December 21, 2025

Tesla เปิดตัวแคมเปญ 'Live on Sunshine' อย่างเป็นทางการ โดยนำเสนอเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ล้ำสมัย เพื่อมอบประสบการณ์พลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและเสริมสร้างอิสรภาพด้านพลังงานให้แก่ผู้บริโภค แคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานที่ยั่งยืน ผู้เข้าร่วมแคมเปญจะมีโอกาสลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษ ได้แก่ Powerwall ระบบแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับบ้าน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และ Wall Connector นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ทดลองขับ Tesla Model 3 ฟรีเป็นเวลา 5 วัน

รายละเอียดของรางวัล

· Powerwall แบตเตอรี่สำรองไฟสำหรับบ้าน: ความจุ 13.5 kWh สามารถกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์และนำมาใช้ในช่วงเวลากลางคืน เพิ่มความเป็นอิสระด้านพลังงานให้กับเจ้าของบ้าน รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.tesla.com/th_th/powerwall

· ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของ Tesla) : ติดตั้งเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับ Powerwall ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

· Wall Connector: อุปกรณ์ชาร์จติดผนังสำหรับรถไฟฟ้า Tesla ที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อชาร์จรถ ทำให้การเดินทางเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์แบบ รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.tesla.com/th_th/home-charging

· ทดลองขับ Model 3 ฟรีเป็นเวลา 5 วัน: โอกาสพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถไฟฟ้าจาก Tesla รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.tesla.com/th_th

เงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าร่วมแคมเปญ

· ผู้เข้าร่วมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และเป็นเจ้าของบ้านในประเทศไทย

· จำกัด 1 สิทธิ์ต่อครัวเรือน

· ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมแคมเปญได้ผ่านทางเว็บไซต์แคมเปญโดยกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนและยืนยันข้อมูลส่วนตัว

· การตัดสินผู้ชนะจะพิจารณาจากการสุ่มเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข

· รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซต์แคมเปญ

ระยะเวลาแคมเปญ ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 – 30 มิถุนายน 2568

Tesla กำลังขยายเครือข่ายพลังงานสะอาดผ่านความร่วมมือกับบริษัทที่สนใจเป็นพันธมิตรในการจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall เพื่อขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนให้กว้างขึ้น ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บและใช้งานพลังงานสะอาดในระดับครัวเรือนและธุรกิจ อีกทั้งยังขับเคลื่อนภารกิจสู่พลังงานที่ยั่งยืน บริษัทที่สนใจสามารถสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall ที่ได้รับการรับรองจาก Tesla ได้ที่เว็บไซต์ด้านล่าง

สมัครเข้าร่วมแคมเปญและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: -

เว็บไซต์แคมเปญ Live on Sunshine : https://www.tesla.com/th_th/live-on-sunshine?redirect=no

-ข้อกำหนดและเงื่อนไข :https://digitalassets.tesla.com/tesla-contents/image/upload/Terms-Live-on-Sunshine-th-TH.pdf

- ปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งและประเมินราคา Powerwall : https://www.tesla.com/th_TH/powerwall/get

- สมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall ที่ได้รับการรับรองจาก Tesla : https://www.tesla.com/th_TH/energy_partner-with-tesla

Tesla สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ทำให้คุณสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เผยความคืบหน้าโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP หรือ ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) ล่าสุด เดินหน้าสำเร็จอีกขั้น เตรียมพร้อมสร้างถังเก็บก๊าซอีเทน โดยได้ลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหา และก่อสร้าง (EPC contract) ถังเก็บก๊าซอีเทนเป็นที่เรียบร้อย คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปลายปี 2570 โดยโรงงาน LSP ถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนที่นำก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญกว่า 30% เมื่อเทียบกับราคาแนฟทาในปัจจุบัน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น พร้อมรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว

 

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “ตามที่ SCGC ได้ประกาศโครงการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบด้วยก๊าซอีเทน ซึ่งห่วงโซ่อุปทานของการนำเข้าก๊าซอีเทนให้โรงงาน LSP ประกอบด้วย 1) สัญญาซื้อขายอีเทนและท่าเรือส่งออก 2) เรือขนส่งก๊าซอีเทน (VLEC) และ 3) ถังเก็บวัตถุดิบที่ถูกออกแบบโดยเฉพาะสำหรับบรรจุก๊าซอีเทนซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากกระบวนการของก๊าซ LNG และก๊าซโพรเพน โดยบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาระยะยาว 15 ปี ในการจัดหาก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเรือขนส่งรอบแรก จำนวน 3 ลำ สำเร็จเรียบร้อยตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา”

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด บริษัทฯ ได้เร่งเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญระดับสากลที่มีประสบการณ์ในการทำโครงการขนาดใหญ่เพื่อก่อสร้างถังเก็บก๊าซอีเทนที่ถูกออกแบบโดยเฉพาะ การก่อสร้างถังดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่สำคัญของโครงการนี้ โดยได้กลุ่มกิจการค้าร่วมระหว่างบริษัท China Tianchen Engineering Corporation และบริษัท PetroVietnam Technical Service Corporation ในเครือ Vietnam Oil & Gas Group (PetroVietnam หรือ PVN) มาเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง จำนวน 2 ถัง ความจุประมาณ 55,000 ตันต่อถัง เพื่อรองรับปริมาณก๊าซอีเทนจำนวน 1 ล้านตันต่อปี เชื่อมั่นว่าโครงการ LSPE จะแล้วเสร็จตามแผน คือประมาณปลายปี 2570”

ถังเก็บก๊าซอีเทนที่จะติดตั้งที่โรงงาน LSP ได้ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันการรั่วไหลสมบูรณ์ โดยมีลักษณะเป็นถัง 2 ชั้น ภายนอกเป็นคอนกรีตและภายในเป็นเหล็กชนิดพิเศษ มีความจุประมาณ 55,000 ตันต่อถัง ซึ่งถูกออกแบบเพื่อให้สามารถเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่สภาวะอุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียส ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ โรงงาน LSP ยังเร่งเตรียมความพร้อมด้านการปรับปรุงกระบวนการผลิตและสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (supporting facilities) ในขณะเดียวกันอีกด้วย

“สำหรับสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers: VLECs) จากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามเป็นเวลา 15 ปี จำนวน 5 ลำ โดยสัญญาเช่าเหมาเรือส่วนแรกจำนวน 3 ลำ นั้น ได้ลงนามกับบริษัท Mitsui O.S.K. Lines (MOL) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสัญญาเช่าเหมาเรืออีก 2 ลำที่เหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้” นายศักดิ์ชัยกล่าวเพิ่มเติม

“โครงการ LSPE มีการลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท มาจากแหล่งเงินทุนภายใน SCG ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา การนำเข้าก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ข้อจำกัดในการจัดเก็บและส่งออกก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกา การสร้างเรือ VLEC ที่มีความเฉพาะและใช้เวลานาน ตลอดจนการจัดหาวัตถุดิบและทำสัญญาซื้อก๊าซอีเทนระยาว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากศึกษาความเป็นไปได้ ทาง SCGC ได้เร่งดำเนินการโดยทันที เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และช่วยลดต้นทุนให้กับโรงงาน LSP อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย

ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย ซีเอฟโอ โปรแกรม (Deloitte Southeast Asia CFO Program) เปิดเผยผลสำรวจ SEA CFO Agenda 2025 พบว่าการเติบโตของรายได้เป็นประเด็นด้านกลยุทธ์สำคัญอันดับต้นๆ ของ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ร้อยละ 82 เหนือกว่าการควบคุมต้นทุน (ร้อยละ 71) และผลการดำเนินงานทางการเงิน (ร้อยละ 70) ทั้งนี้ แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ก็ตาม

ดีลอยท์ ได้ทำการสำรวจ ซีเอฟโอ จำนวน 190 คนใน 7 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม โดยมีการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 11 คน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เผยให้เห็นความเห็นของ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากปีก่อน

“ผลการสำรวจล่าสุดของเราแสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทัศนคติเป็นกลาง แม้จะมีมุมมองที่เป็นบวกในเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมและผลการเงินของบริษัท แต่ก็เป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากความรู้สึกเชิงลบเมื่อปีที่แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการปรับตัวและและคุ้นชินกับภาวะปกติใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ซีเอฟโอมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการเติบโตของธุรกิจอย่างชัดเจน” โฮ ก๊ก หยง วีเอฟโอ โปรแกรม ลีดเดอร์ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก และ เซาท์อีสท์เอเชีย กล่าว

 เร่งสร้างมูลค่า

เพื่อสนับสนุนองค์กรในการขับเคลื่อนการเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้วิธีการปรับกลยุทธ์การจัดสรรเงินทุนที่มีความรอบคอบมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบสินทรัพย์ลงทุนในพอร์ตของตน จากผลการสำรวจพบว่า กว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือ ร้อยละ 58 มีการประเมินผลการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโออย่างน้อยปีละสองครั้ง

ที่น่าสังเกตคือ ความสนใจในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกว่าหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือร้อยละ 28 ระบุว่าองค์กรของตนมีการทำธุรกรรม M&A อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วง 36 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนที่มากกว่า – เกือบครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 46 คาดว่าจำนวนข้อตกลงจะเพิ่มขึ้นในอีก 36 เดือนข้างหน้า

“การที่ซีเอฟโอในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ มีการทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนของตนอย่างน้อยปีละสองครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการแก้ไขทิศทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซีเอฟโอต้องเป็นผู้นำในการผลักดันให้องค์กรมีแนวคิดในการทบทวนพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรและมีส่วนร่วมกับคณะกรรมการ เพื่อให้มั่นใจว่าสินทรัพย์สอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมของบริษัท และหากไม่สอดคล้อง ซีเอฟโอต้องมีความพร้อมและความสามารถในการตัดสินใจถอนการลงทุน หรือร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“ในท้ายที่สุด การเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและผันผวนสูงในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยสองความสามารถหลัก ได้แก่ ความสามารถในการรับมือ (resilience) เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง และ การเติบโตเชิงเปลี่ยนแปลง (transformative growth) เพื่อเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น เป้าหมายของซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรเป็นการกระจายแหล่งรายได้และพัฒนาโครงสร้างรายได้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน” เขากล่าวเสริม

 การผลักดันการใช้ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยรวมแล้ว ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนหนึ่ง คาดหวังว่าเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติจะมีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินงานขององค์กร มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 59 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังที่จะนำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานมากขึ้น และมากกว่าหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 34 คาดว่าจะเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัลในอนาคต

ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากที่ ดีลอยท์ได้คุยด้วย เปิดเผยว่าองค์กรของพวกเขามีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Centres of Excellence – CoEs) และ/หรือ ทีมเฉพาะเพื่อดูแลการทดลองการใช้งานกรณีศึกษาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตามนื่องจากหลายองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ การใช้งานส่วนใหญ่จึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ กรณีศึกษาต่างๆ จึงมักเป็นแอปพลิเคชันที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับงานที่ต้องใช้แรงงานคนบางส่วนเท่านั้น

นอกจากนี้ ซีเอฟโอยังเผชิญกับความท้าทายในการตัดสินใจลงทุนใน AI เนื่องจากขาดกรณีศึกษาที่มีความน่าสนใจอย่างชัดเจน และความยากในการประเมินผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกทั้งยังมีความกังวลด้านความเสี่ยงและการกำกับดูแล (ร้อยละ 45) รวมถึงประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (ร้อยละ 27)

สำหรับบทบาทด้านการเงินโดยเฉพาะ ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่าปัจจัยด้านบุคลากรและความเชื่อมั่นเป็นข้อกังวลหลักเกี่ยวกับการใช้ AI ซึ่งรวมถึง ทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญด้าน AI ร้อยละ 78 ความเสี่ยงในการนำ AI มาใช้ ร้อยละ 55 และ วัฒนธรรมองค์กรและความไว้วางใจ ร้อยละ 45

ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตระหนักว่าวิจารณญาณและการตัดสินใจของมนุษย์มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้งาน นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นว่าการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน ไม่เพียงแต่เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ความสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ควรเป็นเป้าหมายหลักในการยกระดับความเข้าใจและความชำนาญด้าน AI ในอนาคต

 การปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG และวัตถุประสงค์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน

แม้ว่าการพูดคุยของดีลอยท์กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความสำคัญและความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) แต่ผลสำรวจพบว่า มีซีเอฟโอเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 23) เท่านั้นที่นำปัจจัยด้านสภาพอากาศและ/หรือ ESG มาบูรณาการเข้ากับรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน ช่วงของการสำรวจหรือทดลองแนวทาง เป็นหลัก

สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับเรื่องนี้ ได้แก่ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ ร้อยละ 80 ความยากลำบากในการวัดผลกระทบของ ESG ร้อยละ 78 และความจำเป็นในการจัดการงานที่มีความสำคัญหลายๆงานพร้อมกัน ร้อยละ 69 ในขณะปัญหาด้านบุคลากรและความยากลำบากในการวัดผลเป็นความท้าทายสำคัญในด้าน ESG แต่จากการพูดคุยระหว่างดีลอยท์ กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าความท้าทายที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือการบริหารจัดการให้เกิดสมดุลระหว่างผลประโยชน์และต้นทุนที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสภาพอากาศและ ESG ความท้าทายเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษในด้าน การจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากกลยุทธ์การจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ESG มักมาพร้อมกับ ต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนในด้านอื่น ๆ มาชดเชย

จากมุมมองของการตัดสินใจทางการเงิน ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดำเนินมาตรการสำคัญ อาทิ การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ร้อยละ 40 การรายงานเกี่ยวกับโครงการด้าน ESG ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 40 และการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานด้าน ESG ร้อยละ 33 อย่างไรก็ตาม มีเพียงส่วนน้อย หรือเพียงร้อยละ 16 ที่ปรับการจัดสรรเงินทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการวัดผลกระทบของ ESG ที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้

ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตระหนักว่า เป้าหมายด้าน ESG และความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวไม่ได้ขัดแย้งกันอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นที่ต้องเร่งดำเนินการ พวกเขายังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ในการปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการเงิน เพื่อช่วยให้องค์กรในการหาสมดุลที่เหมาะสม ซีเอฟโอ อาจพิจารณาการนำ balanced scorecards มาใช้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ เพื่อบูรณาการเป้าหมายทางการเงินและ ESG เข้าด้วยกัน” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือแม้ว่าตัวชี้วัดจะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรหลีกเลี่ยงการยึดติดกับตัวชี้วัดทางการเงินระยะสั้นมากเกินไป เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว” เขากล่าวเพิ่มเติม

ระเบียบวิธีวิจัย

ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม 2567 ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย ได้ทำการสำรวจ ซีเอฟโอ จำนวน 190 คนใน 7 ประเทศ (บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) เพื่อทำความเข้าใจความท้าทายและลำดับความสำคัญของซีเอฟโอให้ดียิ่งขึ้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 62 เป็นซีเอฟโอของบริษัทที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงานและทรัพยากร บริการทางการเงิน วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการดูแลสุขภาพ การผลิตและอุตสาหกรรม ภาครัฐ รวมถึงเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม นอกจากนี้ ยังได้ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบตัวต่อตัวกับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน11 ราย ระหว่างเดือนกันยายนถึง พฤศจิกายน 2567 เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองและความท้าทายเฉพาะของซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยจะเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในระดับภูมิภาค แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลกในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านเครือข่ายระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซีใน 58 ประเทศและเขตดินแดน สร้างโอกาสการลงทุนจากตลาดสำคัญ อาทิ จีน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยจะมุ่งพัฒนากลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี พร้อมให้การสนับสนุนด้านโซลูชันทางการเงิน และคำปรึกษาครบวงจร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนจากทั่วโลก

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก

 

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”

ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น

“สกพอ. มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจาสิทธิประโยชน์จนถึงการเริ่มต้นประกอบกิจการ ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และตอกย้ำบทบาทของอีอีซีในฐานะจุดหมายของการลงทุนชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในระดับภูมิภาค” ดร.จุฬา กล่าวเสริม

 

นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”

ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่ แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น

“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว

ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการสัมมนาเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสที่ธุรกิจระดับนานาชาติจะได้รับจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการสนับสนุนในเชิงนโยบายจาก สกพอ.

โดยในงานแถลงข่าวและการสัมมนา มีบุคคลสำคัญและผู้แทนกว่า 50 ราย จากบริษัทระดับโลกชั้นนำ ตลอดจนสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย เป็นต้น

ทรู คอร์ปอเรชั่น ขยายความแรงสัญญาณ 5G รองรับ “MotoGP 2025” การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบระดับโลกในไทย ภายใต้ชื่อรายการ "PT Grand Prix of Thailand 2025” สำหรับปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นสนามแรกประเดิม จากทั้งหมด 22 สนามใน 18 ประเทศ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เผยขยายสัญญาณ 5G รองรับการใช้งานการสตรีมวิดีโอระดับ 4K/8K และการถ่ายทอดสดจากสนามแข่ง พร้อมเชื่อมต่อนอกสนามนำ 5G ขยายสู่แหล่งกินเที่ยวต้องมาเยือนที่บุรีรัมย์เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์การใช้งานโซเชียลมีเดีย

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เรานำเทคโนโลยี 5G ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Event-based Sport Tourism) โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงประสบการณ์ดิจิทัลในงาน MotoGP 2025 ศึกเจ้าความเร็วระดับโลกที่จัดแข่งในประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะมีผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้าร่วมงานจำนวนมาก เราจึงเตรียมความพร้อมและขยายสัญญาณ 5G เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างราบรื่นตลอดการจัดงานแข่งขัน โดยเฉพาะใน 2 พื้นที่หลักของงาน ได้แก่ ลานกิจกรรม (Commercial Area) และบริเวณอัฒจันทร์ (Grandstand Area) พร้อมกับเชื่อมต่อเทคโนโลยี 5G ไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของบุรีรัมย์ที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ"

ทรู คอร์ปอเรชั่นนำ 5G เชื่อมต่อ “MotoGP 2025” รองรับการจัดงานระดับโลก

· เพิ่มรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW) 4 จุดรอบสนาม

· เพิ่มเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary site)

· พารามิเตอร์สัญญาณ (Event Parameter) ปรับแต่งค่าสัญญาณตามพฤติกรรมการใช้งาน

· จัดทีมวิศวกรเน็ตเวิร์กประจำสนามตลอดการจัดงาน

· เพิ่มสัญญาณ 5G รองรับสนามบิน ขนส่ง และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

· BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง

นายประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทีมงานได้นำข้อมูลการจัดงานปี 2024 มาวิเคราะห์สำหรับการวางแผนรองรับในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมามีการใช้งานดาต้าเพิ่มราว 20% และผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นราว 25% (YoY) ในพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของงาน MotoGP โดยปีนี้มีการคาดการณ์และวางแผนรองรับผู้ใช้งานเพิ่มอีกสองเท่า เราออกแบบสัญญาณรองรับพื้นที่ต่างๆ ในการจัดงาน ทั้งลานกิจกรรม หรือ Commercial Area ซึ่งเป็นเวทีคอนเสิร์ตและบูธต่างๆ รอบงาน เราได้เพิ่มความจุของเครือข่ายเพื่อรองรับการใช้งานโซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันติดต่อสื่อสารต่างๆ ส่วนในพื้นที่อัฒจรรย์ หรือ Grandstand Area ซึ่งเป็นพื้นที่รับชมการแข่งขันโดยตรง เราได้ปรับแต่งสัญญาณให้รองรับการใช้งานแบบหนาแน่นสูง และการ LIVE ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถแชร์ประสบการณ์สุดตื่นเต้นของการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นเรายังยกระดับประสบการณ์แหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจะมาเดินทางมาเยือนบุรีรัมย์อีกด้วย”

ทรู คอร์ปอเรชั่น ชวนเยือนแหล่งกินเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ หลังชมศึกความเร็ว MotoGP 2025พร้อม 5G รองรับสายคนเทนต์ ไลฟ์-โพสต์-แชร์ ผ่านโซเชียลมีเดีย

5G ลูกชิ้นยืนกิน – ตำนานความอร่อยแห่งบุรีรัมย์ที่ห้ามพลาด "ลูกชิ้นยืนกิน" หลังสถานีรถไฟ ต้นตำรับลูกชิ้นหมูกับน้ำจิ้มสูตรโบราณรสเด็ดพริกแห้งมะขามเปียก สะท้อนวิถีบุรีรัมย์ที่รักความอร่อย ไม่เหมือนใคร สะดวกและรวดเร็ว แวะง่ายทั้งขาไป-กลับจากสถานีรถไฟ จนกลายเป็นจุดชิมชื่อดังเลื่องลือทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

5G อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง – สัมผัสมหัศจรรย์ "พระอาทิตย์ตกลอด 15 ช่องประตู" ณ ปราสาทพนมรุ้ง วันที่ 5-7 มีนาคม 2568 ปราสาทขอมโบราณที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์และสัญลักษณ์สำคัญของบุรีรัมย์ รวมถึงเป็นต้นแบบโลโก้สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นับเป็นจุดหมายห้ามพลาดของนักท่องเที่ยว

5G โยนีปีศาจ – สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของบุรีรัมย์ "วนอุทยานเขากระโดง" พื้นที่ปากปล่องภูเขาไฟดับสนิทที่โอบล้อมด้วยป่าไม้สมบูรณ์กลางเมือง พบกับความลึกลับของ "ต้นโยนีปีศาจ" พันธุ์ไม้ประหลาดหายากในตำนาน พร้อมสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองและพระสุภัทรบพิตร พระพุทธรูปองค์ใหญ่คู่เมือง เดินขึ้นบันไดนาคราช ชมวิวเมืองสวยงามจากจุดสูงสุด

นายอนันต์กร อมรวาที (คนกลาง) นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA : Home Builder Association) นำทัพคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ จัดงานแถลงข่าวประกาศแผนเชิงรุกปี 2568 เดินหน้าสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ และเน้นการเข้าถึง ‘ผู้บริโภค’ สร้างโอกาสเพิ่มมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านรวม 10,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมจัดงานใหญ่กระตุ้นตลาดต้นปี ‘รับสร้างบ้าน Focus 2025’ ชูคอนเซ็ปต์ ‘HOME เพราะบ้าน คือจุดเริ่มต้นของความสุข’ ระหว่างวันที่ 12 – 16 มีนาคม 2568 ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 8 โดยงานแถลงข่าวจัดขึ้น ณ ห้องสยามฮอลล์ ชั้น 6 อีสติน แกรนด์ พญาไท เมื่อเร็ว ๆ นี้

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยกย่องให้เป็น Thailand’s Top Corporate Brands 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการออนไลน์ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในหมวดธุรกิจการแพทย์ ประจำปี 2567 ด้วยมูลค่าแบรนด์ 123,342 ล้านบาท และมีมูลค่าแบรนด์สูงสุดเป็นอันดับ 3 จาก 15 องค์กรชั้นนำที่ได้รับรางวัลในหมวด Thailand’s Top Corporate Brands 2024

ภายในงาน ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้มอบรางวัลเกียรติยศภายในงาน “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024” โดยทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นำโดย ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เข้ารับรางวัล และร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ “What Actions Can Leaders Take to Achieve the Corporate Brand Sustainability?” พร้อมด้วย ศ. (กิตติคุณ) ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และ ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการแบรนด์และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ร่วมแสดงความยินดี

 

สำหรับ ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024 คืองานประกาศผลมูลค่าแบรนด์องค์กรแห่งปี ซึ่งจัดโดยหลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการแบรนด์และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการออนไลน์ เพื่อมอบรางวัลให้แก่องค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของประเทศไทยและในอาเซียน ประจำปี 2567 ซึ่งนับเป็นปีที่ 15 ของการเผยแพร่ผลงานวิจัยการประเมินมูลค่าแบรนด์องค์กร ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ CBS Valuation เพื่อวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรในปี 2567 ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยและของประเทศใน ASEAN 6 ประเทศ โดยนำตัวเลขจากงบการเงินของบริษัทที่ผ่านเกณฑ์มาคำนวณมูลค่าโดยสูตร CBS Valuation ที่พัฒนาขึ้นจากการบูรณาการด้านการตลาด การเงิน และการบัญชี

 

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ กล่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มุ่งหวังที่จะเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยการส่งมอบประสบการณ์การรักษาที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล ก้าวถึงความเป็นเลิศในการปฏิบัติการ ด้วยการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถของทีมงานสหสาขาวิชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างรากฐานองค์กรอันแข็งแกร่ง นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "AION Eastern Caravan" สำหรับลูกค้าผู้ใช้รถ HYPTEC HT รถเอสยูวีไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ ร่วมทริปคาราวานมุ่งหน้าสู่พัทยา เพลิดเพลินกับดินเนอร์สุดหรู ณ Silverlake Wine & Grill พร้อมชมมินิคอนเสิร์ตจาก Jetset'er ในบรรยากาศสุดโรแมนติ

ทริปเริ่มต้นขึ้น ณ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขารัชโยธิน โดยมีคุณ Justin Cao ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ คุณ อรณิชา สุวรรณโพธิ์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เมเจอร์ ซีนีแอด จำกัด ร่วมตีธงปล่อยตัวขบวนคาราวาน ขบวนรถ HYPTEC HT ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยมีการจัดขบวนอย่างเป็นระเบียบเพื่อความปลอดภัย

ระหว่างการเดินทาง ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและทรงพลังของ HYPTEC HT รถเอสยูวีไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ดีไซน์ที่หรูหรา โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกนก (Gull wing Door) และระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะด้วยระยะทางวิ่งสูงสุดที่ 620 กิโลเมตร สามารถชาร์จไฟได้เร็วสูงสุด 280 กิโลวัตต์ พร้อมฟีเจอร์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารระดับพรีเมียม อาทิ เบาะนวดไฟฟ้าคู่หน้า 10 จุด, ระบบระบายอากาศเบาะนั่งโดยสารคู่หน้า, ระบบน้ำหอมปรับอากาศในรถอัจฉริยะ, ชุดเครื่องเสียง 22 ลำโพง พร้อมระบบ Dolby Atmos รวมถึงฟังก์ชันความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวกสบาย และมั่นใจในทุกเส้นทาง

ระหว่างทาง ขบวนคาราวาน HYPTEC HT ได้แวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารทะเลชื่อดัง ท่ามกลางวิวทะเลอันสวยงาม จากนั้น เดินทางต่อไปยัง House of Benedict แลนด์มาร์กสุดชิคแห่งใหม่ ที่เต็มไปด้วยมุมถ่ายภาพสุดสวยสไตล์ยุโรปสีสันสดใส ก่อนเข้าสู่โรงแรมสุดหรู CROSS VIBE PATTAYA SEAPHERE พร้อมชมวิวทะเลพาโนรามาอันสวยงาม

ในช่วงเย็นขบวนคาราวาน HYPTEC HT ได้เดินทางต่อไปยัง Silverlake Wine & Grill สถานที่จัดงานดินเนอร์ที่มีบรรยากาศงดงาม ท่ามกลางธรรมชาติและวิวภูเขา ลูกค้าได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำสุดหรูที่จัดเตรียมเป็นพิเศษ โดยมีเมนูอาหารหลากหลายและเครื่องดื่มชั้นเลิศ ปิดท้ายค่ำคืนด้วยมินิคอนเสิร์ตจากวง Jetset'er วงดนตรีชื่อดังที่มามอบความบันเทิงด้วยเสียงเพลงเพราะๆ และการแสดงที่น่าประทับใจ ในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกที่ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นที่จดจำสำหรับผู้ร่วมทริปทุกคน

 

กิจกรรม "AION Eastern Caravan" ครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AION Thailand ในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้กับลูกค้า HYPTEC HT เราตั้งใจที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด นอกจากนี้ AION Thailand ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมพิเศษอื่นๆ ในอนาคต เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า พร้อมมอบประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าประทับใจ เราขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า AION และ HYPTEC ด้วยดีเสมอมา

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า AION และ HYPTEC รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมฟีเจอร์และเทคโนโลยีระดับโลก สามารถเข้าไปทดลองขับได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ

ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายกนกศักดิ์ นิ่มนวลรัตน์ (แถวยืน ที่ 4 จากขวา) หัวหน้าฝ่ายส่วนราชการและสาธารณูปโภค นำทีมวิศวกรพื้นที่ร่วมปฏิบัติการสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ (แถวยืน ที่ 5 จากขวา) ผู้ว่าการฯ พร้อมด้วย กรุงเทพมหานคร โดย ว่าที่ ว่าที่ รต.สมชาติ เตชะถาวรเจริญ (แถวยืน ที่ 4 จากซ้าย) ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแผนงาน การจัดระเบียบสายไฟ สายสื่อสาร และการนำสายไฟ สายสื่อสารลงดินในพื้นที่ทั่วประเทศไทย และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินงานรื้อถอนสายสื่อสารที่ยกเลิกการใช้งานแล้วบนเสาไฟฟ้า หลังจากติดตั้งโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง Fiber Optic Cable (FOC) ฝังในระดับใต้ดินเพื่อใช้ทดแทนสายสื่อสารเดิม ทั้ง 2 ฝั่งถนนวิทยุ ตั้งแต่บริเวณแยกเพลินจิต ถึงถนนพระรามที่ 4 ระยะทางรวม 2.1 กิโลเมตร ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ตามนโยบายภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานโทรคมนาคมที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในการปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมืองให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ทรู ลีสซิ่ง ผู้ให้บริการรถเช่าทุกประเภทของไทย เดินหน้าขยายธุรกิจ ร่วมยกระดับการท่องเที่ยวในอยุธยาและประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เปิดตัว “เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผสานความคลาสสิคของเรือระดับตำนานเข้ากับเสน่ห์อยุธยาได้อย่างลงตัว 

ชูคอนเซ็ปต์รวมที่สุดแห่งความเป็น “หนึ่งเดียวในโลก” ทั้งโบตเฮาส์ที่รวมคอลเลคชั่นเรือคลาสสิคที่เปิดให้ชมมากที่สุด ท่าเรือส่วนตัวสไตล์อิตาลี แกลลอรี่ชมเรื่องราวประวัติเรือคลาสสิคอันทรงคุณค่า ไพรเวทเล้าจน์ชมไฮไลท์ “โชว์เคสการยกเรือ” ให้บริการล่องเรือคลาสสิคสัมผัสความงดงามสองฝั่งลำน้ำกรุงเก่า พร้อมดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ณ The Summer House @ Wonder Blue ในบรรยากาศริมโค้งน้ำที่สวยที่สุด ครบทุกมิติแห่งการท่องเที่ยว “กิน ดื่ม เที่ยว” จบในที่เดียว เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 – 20.00 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.TheWonderBlueAyutthaya.com

 

นายขจร เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรู ลีสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า “ทรู ลีสซิ่ง ผู้ให้บริการรถเช่าระยะยาว และรถเช่ารายวันที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งการเดินทาง ท่องเที่ยวและขนส่ง มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในจังหวัดสำคัญของแต่ละภูมิภาค ทั้งภาคเหนือที่เชียงใหม่และเชียงราย ภาคใต้ที่ภูเก็ตและกระบี่ ภาคตะวันออกที่พัทยา ส่วนภาคกลางที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และทรู ลีสซิ่ง ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคกลาง ครอบคลุมตั้งแต่ภาคกลางจนถึงภาคกลางตอนเหนือ ปักหมุดอยุธยา อีกหนึ่งจังหวัดศูนย์กลางที่ทรู ลีสซิ่ง เข้าไปดำเนินธุรกิจบริการแบบครบวงจรพร้อมรองรับทั้งลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าใหม่ รวมถึงกลุ่มลูกค้านิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยล่าสุด ได้ต่อยอดธุรกิจเพื่อร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวอยุธยา ซึ่งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในตัวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เวนิสแห่งตะวันออก” เปิดให้บริการ “เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) ซึ่งเป็นโบตเฮาส์ที่รวบรวมเรือแฮคเกอร์-คราฟต์ทั้งหมด เป็นแบรนด์เรือคลาสสิคตำนานระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากว่า 100 ปี มีทั้งหมด 12 ลำ แบ่งให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปี 2561 โดยที่จังหวัดอยุธยา สร้างเป็นโบตเฮาส์เรือคลาสสิคส่วนตัว ท่ามกลางเมืองมรดกโลกที่มีประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้ได้ล่องเรือคลาสสิค สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศ ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโบตเฮาส์แห่งนี้ จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ อีกหนึ่งจุดหมายปลายที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาชมทัศนียภาพและประทับใจกับความงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยากลางกรุงเก่าในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการท่องเที่ยวจังหวัดอยุธยาร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ตลอดจนสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

 

รวมที่สุดแห่งความเป็นหนึ่งเดียวในโลก

“เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) พร้อมมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ 5 ความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่ควรพลาด ได้แก่

1. แลนด์มาร์คแห่งใหม่ หนึ่งเดียวในโลกที่ผสานความคลาสสิคของเรือระดับตำนานเข้ากับมนต์เสน่ห์อยุธยา เมืองมรดกโลกได้อย่างลงตัว

2. หนึ่งเดียวที่มีคอลเลคชั่นเรือคลาสสิคเปิดให้ชมมากที่สุด โดยทุกลำเป็นเรือคลาสสิคแฮคเกอร์-คราฟต์ (Hacker-Craft) ทั้งหมด ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ดั้งเดิมที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 100 ปี สร้างจากไม้มะฮอกกานีที่ดีที่สุด จนเป็นที่กล่าวขานว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรือ หากแต่เป็นงานศิลปะที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ”

3. หนึ่งเดียวที่เปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้เยี่ยมชมแกลเลอรี่ สัมผัสเสน่ห์ของเรือคลาสสิคอันทรงคุณค่า ท่ามกลางมนต์เสน่ห์แห่งอยุธยาซึ่งโอบล้อมประวัติศาสตร์ สายน้ำ และสถาปัตยกรรมอันวิจิตรเหนือกาลเวลา

4. หนึ่งเดียวที่ผสานนวัตกรรมเข้ากับศิลปะเรือคลาสสิค ด้วยไฮไลท์ “โชว์เคสการยกเรือ” ลงน้ำให้บริการล่องเรือคลาสสิค ที่สะกดทุกสายตา สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

5. หนึ่งเดียวที่ครบทุกมิติไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว จากการชมโบตเฮ้าส์ สู่การล่องเรือคลาสสิค พร้อมเพลิดเพลินกับมื้ออาหารสุดพิเศษรสเลิศ ในบรรยากาศริมโค้งน้ำที่งดงามที่สุดของอยุธยา ณ The Summer House @ Wonder Blue นับได้ว่า “กิน ดื่ม เที่ยว” จบครบในที่เดียว

นอกจากนี้ The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya ยังมีไพรเวทเล้าจน์ คาเฟ่ร้านอาหาร พื้นที่จัดงาน และบริการรถรับ-ส่ง และรถเช่าทุกประเภทจากทรู ลีสซิ่ง เพื่อให้สถานที่แห่งนี้สมกับเป็น One-Stop-Destination สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแท้จริง เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ถึงอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 20.00 น. โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และจองออนไลน์สำหรับบริการล่องเรือคลาสสิกที่อยุธยาได้ที่ www.TheWonderBlueAyutthaya.com และสามารถจองออนไลน์เพื่อเช่ารถทุกประเภท และบริการล่องเรือคลาสสิกที่กรุงเทพฯ ได้ที่ www.trueleasing.co.th หรือติดต่อคอลล์ เซ็นเตอร์ True Leasing 1279 ตลอด 24 ชั่วโมง

X

Right Click

No right click