

ชื่อของ “เครือข่ายใต้ร่มบุญ เกษตรอินทรีย์” เป็นที่รู้จักและพูดถึงกันในกลุ่มปลูกผักออร์แกนิก และผู้บริโภคปลายทางที่ตามหาสินค้าอินทรีย์จากกลุ่มนี้ เพราะเชื่อมั่นในผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิตจากธรรมชาติ และแนวคิดในการทำเกษตรที่ต้อง win win ทั้งคนปลูก คนขาย คนซื้อ และธรรมชาติ
“จันทร์เพ็ญ เพ็ชรัตน์” หรือ แม่เอียด เจ้าของฟาร์มพ่อไข่แม่เอียด หนึ่งในสมาชิกของเครือข่ายใต้ร่มบุญ เกษตรอินทรีย์ เล่าว่า เห็นเกษตรกรรุ่นปู่ย่าตายาย ป่วยเป็นมะเร็งกันเยอะ ก็หันมาทำเกษตรอินทรีย์ และได้พบคนที่มีแนวคิดเดียวกัน รวมกลุ่มกัน เกิดเป็นเครือข่ายเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม ที่นอกจากผู้ปลูกจะมีหัวใจเดียวกันแล้ว ยังมีภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เข้ามาร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง อาทิ วิสาหกิจชุมชนต่างๆ เกษตรจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด พัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร พาณิชย์จังหวัด ภาคเอกชนต่างๆ ฯลฯ
นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพคนปลูกแล้ว การหันมายึดวิถีปลูกผักออร์แกนิก หรือทำเกษตรอินทรีย์ ยังช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อม ยึดวิถีการทำเกษตรแบบไม่เอาเปรียบธรรมชาติ ซึ่งจะใช้ปุ๋ยหมัก เลี้ยงไส้เดือนเอามูลมาบำรุงดิน ใช้สารชีวภัณฑ์จากธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืช และที่สำคัญยังได้ส่งต่อผลิตผลที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพไปยังผู้บริโภคอีกด้วย
“สิ่งที่ยากสำหรับคนทำเกษตรก็คือ ทำแล้วจะเอาไปขายที่ไหน การที่เรารวมกลุ่มเป็นเครือข่ายทำให้มีความเข้มแข็ง ช่วยกันวางแผนการปลูกร่วมกัน หาตลาดร่วมกัน และช่วยกันขาย จนล่าสุดก็ได้พบกับ โก โฮลเซลล์ ในงานจับคู่ธุรกิจที่จัดโดยพาณิชย์จังหวัด และในเบื้องต้นได้ตกลงรับซื้อสินค้าเกษตรในกลุ่มผัก ไปขายที่ สาขาหาดใหญ่ โดยจะเริ่มส่งผัก กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค คอส เบบี้คอส ผักสลัดรวม กวางตุ้ง กวางตุ้งฮ่องเต้ คะน้า เคล เป็นสาขานำร่องก่อน”
นับเป็นการขยายตลาด เพิ่มช่องทางจำหน่าย จากเดิมที่ส่งขายใน โรงพยาบาล ตลาดสด ทำให้เกษตรกรในเครือข่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเครือข่ายใต้ร่มบุญเกษตรอินทรีย์ มีสมาชิกกว่า 450 คนกระจายอยู่ใน 11 อำเภอของสงขลา ทั้ง หาดใหญ่ คลองหอยโข่ง เทพา สะบ้าย้อย สะเดา จะนะ นาทวี อำเภอเมือง บางกล่ำ รัตภูมิ ควนเนียง โดยมี “มนูญ แสงจันทร์สิริ” หรือ ตานูน เป็นประธาน ฯ
ผักที่ได้จากเกษตรกรกลุ่มนี้ นอกจากจะสด ปลอดภัยแล้ว คนปลูกยังสุขภาพดี ส่วนคนกินก็จะสุขภาพดีไปด้วยเช่นกัน!
พบกับ “ผักอินทรีย์” จากเครือข่ายใต้ร่มบุญเกษตรอินทรีย์ ได้ที่ โก โฮลเซลล์ สาขาหาดใหญ่ (ตรงข้าม ม.อ.) ที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
จังหวัดตรังเคยเป็นแหล่งปลูก “พริกไทยปะเหลียน” พืชพื้นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “ทองคำดำ” หรือ Black Gold เพราะมีความต้องการสูงและราคาที่แพงมากในสมัยอยุธยา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พริกไทยปะเหลียนกลับสูญเสียความสำคัญและเลือนหายไป ปัจจุบัน พริกไทยปะเหลียนกำลังกลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้มุ่งมั่น นักวิจัยผู้พัฒนานวัตกรรม และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของพืชพื้นถิ่น โดยทั้งหมดทำงานร่วมกันภายใต้ “โครงการยกระดับพริกไทยพันธุ์ปะเหลียนด้วยห่วงโซ่คุณค่าใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่สู่ตลาดการแข่งขัน” ภายใต้แผนงานสำคัญ (Flagship) “มหาวิทยาลัยพัฒนาพื้นที่” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการท้องถิ่น (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียน ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
ย้อนกลับไปในปี 2559 นายกิตติ ศิริรัตนบุญชัย นวัตกรชุมชน พริกไทยดำปะเหลียน ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับบ้านที่จังหวัดตรัง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูพืชพื้นถิ่นอย่างพริกไทยปะเหลียนให้กลับมา บนพื้นที่เพียง 2 ไร่ที่มีอยู่ “ผมอยากให้พริกไทยตรังกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ เพราะพริกไทยปะเหลียนโดดเด่น มีกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์ มีรสชาติเผ็ดร้อนที่เข้มข้นและลุ่มลึก ผลพริกไทยยังมีขนาดใหญ่เต็มเมล็ด สิ่งนี้ควรถูกเผยแพร่ไม่ใช่ปล่อยให้หายไป”
ความท้าทายในช่วงแรกคือการลองผิดลองถูก ที่ต้องเรียนรู้การจัดการน้ำ ดูแลดิน และควบคุมโรคด้วยตัวเอง ภายหลังได้นำหลักการปลูกส้มมาประยุกต์ใช้กับการปลูกซึ่งได้ผลดีขึ้น แต่คุณกิตติไม่หยุดแค่นั้นยังคงหาความรู้อย่างต่อเนื่องจนได้เข้าร่วมในโครงการสนับสนุนด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อย่างการปลูกแบบยั่งยืน การจัดการเกษตรกรรมสมัยใหม่ การแปรรูป และการทำตลาด เพื่อให้มีมาตรฐานการปลูกแบบ GAP (Good Agricultural Practices) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ที่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในปัจจุบัน
“เราเริ่มเห็นผลผลิตที่มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับในตลาดระดับพรีเมียม สามารถตั้งราคาได้สูงถึง 400 บาท ซึ่งราคาสูงกว่าพริกไทยทั่วไปถึง 3 เท่า มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ และมุ่งมั่นจะชักชวนเกษตรกรในพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกพริกไทยปะเหลียนไปด้วยกัน” คุณกิตติ กล่าว
นอกเหนือจากการสนับสนุนและพัฒนาผู้ปลูกพริกไทยรายย่อย ทั้งคุณกิตติและเกษตรกรอีกหลายรายแล้ว แล้ว มทร.ศรีวิชัย ก็ได้มีการสนับสนุนกลุ่มผู้จำหน่ายพริกไทยทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการยกระดับของอุตสาหกรรมพริกไทยปะเหลียนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยการเข้าไปให้คำปรึกษากับเจ้าของพริกไทยปะเหลียนแบรนด์ “Black Gold Trang Pepper” ที่ลงทุนเปลี่ยนสวนปาล์มเก่าจำนวน 50 ไร่ มาปลูกพริกไทยปะเหลียนเมื่อปี 2562 จนประสบความสำเร็จแง่ของผลิตภัณฑ์
![]()
“ความช่วยเหลือของทีมวิจัยจาก มทร.ศรีวิชัย และคุณกิตติ ทำให้เรามีความมั่นใจที่เดินหน้าต่อในธุรกิจนี้ เราเห็นความเป็นไปได้ของพริกไทยปะเหลียนมาโดยตลอด เราเชื่อว่าโอกาสยังมีอยู่ หากเราพัฒนามาตรฐานและสร้างตลาดใหม่ที่มุ่งเน้นคุณภาพได้” น.ส.กันต์หทัย จิตรไมตรีเจริญ หรือ คุณทราย ผู้บริหารของบริษัท แบล็คโกลด์ เทรชเซอร์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “Black Gold Trang Pepper” กล่าว
การทำงานร่วมกันระหว่างทีมวิจัย คุณกิตติและผู้ประกอบการรายนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ฟื้นฟูพริกไทยปะเหลียนให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดยคุณกิตติใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการเพาะปลูก ขณะที่คุณทรายมีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด ทุกฝ่ายช่วยพัฒนาศักยภาพเกษตรกร วิสาหกิจ และผู้ประกอบการรวม 11 ราย ส่งผลให้มูลค่าพริกไทยตรังเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-33.33 รายได้ของกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.60 และลดหนี้สินลงร้อยละ 14.37
![]()
ดร.นภัสวรรณ เลี่ยมนิมิตร อาจารย์ประจำสาขาวิชาพืชศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย นักวิจัยผู้ร่วมพัฒนากล่าวว่า “ความสำเร็จในการทำงานครั้งนี้ของคุณกิตติคือการรวมเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านได้อย่างลงตัว อย่างการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และการควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ขณะที่เดียวกันก็ได้ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดของผู้ประกอบการมาเสริม ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ตลาด ซึ่งสิ่งที่เรากำลังร่วมกันทำต่อไปคือ การส่งเสริมแนวทางการผลิตแบบออร์แกนิก ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะเพิ่มมูลค่าของพริกไทยปะเหลียนในอนาคต”
การปลูกพริกไทยปะเหลียนไม่ได้เป็นเพียงพืชพื้นถิ่นที่ฟื้นคืนชีพ แต่คือหัวใจของ "ตรังโมเดล" ต้นแบบแห่งความสำเร็จที่กำลังขยายไปยังชุมชนอื่น จนคว้ารางวัลระดับชาติและก้าวสู่เวทีนานาชาติ ทว่าความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับคุณกิตติมากไปกว่าการได้เห็นเพื่อนเกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น และการที่โลกได้ลิ้มรสพริกไทยตรังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“นี่คือความภูมิใจของคนตรัง และเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อทุกคนร่วมมือกัน ความฝันเล็ก ๆ ก็สามารถส่งต่อในระดับโลกได้” ดร.นภัสวรรณ กล่าวสรุป
กรีน เยลโล่ (GreenYellow) แนวร่วมด้านความยั่งยืนผู้นำด้านการสร้างผลกระทบเชิงบวก หรือ Impact Maker ผู้เป็นเบื้องหน้าด้านพลังงานสีเขียว และพร้อมเป็นเบื้องหลังให้องค์กรก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งยังเป็นหนึ่งในพันธมิตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ภายใต้วิกฤตการณ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ทำให้ทั่วโลกต่างร่วมมือกันปรับตัวเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน กรีน เยลโล่ เป็นผู้ให้บริการโซลาร์ PPA (Solar PPA) ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ให้การลงทุน ติดตั้ง ดูแลและบำรุงรักษาระบบโซลาร์เซลล์ แบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียวสำหรับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมและสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่หล่อหลอมในรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการถ่ายทอดแนวคิดและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืนมากขึ้น
กรีน เยลโล่ นับว่ามีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียวสำหรับธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรม แม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เพื่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ พร้อมช่วยดูแลระบบในระยะยาวให้ฟรีตามสัญญา ตั้งแต่การสำรวจ ลงทุน ออกแบบ ติดตั้ง รวมถึงการบำรุงรักษา
นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร ของ กรีน เยลโล่ ประเทศไทย เผยว่า “เราส่งมอบโซลูชันพลังงานสะอาด ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยทั้งการมอนิเตอร์ตั้งแต่การผลิตพลังงาน รวมถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในแบบเรียลไทม์ ที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เรายังช่วยให้ลูกค้าของเราลดการปล่อยคาร์บอนในขอบเขตที่ 1 (Scope 1) และ ขอบเขตที่ 2 (Scope 2) ของตนเอง ที่สำคัญลูกค้ายังสามารถให้ทาง กรีน เยลโล่ ช่วยออก 'ใบรับรองการผลิตพลังงานสีเขียว' หรือ green certificates เพื่อยืนยันว่ามีส่วนช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ"
นอกจากนี้ ในส่วนของการสร้างความยั่งยืนขององค์กร เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ด้าน ESG ตอกย้ำความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง กรีน เยลโล่จึงมีการกำหนดแผนไม่ต่ำกว่า 14 ข้อที่จะต้องบรรลุในปี 2030 เช่น การมีผู้หญิงทำงานในบริษัทเป็นสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ การมีซัพพลายเออร์หลักจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องผ่านมาตรฐานการตรวจสอบด้านสังคม (Social Audits Standards) รวมถึง ยังมีความมุ่งมั่นด้านการลดคาร์บอน โดยมีการเปิดเผยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปที่องค์กรCarbon Disclosure Project) ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2040 โดยอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ที่มีการติดตั้งต้องมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำอีกด้วย
กรีน เยลโล่ ยังเป็นองค์กรที่ให้ความใส่ใจในการช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศ โดยได้เริ่มดำเนินการ CSR แบบสมัครใจ ภายใต้สโลแกน "ร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก”
นายสเตฟานได้เผยว่า “CSR เป็นความพยายามร่วมกัน เพราะทุกคนสามารถสร้างผลกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของตนเองได้ ซึ่งทุกปีเรามอบรางวัลให้กับสาขาที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดในด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องความหลากหลาย การยอมรับความแตกต่าง สุขภาพและความปลอดภัย หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในชุมชนท้องถิ่น”
ในแต่ละปี กรีน เยลโล่จะมีวัน EcoDay พนักงานทุกคนจะหยุดทำงาน เพื่อไปทำประโยชน์ให้กับสังคม อาทิ เก็บขยะและทำความสะอาดบริเวณรอบวัด หรือการเก็บขยะตามป่าชายเลน บางครั้งสามารถรวบรวมขยะได้ถึง 266 กิโลกรัมต่อครั้งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ กรีน เยลโล่ยังทุ่มเทและถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เพื่อให้ผู้คนหรือองค์กรอื่นๆได้ตระหนักและเข้าใจว่าเราควรเริ่มลงมือทำเพื่อโลกที่ยั่งยืน ในโครงการ Climate Fresk โดยนำมาประยุกต์ใช้ในทุกประเทศ ทั้งสำหรับทีมงานภายในและยังรวมถึงลูกค้า พันธมิตร ซัพพลายเออร์ และนักลงทุน ของกรีนเยลโล่อีกด้วย
“การได้ลงมือทำ จะเป็นตัวชี้วัด ที่สร้างแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังสร้างความกระตือรือร้น ที่ทำให้เราสามารถเห็นได้ว่า ทุกความพยายามถึงแม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน” นายสเตฟานกล่าวทิ้งท้าย
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “กรีนเยล โล่เป็นหนึ่งใน Impact Makers และเป็นพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ในการร่วมต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับ ทุกองค์กรไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ จะเป็นองค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันต่างๆ เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดกระแสและการปฏิบัติไปสู่ความยั่งยืนของโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่ธุรกิจก็ยังดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย และนี่คือหนทางสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง”
เปิดมุมมองการบริหารของหัวเรือใหญ่แห่ง มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับการดำเนินงานเพื่อสานต่อพันธกิจแห่ง ‘การให้’ ที่ทำให้องค์กรมีแผนการปฏิบัติงานที่ยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในทุกยุคสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้เสมอ มุ่งสู่การให้ที่สร้างความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมก้าวสู่การเป็นแนวหน้าในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้มีความก้าวหน้าทางด้านศักยภาพของการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืน
![]()
คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยึดมั่นในพันธกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในทุกมิติ มาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการสื่อสารเพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและเส้นทางที่กลุ่มเป้าหมายสามารถพบเจอได้ ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเพื่อพัฒนาแคมเปญสร้างสรรค์ที่เข้าถึงกลุ่มคน ทุกเจเนอเรชั่นอยู่เสมอ พร้อมสร้างระบบที่สามารถรองรับ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคดิจิทัล โดยในปี พ.ศ. 2568 นี้ มูลนิธิฯ ตั้งใจเพิ่มแนวทางการบริจาคที่สร้างสรรค์เพื่อให้ ทุกคนสามารถเป็น ‘ผู้ให้’ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของการบริจาคที่มักจะมาพร้อมกับความตั้งใจในการทำบุญเท่านั้น มูลนิธิฯ จึงผสาน ‘การให้’ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนด้วยการเชื่อมโยงกิจกรรมที่สร้างความสุข ความสนุนสนาน
และโอกาสในการทำบุญเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ความร่วมมือกับบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถสนุกไปกับละครเวทีและมีส่วนร่วมในการเป็น ‘ผู้ให้’ ในเวลาเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนแคมเปญที่สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ พร้อมส่งต่อเนื้อหาที่สร้างการรับรู้ถึงความจำเป็นในการเปิดรับบริจาคทุนทรัพย์ไปสู่ประชาชนหลากหลายช่วงวัย พร้อมสร้างความตระหนักถึงผลลัพธ์แห่งการบริจาคที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เชื่อว่า ‘การให้’ นั้นทำให้เกิดความสุข และ ‘การให้’ สุขภาพที่ดีแก่ผู้คนจะส่งเสริมให้เกิด ‘ความสุขที่ยั่งยืนแก่ทุกคน’”
สำหรับโครงการที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ ให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลผ่านเทคโนโลยีและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมส่งเสริมการบูรณาการทางการแพทย์สำหรับการวิจัยโรคซับซ้อน สู่การเป็นต้นแบบการรักษาในอนาคต เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการดูแลสุขภาพประชาชน โครงการนี้คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประชาชนในปี 2573
โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา ศูนย์การแพทย์ที่ก่อตั้งบนพื้นที่ย่านพญาไท โดยมีที่มาจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ ที่เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างเงินทุนหมุนเวียนกลับมาสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมอย่างยั่งยืน โดยเน้นการให้บริการทางการแพทย์ที่ดูแลร่างกายและจิตใจในเชิงป้องกันเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2568
โครงการผู้ป่วยยากไร้ มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมเงินบริจาคมาสนับสนุนผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษาพยาบาลให้ได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ผู้บริจาคให้การช่วยเหลือมากที่สุดอย่างต่อเนื่องทุกปี
นอกจากนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึง ‘ผลลัพธ์จากการให้’ ที่จับต้องได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริจาคและสะท้อนความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการจัดสรรทุนทรัพย์จากการบริจาคของประชาชนเพื่อสร้างสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น การสนับสนุนงบประมาณการบริหารจัดการ การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ การซ่อมแซมและบำรุงระบบในอาคารสถานที่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึงสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โดยเฉพาะอาคารกายวิภาคทางคลินิก (Clinical Anatomy Building) ผ่านการจัดซื้อเครื่องมือการเรียนการสอนที่เป็นสากล เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้กายวิภาคผ่านเทคโนโลยีสามมิติที่ล้ำสมัย เอื้อต่อการเรียนรู้และทบทวนบทเรียน ควบคู่ไปกับการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทย
นอกจากนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ พัฒนาช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะ TikTok ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางสนับสนุนของที่ระลึกและมอบความสุขที่เกิดจาก ‘การให้’ โดยเน้นสร้างเนื้อหาที่เข้ากับยุคสมัย ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้รู้จักกับมูลนิธิฯ แม้จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับโรงพยาบาล
สำหรับภาพรวมในการสร้างสรรค์สินค้าของที่ระลึกการกุศลในปี 2567 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะความร่วมมือกับ ‘CryBaby’ ศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดสากล และในปี 2568 นี้ มูลนิธิฯ จะสานต่อความตั้งใจในการสนับสนุนวงการงานอาร์ตของไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายโอกาสไปสู่กลุ่มนักออกแบบหน้าใหม่เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับแสดงศักยภาพไปสู่สายตาคนไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ความท้าทายจากการติดต่อลิขสิทธิ์ต่างประเทศที่มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่หลากหลายช่วงวัย เช่น Hello Kitty, Sesame Street, Peanuts และ Peter Rabbit โดยคอลเล็กชั่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ คือ เจ้าชายน้อย (The Little Prince)
มูลนิธิรามาธิบดีฯ จะยังคงมุ่งมั่นสานต่อบทบาทของ ‘สะพานแห่งการให้’ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนด้าน การขับเคลื่อนความก้าวหน้าของระบบสาธารณสุขในประเทศไทยอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยการปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย อยู่เสมอ พร้อมสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่กับการถ่ายทอด ‘ผลลัพธ์จากการให้’ อย่างต่อเนื่องไปสู่กลุ่มผู้บริจาคในทุกเจเนอเรชั่น เพื่อให้กลุ่มผู้บริจาคมีความรู้สึกร่วมของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย สู่ การสร้างสังคมแห่ง ‘การให้’ ที่สามารถสร้างและส่งต่อสาธารณประโยชน์ต่อไปได้อย่างไม่สิ้นสุด
ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล 850 MHz 1500 MHz 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz และ 26 GHz โดยสนับสนุนให้ กสทช. นำคลื่นความถี่มาจัดสรร เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้งานคลื่นความถี่อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งเพื่อเสริมการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ในบริบทของการเสริมสร้างโครงสร้างโทรคมนาคมที่แข็งแกร่ง ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในยุค 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) กับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชียแปซิฟิค การประมูลที่กำลังจะจัดขึ้น จึงมีความสำคัญในการส่งเสริมความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ อย่างไรก็ตาม ร่างประกาศหลักเกณฑ์การประมูล ที่ กสทช. นำมารับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ บริษัทฯ เห็นว่ามีประเด็นที่ควรปรับปรุงเพื่อมุ่งส่งเสริมให้กระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การจัดให้มีประมูลคลื่นความถี่ทุกย่านพร้อมกัน เพื่อส่งเสริมการแข่งขันและสร้างความโปร่งใสจากการประมูล โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประมูลสามารถประมูลคลื่นความถี่ได้ทุกย่านพร้อมกันและลดข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนในขั้นตอนการประมูล นอกจากนี้ บริษัทฯ เห็นว่าราคาขั้นต่ำ หรือ Reserve Price ที่ระบุในร่างประกาศฯ แม้ว่าจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในอดีตแต่ยังสูงกว่าราคาเฉลี่ยของคลื่นความถี่ในย่านเดียวกันในต่างประเทศมาก ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้ กสทช. ไม่สามารถจัดสรรคลื่นความถี่ได้มากเท่าที่ควร และทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรโทรคมนาคมของชาติ ประกอบกับเงื่อนไขการชำระเงินที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และปั่นทอนความสามารถในการลงทุนพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคม โดยกำหนดให้ต้องชำระค่าคลื่นความถี่ 50% ตั้งแต่งวดแรก (ก่อนรับใบอนุญาต) จึงเสนอให้แบ่งชำระค่าคลื่นความถี่เป็น 10 งวดเหมือนการประมูลครั้งที่ผ่านมา”
ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสำคัญและเป็นรากฐานในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งจะเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระดับสากลให้กับประเทศ พร้อมกันนี้ยังได้นำเสนอข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดหลักเกณฑ์การประมูล เพื่อให้การจัดสรรคลื่นความถี่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA หนึ่งในผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย
ทั้งนี้ นายวีรสิทธิ์ ได้เผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุดให้กับประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ 31 มกราคม และ 3 - 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน ปรากฏว่า หุ้นกู้ STA ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างดีเยี่ยม ทำให้สามารถปิดการขายได้ตามเป้าหมายรวมมูลค่า 3,650 ล้านบาท
“บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่ไว้วางใจลงทุนในหุ้นกู้ STA รวมถึงขอบคุณสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่อำนวยความสะดวกทั้งด้านข้อมูลและช่องทางการจำหน่ายให้กับผู้ลงทุน ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” ขณะเดียวกัน ความสนใจของผู้ลงทุนที่จองซื้อหุ้นกู้ STA ยังสะท้อนความมั่นใจในโอกาสเติบโตของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติ ซึ่งภายหลังจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ จะตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านฐานะและโครงสร้างทางการเงินของ STA โดยบริษัทฯ จะเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี กล่าว
ปัจจุบัน บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร (Full Supply Chain) ในหลายประเทศ เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ การทำสวนยางพาราในประเทศไทย ธุรกิจกลางน้ำ ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง (TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) ไปจนถึงธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง รวมถึงสินค้าสำเร็จรูป อาทิ ท่อไฮดรอลิกแรงดันสูง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานรวม 43 แห่ง เป็นโรงงานยางธรรมชาติ 37 แห่ง และถุงมือยาง 6 แห่ง กระจายในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีบริษัทย่อยอีกหลายแห่งที่ทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม ด้านการขนส่ง เป็นต้น โดยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทฯ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความยั่งยืนและธรรมาภิบาล โดยได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) ที่ระดับ “AAA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ระดับสูงสุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และนับเป็นปีที่ 10 ที่ได้รับประเมินเป็นหุ้นยั่งยืน รวมถึงได้รับรางวัล “ANTI-CORRUPTION AWARDS 2024” ส่งเสริมธรรมาภิบาล ประจำปี 2567 และยังได้เข้าเป็นสมาชิกของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่นของภาคเอกชนไทยมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
บลจ.อเบอร์ดีน มองเชิงบวก "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" แรงหนุนจีนฟื้นตัว คาดแนวโน้มผ่อนปรนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม "อินเดีย" แข็งแกร่งเติบโตต่อ หนุน EPS กำไรบริษัทในตลาดเอเชียเติบโต 12-14% ด้านมูลค่าหุ้นหลายตลาดยังต่ำ โอกาสดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราคาแพง รอความชัดเจนภาษีทรัมป์ ชู 3 ธีมลงทุน
นางสาวพฤกษา เอี่ยมธงทอง Deputy Head of Equities – Asia Pacific, Asian Equities, abrdn Asia Limited เปิดเผยว่า "อเบอร์ดีน" ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" (Emerging Market) จากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งล่าสุดและคาดว่ามีแนวโน้มจะผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม เพื่อชดเชยกับแรงกดดันในประเทศจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ
ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันในภูมิภาคนี้ หลังเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% ซึ่งการที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในระดับดังกล่าวยังคงต่ำกว่าที่เขาประกาศไว้ตอนรณรงค์หาเสียงซึ่ง "อเบอร์ดีน" มองว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์มากกว่า เรามองว่าหากทรัมป์จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อจีนเป็น 60% น่าจะอยู่ในสินค้าที่เป็นเป้าหมายในสงครามการค้าครั้งก่อน ขณะที่สินค้าบางประเภทอาจน้อยกว่า ซึ่งบริษัทในจีนเองก็ยังรอความชัดเจนเพื่อจะได้ปรับซัพพลายเชน
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปทรัมป์ 1.0 สงครามการค้าส่งผลกระทบภาษีกับส่งออกจีนไม่ได้แย่อย่างที่คิด ส่งออกจีนเติบโตเข้มแข็งขึ้นและมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่ง "อเบอร์ดีน" เห็นหลายบริษัทในเมืองจีนมีการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชน โดยไปจัดตั้งโรงงานในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ทำให้สินค้าจีนที่ไปสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งออกจากจีนโดยตรง แต่ส่งออกมาจากประเทศอื่นแทน ส่วนผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 ยังต้องจับตาดูในไตรมาส 1/2025 ว่านโยบายภาษีทรัมป์เป็นอย่างไร หลังจากมีความชัดเจนมากขึ้นน่าจะเริ่มเห็นภาพซัพพลายเชนต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
![]()
นางสาวพฤกษา กล่าวว่า ด้านตลาดหุ้นจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตอบรับรัฐบาลจีนมีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนหลายด้าน ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ครอบคลุมนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนใน 2-3 ปีที่ผ่านมาชะลอตัวลงและเริ่มเป็นปัญหาทางสังคม การว่างงานสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ราคาลดลงกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการใช้จ่ายภาคการบริโภคยังไม่กลับมา เนื่องจากคนจีนถือครองอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) จำนวนมาก
"อเบอร์ดีน" เห็นจุดเปลี่ยนของจีนจากปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและจุดเปลี่ยนอีกเรื่อง หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งขึ้น หากดูเศรษฐกิจจีนปีก่อน ภายในประเทศค่อนข้างอ่อนแอ แต่ภาคการส่งออกของจีนเติบโตแข็งแกร่ง แต่มองในปีนี้และปีต่อไป ภาพอาจกลับด้าน ภาคการส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ จึงมองว่ารัฐบาลจีนควรให้ความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม 2025 จะมีการประชุม 2 สภา คือการประชุมคณะกรรมการประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีนและการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีน ต้องติดตามรายละเอียดของนโยบายต่างๆ หลังจากที่ประกาศมาตรการชุดใหญ่ในเดือนกันยายน 2024 และการประชุม Central Economic Working Conference (CEWC) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมในครั้งนี้นั้นจีนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวลง ฉุดตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชีย Underperform ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวันโดดเด่นในตลาดเอเชียมากขึ้น จากธีม Information Technology เป็นธีมค่อนข้างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาและคาดแนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อในปีนี้ และอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ตลาดบริโภคใหญ่สามารถรองรับซัพพลายเชนได้ ส่วนตลาดหุ้นจีนมีความสำคัญต่อดัชนีหุ้นในเอเชียน้อยลง เศรษฐกิจยังอยู่ในการฟื้นตัว แต่คาดว่าแรงขายในตลาดหุ้นจีนอาจไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมา Downside เริ่มลดลง ปัจจุบันตลาดเอเชียมีความสมดุลมากขึ้นและพึ่งพาจีนน้อยลง
ส่วนตลาดอาเซียน มองว่าได้ประโยชน์ในระยะกลางจากทรัมป์ 2.0 จากการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) ที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นยังต้องรอความชัดเจนเรื่องภาษี ซึ่งคาดว่าไทย อินโดนีเซียและเวียดนามน่าจะได้ประโยชน์นางสาวพฤกษา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในเอเชีย "อเบอร์ดีน" คาดการณ์ EPS เติบโตได้ค่อนข้างดีประมาณ 10-12% ในปีนี้ โดยจีนเติบโต 11-14% ยังไม่รวมผลกระทบจากภาษี ส่วนอินเดียคาดเติบโต 16% เป็นต้น ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นเอเชีย Discount กับตลาดหุ้นโลกเมื่อเทียบกับ MSCI World มากกว่า 30% ซึ่งใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี จึงมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันน่าสนใจ
สำหรับธีมลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ที่มองเห็นโอกาสลงทุนจาก 3 ธีม ได้แก่
1.Innovation, 2.Globalisation 3.0 และ 3.New Consumption ซึ่งธีมแรกเรื่องของนวัตกรรม Tech และ AI แม้ว่าการเปิดตัวของ DeepSeek จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดในระยะสั้น ทําให้เกิดข้อสงสัยในระยะสั้นเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เนื่องจากการพัฒนาโมเดล AI ใหม่ใช้ทรัพยากร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะทำให้บริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ อาจต้องทบทวนเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนา AI ใหม่ อย่างไรก็ตามเรามองว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่แท้จริง เพราะยังมีหลายปัจจัยที่เรายังคงต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้สิ่งที่อเบอร์ดีนสังเกตุเห็นคือ บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของสหรัฐฯ ยังคงใช้เงินลงทุน (capex) ที่สูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอาจลดลง และด้วยต้นทุนที่ลดลงจะเร่งให้เกิดการนำเอา AI มาใช้ในวงกว้างมากขึ้น ทั้งนี้ อเบอร์ดีนยังคงระมัดระวังในการเลือกลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น โดยในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาเรามีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนลงเล็กน้อยในกลุ่มฮาร์ดแวร์และเซมิคอนดักเตอร์ จากปัจจัยเสี่ยงกรณีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี อีกทั้งความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการปรับลดเงินลงทุน
2.Globalisation 3.0 สานต่อจาก Globalisation 2.0 ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากความตื่นตระหนกของห่วงโซ่อุปทานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งในรอบนี้ต้องติดตามดูว่าจะเปลี่ยนไปด้านไหน ขึ้นอยู่กับนโยบายภาษีของทรัมป์ แต่คาดว่าการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) จะเกิดขึ้นเร็วและครอบคลุมมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม
3.New Consumption รูปแบบการบริโภคใหม่บ่งชี้ว่าผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตจากจีนและอินเดีย อย่าง Meituan อยู่ในแถวหน้าของเทรนด์นี้ นำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งรวมถึงชานมไข่มุกที่ส่งโดยโดรนที่กำแพงเมืองจีน เช่นเดียวกับอินเดีย สินค้าหลายแบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถจัดส่งคำสั่งซื้อได้ภายใน 10 นาที แม้จะมีปัญหาการจราจร ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยในเมืองต่างๆ ของอินเดีย ทางด้านจำนวนนักท่องเที่ยวก็เติบโตชัดเจนในจีน ทำให้ TRIP.COM เติบโตได้ในระดับสูงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ ขณะที่อินเดีย อย่าง Indian Hotels ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ก็เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้ม Fund Flow ที่คาดหวังจะไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ยังคงต้องรอดูความชัดเจนนโยบายภาษีทรัมป์ว่าจะส่งผลกระทบต่อเอเชียมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนักลงทุนเริ่มมองหาทางเลือกลงทุนหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนราคาค่อนข้างแพง ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียก็เป็นหนึ่งในทางเลือก เมื่อนโยบายภาษีมีความชัดเจนขึ้นและมีผลต่อภาพรวมตลาด โดยคาดว่าจะเริ่มเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย
สำหรับกองทุนแนะนำของอเบอร์ดีน ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ ฟันด์ (ABAPAC) ความเสี่ยงระดับ 6โดยกองทุนนี้ลงทุนผ่านกองทุนหลักต่างประเทศ ชื่อ abrdn Pacific Equity Fund โดยกองทุนหลักจะลงทุนบริษัทในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค แต่ไม่ครอบคลุมถึงประเทศญี่ปุ่น โดยกองทุนนี้เปิดโอกาสการลงทุนในภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของสังคมเมือง และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น
ในยุคที่การแข่งขันในวงการทันตกรรมเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ การมีคลินิกเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้างการรับรู้และปรากฏตัวในโลกออนไลน์นั้นกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ Cureconnect คือเอเจนซี่การตลาดที่มุ่งมั่นช่วยให้คลินิกทันตกรรมทั่วประเทศได้ขยายฐานลูกค้า และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการโฆษณาออนไลน์และความรู้เฉพาะทางด้านทันตกรรม
Cureconnect ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ร่วมอุดมการณ์สองคนที่มีแนวคิดนอกกรอบเหมือนกัน นายวรากร เพชรดาษดา ผู้ร่วมก่อตั้ง หัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรดักชั่นและโฆษณาจากออสเตรเลีย และ นายธิตินันท์ ราษฏร์อาสา ผู้ร่วมก่อตั้งหัวหน้าฝ่ายการตลาด อดีตนักศึกษาทันตแพทย์ ภาคอินเตอร์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งสองมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในวงการทันตกรรม และตัดสินใจเดินบนเส้นทางการตลาดเฉพาะทาง เพื่อเป็นส่วนช่วยพัฒนาวงการทันตกรรม และช่วยเพิ่มยอดขายให้ทุกคลินิก
Cureconnect เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ด้วยเงินทุนไม่ถึง 100,000 บาท และมีสมาชิกเพียงสองคน ด้วยภารกิจแรก "โทรติดต่อคลินิกทันตกรรมให้ได้ 100 แห่งทั่วประเทศ" โดยภายใน 6 เดือนแรกได้รับความไว้วางใจให้ดูแลการตลาดคลินิก 7 แห่ง และสามารถสร้างยอดขายให้คลินิกรวมกว่า 45 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้นำไปสู่การบอกต่อและเพิ่มจำนวนลูกค้าจากคลินิกขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ และได้พัฒนาโมเดลการให้บริการอย่างแข็งแกร่งและครบวงจรด้วยระบบ "Done for You" ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ การสร้างแบรนด์ การผลิตคอนเทนต์ (ภาพนิ่ง วิดีโอ และกราฟิก) การยิงโฆษณา (Facebook Ads) การฝึกอบรมพนักงานขาย และการบริหารจัดการระบบหลังบ้าน เพื่อให้คลินิกสามารถดูแลและขยายฐานลูกค้าเองได้ในอนาคต
Cureconnect เข้าใจดีว่าคลินิกขนาดเล็ก และขนาดกลาง อาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายการตลาด จึงออกแบบโมเดลธุรกิจให้คำปรึกษา การฝึกอบรม และบริการแบบ Hybrid done for you ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ สามารถลดค่าใช้จ่ายรายเดือน เพิ่มยอดขายมากขึ้น และเน้นการสร้างระบบที่ช่วยให้คลินิกสามารถจัดการการตลาดด้วยตัวเองได้ในระยะยาว ด้วยการผสมผสานเครื่องมือทันสมัย และมีกระบวนการที่ใช้งานง่าย เพื่อสร้างการเติบโตให้ทุกคลินิก
ด้วยประสบการณ์และความไว้วางใจจากคลินิกกว่า 90 แห่ง Cureconnect สามารถช่วยสร้างยอดขายให้คลินิกทันตกรรมรวมมากกว่า 210 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีเป้าหมายในอนาคตคือการเป็นตัวช่วยปฏิวัติวงการทันตกรรมด้วยการเสริมความรู้และความเข้าใจ เพื่อให้คลินิกสามารถเติบโตเองได้อย่างยั่งยืน
![]()
หากคุณเป็นเจ้าของคลินิกทันตกรรมที่ต้องการขยายฐานลูกค้า แต่ยังขาดทีมการตลาดที่เข้าใจธุรกิจของคุณ Cureconnect พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยให้คลินิกของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะสำหรับเราคลินิกทันตกรรมมีศักยภาพมากกว่าที่คุณคิด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์: https://cureconnect.co
Facebook: Cureconnect.co-Dentist's Choice
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) จัดงาน “ทิศทางการลงทุนหุ้นรับตรุษจีน ปี 2568” สำหรับลูกค้า Krungthai Private Banking และ Krungthai Precious+ ภายในงานมีการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของ KTX โดยได้รับเกียรติจาก นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 4 จากขวา) และนายวีรยุทธ นรเศรษฐสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย) นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อช่วยลูกค้าบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน เมื่อวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 ณ Siam Kempinski Hotel Bangkok
กรมป่าไม้และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอเชิญชวนป่าชุมชนทั่วประเทศ ร่วมชิงรางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2568 และเงินรางวัล 200,000 บาท ภายใต้โครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ปีที่ 18 ที่มุ่งส่งเสริมการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระตุ้นจิตสำนึกและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2568 นี้ รางวัลประเภทดีเด่นได้หยิบยกประเด็นด้านการรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและบรรลุสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ผ่านกลไก “ป่าชุมชน”
ป่าชุมชนที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2568 ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ เว็บไซต์กรมป่าไม้ www.forest.go.th และเว็บไซต์ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) www.ratch.co.th หรือติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่ “สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ทั่วประเทศ” และสำนักจัดการป่าชุมชน โทร. 0 2561 4292-3 ต่อ 5654
การประกวดป่าชุมชน ภายใต้โครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ประจำปี 2568 ประกอบด้วยรางวัลรวม 16 รางวัล มูลค่าเงินรางวัลรวม 1.4 ล้านบาท ได้แก่
1. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ชนะเลิศระดับประเทศ จะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน 200,000 บาท
2. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน รองชนะเลิศระดับประเทศ 3 รางวัล จะได้รับถ้วยรางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 150,000 บาท
3. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ชนะเลิศระดับภาค 4 รางวัล จะได้รับโล่รางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 100,000 บาท
4. รางวัลคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน รองชนะเลิศระดับภาค 4 รางวัล จะได้รับโล่รางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 50,000 บาท
5. รางวัลป่าชุมชนดีเด่น ด้านการรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ 4 รางวัล จะได้รับถ้วยรางวัล ป้ายประกาศเกียรติคุณ และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชน รางวัลละ 50,000 บาท
การพิจารณาตัดสินรางวัลคัดเลือกจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน และแผนงานการอนุรักษ์ที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน