December 21, 2025

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานเสวนาในหัวข้อ “นิยามใหม่ของสังคม: พลิกโฉมประเทศไทยด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมเวทีเพื่อนำเสนอผลงานวิจัย พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มในประเทศไทย ตลอดจนโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 

รวมทั้งบทบาทของธุรกิจแพลตฟอร์มที่ส่งผลต่อรูปแบบการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม Gig Worker รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับมหภาค พร้อมยกกรณีศึกษาของแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครอบคลุมหลายบริการ โดยพบว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.79 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1%ของ GDP ประเทศไทย พร้อมนำเสนอแนวทางในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มของหน่วยงานภาครัฐโดยมุ่งเน้นการรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

 

ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ทีดีอาร์ไอได้ศึกษาบทบาทและผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยยกกรณีศึกษาของแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเดินทาง สั่งอาหาร และขนส่ง โดยมีบทบาทในการสร้างประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับเศรษฐกิจไทย รวมถึงการสร้างรายได้และโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานอิสระ

“ในปี 2566 กิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของ Grab ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ซึ่งมีมูลค่า 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ไทย ช่วยสร้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่ง และรายได้ครัวเรือนราว 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระดับมหภาค นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยานยนต์ พลังงาน การสื่อสาร การเงิน อาหาร และค้าปลีก โดยสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในวงกว้าง” ดร.นณริฎ ระบุ

 

ด้าน รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การพัฒนาทางเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทิศทางและรูปแบบการทำงานในอนาคตเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอิสระหรือ Gig Worker ที่มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะคน Gen Y ในช่วงปลาย และ Gen Z เนื่องจากตอบโจทย์ในเรื่องความยืดหยุ่น ความเป็นอิสระ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้คนอยากแสวงหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปนี้ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมหภาค จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อมและกำหนดนโยบายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

“ทิศทางการทำงานในโลกอนาคตเปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่เตรียมความพร้อมให้เหมือนกันนานาประเทศที่เตรียมตัวไปค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะภาคการศึกษา ภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ก็คงจะไม่ทันต่อเทรนด์ของโลก ซึ่งมีทั้งในเรื่องของการอัพสกิล รวมทั้งนโยบายแรงงานที่ต้องออกมาตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ จากการสำรวจตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้นพบว่า มี 170 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่จะมีตำแหน่งงานที่หายไป 92 ล้านตำแหน่ง ซึ่งพบว่ามีจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง ดังนั้นต้องตั้งโจทย์ถามภาครัฐว่า ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมไว้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะตำแหน่งงานใหม่ที่เกิดขึ้นค่อนข้างมากนี้เชื่อว่าเป็นตำแหน่งงานที่อยู่บนแพลตฟอร์มจำนวนมาก”

รศ.ดร.ดนุวัศ กล่าวเสริมว่า นิด้าได้ศึกษาบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยเน้นไปที่ระบบเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (Gig Economy) โดยพิจารณา 4 องค์ประกอบหลัก (หรือ 4P) อันได้แก่ แพลตฟอร์ม (Platform) ผู้ใช้บริการ (People) พันธมิตร (Partner) และหน่วยงานภาครัฐ (Public Sector) และได้พัฒนาออกมาเป็นต้นแบบของนโยบาย โดยมีให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อภาครัฐ ให้มุ่งส่งเสริมการแข่งขัน หรือการตลาดแบบเสรีควบคู่กับการสนับสนุนให้กลุ่มแรงงานอิสระสามารถเข้าถึงหลักประกันพื้นฐานทางสังคมของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเพื่อสร้างสมดุล และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะกลางถึงยาวอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นายศุภโชค จันทรประทิน จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้ความเห็นในมุมของเรกกูเลเตอร์ที่ดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มว่า “การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ดีต้องรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการ และการส่งเสริมนวัตกรรมควบคู่กันไป หน่วยงานภาครัฐจึงต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส เป็นธรรม และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หรือสตาร์ทอัพไทยที่ต้องการขยายตลาดไปสู่ระดับสากล ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของเราไม่ใช่แค่การควบคุม แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

BINANCE TH by Gulf BINANCE  หนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย"

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า "การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้"

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"

 Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คน

เกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3"

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems and Jewelry Fair) ครั้งที่ 71 จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (GIT) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กำหนด จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนภินทร ศรีสรรพางค์และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และผู้บริหารหน่วยงานเอกชน ที่เกี่ยวข้องร่วมรับเสด็จ


“บางกอกเจมส์ นับเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ถือเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญของโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้ “บางกอกเจมส์” ยังถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพจุดเด่นของไทยด้านคุณภาพ ความหลากหลาย ฝีมือและความประณีตด้านการผลิตของช่างฝีมือไทยที่เป็นเอกลักษณ์จับใจคนทั่วโลกอีกด้วย โดยในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรการแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องประดับ จากนั้นทรงตัดริบบิ้นเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครั้งที่ 71 และนิทรรศการ ‘AMOUR ÉTERNEL HAUTE JOAILLERIE’ ซึ่งเป็นการจัดแสดงคอลเลกชั่นจิวเวลรี่ชั้นสูง ทรงออกแบบโดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสร้างสรรค์โดยช่างฝีมือชั้นสูงของไทย นำเสนอความงามของเครื่องประดับชั้นสูงที่อยู่เหนือกาลเวลา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักออกแบบรุ่นใหม่ และสะท้อนถึงพระปณิธานในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยให้ดำรงอยู่สืบไปสู่อนาคต รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่สากล ต่อมาได้เสด็จเยี่ยมชมสินค้าภายในงานก่อนที่จะเสด็จกลับ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กราบทูลถวายรายงานความโดยสังเขปว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือเป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair มาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี ซึ่งนอกจากจะเป็นเวทีการเจรจาค้านานาชาติที่มีความสําคัญ ติดอันดับ 1 ใน 4 ของโลกแล้ว “บางกอกเจมส์” ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเวทีสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน แบบครบวงจร อีกด้วย “บางกอกเจมส์” จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการตอกย้ำความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สําคัญของโลกอย่างแท้จริง การจัดงานครั้งนี้ได้รวบรวมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกชั้นนําจากไทยและนานาชาติกว่า 1,100 ราย 2,600 คูหา นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจมากมาย คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 40,000 คนจากทั่วโลกตลอด 5 วันที่จัดงาน

คาดการณ์มูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 3,500 พันล้านบาท
งานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 71 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bkkgems.com  หรือ www.facebook.com/Bangkokgemsofficial

 

 

 

 

 

เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 (Bangkok Design Week 2025) ที่จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการออกแบบไทยอีกครั้ง เมื่อ 4 ผลงานสร้างสรรค์ภายในเทศกาลฯ ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ 'The Best of Bangkok Design Week 2025' จาก European Product Design Award (EPDA) ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องความเป็นเลิศด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และส่งผลกระทบในเชิงบวกโดยผลงานที่คว้ารางวัล ได้แก่

1) Sansiri Good Mood Pavilion จาก แสนสิริ

พาวิลเลียนที่จำลองแนวคิดการออกแบบของแสนสิริ ผ่านดีไซน์ที่สะท้อนความใส่ใจในทุกมิติของชีวิต Pavilion แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถาปัตยกรรม แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจและพลังบวก ผ่านการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และผลงานของผู้ชนะโครงการ Artizen ที่รวบรวม 40 นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ใน 4 สาขาดีไซน์ ได้แก่ Photography, Illustration, Music Composition และ Product Design

2) Tyvek® สร้างความเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด จาก DuPont™ Tyvek®

DuPont™ Tyvek® วัสดุสิ่งทอจากเส้นใย HDPE ที่เป็นตัวเลือกใหม่สำหรับวงการออกแบบไทย ด้วยจุดเด่นเรื่องความเหนียว ทนทาน น้ำหนักเบา และสามารถรีไซเคิลได้ 100% Tyvek® ไม่เพียงช่วยลดขยะหลังจบเทศกาล แต่ยังเปิดโอกาสให้เหล่านักสร้างสรรค์นำไปต่อยอดในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แฟชั่น บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงงานศิลปะ

3) 500 Cubic Meters of Wind: The Art and Power of Designจาก HATARI x HABITS

นิทรรศการที่มอบประสบการณ์แบบ immersive โดยความร่วมมือระหว่าง Hatari และ Habits Design Studio ที่นำเสนอแนวคิดการออกแบบที่ผสานฟังก์ชันและอารมณ์ ผ่านพลังของลมที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการออกแบบที่ไม่เพียงแค่สร้างความงาม แต่ยังมอบประสบการณ์เชิงลึกที่เชื่อมโยงกับผู้ชมในทุกมิติ

4) หย่อมป่า: เชื่อมพื้นที่ชีวิตดีๆ ที่ยั่งยืน จาก AP Thailand

AP Thailand นำเสนอโครงการ "หย่อมป่า" เพื่อคืนความสมดุลให้ธรรมชาติในกรุงเทพฯ พร้อมสร้างพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงนกและสัตว์นานาพันธุ์ให้กลับคืนมาอย่างยั่งยืน โครงการนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความหลากหลายทางชีวภาพและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่ส่งเสริมชีวิตที่ดีกว่า

ทั้งนี้ รางวัล ‘The Best of Bangkok Design Week 2025’ มีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย European Product Design Award (EPDA) ซึ่งเป็นรางวัลระดับนานาชาติ เพื่อยกย่องบุคคลหรือองค์กรที่รังสรรค์ผลงานการออกแบบที่โดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม พร้อมถ่ายทอดแนวคิดที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างน่าสนใจ

รางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ในการเป็นผู้นำจัดเทศกาลสร้างสรรค์นานาชาติประภูมิภาคที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งรางวัลดังกล่าวคัดเลือกจากองค์กรที่ร่วมแสดงผลงานกว่า 200 แห่ง นับเป็นเกียรติยศอันทรงคุณค่า ที่ช่วยขับเคลื่อนวงการออกแบบไทยให้เติบโตและขยายไปสู่วงกว้าง พร้อมเปิดโอกาสให้นักออกแบบทั้งรุ่นใหม่และผู้มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมได้แสดงศักยภาพในระดับโลก

เทศกาลออกแบบกรุงเทพ 2568 (Bangkok Design Week 2025) จัดขึ้นเป็นปีที่ 8 ภายใต้แนวคิด “Design Up+Rising: ออกแบบพร้อมบวก+” มุ่งเน้นการสร้างพลังบวกผ่านงานออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนเมืองและเปิดโอกาสใหม่ในทุกมิติอย่างไร้ขีดจำกัด ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพในด้านสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกปัจจุบัน โดยในปีนี้เทศกาลฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 23 กุมภาพันธ์ 2568 ครอบคลุมพื้นที่สร้างสรรค์กว่า 7 ย่านหลัก ได้แก่ เจริญกรุง - ตลาดน้อย, เยาวราช - ทรงวาด, ปากคลองตลาด, พระนคร, ข้าวสาร - บางลำพู, บางโพ และหัวลำโพง รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ทั่วกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท และดึงดูดผู้เข้าชมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ไม่น้อยกว่า 300,000 คน ตลอดระยะเวลา 16 วันของการจัดเทศกาลฯ

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่  Website: www.bangkkokdesignweek.com

Facebook/Instagram: bangkokdesignweek, Twitter: @BKKDesignWeek, Line: @bangkokdesignweek

“เศรษฐกิจไทย” พึ่งพาทะเลในด้านประมงและการท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน แต่กลับติดอันดับต้น ๆ ว่าเป็นประเทศที่มีขยะไหลลงทะเลมากที่สุด โดยข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบุว่า ในปี 2565 ขยะจากแม่น้ำสายหลัก เช่น บางปะกงและเจ้าพระยา ไหลลงสู่อ่าวไทยกว่า 1,000 ตัน และเคยสูงถึง 2,500 ตันในปี 2561

ในปี 2565 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่าย “โครงการความร่วมมือในการจัดการขยะทะเลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในบริเวณปากแม่น้ำ” นำโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทเอกชน โดยต่อมาได้ริเริ่มโครงการ “พลังบ้านปู ฟื้นฟูทะเลไทย” เพื่อดำเนินงานภายใต้โครงการความร่วมมือฯ และสนับสนุนแผนแม่บทการจัดการขยะทะเลระดับชาติ มีพื้นที่ดำเนินงานที่ลุ่มน้ำบางปะกงตอนล่าง ประกอบด้วย 3 อำเภอ 14 ตำบล ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอบ้านโพธิ์ และอำเภอบางปะกง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีระยะเวลาดำเนินงานระหว่างปี 2566 ถึงปี 2569

· ปัญหาขยะสะสมในพื้นที่กว่า 6 พันตัน/ปี

นายนริศ นิลประสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เผยว่า ที่ผ่านมาปัญหาขยะมูลฝอยในพื้นที่เฉลี่ย 3,000-6,000 ตันต่อปี หรือประมาณ 500 ตันต่อเดือน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วิถีชีวิตชุมชน รวมถึงทำให้คลองสาขาแม่น้ำบางปะกงเน่าเสีย มีค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี หรือ BOD (Biochemical Oxygen Demand:) สูง แม้จะมีการรณรงค์คัดแยกขยะและจัดตั้งธนาคารขยะ แต่ยังขาดแคลนทรัพยากรบุคคลและความร่วมมือที่ยังไม่ครอบคลุมทุกส่วน ส่งผลให้ยังเกิดปัญหาขยะและน้ำเน่าเสียเรื้อรัง

· ความร่วมมือ “พลังบ้านปู ฟื้นฟูทะเลไทย” ลดขยะครัวเรือนเทศบาลตำบลท่าข้าม 40%

ปี 2565 ตำบลท่าข้ามได้ร่วมทำงานกับบ้านปู ในโครงการ “พลังบ้านปู ฟื้นฟูทะเลไทย” โดยบ้านปูได้นำโมเดลการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมเข้ามาปรับใช้ในพื้นที่ สร้างเครือข่ายชุมชนที่แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ฉะเชิงเทราให้เป็นต้นแบบการลดปริมาณขยะทะเล ผ่าน โมเดลจัดการขยะทะเล 6 มิติ ดังนี้

 

การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง: หัวใจสำคัญคือการทำงานร่วมกันระหว่างบ้านปูกับผู้นำในพื้นที่ การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล และ อบต. รวมไปถึงผู้นำชุมชน อาสาสมัคร และชาวบ้านในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือตั้งแต่เริ่มวางแผน การดำเนินงาน ติดตาม ประเมินผลเพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตการจัดการขยะ ซึ่งบ้านปูทำหน้าที่ประสานงาน ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น

การจัดการขยะต้นทาง: ส่งเสริมความรู้ ด้านการคัดแยกขยะในครัวเรือนให้กับชุมชน และวิธี ‘เปลี่ยนขยะเป็นเงิน’ ผ่านการจัดตั้งโครงการธนาคารขยะ ปัจจุบันสามารถลดปริมาณขยะและโดยนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้แล้วกว่า 4.5 ตัน

การเก็บกู้ขยะในแหล่งน้ำและการจัดการ: ติดตั้งอุปกรณ์ดักขยะ การเก็บกู้ขยะ รวมถึงจัดการขยะหลังเก็บกู้ ปัจจุบันบ้านปูได้ติดตั้งทุ่นดักขยะใน 5 คลองสาขาของแม่น้ำบางปะกงไปแล้ว 7 จุด ได้แก่ คลองลัด คลองตาสาย เทศบาลตำบลท่าข้าม คลองบางพระ คลองนาคำแพน อบต.บางพระ คลองใหม่ศรีเจริญ คลองบางพระ อบต.โสธร รวมถึงจัดกิจกรรมให้พนักงานบ้านปูจิตอาสาไปช่วยเก็บขยะริมแม่น้ำบางปะกงร่วมกับชุมชนในพื้นที่ โครงการฯ สามารถเก็บกู้ขยะได้รวม 5.7 ตัน (4 ตันจากทุ่นดักขยะ และ 1.7 ตันจากการเก็บขยะริมแม่น้ำบางปะกง)

การสร้างความตระหนัก: บ้านปูจัดศึกษาดูงานให้กับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน จาก 6 ตำบล ของอำเภอบางปะกง และ อำเภอเมือง ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโมเดลการจัดการขยะ ไปเรียนรู้วิธีจัดการขยะทะเลต้นแบบที่จังหวัดระยอง และจัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาขยะทะเลและการจัดการขยะอย่างถูกวิธีกับชุมชน เช่น กิจกรรม “การจัดการขยะครัวเรือนและขยะทะเล” กับผู้นำชุมชน ต.ท่าสะอ้าน โดยความร่วมมือกับ อบต. ท่าสะอ้านและศูนย์วิจัยฯ ทช. ทสจ.ฉะเชิงเทรา และกิจกรรม “การเดินทางของขยะทะเล” กับนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เพื่อปลูกฝังแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตั้งแต่รุ่นเยาว์

การบริหารจัดการข้อมูล: การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณและประเภทของขยะที่ได้จากธนาคารขยะ และปริมาณขยะที่เก็บกู้ได้จากทุ่นดักขยะ เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนและพัฒนาการทำงานของโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อให้ชุมชนสามารถแจ้งปัญหาขยะและติดตามข้อมูลต่างๆ ในพื้นที่ได้

การสร้างเครือข่าย: เชื่อมโยงทุกความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพื่อแลกเปลี่ยนและนำองค์ความรู้มาปรับใช้ ซึ่งเป็นการขยายเครือข่ายระหว่างคณะทำงานในแต่ละพื้นที่ ที่มุ่งมั่นสร้างพลังในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ผลจากการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้ง 6 ทุกมิติ ทำให้พื้นที่ปากแม่น้ำบางปะกง ในส่วนบริเวณตำบลท่าข้ามเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลชัดเจน โดยปริมาณขยะลดลง 40% จาก 500 ตันต่อเดือน เหลือประมาณ 300 ตันต่อเดือนในปี 2566

· พลังบ้านปู กับแผนการจัดการขยะทะเล ขยายการมีส่วนร่วม เพิ่มนวัตกรรมตอบโจทย์บริบทในพื้นที่

ด้าน นายสุทธิโรจน์ มงคลสินพงศ์ คณะทำงานโครงการพลังบ้านปู ฟื้นฟูทะเลไทย บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลสำเร็จของโครงการตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมือของผู้นำส่วนท้องถิ่นเจ้าหน้าที่และชุมชนในพื้นที่ ที่จริงจังกับการจัดการขยะ ในส่วนของบ้านปู เรามีแผนที่จะขยายโมเดลจัดการขยะให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายทั้ง 3 อำเภอ 14 ตำบลริมแม่น้ำบางปะกง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และนำนวัตกรรมที่เหมาะกับพื้นที่มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะ เช่น การติดตั้งนวัตกรรมกล่องดักขยะ หรือ Trash Sweeper สามารถวางในลำคลองและแม่น้ำที่มีเรือสัญจรผ่านที่ไม่สามารถวางทุ่นตาข่ายได้ และสามารถเข้าไปเก็บกู้ขยะได้อย่างสะดวก เพื่อสกัดกั้นขยะไม่ให้ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งคาดว่าจะนำลงใช้งานจริงได้ในปี 2568”

“ต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญและลงมือทำจริงในพื้นที่ของเรา การเข้ามาของบ้านปูไม่เพียงช่วยสนับสนุนเครื่องมือในการจัดการขยะ แต่ยังมอบองค์ความรู้ให้คนในชุมชนได้ ผมเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่ดี โดยทางชุมชนเองก็ยินดีที่จะเรียนรู้และนำเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้เพื่อการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายนริศ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการบ้านปูรวมพลัง ฟื้นฟูทะเลไทย ได้ทางเฟซบุ๊กเพจ https://www.facebook.com/Banpuofficialth

CPANEL ผลประกอบการปี 2567 รายได้รวม 247 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 3.8 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ธุรกิจโตแม้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว เดินหน้าขยายพอร์ตงานภาครัฐเต็มสูบ คว้างานใหม่เพิ่ม 181.65 ล้านบาท ดัน Backlog แตะ 1,358.39 ล้านบาท ทยอยส่งมอบงานหนุนผลงานไตรมาส 1/2568 สดใส โชว์ฐานะการเงินแกร่ง พร้อมรับมือความท้าทาย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบรับเทรนด์ก่อสร้างยุคใหม่ หนุนยอดขาย

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 247 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 436.82 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 3.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 62.49 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 มีรายได้รวม 25 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 12 ล้านบาท

ทั้งนี้ภาพรวมผลประกอบการปรับตัวลดลง จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปลดลง

อย่างไรก็ตามบริษัทได้ดำเนินการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าภาครัฐมากขึ้น ล่าสุดบริษัทเข้ารับงานโครงการอาคารมูลค่ารวม 181.65 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,358.39 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโครงการภาครัฐ 60% ภาคเอกชน 40% ซึ่งจะทยอยส่งมอบงานและรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ CPANEL ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการดีไซน์ การลดของเสีย เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบรับเทรนด์การก่อสร้างยุคใหม่ ทั้งในส่วนของงานภาครัฐและเอกชน ที่เน้นด้านดีไซน์เพื่อจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า และการให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงาน และลดต้นทุนการก่อสร้าง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

“ผลประกอบการปีที่ผ่านมาถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในปีนี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ CPANEL ตั้งแต่ไตรมาสแรก เป็นต้นไป มั่นใจว่าบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง จากการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าที่หลากหลาย ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายจากสภาวะตลาด เพื่อสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“WHA” หรือ “บริษัทฯ”) แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทฯ เดินหน้าแผนเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“WHAID”) ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (“IPO”) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“SET”) โดยจำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 22.73 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ซึ่ง บริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ WHAID โดยจะถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75.95 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO)

กลุ่มบริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผ่านแผนการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวสำหรับทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งได้แก่ 1) ธุรกิจโลจิสติกส์ 2) ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) 3) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 4) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และ 5) ธุรกิจดิจิทัล โดยแผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ WHAID จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงโอกาสในการสร้างการเติบโตของทุกธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คณะกรรมการของบริษัทฯ และของ WHAID ยังมีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“WHAUP”) ผ่านการขายหุ้น WHAUP ในสัดส่วนร้อยละ 10.00 โดย WHAID และบริษัทย่อยของ WHAID ให้แก่ WHA เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมสร้างความสามารถเชิงกลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจของ WHAUP และเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นของทั้ง WHA, WHAID และ WHAUP โดยภายหลังการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ WHA และ WHAID จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน WHAUP ที่ร้อยละ 10.00 และร้อยละ 61.59 ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าธุรกรรมการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จก่อนการเสนอขายหุ้น IPO ของ WHAID

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า WHAID ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยปัจจุบัน WHAID มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 15 แห่ง และมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว่า 78,500 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 13 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 แห่ง (และส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 แห่ง) นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่และส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่รอการพัฒนาอีกจำนวน 7 โครงการ โดย WHAID ได้มุ่งมั่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจรแก่ลูกค้า

กลุ่มบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมจากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากผู้ลงทุนต่างชาติ โดยทั้งประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ถือเป็นพื้นที่ตั้งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์รวมของห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร อีกทั้งมีความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภค และมีความมั่นคงด้านพลังงาน ด้วยเหตุนี้ กลุ่มบริษัทฯ จึงได้พิจารณาให้ WHAID ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รองรับการเติบโตของธุรกิจด้วยโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม รวมถึงจะช่วยเพิ่มช่องทางการระดมทุนให้ WHAID สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้นในอนาคต การระดมทุนของ WHAID ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงของธุรกิจพัฒนานิคมและที่ดินอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทฯ ในระยะยาว ทั้งจากการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) และการสร้างความพร้อมเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตจากภายนอกผ่านการเข้าซื้อกิจการ รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ (Inorganic Growth) ในอนาคต

ในการ IPO ของ WHAID ในครั้งนี้ WHAID และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ร่วมเสนอขายหุ้น จะเสนอขายหุ้นสามัญรวมเป็นจำนวนไม่เกิน 970,518,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 22.73 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WHAID คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 9.09 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) และ 2) หุ้นสามัญเดิมของ WHAID คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 13.64 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ทั้งนี้ ภายหลังการ IPO WHAID ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นใน WHAID ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75.95 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการ IPO ทั้งนี้ WHAID ร่วมกับคณะที่ปรึกษาอยู่ระหว่างการจัดเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อยื่นให้แก่สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ WHAUP ในการขยายธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูง โดยการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะส่งผลให้ ทั้งบริษัทฯ และ WHAID เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงของ WHAUP จะเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับ WHAUP ในกรณีที่จำเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต

การเดินหน้าแผน Spin-off WHAID และปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ขับเคลื่อนทุกธุรกิจหลักของบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแต่ละธุรกิจจะมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และสามารถนำเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมของ WHAID ไปสนับสนุนแผนการเติบโตเพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีเป้าหมายและงบประมาณการลงทุนในระยะ 5 ปี (2568-2572) สำหรับแต่ละธุรกิจ ดังนี้

1) ธุรกิจโลจิสติกส์ บริษัทฯ มีเป้าหมายภายในปี 2568 ที่จะเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร มีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร โดยคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปีที่ 19,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมขยายธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในไทยและเวียดนาม

2) ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) ตั้งเป้าหมายให้มีผู้ใช้บริการเช่าแล้ว 1,700 คันภายในปี 2568 และ 20,000 คัน ภายในปี 2572 โดยบริษัทฯ ได้กำหนดงบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 30,000 ล้านบาท ธุรกิจโมบิลิตี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service)

บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ซึ่งตั้งเป้าให้บริการทั้งในกลุ่ม B2B และ B2C

3) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินเป็นจำนวน 2,350 ไร่ ในปี 2568 และคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 37,000 ล้านบาท โดยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และการเร่งขยายการเติบโตในประเทศเวียดนาม เพื่อเน้นดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซนเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส

4) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค ตั้งเป้าการจำหน่ายน้ำในปี 2568 ที่ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร ผ่านการขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียทั้งในไทยและเวียดนาม สำหรับธุรกิจพลังงานจะขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและเวียดนาม โดยตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2568 ในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,185 เมกะวัตต์ โดยคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปีที่ 29,000 ล้านบาท

5) ธุรกิจดิจิทัล ตั้งเป้าหมายพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ ภายในปี 2568 และคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 4,000 ล้านบาท สำหรับการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ โดยธุรกิจดิจิทัลนั้นเป็นแกนกลางในการช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ IoT มาประยุกต์ใช้ในแต่ละธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน

สุดท้ายนี้ กลุ่มบริษัทฯ ขอตอกย้ำความมั่นใจ ว่าการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการขยายการลงทุนในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียในทุกส่วน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: WE SHAPE THE FUTURE” ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม และประเทศไทยต่อไป

บมจ.สยามราชธานี หรือ SO เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.18 บาท/หุ้น XD 7 พฤษภาคม 2568 กำหนดจ่าย 21 พฤษภาคม 2568 จากผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,581.36 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 153 ล้านบาท ด้านไตรมาส 4/2567 บริษัททำกำไรเพิ่มขึ้น 61.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนแผนงานปี 2568 คาดรายได้จากประกอบการธุรกิจโตมากกว่า 10% Backlog อยู่ที่ประมาณ 70% ของเป้ารายได้ วางเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ 17% ขึ้นไป รวมถึงการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาด้านการให้บริการแก่ลูกค้า

คุณกัณธิมา แจ้งวันสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ประกอบการธุรกิจหลัก 2 รูปแบบเพื่อ Transformation องค์กรของลูกค้า คือธุรกิจบริการเอาท์ซอร์ส (Outsource Service) และ ธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Service) เปิดเผยว่ามติคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 86 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 85% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ก่อน โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นปีละ 2 ครั้ง โดยการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาล และครั้งที่สองสำหรับเงินปันผลประจำปี ทั้งนี้เงินปันผลที่จ่ายรวมทั้งสิ้นในแต่ละปีจะมีจำนวนประมาณร้อยละ 50% ของกำไรสุทธิ ภายหลังจากหักเงินสำรองต่างๆ

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 697.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 599.04 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 59.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 61.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 36.51 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,581.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198.89 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,382.47 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ค่าบริหารจัดการบุคลากร อยู่ที่ 2,142.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,016.83 ล้านบาท และรายได้ค่าเช่าและบริการ 414.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้อยู่ที่ 329.57 ล้านบาท ด้านกำไรขั้นต้นสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ 411.68 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 410.99 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 16.10 % ลดลงจากปี 2566 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 17.51 % โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้มาจากทุกส่วน โดยเฉพาะ SO Green และ SO Wheel ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 23.4% และ 19.7% ตามลำดับ โดยในส่วนของ SO People มีจำนวนรายได้เพิ่มขึ้นมากที่สุดที่ 85.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.67% และสำหรับ SO Next จะมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่จำนวน 4.44 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.49% ทั้งนี้จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในปี 2567 เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าใหม่จึงมีผลกระทบให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยประมาณ 1.5% และในส่วนของกำไรสุทธิสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ 153.02 ล้านบาท ซึ่งลดลง 30.51 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 183.53 ล้านบาท จาก 3 ปัจจัยหลักซึ่งเป็นรายการที่เกิดเพียงครั้งเดียวคือ 1. ปี 2566 มีการบวกกลับค่าเผื่อค่าปรับจำนวน 18 ล้านบาท 2. จำนวนรถหมดสัญญาและขายในปี 2567 น้อยกว่าปีก่อน และ 3. ค่าธรรมเนียมจากการปิดสัญญา Leasing ก่อนกำหนด

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 จะยังมีการรักษาระดับการเติบโตของรายได้มากกว่า 10% และมีเป้าหมายต้องการที่จะมีอัตรากำไรขั้นต้นอย่างน้อย 17% ซึ่งภาพรวมปี 2567 ในส่วนของรายได้นั้นที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเปิดสัญญาใหม่ 186 สัญญา มูลค่ารวม 1,002 ล้านบาท และพยายามรักษาฐานลูกค้าให้ได้มากกว่า 90% ส่วนงาน Backlog อยู่ที่ประมาณ 70% ของเป้ารายได้ปี 2568 อีกทั้งจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในองค์กร และการส่งบุคลากรไปยังองค์กรต่าง ๆ จะมีการเพิ่มทักษะบุคลากรให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ การทำงานหลัก ๆ จะเป็นการเสริมในเรื่องของเทคโนโลยีมากขึ้น จะมีการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาด้านการให้บริการแก่ลูกค้า

บริษัทมีอัตราการต่อสัญญาจากลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่สูงกว่า 90% อย่างต่อเนื่องทุกปี สะท้อนถึงคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการ และด้วยประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ช่วยลูกค้าลดภาระในด้านต่าง ๆ เราจึงเป็นมากกว่าผู้ให้บริการ โดยเปรียบเสมือนเป็น Solution Partner และ Strategic Partner ที่ช่วยให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัวยิ่งขึ้น

 ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เดินหน้าประกาศความสำเร็จบนเส้นทางสู่ “การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ครองอันดับหนึ่งธนาคารที่มีคะแนนด้าน ESG สูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยคะแนนที่เพิ่มขึ้น 9.59% ในการประเมินนโยบายด้าน ESG ของภาคธนาคารไทย จากการประเมินโดยคณะวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ประจำปี 2567 ได้คะแนนโดดเด่นในหมวดต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการปฏิบัติเป็นปีแรก หรือการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานด้วยการรับหลักการและมาตรฐานสากลที่ส่งผลต่อการประเมินจนได้รับคะแนนสูงขึ้น คือ หมวดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมวดสิทธิแรงงาน และหมวดการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีนายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เป็นตัวแทนรับรางวัลจากนางสาวสฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand Learning Center)

ทั้งนี้ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย เป็นองค์กรสมาชิกเครือข่ายแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ (Fair Finance International) มีจุดมุ่งหมาย คือ การผลิตชุดดัชนีและเครื่องมือให้ภาคประชาสังคม และประชาชนในประเทศต่าง ๆ ได้ใช้ในการติดตามและขับเคลื่อนการทำงานด้านการธนาคารที่ยั่งยืนของสถาบันการเงินในแต่ละประเทศ โดยการประเมินคะแนนจะพิจารณาจากเนื้อหานโยบายและแนวปฏิบัติในการลงทุนและการให้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณะของแต่ละธนาคาร เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง

นายดุสิต ชัยรัตน์ Head of Smart Solution Business เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ร่วมแสดงความยินดีกับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ในโอกาสที่โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek – Rama 5 คว้ามาตรฐาน LEED for Homes ( v4.1 Residential Single Family) ระดับ Gold บ้านเดี่ยวต้นแบบแห่งความยั่งยืนเป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก U.S. Green Building Council®(USGBC®) ภายใต้ผลงานทีมที่ปรึกษาอาคารจาก เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์ คอนซัลติ้ง

"เอสซีจี มุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนาอาคารเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานเอสซีจีมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาคารเขียวและการพัฒนา net zero building มาอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเอสซีจีมีผู้เชี่ยวชาญ LEED GREEN RATER คนแรกและคนเดียวในประเทศไทย ซึ่งสามารถตรวจสอบอาคารให้ผ่านเกณฑ์ที่ LEED กำหนดได้ การที่โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek - Rama 5 ได้รับการรับรอง LEED เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของโครงการที่ให้ความสำคัญทั้งด้านการสร้างสุขภาวะที่ดีในการพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัย และยังใส่ใจต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” นายดุสิต กล่าว

โดยสาระสำคัญตามมาตรฐานอาคาร LEED ที่ทำให้โครงการ THE GRAND Riverfront Ratchapruek - Rama 5 โดดเด่น ประกอบด้วย

· ด้านพลังงาน - ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีกว่าบ้านทั่วไปกว่า 75% จากการเลือกใช้ระบบปรับอากาศ,วัสดุกรอบอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง รวมไปถึงติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อใช้พลังงานทดแทน

สามารถประหยัดพลังงานได้ ประมาณ 14,000 kWh ต่อปี ลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 5,700 กิโลกรัมต่อปี

· คุณภาพสภาวะแวดล้อมภายในอาคาร (Indoor Environmental Quality – IEQ) - ใช้ระบบระบายอากาศแบบ ERV (Energy Recovery Ventilation) นำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่บ้านและระบายอากาศเสียออก และมีการกรองอากาศด้วยแผ่นกรอง MERV 16 กำจัดฝุ่น PM2.5 ได้มากกว่า 99.7% รวมไปถึงระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศและระดับสารมลพิษภายในบ้าน

· ประสิทธิภาพการใช้น้ำ - เลือกใช้ สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง ปลูกพืชพรรณท้องถิ่นและพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เพื่อลดการใช้น้ำและลดภาระการดูแลรักษาของเจ้าของบ้านจากมาตรการประหยัดน้ำ จึงช่วยลดการใช้น้ำได้มากกว่า 22% คิดเป็นประมาณ 164,567 ลิตรต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 1,750 กิโลกรัมต่อปี

X

Right Click

No right click