องมีความน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริง
3. เลือกใช้ Tool ที่เหมาะสม อย่าง TikTok One ที่จะช่วยให้เราผลิตชิ้นงานได้อย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ ผ่านทางการใช้ครีเอเตอร์หรือพาร์ทเนอร์ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม อีกทั้งยังสามารถเข้าไปดูอินไซต์ และรีพอร์ตต่าง ๆ ได้อีกเช่นกัน
4. การใช้ TikTok Full-Funnel Solutions เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหลายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการดันยอดขายสำหรับแบรนด์ได้ดีมากที่สุด อย่าง Consideration User Group ที่จะนำไปสู่การปิดการขาย ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องมือจัดการการเข้าถึงและความถี่ของแคมเปญ (R&F tools) ที่จะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและจำนวนครั้งที่ผู้ชมจะชมเนื้อหานั้น ๆ รวมถึง Branded Mission ที่จะเปลี่ยนวิดีโอของครีเอเตอร์ที่ได้ผลตอบรับดีที่สุดให้กลายเป็นโฆษณา เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้แล้ว TikTok ยังมีแพ็กเกจโฆษณาพิเศษ และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ดึงพลังครีเอเตอร์และแบรนด์สร้างความสนุกสนานให้ผู้บริโภคในช่วงสงกรานต์อีกด้วย
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 รับรู้กำไรส่วนของบริษัทฯ จำนวน 6,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.82 บาท และกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 15,906 ล้านบาท นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ให้กับ ผู้ถือหุ้น เป็นจำนวน 3,480 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นละ 1.60 บาท โดยจะเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 24 เมษายน 2568 และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากกำไรส่วนของบริษัทฯ จำนวน 6,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 และ EBITDA จำนวน 15,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีปัจจัยบวกจากรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุน จำนวน 6,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 78 ซึ่งเป็นผลมาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม หินกอง ชุดที่ 1 และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตันในอินโดนีเซีย สำหรับรายได้รวม ในปี 2567 เป็นจำนวน 42,203 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจผลิตไฟฟ้า ถือเป็นแหล่งรายได้หลัก เป็นจำนวน 40,024 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 95 ของรายได้รวม โดยเป็นรายได้ที่ได้จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล จำนวน 34,326 ล้านบาท และรายได้ของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จำนวน 5,698 ล้านบาท ส่วนรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคและอื่น ๆ เป็นเงินจำนวน 2,179 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 ของรายได้รวม
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติเงินปันผลจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2567 เป็นจำนวน 3,480 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 56.80 ของกำไรปี 2567 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (งวดเดือนมกราคม - มิถุนายน 2567) แล้ว จำนวน 1,740 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นละ 0.80 บาท จึงคงเหลือเงินปันผล อีกจำนวน 1,740 ล้านบาท คิดเป็น 0.80 บาทต่อหุ้น ที่จะดำเนินการจ่ายภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม ศกนี้
“บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้า จะยังคงเป็นธุรกิจหลัก ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทบทวนและปรับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนโครงการด้านพลังงานและไฟฟ้า นวัตกรรมที่เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและประเทศเป้าหมาย ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาพลังงานรูปแบบใหม่ที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ได้แก่ เชื้อเพลิงกรีนไฮโดรเจน เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ ระบบกักเก็บพลังงานรูปแบบแบตเตอรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมุ่งที่การบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้วเพื่อให้สามารถสร้างรายได้เสริมหนุนต่อการเติบโตของบริษัทฯ ให้ดียิ่งขึ้น สำหรับแผนกลยุทธ์ดังกล่าว กำหนดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปีนี้” นายนิทัศน์ กล่าว
ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 214,337 ล้านบาท หนี้สินรวม 107,963 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 106,374 ล้านบาท สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อยู่ที่ 1.01 เท่า
ในปี 2567 การบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เท่ากับ 187,989 ล้านบาท เพิ่มจาก 161,067 ล้านบาทในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 16.7% ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 41,515 ล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 40,211 ล้านบาทในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 3.2% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) (EBIT Margin) สำหรับปี 2567 อยู่ที่ 22.1% ซึ่งดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ ตามงบการเงินรวมสำหรับปี 2567 การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท เกิดจากผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ที่บริษัทฯ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยผลขาดทุนทางบัญชีส่วนใหญ่ประมาณ 40,582 ล้านบาท เกิดจากการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ราคาตามแผนฟื้นฟูกิจการซึ่งต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม และส่วนที่เหลือมาจากการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ได้รับการชำระหนี้ที่เร็วกว่ากำหนดที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการดำเนินงาน หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน (EBITDA – Aircraft Cash Lease) ตามงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวด 12 เดือนย้อนหลังเท่ากับ 41,473 ล้านบาท ซึ่งไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามงบเฉพาะกิจการกลับมาเป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ 43,352 ล้านบาทในปี 2566 หลักๆ เกิดมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างปี และผลจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้การบินไทยสามารถบรรลุอีกหนึ่งเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ และยังส่งผลให้เหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นตามนิยามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมดไป และทำให้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟูกิจการและกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการในขั้นตอนถัดไป ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนดำเนินการเพื่อบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการข้อสุดท้าย โดยได้มีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดขึ้นตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (Record Date) เป็นวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดจำนวนกรรมการบริษัท จำนวน 11 ท่านหรือ 12 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการในปัจจุบันจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่จำนวน 8 ท่านหรือ 9 ท่าน (ตามแต่จำนวนกรรมการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ) โดยรายนามกรรมการเข้าใหม่ที่เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวน 6 ท่าน ได้แก่ นายลวรณ แสงสนิท ดร. กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายชาติชาย โรจน์รัตนางกูร และนายชาย เอี่ยมศิริ และกรรมการอิสระจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล และนายสัมฤทธิ์ สำเนียง ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป

รายละเอียดผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) และบริษัทย่อย มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,922 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 161,067 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16.7% โดยในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 16.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.38 ล้านคนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 79.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 78.8% ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องมาจากอุตสาหกรรมการบินที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายฝูงบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และเพิ่มจุดบินใหม่เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 146,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายรวม 120,856 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 21.2% โดยส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 50,474 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.5% ของค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีกำไร 40,211 ล้านบาท
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 18,781 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นค่าใช้จ่ายรวม 49,260 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินรวมเท่ากับ 26,901 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 28,123 ล้านบาท และมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 41,839 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อน 1,036 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 292,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 53,517 ล้านบาท หรือ 22.4% หนี้สินรวมจำนวน 246,919 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 35,214 ล้านบาท หรือ 12.5% และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 45,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 88,731 ล้านบาท ซึ่งโดยหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างปี และผลจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ
ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีอากาศยานที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 79 ลำ แบ่งเป็นแบบลำตัวกว้างและลำตัวแคบ จำนวน 59 ลำ และ 20 ลำตามลำดับ โดยตารางบินฤดูหนาว ประจำปี 2568 ของบริษัทฯ วางแผนทำการบินไปยัง 64 จุดบินเช่นเดียวกับในปี 2567 แต่มีจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากปี 2567 ที่มี 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในเส้นทางบินยอดนิยม รวมถึงรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป
ดีลอยท์ (Deloitte) ประกาศรับทีมแอ๊พซินท์ (Appsynth) ที่ปรึกษาดิจิทัลสัญชาติไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมบริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป (Technology & Transformation) เพื่อเสริมศักยภาพด้านดิจิทัลและขยายตลาดของดีลอยท์เพื่อรองรับพัฒนาการด้านดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ พนักงานของแอ๊พซินท์ทั้งหมดจะปฏิบัติงานในฐานะพนักงานของดีลอยท์ โดย นาย บ๊อบ แกลลาเกอร์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอ๊พซินท์ จะดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ ให้บริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งหมดปฏิบัติงานประจำสำนักงานในประเทศไทย
บริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลของดีลอยท์ ครอบคลุมการพัฒนากลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าและการเติบโตของธุรกิจด้วยเทคโทโลยีดิจิทัล การพัฒนาแอปพลิเคชันทั่วไป จนถึงซุปเปอร์แอป รวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้ดีลอยท์มีความได้เปรียบในการปรับและพัฒนากลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจของลูกค้า สร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ และขับเคลื่อนการเติบโตให้กับลูกค้า เพื่อก้าวนำในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล
นาย ยูจีน โฮ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การรวมทีมครั้งนี้จะยกระดับบริการด้านดิจิทัลของดีลอยท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาแบบครบวงจร โดยมุ่งเน้นบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทีมของแอ๊พซินท์จะช่วยให้ดีลอยท์สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านกลยุทธ์ดิจิทัลอันทันสมัย อีกทั้งยังช่วยเสริมความสามารถในการส่งมอบโซลูชันที่แตกต่างออกไปให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้”
พัฒนาการด้านนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศไทยกำลังเติบโตในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) บล็อกเชน (Blockchain) และเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทีมของแอ๊พซินท์ทำให้ดีลอยท์สามารถให้บริการด้านดิจิทัลที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน
ดร. เมธินี จงสฤษดิ์หวัง กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรธุรกิจในประเทศไทยต้องการที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้บริการที่เหมาะกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และมีความรู้ความเข้าใจถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศอย่างลึกซึ้ง
“นายบ๊อบและทีมงานมีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันดิจิทัลเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนากลยุทธ์ที่มุ่งเน้นอนาคต เอื้อต่ออุตสาหกรรมแต่ละประเภทและนำไปใช้ปฏิบัติได้จริง รวมทั้งสามารถบูรณาการเข้ากับแนวทางการให้บริการด้านที่ปรึกษาแบบครบวงจร ด้วยขนาดของทีมที่ใหญ่ขึ้น ดีลอยท์จะสามารถส่งมอบบริการเพื่อการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลแก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยครอบคลุมทั้งการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง การตลาดดิจิทัลและ AI นอกจากนี้ ดีลอยท์ยังให้ความสำคัญกับบุคลากร ทีมงานที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา จะเป็นสมาชิกของทีมปฏิบัติงานด้านดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมให้เติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ผ่านการทำงานร่วมกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน พัฒนาทักษะที่จำเป็น และสร้างความสำเร็จร่วมกัน ท่ามกลางภูมิทัศน์ธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ดร. เมธินี กล่าวเสริม
นาย บ๊อบ แกลลาเกอร์ พาร์ทเนอร์ บริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญทางเทคโนโลยีของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการโซลูชันที่สามารถทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ เหมาะสมและสามารถปรับได้ตามขนาดของธุรกิจ จึงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การร่วมงานกับดีลอยท์จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่เรามีร่วมกัน นั่นคือ บริการที่ครอบคลุมและเครือข่ายทั่วโลกของดีลอยท์ ผสานกับความเชี่ยวชาญในด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีของแอ๊พซินท์ เพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรมแก่ธุรกิจต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้”
การรับทีมแอ๊พซินท์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ดีลอยท์ในการขยายการเติบโตและการลงทุนในประเทศไทยและภูมิภาค เพื่อยกระดับการให้บริการที่ปรึกษาครบวงจรได้อย่างไร้รอยต่อแก่ลูกค้า
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโตโดดเด่น ทำรายได้รวม 21,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.27% สะท้อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี พร้อมจ่ายปันผลรวมเป็นเงิน 211.47 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่มั่นคงด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อย (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีกำไรรวมสุทธิ 5,246 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 18,027 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 3,018 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 21,046 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี เดินหน้าสร้างผลประกอบการที่มั่นคงได้ต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรของ SAWAD เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทสามารถรักษา อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ที่ 3.5% ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารความเสี่ยงของบริษัท สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อ 10-15% โดยเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อบ้านและที่ดิน และสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ SAWAD ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตแบบรอบคอบภายใต้แนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและสอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ
ในปี 2568 SAWAD ยังให้ความสำคัญกับ ธุรกิจประกันออนไลน์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตขายประกันออนไลน์จาก คปภ. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้บริการประกันภัยอย่างครบวงจร ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจประกันให้เติบโตจากเดิมที่ไม่มีนัยสำคัญ มาเป็น 10% ของรายได้รวมในอนาคต ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ประกันที่ครอบคลุมทั้ง ประกันรถยนต์, พ.ร.บ., และประกันอุบัติเหตุ โดยเน้นคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสม และนำเสนอราคาที่ย่อมเยาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนา เว็บไซต์ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ต้องการซื้อประกันออนไลน์
สำหรับแผนการขยายเครือข่ายสาขา บริษัทตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 200 สาขาใหม่ จากเดิมที่มีเกือบ 6,000 สาขา เพื่อขยายการเข้าถึงบริการสินเชื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน "ศรีสวัสดิ์" ให้สามารถให้บริการด้านสินเชื่อและประกันภัยได้อย่างสะดวกและครบวงจร
ทั้งนี้ จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี สะท้อนแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงชัดเจน ช่วยให้บริษัทฯ บริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนดำเนินงานลดลง อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ชุดใหม่ที่เตรียมเสนอขายในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิต A- (tha) ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจแก่ผู้ลงทุน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดล่วงหน้าก่อนที่ กนง. จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย
นางสาวธิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า SAWAD ยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้านโยบายปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม SAWAD มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568 ผ่านการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การขยายธุรกิจประกันออนไลน์เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ และสนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2567 รวมเป็นเงิน 211.47 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท รวมเป็นเงิน 60.42 ล้านบาท และ การจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมเป็นจำนวน 151.05 ล้านหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลักดันศักยภาพของการศึกษาแพทย์ไทยผ่านการสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาคาร และเครื่องมือทางการแพทย์จากผู้บริจาค ซึ่งเป็นพลังแห่งน้ำใจที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการรับบริจาคร่างกาย การรักษาสภาพร่างอาจารย์ใหญ่ และการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง และแพทย์นวัตกร ควบคู่กับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการศึกษาแพทย์ และเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ก้าวเข้าสู่ระบบสาธารณสุขในยุคดิจิทัล
‘อาจารย์ใหญ่’ คือผู้ที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมเสริมสร้างทักษะด้าน กายวิภาคศาสตร์ก่อนรักษาผู้ป่วยจริง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในกระบวนการรักษาและลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และอาจารย์ใหญ่ยังมีบทบาทด้านการวิจัยเพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล ผ่าน การพัฒนาเทคนิคการรักษารูปแบบใหม่ ตลอดจนการทดลองนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการศึกษามาต่อยอดเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

อ.ดร. เบญริตา จิตอารี อาจารย์สาขาพรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่เปรียบเสมือน ‘ผู้ให้’ ที่สร้างอนาคตใหม่ทางการแพทย์ได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนักศึกษาแพทย์การเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของแต่ละอวัยวะภายในของมนุษย์ผ่านการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์ ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) นักศึกษาแพทย์จะได้ศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ควบคู่กับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้สู่การต่อยอดการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”
อาคารกายวิภาคคลินิกเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจรแห่งแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านการรับบริจาคร่างกายและดูแลร่างอาจารย์ใหญ่จนเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการรักษา-คงสภาพและจัดเก็บร่างอาจารย์ใหญ่ ด้านการบริหารการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้านการผลิตสื่อการเรียน การสอนที่มีคุณภาพภายในห้องเรียนของอาคารกายวิภาคคลินิกนำเทคโนโลยีการสอนและอุปกรณ์ผ่าตัดทันสมัยเข้ามาช่วยในการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัดจริงในรูปแบบสามมิติ โดยเฉพาะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้สามารถเรียนรู้โครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาจากบทเรียนและรูปภาพสองมิติเพียงอย่างเดียว โดยเนื้อหาที่อยู่ภายในระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงของอาจารย์ใหญ่ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และถือเป็นแห่งแรกในไทยที่ผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ขึ้นเอง รวมถึงมีเครื่องจำลองระบบภาพกายวิภาคเสมือนจริง (Anatomage Table) ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกเวลา โดยอาคารแห่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 (ชั้น Pre-clinic) เข้ามาเรียนเฉลี่ยปีละ 220 คน สำหรับแพทย์เฉพาะทางมีห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid Operating Room) รองรับเทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูง ช่วยให้สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากบทบาทของอาจารย์ใหญ่ในด้านการเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ร่างอาจารย์ใหญ่ยังถูกนำมาใช้เพื่อทดลองและฝึกฝนการใช้นวัตกรรมการแพทย์ล้ำสมัย รวมทั้งสำหรับการฝึกฝนและพัฒนากระกวนการทำหัตถการต่างๆ ทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดเฉพาะทาง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความชำนาญการก่อนนำไปใช้จริงกับผู้ป่วย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ปัจจุบัน อาคารกายวิภาคคลินิกได้รับร่างอาจารย์ใหญ่เฉลี่ยเพียง 15 ร่างต่อเดือน จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคร่างกายประมาณ 300 คนต่อเดือน ขณะที่จำนวนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 200 ร่างต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนการศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ได้ทั้งหมด
“กายวิภาคศาสตร์คลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี ศึกษาและปรับเปลี่ยนสูตรของสารที่ใช้คงสภาพอาจารย์ใหญ่อยู่เสมอให้สามารถรักษาสภาพเพื่อให้คงคุณภาพของเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงคนที่ยังมีชีวิตและใช้ในการศึกษาได้ในระยะเวลายาวนานที่สุด รวมทั้งเพื่อให้มีการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดก่อนจัดงานพระราชทานเพลิงศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ที่มอบองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา นอกจากนี้ ยังตั้งใจเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคร่างกาย เพื่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจกับการบริจาคร่างกายมากขึ้น” อ.ดร. เบญริตา จิตอารี กล่าวปิดท้าย
มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การมอบงบประมาณสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะทางการแพทย์ พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางกายวิภาคศาสตร์ นำไปสู่การยกระดับวงการแพทย์ไทยในอนาคต ร่วมบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ได้ที่ อาคาร กายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ขอเชิญร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และ โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
เคทีซีเฉลิมฉลอง 20 ปีความร่วมมือกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในการออกบัตรเครดิตร่วม “เคทีซี-บางกอกแอร์เวย์ส” รายแรกและรายเดียว ด้วยฐานสมาชิกคุณภาพกว่า 80,000 ราย ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ มากกว่า 6,700 ล้านบาทต่อปี โดยกลุ่มสมาชิกผู้ถือบัตรอยู่ในช่วงอายุ 30-49 ปี และมียอดใช้จ่ายที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์สขยายตัว 15% ด้วยพฤติกรรมสมาชิกที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีเอกลักษณ์ เคทีซีจึงได้ร่วมกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สออกแคมเปญ “20 ปี 20 เส้นทาง” มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เป็นมากกว่าการเดินทางกับเรื่องราวความยั่งยืนของชุมชนแต่ละท้องถิ่นตลอดปี 2568
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีได้รับความไว้วางใจจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์สให้เป็นพันธมิตรรายแรกและรายเดียวที่ร่วมกันเปิดตัวบัตรเครดิตร่วม “เคทีซี-บางกอกแอร์เวย์ส” ครั้งแรกในวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ด้วยเจตนารมณ์ที่จะมอบความเอ็กซ์คลูซีฟให้กับสมาชิกทั้งบัตรเครดิตเคทีซีและสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส ผู้รักการเดินทางในรูปแบบที่แตกต่าง โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เคทีซีได้ออกบัตรเครดิตร่วม “เคทีซี-บางกอกอร์เวย์ส” ทั้งสิ้น 7 หน้าบัตร เพื่อจับกลุ่มสมาชิกทั่วไป และสมาชิกกลุ่มพรีเมี่ยมรวมถึงจับมือกับค่ายวีซ่า มาสเตอร์การ์ด และเจซีบี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่หลากหลาย
ไม่เพียงแต่สร้างสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าให้กับสมาชิกเคทีซียังสะท้อนถึงการปรับตัวเพื่อตอบสนองพฤติกรรมการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล ด้วยบริการสมัครบัตรรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และแอปพลิเคชัน KTC Mobile ที่มอบ e-coupon ส่วนลดและแพ็กเกจท่องเที่ยวเส้นทางยั่งยืนให้กับนักเดินทางได้อย่างตรงใจ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 20 ปี เคทีซีและสายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้จัดแพ็กเกจท่องเที่ยวยั่งยืน “20 ปี 20 เส้นทาง” ประกอบด้วยในประเทศ 18 เส้นทางและต่างประเทศ 2 เส้นทางผ่านบริการ KTC World Travel Service ได้แก่ เส้นทางหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกตามมาตรฐานของ UNESCO ที่เผยให้เห็นความงดงามทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเส้นทางมัลดีฟ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ผสานความอัศจรรย์กับเสน่ห์ โรแมนติกอย่างลงตัว พร้อมทริปนำร่อง 3 วัน 2 คืน “Boutique Andaman : A Sustainable Journey” ที่จะร่วมเดินทางสู่จังหวัดภูเก็ตในวันที่ 8 - วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง โลเคิล อไลค์ / เลิฟ อันดามัน และโรงแรมบูติกบลูมังกี้ ในราคาเพียง 8,200 บาทต่อท่าน จำกัดเพียง 10 คู่เท่านั้น สำรองที่นั่งผ่าน KTC World Travel Service

นางสาวอมรรัตน์ คงสวัสดิ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาด บมจ.การบินกรุงเทพ กล่าวว่า จากความร่วมมือตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จที่บางกอกแอร์เวย์ส ได้ร่วมกับเคทีซีในการพัฒนาสิทธิประโยชน์ เพื่อให้สมาชิกฟลายเออร์โบนัส และสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งมีมากกว่าความคุ้มค่า และยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางของผู้โดยสารบางกอกแอร์เวย์ส ปัจจุบันบางกอกแอร์เวย์สให้บริการเที่ยวบินสู่ 20 จุดหมายปลายทาง ประกอบด้วยภายในประเทศ 12 แห่ง และจุดหมายปลายทางต่างประเทศ 8 แห่ง โดยเส้นทางเกาะสมุย ยังคงเป็นเส้นทางยอดนิยม และยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรสายการบิน โดยปัจจุบันมีสายการบินพันธมิตร (Codeshare Partners) รวมทั้งสิ้นจำนวน 30 สายการบิน และมีสายการบินข้อตกลงร่วม (Interline Partners) กว่า 70 สายการบิน เพื่อส่งเสริมศักยภาพเครือข่ายเส้นทางบิน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร รวมทั้งรองรับอุปสงค์การเดินทาง
ในโอกาสเฉลิมฉลองความร่วมมือครบรอบ 20 ปี บางกอกแอร์เวย์ส ขอมอบสิทธิประโยชน์ ให้แก่ผู้สมัครบัตรเครดิต “KTC-Bangkok Airways” ประเภท Mastercard และมียอดใช้จ่ายบนสายการบินฯ ตามที่กำหนด จะได้รับคะแนน KTC FOREVER ฟรี! เพิ่มอีก สูงสุด 5,500 คะแนน เพื่อโอนไปเป็นคะแนน ฟลายเออร์โบนัส แล้วรับเพิ่มอีก 20% จากฟลายเออร์โบนัส รวมเป็นคะแนนสูงสุดถึง 4,399 คะแนนฟลายเออร์โบนัส โดยมีระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่ 15 มีนาคม 2568 – วันที่ 31 ธันวาคม 2568

นายพศิน มณีศรี Chief Operating Officer บริษัท แอทติจูดสเตย์ จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นและแนวทางการพัฒนาแบรนด์โรงแรมบูติกบลูมังกี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากรางวัลชนะเลิศยอดเยี่ยม Design City ในโครงการ Thailand Boutique Awards 2016-2017 ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการยกระดับมาตรฐานธุรกิจโรงแรมบูติกทั้งในด้านการสร้างแบรนด์ การออกแบบคอนเซปต์และการบริการ ขณะเดียวกันในยุคการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) การดำเนินธุรกิจต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และทำให้ผู้ใช้บริการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม จึงได้ดำเนินโครงการ #Blumonkeygogreen ลดการใช้ขยะ และส่งเสริมการจัดหาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การแยกขยะ การปรับเปลี่ยนของใช้ในห้องพักเพื่อลดการนำเข้าสินค้าใหม่

นายสมศักดิ์ บุญคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โลเคิล อไลค์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการท่องเที่ยวในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจะเน้นการเดินทางท่องเที่ยวที่สร้างประสบการณ์เฉพาะตัว เช่นการท่องเที่ยวชุมชน (Local Tourism) ที่ให้ความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตท้องถิ่นในโอกาสครบรอบ 20 ปี ระหว่างเคทีซี และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยโลเคิล อไลค์ ได้จัดโปรแกรมท่องเที่ยว “Boutique Gems” นำเสนอประสบการณ์ในทุกมิติ ทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม และอาหารพื้นบ้านที่หาชิมได้ยากใน 20 เส้นทางเพื่อเฉลิมฉลองความร่วมมือในครั้งนี้ โดยแต่ละเส้นทางจะเต็มไปด้วยเสน่ห์และบรรยากาศที่โดดเด่นมีเรื่องราวและความหมายที่ลึกซึ้ง เช่น
· ชุมชนบ้านรวงเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ : สัมผัสวัฒนธรรมไทลื้อแท้ ผ่านเพลง และบรรยากาศ Slow Life แบบมีส่วนร่วมกับชุมชน
· ชุมชนแหลมสัก จังหวัดกระบี่ : สัมผัสความหลากหลายของไทยพุทธ มุสลิม และจีนฮกเกี้ยน พายคายัคชมวิวเขาหินปูน ลิ้มรสอาหารพื้นบ้าน และร่วมงานเกษตรในสวนผลไม้เขตร้อน
· ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดตราด : สัมผัสความลงตัวของวัฒนธรรมมุสลิม-จีน-ไทย เรียนรู้วิถีประมงพื้นบ้าน ล่องเรือชมป่าชายเลน และชิมอาหารท้องถิ่นสดใหม่
· ทริปการเดินทางโดยไม่รู้ปลายทาง : ออกแบบเฉพาะบุคคลมีการคัดเลือกกิจกรรมและสถานที่แบบพิเศษไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยมแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากท้องถิ่น

นางสาวกาญจนา หงส์ทอง อดีตผู้สื่อข่าวด้านท่องเที่ยวที่ผันตัวสู่นักเดินทาง กล่าวว่า ความประทับใจในการใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์สคือการมีห้องรับรองพิเศษให้แก่ผู้โดยสารทุกคน และเส้นทางการบินที่มีความเป็นเอกลักษณ์ โดยในปีนี้จะเห็นเทรนด์ของนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้น เช่น การพกกระบอกน้ำส่วนตัวและนำมาใช้ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว หรือการสนับสนุนชุมชนในแหล่งท่องเที่ยว โดยเส้นทางของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สมีหลายเส้นทางที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน เช่น จังหวัดสุโขทัย ที่มีการท่องเที่ยวแบบผสมผสานระหว่างประเพณี วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ หรือ เส้นทางมรดกโลก หลวงพระบาง สปป.ลาว ที่นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ได้
สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางนักท่องเที่ยวต้องดูแลตัวเองท่ามกลางยุคเทคโนโลยีที่ทุกอย่างแม้จะสะดวกสบาย แต่ก็มีการโจรกรรมรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ดังนั้นการเดินทางแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก เพราะหากเงินสดหายแล้วคือหายเลย แต่หากใช้บัตรเครดิตเมื่อบัตรฯ หายยังอายัดการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการบัตรเครดิตได้
นางประณยา กล่าวทิ้งท้าย การเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีในครั้งนี้ เคทีซีมุ่งเน้นมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและมีความเป็นเอกลักษณ์ผ่านการออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเดินทางในยุคปัจจุบัน รวมถึงมอบสิทธิพิเศษ ให้กับสมาชิกบัตรบัตรเครดิตร่วม “เคทีซี-บางกอกแอร์เวย์ส” ตลอดปี 2568 ดังนี้
· แลกคะแนน KTC FOREVER รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 20% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส
· รับส่วนลดเพิ่ม 2,000 บาท เมื่อจองแพ็กเกจท่องเที่ยว “ 20 ปี 20 เส้นทาง” กับเคทีซีและสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เป็นจำนวนคู่ที่ KTC World Travel Service
พิเศษ! สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี - บางกอกแอร์เวย์ส มาสเตอร์การ์ด รับเพิ่ม 2,000 คะแนน KTC FOREVER เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์สตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป/ แลก 2,000 คะแนน KTC FOREVER รับโค้ดส่วนลด 300 บาท ทุกวันที่ 20 ของทุกเดือน และร่วมลุ้นเป็น Top Spender 10 คู่ผู้โชคดีรับสิทธิ์ Exclusive Trip สู่เส้นทางตราด เฉพาะสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายสะสมสูงสุด และมียอดใช้จ่ายผ่านสายการบินบางกอกแอร์เวย์สตั้งแต่ 1 เมษายน 2568 – 31 กรกฎาคม 2568 เดินทางพร้อมกันในเดือนตุลาคม 2568 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/air-ticket/anniversary-ktc-bangkok-airways หรือ KTC PHONE 02 123 5000
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
ปัจจุบันการเลือกใช้ยานพาหนะที่สะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก ดังนั้น ศูนย์การค้าในเครืออัลไล (ALLY) นำโดย คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) และ เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา จึงได้เปิดให้บริการ ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus รับ-ส่ง ฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้านี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของศูนย์การค้าเครืออัลไล (ALLY) ในการสนับสนุนการเดินทางที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รถโดยสารพลังงานไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสียจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ EV Shuttle Bus ยังมีความเงียบในการขับขี่ ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและผ่อนคลายมากขึ้น
![]()
นายกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการลดมลพิษ และส่งเสริมให้เกิดการเดินทางที่สะอาดและยั่งยืน เราหวังว่าบริการนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดีขึ้น และมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน"
ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ ความสะดวกสบาย ผู้โดยสารไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดรถ, มีความปลอดภัยสูง รถโดยสารได้รับการดูแลและบำรุงรักษาตามมาตรฐานสูงสุด พร้อมมาตรการรักษาความสะอาด, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด, ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและผู้โดยสาร ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus จัดรอบเดินรถทุก 30 นาที ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07.30 - 18.30 น. มีจุดให้บริการที่เชื่อมต่อกับแหล่งคมนาคมสำคัญ ได้แก่
· รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว 71 (ทางออกประตู 2) ปากซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9
· โครงการ 111 ประดิษฐ์มนูธรรม
· ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอกมัย - รามอินทรา
· สนามเทนนิสในร่ม คริสตัล สปอร์ต (Crystal Sports)
· ศูนย์การค้า คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC)
การให้บริการ ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus ของศูนย์การค้าในเครืออัลไล (ALLY) ถือเป็นตัวอย่างของการส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการลดมลพิษและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด หากประชาชนให้ความสำคัญกับทางเลือกในการเดินทางที่ยั่งยืนเช่นนี้มากขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น ศูนย์การค้า คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) และ เดอะคริสตัล เอกมัย - รามอินทรา ขอเชิญชวนร่วมสัมผัสประสบการณ์เดินทางที่สะดวก ประหยัด และเป็นมิตรต่อสังคมสีเขียว (Greener, Happier Communities) ไปด้วยกันกับ ALLY HOP & GO EV Shuttle Bus
บมจ.สยามราชธานี หรือ SO เปิดแผนงานปี 2568 ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 10-13% ต่อปี โดยมุ่งเน้นลูกค้า High margin ในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ และพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด พร้อมมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านบริการครบวงจร พร้อมนำเสนอ 3 หลักสำคัญ ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ (Reliable) ความแม่นยำ (Predictable) และความสามารถในการขยายธุรกิจ (Scalable)
นางสาวกัณธิมา แจ้งวันสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายชินภัทร จาดเจริญ กรรมการผู้จัดการ – เทคโนโลยี และนายณัฐนนท์ กฤษณรุ่งเรือง รองกรรมการผู้จัดการ – บัญชีและการเงิน / ผู้ควบคุมการทำบัญชี บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ประกอบการธุรกิจหลัก 2 รูปแบบเพื่อ Transformation องค์กรของลูกค้า คือธุรกิจบริการเอาท์ซอร์ส (Outsource Service) และธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Service) ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day ประจำปี 2567 เปิดเผยแผนงานปี 2568 ว่าบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 10-13% ต่อปี โดยตั้งเป้ามียอด Backlog เพิ่มขึ้นจาก 1,556 ล้านบาท ในปี 2023 เป็น 2,226 ล้านบาท ภายในปี 2025 จากการที่บริษัทเดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กร พร้อมมีอัตราการรักษาลูกค้าเก่าอยู่ที่ 90%
นอกจากนี้บริษัทมุ่งเน้นการเป็น Solution Partner เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ช่วยลดภาระการดำเนินงานของลูกค้า และ Strategic Partner ที่ร่วมวางกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวทางธุรกิจโดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ และพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด บริษัทเน้นย้ำความสำคัญของ "คน" และ "เทคโนโลยี" โดยมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
SO มุ่งเน้นเป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ โดยให้บริการที่มีมาตรฐานสูง ควบคุมผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ และขยายธุรกิจได้ทุกโอกาส ภายใต้หลักการ Reliable, Predictable และ Scalable ให้บริการหลัก ได้แก่ Valet Parking และ Reception สำหรับห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงแรม พร้อมระบบ Training มาตรฐานสูง กลยุทธ์ใหม่ช่วยสร้างดีลใหม่ โดยเฉพาะการให้บริการ Valet Parking กับศูนย์การค้าใหม่ กลุ่มลูกค้าให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และมาตรฐานสูง มีบริการสนับสนุนครบวงจร เช่น ที่ปรึกษา การสรรหาบุคลากร การฝึกอบรม การดำเนินงาน และเทคโนโลยีติดตามผล โดยตั้งเป้า Market Size Premium มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท พร้อมอัตราการเติบโตมากกว่า 10%
นอกจากนี้บริษัทยังมีธุรกิจให้บริการด้าน Digital Authority และ Workflow Solutions โดยใช้ OCR+AI และ E-Workflow สำหรับกลุ่มธนาคาร ประกัน และโรงพยาบาล รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มูลค่าตลาดประกันภัยคาดว่าจะเติบโตเกิน 2,000 ล้านบาทใน 3 ปี ด้วยเทคโนโลยี LLM+AI และมีโซลูชัน FLOW สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในกลุ่มปิโตรเคมี นอกจากนี้ธุรกิจยานยนต์ มีการบริหารจัดการรถเชิงพาณิชย์และเพิ่มจำนวนรถมากกว่า 700 คัน หรือเติบโตกว่า 13.26% และในส่วนของ Landscape Management ให้บริการดูแลภูมิทัศน์สำหรับโครงการขนาดใหญ่ โดยใช้ระบบควบคุมคุณภาพงานประกอบด้วย 9 ขั้นตอนหลัก ครอบคลุมตั้งแต่การฝึกอบรม ตรวจสอบ และประเมินผล ดำเนินงานโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น Consultant, Arborist, Operations และ LAB ธุรกิจเน้นความน่าเชื่อถือ (Reliable) คาดการณ์ได้ (Predictable) และสามารถขยายตัวได้ (Scalable) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียมที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานและภาพลักษณ์ ซึ่งตั้งเป้า Market Size Premium มากกว่า 660 ล้านบาท และคาดการณ์การเติบโตกว่า 10.97%
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,581.36 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 153.02 ล้านบาท นอกจากนี้มติคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 86 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 85% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ก่อน
“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้าน ดูแลพื้นที่ป่า 6,000 ไร่ ป้องกันป่าเสื่อมโทรม-เพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน หวังลดคาร์บอนมากกว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมอบเงินพิเศษเพิ่มอีก 1 ล้าน ตะลุยอีก 4 โครงการย่อย ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงเรียน-จัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์-พัฒนาศูนย์เด็กใฝ่ดี-รับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน ตอกย้ำแนวคิดเซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม
นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมสนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท สำหรับการดูแลพื้นที่ป่ากว่า 6,000 ไร่ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ลดปัญหาการเกิดไฟป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) บรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
“เราเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ถือเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมเราให้เข้าถึงชุมชนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่า เป็นผู้ดูแลป่า เชื่อมให้เราสามารถร่วมสนับสนุนบุคลากรที่มีส่วนสำคัญตั้งแต่รากฐานในการดูแล ป้องกัน และบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีผืนป่าที่ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนต่อไป” นายพงศภัค กล่าว
สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และภาคีภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือกับภาวะโลกร้อนหรือโลกรวน รวมทั้งไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการเผาไหม้เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ และฝุ่นควันจากไฟป่า ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าภายใต้ความดูแลของโครงการครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด รวม 147,037 ไร่ 120 ชุมชน โดย บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ถือเป็นสมาชิกรายล่าสุดภายใต้ความร่วมมือนี้ และคาดว่าจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วง 3 ปี

นายพงศภัค กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯภายใต้โครงการดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้บริจาคเงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาทให้แก่มูลนิธิ เพื่อดำเนินงานในอีก 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1.โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับโรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา จ.เชียงราย เพื่อช่วยส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบท 2.โครงการ Science Fair ให้เยาวชนดอยตุงได้เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเติบโตสู่อนาคต 3.โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย สนับสนุน “ศูนย์เด็กใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชน และ 4.โครงการสนับสนุนการรับรองปริมาณ Carbon Credit จากป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“บางกอกเคเบิ้ล เป็นองค์กรของคนสายวิทย์ พนักงานจำนวนมากของเราเป็นวิศวกร เป็นนักเคมี เป็นช่าง และวันนี้เราไม่ได้ทำแค่สายไฟฟ้า แต่เราพยายามขับเคลื่อนทิศทางองค์กรไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์เซลล์ EV Charger เราจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการนำร่องสนับสนุนใน 4 โครงการนี้” นายพงศภัค กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯและองค์กรอื่นๆ ในโครงการที่มีส่วนสำคัญในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมในอนาคต
สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว