December 20, 2025

บมจ.หลักทรัพย์ธนชาต ชี้สิ้นปี 2568 นี้ มีโอกาสเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดตลาดที่ 1,580 จุด มองยังมีหลายอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถทำกำไรได้ดี และมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนแบบเสี่ยงปานกลาง ( Moderate Risk Portfolio) พร้อมมองหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดประกอบด้วย SCB KTB MTC CPALL TRUE CKP ERW SPA MEGA และ DIF

จากเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากนโยบายเศรษฐกิจมีความชัดเจน และเสถียรภาพทางการเมืองนิ่งมากขึ้น แต่เนื่องด้วยความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่อาจเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง กรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการภาษีนำเข้าที่แข็งกร้าวกับประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศจีน ส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Country) ไปที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Country) และเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 ทั้งๆ ที่มีแรงหนุนจากเม็ดเงินใหม่ผ่านกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนประหยัดภาษี TESG ก็ตาม

นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล Head of Retail Strategy และ Investment Strategist บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงปัญหาของตลาดหุ้นไทยที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีนัก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และโครงสร้างตลาดหุ้นไทย ที่ถูกกดดันจากหลายอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในช่วงหลัง Covid ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มสื่อโฆษณาเป็นต้น อย่างไรก็ดี เรามองว่ายังมีหลายอุตสาหกรรม ที่ยังมีความสามารถทำกำไรได้ดี และมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงหลายปีนี้ อยู่ในภาวะที่ “ต้องเลือก” ลงทุน โดยให้เป้าหมาย SET สิ้นปี 2568 ที่ 1,580 จุด

ทั้งนี้ในปี 2568 บล.ธนชาต แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนแบบ Moderate Risk Portfolio โดยให้น้ำหนักการลงทุนประกอบด้วย

1.ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง 15% ของพอร์ต

2.ตราสารหนี้คุณภาพสูงในสหรัฐฯ 30% ของพอร์ต ที่นอกจากจะให้ผลตอบแทนจากการถือสูง ยังมีโอกาสได้ส่วนต่างราคาในกรณีที่ Fed กลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้ง

3. ตลาดหุ้นต่างประเทศ 20% ของพอร์ต โดยเน้นไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน และเวียดนาม

4.ตลาดหุ้นไทย 20% ของพอร์ต ซึ่งจำเป็นต้อง “เลือก” ซื้อในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี

5.สินทรัพย์ทางเลือก อย่างทองคำ และกองทุนโครงสรางพื้นฐาน 15% ของพอร์ต

สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด จะเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง สร้างกระแสเงินสดได้ดี สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ และได้ผลดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง “ชอบ” SCB KTB MTC CPALL TRUE CKP ERW SPA MEGA และ DIF

 บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการ Net Zero Solutions ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขยายความร่วมมือกับ ภิรัชบุรีกรุ๊ป ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและโซลาร์คาร์พอร์ต ณ ไบเทคบุรี บางนา สานต่อความสำเร็จของการติดตั้งระบบโซลาร์ให้กับซัมเมอร์ ลาซาล ออฟฟิศแคมปัสของภิรัชบุรีกรุ๊ปทั้งสามเฟส การติดตั้งระบบโซลาร์ให้กับคอมมูนิตี้สเปซไบเทคบุรี สะท้อนความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทที่จะลดการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก โดยระบบโซลาร์ที่ไบเทคบุรี และซัมเมอร์ ลาซาล จะช่วยลดการปล่อย CO2 ประมาณ 3,700 ตันต่อปี ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย Net Zero

ย่านบางนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและธุรกิจของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะและเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ภิรัชบุรีกรุ๊ปมีบทบาทสำคัญที่ช่วยยกระดับย่านนี้ โดยพลิกโฉมไบเทคบุรี คอมมูนิตี้สเปซชั้นนำที่รวมสถานที่จัดงานนิทรรศการ งานแสดงโชว์ คอนเสิร์ต และศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ครบวงจร โดยภิรัชบุรีกรุ๊ปเดินหน้าพัฒนาโครงการและตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน ได้ร่วมกับบ้านปู เน็กซ์ ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปและโซลาร์คาร์พอร์ตขนาด 4 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 ตารางเมตรของไบเทคบุรี นับเป็นการติดตั้งโซลาร์ที่ใหญ่ที่สุดให้กับโครงการของภิรัชบุรีกรุ๊ป และคาดว่าจะช่วยให้ไบเทคบุรี ประหยัดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 20 ล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงความไว้วางใจที่ภิรัชบุรีกรุ๊ปมีต่อบ้านปู เน็กซ์ อย่างต่อเนื่องหลังจากติดตั้งระบบโซลาร์ให้กับโครงการซัมเมอร์ ลาซาลทั้งสามเฟสรวม 1 เมกะวัตต์

 

นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “บ้านปู เน็กซ์ เป็นบริษัทลูกของบ้านปู ให้บริการ Net Zero Solutions ที่ช่วยลดการปล่อย CO2 ทั้งสามขอบเขต เราเข้าใจลูกค้าดีว่า โครงการมิกซ์ยูสมีความต้องการใช้พลังงานสูง และจำเป็นต้องมีระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ จึงนำเสนอบริการแบบครบวงจรตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย เพื่อช่วยให้ภิรัชบุรีกรุ๊ปสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดค่าไฟฟ้า และบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนในขอบเขตหนึ่งและขอบเขตสอง โดยเรามีแผนที่จะนำเสนอ Net Zero Solutions เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความยั่งยืนของไบเทคบุรี ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานและบริการด้านการจัดการพลังงาน อาทิ ระบบทำความเย็น โดยโซลูชันเหล่านี้สามารถช่วยให้ไบเทคบุรี ใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและช่วยลดการปล่อย CO2 ได้มากขึ้นในอนาคต”

 

นายปิติภัทร บุรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภิรัชบุรีกรุ๊ป กล่าวว่า “ไบเทคบุรี มุ่งจัดสรรพื้นที่ที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจและการจัดงานต่างๆ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปกับบ้านปู เน็กซ์ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในภารกิจด้านความยั่งยืนของเรา เราเชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญและโซลูชันล้ำสมัยของบ้านปู เน็กซ์ จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย Net Zero ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ย่านบางนา แต่ยังเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน”

ความร่วมมือระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และภิรัชบุรีกรุ๊ป ในโครงการไบเทคบุรีเป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนว่า Net Zero Solutions สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญให้กับการพัฒนาเมือง โดยการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจหลักของทั้งสองบริษัทตอกย้ำว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้กรุงเทพฯ มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น นำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนในท้ายที่สุด

เนื่องในวันมะเร็งโลก 4 กุมภาพันธ์ 2568 ภายใต้ธีม United by Unique หรือ “ร่วมกันในเป้าหมาย แต่แตกต่างในความต้องการ” สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า แม้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งจะมีความต้องการและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่กลับมีเป้าหมายร่วมกันในการลดภาระจากมะเร็ง ปรับปรุงผลลัพธ์การรักษา และมีคุณภาพชีวิตที่ดี วันมะเร็งโลกในปีนี้ให้ความสำคัญกับผู้คนในชุมชนก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ป่วย สอดคล้องกับหนึ่งในภารกิจของโรช ในฐานะบริษัทด้านไบโอเทคชั้นนำของโลก ที่มุ่งเน้นการดูแลและเชื่อมโยงผู้ป่วยกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพและชุมชนต่าง ๆ ตั้งแต่การตรวจและการรักษาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในวงกว้าง ผนึกกำลังกับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย ชมรมผู้ป่วย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง สู่เป้าหมายเดียวกันที่จะสร้างความตระหนักรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและการรักษาโรคมะเร็งให้คนไทยห่างไกลจากโรคมะเร็ง

องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 77 ภายใน 25 ปีข้างหน้า ในขณะที่ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 227 คน โดยมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว

สำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันคนในหลายพื้นที่เผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะมะเร็งปอดกำลังคร่าชีวิตคนไทยในอัตราที่น่าตกใจถึงวันละ 40 ราย สูงกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน ส่วนใหญ่มาพบแพทย์ในระยะลุกลาม เนื่องจากอาการเริ่มต้นไม่ชัดเจน แม้ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสพบมะเร็งปอดมากกว่าผู้ไม่สูบ 10 เท่าแต่มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

คำแนะนำจากแพทย์ การตรวจคัดกรองช่วยคนไทยห่างไกลโรคมะเร็ง

 

นายแพทย์ ยศวัจน์ รุ่งโรจน์วัฒนา อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า “โรคมะเร็งปอดสามารถเกิดได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการคัดกรองมะเร็งปอด จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีช่วยให้การตรวจคัดกรองมีความแม่นยำมากขึ้น เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ Low-dose CT Scan ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสในการรักษา นอกจากนี้ ความก้าวหน้าด้าน Targeted Therapy (การรักษาแบบมุ่งเป้า) และ Immunotherapy (ภูมิคุ้มกันบำบัด) ยังช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

โรคมะเร็งนอกจากทำลายสุขภาพของผู้ป่วยแล้ว โรคมะเร็งยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและคนใกล้ชิดของผู้ป่วยด้วย ดังนั้น การรักษามะเร็งในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่ยังหมายถึงการที่คนใกล้ชิดมีความรู้สามารถช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การตรวจคัดกรองด้วย Low Dose CT Scan ถือเป็นความหวังในการช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 20 เนื่องจากสามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และมีโอกาสรักษาหายขาดสูงกว่ามาก

เสียงสะท้อน ข้อคิด และความหวัง จากผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด


จากประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด คุณนุช นางธิยารัตน์ ธนาจิรวรพัฒน์ กล่าวว่า “ดิฉันอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ก่อนตรวจเจอโรคมะเร็งปอด ด้วยวิชาชีพพยาบาลเป็นคนที่ดูแลคนอื่น ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง มีความเครียดจากการทำงาน และพักผ่อนไม่เป็นเวลา การตรวจเจอมะเร็งทำให้กลับมาดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเอง คิดบวก และปล่อยวางมากขึ้น หันกลับมาดูแลเรื่องอาหารการกิน และพักผ่อนอย่างเพียงพอ อยากฝากถึงทุกคนว่า ตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เรามีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับปอดมากขึ้น ดังนั้น ถ้าพบว่าตัวเองหรือคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที สิ่งสำคัญที่อยากให้ประเทศไทยมีคือ ระบบคัดกรองคนไข้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด เช่น คนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือมีอาการไอ น้ำหนักลด อยากให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสได้ตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากตรวจพบโรคระยะแรกๆ ค่ารักษาจะลดลงมาก นอกจากนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์และยาในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้นด้วย”

เสียงจากคุณนก ศุภาทร กัลยาณสุต ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย และเป็นประธานชมรมผู้ป่วยมะเร็งปอด ของ TCS และอยู่ร่วมกับโรคมะเร็งปอดในฐานะผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะ 4 ชนิด Non-small cell ปัจจุบันในวัย 56 ปีกำลังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยยามุ่งเป้า หลังจากมะเร็งปอดกลับมาลุกลามอีกครั้ง นางศุภาทร เล่าว่า “ดิฉันเป็นคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมาตลอด ออกกำลังกายทุกวัน และตรวจสุขภาพประจำปีตามปกติ ดิฉันประเมินว่า ฝุ่นในอากาศอาจมีส่วนทำให้เป็นมะเร็ง เพราะดิฉันออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำ แม้ตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึง PM 2.5 ก็ตาม แต่ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนไทย ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้ทุกคนสวมหน้ากากป้องกัน เมื่อต้องเผชิญกับฝุ่นจิ๋ว นอกจากนี้ อยากส่งเสริมให้ทุกคนตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ ส่วนผู้ป่วยมะเร็งก็อยากแนะนำว่า หากยังมีวิธีรักษา ก็ควรจะรักษา เพราะตอนนี้มียาที่มีประสิทธิภาพดี ควรทานอาหารให้หลากหลาย ออกกำลังกาย และที่สำคัญ คือ อย่าหมดกำลังใจ” 


ภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง ของ โรช ไทยแลนด์


ที่ผ่านมา โรช ไทยแลนด์ ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับคนไข้ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยานวัตกรรม และการวินิจฉัยที่ล้ำสมัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาแนวความรู้เกี่ยวกับการประเมินเทคโนโลยีทางสุขภาพแก่ชมรมผู้ป่วยกว่า 20 ชมรม และร่วมมือกับเครือข่ายโรงพยาบาลพระปกเกล้า สร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และได้รับรางวัล Cancer Branch Award จาก Service Plan Sharing และกำลังขยายผลสู่โรงพยาบาล 12 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะช่วยผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นกว่า 100,000 รายในปี 2568

ขณะเดียวกัน โรช ไทยแลนด์ ยังส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง เพื่อให้คนไทยกลุ่มวัยทำงานให้ดูแลสุขภาพของตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยมี โครงการ Cancer Care Connect: ตรวจเร็ว รักษาไว ห่างไกลมะเร็ง ที่ช่วยเชื่อมโยงข้อมูลและความรู้ก่อนต้องเผชิญกับโรคมะเร็ง

ภารกิจของโรช สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ United by Unique หรือ “ร่วมกันในเป้าหมาย แต่แตกต่างในความต้องการ” ของวันมะเร็งโลกในปีนี้ นายแมทธิว โคทส์ ผู้จัดการทั่วไป โรช ไทยแลนด์ เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว กล่าวว่า “โรช มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมการรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกมาตลอด 129 ปี โดยในทศวรรษที่ผ่านมา เราได้ให้การรักษาผู้ป่วยชาวไทยไปแล้วกว่า 3 ล้านคน และมียาถึง 13 รายการในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วย พร้อมกันนี้ เรายังได้ดำเนินการวิจัยทางคลินิกในประเทศไทย โดยมีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการกว่า 1,300 คน และมีเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากว่า 600 ล้านบาท ที่สำคัญเรามีแผนเพิ่มการลงทุนด้านพัฒนางานพัฒนาและวิจัย (R&D) ร้อยละ 5 ในทุก ๆ ปี เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น"

นายมิไฮ อีริเมสซู กรรมการผู้จัดการ โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะมอบโอกาสให้ผู้ป่วยหายขาด โรชมุ่งมั่นที่จะช่วยให้คนไทยเข้าใจความสำคัญของการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ และใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ การทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่การป้องกันโรค หากแต่เป็นการลงทุนในคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คน และช่วยลดภาระจากโรค รวมถึงค่าใช้จ่ายทางสังคมและเศรษฐกิจสำหรับสังคมไทย ผู้ป่วยแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน และโรชมุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น เพื่อชีวิตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน"


โรชเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนจะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็งมีความก้าวหน้า และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศไทย

ทั้งนี้ การหลอมรวมพลังจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ เอกชน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนคนไทย เป็นกุญแจสำคัญสู่ระบบสุขภาพที่เท่าเทียมและยั่งยืน เพราะแม้เราจะมีความต้องการและเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่เราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การสร้างอนาคตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมีคุณภาพ United by Unique หรือ 'ร่วมกันในเป้าหมาย แต่แตกต่างในความต้องการ’


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคม ปัญหามลพิษทางอากาศจาก “ฝุ่น PM2.5” กลายเป็นสิ่งที่คนไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเมื่อค่าฝุ่นมักเกินมาตรฐานบ่อยครั้ง ปัญหานี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน เช่นการท่องเที่ยวและการประกอบอาชีพต่าง ๆ จึงทำให้ประเด็นนี้เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ของผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรการการแก้ไขจากภาครัฐและภาคเอกชน รวมไปถึงกระแสความสนใจที่เพิ่มขึ้นในยุคที่วิกฤตการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย เรื่องเกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงวันที่ 1-31 มกราคม 2568 โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล DXT360 ซึ่งเป็นระบบติดตามและรวบรวมข้อมูลแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งโซเชียลมีเดียและสื่อดั้งเดิม (เว็บไซต์ข่าว โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร)

จากข้อมูลพบว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียต้องการเห็นการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและมาตรการที่มีประสิทธิภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยมีการกล่าวถึง (Mention) รัฐบาล มากที่สุด (35%) ต้องการให้เร่งแก้ไขปัญหาฝุ่นและบังคับใช้มาตรการจัดการมลพิษอย่างเด็ดขาด รวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขปัญหา

หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม (25%) อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถูกกล่าวถึงในเรื่องการติดตามและรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่ดูเหมือนเป็นเพียงการแจ้งเตือนค่าฝุ่นและให้คำแนะนำในการป้องกันตัว แต่ขาดมาตรการเชิงรุกในการป้องกัน ควบคุมและติดตามแหล่งกำเนิดมลพิษ

หน่วยงานด้านการขนส่ง (15%) อาทิ กระทรวงคมนาคม, ขสมก., รฟม. ถูกกล่าวถึงในประเด็นการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะมาตรการเดินทางฟรีตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนของการบริการที่ยังไม่ครอบคลุม เช่น เส้นทางยังไม่สามารถเข้าถึงในทุกพื้นที่ รวมถึงรถเมล์พลังงานไฟฟ้าหลายสายไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ทำให้คนส่วนใหญ่ใช้บริการรถเมล์พลังงานเชื้อเพลิงซึ่งก็ก่อให้เกิดมลพิษอยู่ดี

กรุงเทพฯ และหน่วยงานท้องถิ่น (10%) ถูกกล่าวถึงในแง่ของการนำนโยบายไปปรับใช้และการดูแลพื้นที่รับผิดชอบ รวมไปถึงกล่าวถึงมาตรการอื่นๆของ กทม. ซึ่งประชาชนมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ

หน่วยงานด้านสาธารณสุข (7%) อาทิ กระทรวงสาธารณสุข และ โรงพยาบาล ประชาชนต้องการเพิ่มมาตรการแจ้งเตือนข้อมูลเรื่องสุขภาพและให้คำแนะนำในการปฎิบัติตนเมื่อพบเจอฝุ่น PM2.5 โดยเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลและป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลสุขภาพของประชาชน

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ (8%) ที่ถูกกล่าวถึงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5

เสียงสะท้อนโซเชียลกับมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นของภาครัฐ

· รถไฟฟ้าฟรีตอบโจทย์จริงหรือ?

รถไฟฟ้าและรถโดยสารสาธารณะฟรี: ผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มองว่าเป็นมาตรการที่ใช้งบประมาณสูงและแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว ไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา PM2.5 อย่างแท้จริง อีกทั้งประชาชนบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงบริการได้เนื่องจากเส้นทางมีจำกัด แม้จะช่วยลดปริมาณรถยนต์ส่วนตัวได้บางส่วน แต่ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา ซึ่งประชาชนมองว่าควรพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมในระยะยาวมากกว่า

· เรียน Online กระทบหนัก! ผลักภาระให้ทั้งผู้ปกครองและโรงเรียน

มาตรการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ แม้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพของนักเรียนได้ แต่กลับพบปัญหาหลายประการ ทั้งเรื่องความพร้อมของอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต ผล กระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน และการสร้างภาระให้ผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กที่ต้องการการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ อีกทั้งบางโรงเรียนไม่ได้บังคับให้เรียนออนไลน์หรือหยุดการเรียนการสอน ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนและผู้ปกครองบางส่วนเกิดความสับสน

· เมื่อ Work From Home ไม่ใช่ทางเลือก (ได้) ของทุกอาชีพ

มาตรการขอความร่วมมือ Work From Home เป็นมาตรการที่ช่วยลดการเดินทางและการสัมผัสฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดเพราะไม่สามารถปรับใช้กับทุกอาชีพ อีกทั้งเป็นแค่การขอความร่วมมือ บางองค์กรไม่มีนโยบายให้พนักงาน work from home เนื่องจากไม่ใช่กฎหมายบังคับใช้ นอกจากนี้บางองค์กรยังไม่มีความพร้อมด้านระบบและอุปกรณ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน แม้จะเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการนำไปปฏิบัติ

 

“ฝุ่น PM2.5” ภัยตัวร้าย ทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด

ผลกระทบจากฝุ่นเป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ดังนั้นทางทีม Insight Analyst จึงได้มีการรวบรวมและวิเคราะห์เสียงจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 พบประเด็นสำคัญที่ส่วนใหญ่มักพูดถึง ดังนี้

1. ด้านสุขภาพ: ประชาชนต่างพูดถึงการได้รับผลกระทบกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอและหายใจลำบาก มีอาการระคายเคืองตาและแสบจมูก เลือดกำเดาไหล รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดและระบบทางเดินหายใจในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว และส่งผลถึงสัตว์เลี้ยงที่มีอาการปอดอักเสบที่เกิดจากฝุ่นเช่นเดียวกัน

2. ด้านเศรษฐกิจ: ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่ารักษาพยาบาล การจัดหายาเพื่อบรรเทาอาการแพ้จากฝุ่น การสูญเสียรายได้จากการต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัว และค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ป้องกันต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัยและเครื่องฟอกอากาศ

3. ด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน: ประชาชนต้องจำกัดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น และเผชิญกับความไม่สะดวกในการเดินทาง

4. ด้านสังคม: เกิดความกังวลและความเครียดในหมู่ประชาชน ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนในโรงเรียน และต้องมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางสังคมต่างๆ

5. ด้านสิ่งแวดล้อม: ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชน

ถอดบทเรียนปักกิ่ง-โซล สู่โมเดลไทยแก้วิกฤตฝุ่น PM2.5

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีการพูดถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่น โดยมีการยกกรณีตัวอย่างจากเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน และกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถควบคุมมลพิษทางอากาศได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทั้งการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน การจำกัดการใช้รถส่วนตัว เป็นต้น จึงทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมองว่าเป็นต้นแบบที่ดีที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้ แต่ก็มีบางส่วนที่มีความเห็นต่างออกไป ว่าอาจเป็นไปได้ยากในบริบทของไทย เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และผล กระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ

จึงนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากผู้ใช้โซเชียลฯ โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้มีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและยั่งยืนระยะยาว โดยต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการออกมาตรการจากภาครัฐที่โปร่งใส่ มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาได้ตรงจุด ลดการใช้วิธีการเผาในภาคการเกษตร และความร่วมมือในการใช้รถโดยสารสาธารณะ รวมถึงการใช้งบประมาณที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการของประชาชน

“เครื่องฟอกอากาศ” ไอเท็มยอดฮิต รับมือฝุ่น PM2.5

เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลฝุ่น "เครื่องฟอกอากาศ" กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกรองฝุ่นและมลพิษ ในโซเชียลมีเดียมีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

 

1. ราคา เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ โดยผู้ใช้โซเชียลฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องฟอกอากาศมียอดขายสูงขึ้นโดยเฉพาะในราคาระดับถูกถึงปานกลางจนเกิดปัญหาสินค้าขาดตลาด เนื่องจากผู้ใช้โซเชียลฯ ให้ความเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นและถือว่าเป็นการลงทุนให้กับสุขภาพในระยะยาว แต่ก็มีบางกลุ่มกล่าวถึงราคาเครื่องฟอกอากาศว่ามีราคาค่อนข้างสูงจึงทำให้ยากต่อการเข้าถึง

2. ประโยชน์ ผู้ใช้โซเชียลฯ มีการรีวิวถึงการใช้งานจริง รวมถึงบอกเล่าถึงประสบการณ์การใช้งาน เช่น เมื่อใช้เครื่องฟอกอากาศ หายใจได้สะดวกขึ้น คนที่เป็นภูมิแพ้อาการลดน้อยลง เป็นต้น

3. ขอคำแนะนำ ทั้งในเรื่องของการใช้งานเครื่องฟอกอากาศ แบรนด์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงพิกัดช่องทางที่ราคาถูก

อีกหนึ่งไอเท็มที่มาแรงไม่แพ้เครื่องฟอกอากาศนั่นคือ “หน้ากากอนามัย” เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากบนโลกโซเชียล ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ใช้งานสะดวก โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยรุ่น KF94 , N95 ที่มักจะได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นรุ่นที่กันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สร้างความกังวลให้แก่ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย นอกเหนือจากวิกฤตฝุ่น PM2.5 นั่นคือ ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นของราคาอุปกรณ์ป้องกันฝุ่น ผลมาจากความต้องการของทั้งเครื่องฟอกอากาศและหน้ากากอนามัยค่อนข้างสูง จึงส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้นตามมา จากสถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันสุขภาพในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มุ่งหน้าดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ปล่อยสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) มูลค่า 370 ล้านบาทแก่ บริษัท ซีเอ็นอีเอส ดีวัน จำกัด (D1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT เพื่อนำไปพัฒนาโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) จำนวน 10 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 19.40 เมกะวัตต์ ติดตั้งในอาคารขนาดใหญ่ อาทิ โรงพยาบาลและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าและเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้กับภาคธุรกิจ

การสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของ KKP ผ่านแนวทาง ESG (Environment, Social and Governance) โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ด้าน CNT มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การสนับสนุนครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญระหว่างภาคการเงินและภาคธุรกิจที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจและประธานสายสินเชื่อบรรษัท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ธนาคารเกียรตินาคินภัทรดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านทั้งการสนับสนุนสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของ D1 ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในภาคธุรกิจ สะท้อนบทบาทสำคัญของสถาบันการเงินในการขับเคลื่อนแนวทาง ESG อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมสร้างธุรกิจและเศรษฐกิจไทยที่มีความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง"

ด้านนายคูชรู คาลี วาเดีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (CNT) กล่าวว่า “CNT ภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ KKP ในโครงการที่มีความสำคัญนี้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ CNT สามารถเติบโตต่อไปและส่งมอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมไทยในการใช้พลังงานสะอาดได้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศไทย”

ทั้งนี้ คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT เป็นบริษัทชั้นนำด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างที่มีประสบการณ์ยาวนานในประเทศไทย โดยมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานสะอาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทรูออนไลน์ ผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้านไฟเบอร์อันดับ 1 กับการยกทัพเทคโนโลยีที่มาพร้อมAIเต็มประสิทธิภาพ และนวัตกรรมสมาร์ทโฮม เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะในบ้าน ที่มากกว่าการเชื่อมต่อสัญญาณ แต่เชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของ “คน” ไว้ด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect Tech” ให้คนไทยเชื่อมโยงเทคโนโลยีเติมเต็มชีวิตดิจิทัลในทุกวัน ชู 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1) Smart Tech สมาร์ทเทคกับเทคโนโลยีใหม่ที่สุดในโลก สัมผัส WiFi 7 เราเตอร์ ที่ปล่อย WiFi เร็วแรง เต็มสปีด 2Gbps และยังมี WIFI เราเตอร์ 2 ระบบในเครื่องเดียว ให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งระบบสายไฟเบอร์ และสัญญาณเน็ตมือถือที่สำรองในเราเตอร์ ปล่อย WiFi ได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน 2) Smart Solution สมาร์ทโซลูชั่น ที่แรก ที่เดียว กับเราเตอร์เชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในบ้าน เป็นทั้ง IoTHub และปล่อย WiFi ในตัว มาพร้อมอุปกรณ์ Smart Home IoT และยังมี TrueID TV Gen 3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะ สุข สนุก ตอบโจทย์ทุก Gen ในบ้าน ทั้ง AI Fitness, AI Game, AI Chipset ใหม่ล่าสุด ให้ภาพคมชัดระดับ 4K HDR และบริการร้องเพลงคาราโอเกะ 3) Smart Service & Privilege สมาร์ทเซอร์วิสและสิทธิพิเศษ สะดวก ง่าย ด้วย แอปTrue iService ศูนย์รวมข้อมูลและทุกบริการ โดยมี Mari ที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีสิทธิประโยชน์เพื่อความสุขของลูกค้า สะท้อนการนำเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของ “คน” ไว้ด้วยกัน โดยบอกเล่าผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ได้พรีเซนเตอร์ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ลูกค้าทรูออนไลน์ตัวจริง มาถ่ายทอดทุกความอัจฉริยะภายในบ้าน

 

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู ออนไลน์ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลของ

ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการวางโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ที่ปัจจุบันครอบคลุมการให้บริการทั่วประเทศไทย เรายังคงความเป็นผู้นำตลาดด้วยบริการที่ล้ำหน้า ผสานการใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับการบริหารจัดการข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ศึกษาความต้องการลูกค้า เพื่อนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า เป็นการ

ออกแบบเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตของคนในทุกมิติ (Human Technology) เน็ตบ้านทรูจึงเป็นมากกว่าการเชื่อมต่อสัญญาณ แต่ยังเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของคนในบ้าน ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect Tech” ที่นำเทคโนโลยี มาเติมเต็มชีวิตดิจิทัลในทุกวัน อัดแน่นด้วยทัพเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดในโลก และนวัตกรรมสมาร์ทโฮม ที่แรก ที่เดียว ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ Smart Tech – Smart Solution – Smart Service & Privilege ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้านไฟเบอร์ตัวจริง ขณะเดียวกัน ทรูออนไลน์ เข้าใจความกังวลของลูกค้าเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กำลังทวีความรุนแรง จึงได้ดูแลความปลอดภัยระบบโครงข่ายแบบครบวงจร รวมทั้งลงทุนในเทคโนโลยี AI ขั้นสูง พัฒนาบริการ “True Cybersafe” เพื่อปกป้องลูกค้าจากมิจฉาชีพภัยไซเบอร์ โดยให้บริการฟรีสำหรับลูกค้าทรูออนไลน์ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันทุกบ้าน

เรายังได้พรีเซนเตอร์ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรอันดับ 1 ที่เป็นลูกค้าผู้ใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง มาบอกเล่าประสบการณ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ถ่ายทอดความอัจฉริยะของเน็ตบ้านอันดับหนึ่ง ยกระดับบ้านให้เป็นสมาร์ทโฮม และอีกหลากหลายบริการที่มาพร้อมความสุข ความสนุก ความบันเทิง ที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์ของ “คน” ในบ้านไว้ด้วยกัน สะท้อนความมุ่งมั่นของทรูออนไลน์ที่ตั้งใจส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี”

 

นายสกลพร หาญชาญเลิศ หัวหน้าสายงานโพสต์เพย์ คอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ด้วยวิถีของผู้นำตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทรูออนไลน์ได้พัฒนานวัตกรรมที่หลากหลาย โดยจากข้อมูลการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์ IOT และการขยายตัวของตลาดบ้านอัจฉริยะ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่และครอบครัวยุคใหม่ ทรูออนไลน์ จึงออกแบบและวางกลยุทธ์หลัก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และรองรับการขยายตัวของอุปกรณ์ IOT ในบ้าน เป็น 3 ด้าน คือ

Smart Tech - ที่แรก และที่เดียว เน็ตบ้านแพ็กเกจ 2Gbps มาพร้อม WiFi 7 เราเตอร์คุณภาพ ให้สัมผัส WiFi เร็วแรงเต็มสปีด 2Gbps แบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เอาใจคอเกมและชาวเน็ตที่ชื่นชอบไลฟ์สด สตรีมมิ่ง ที่มีดีไวซ์รองรับ WiFi7 ให้ออนไลน์ได้เต็มประสิทธิภาพ เรายังมี เราเตอร์ 2 ระบบ รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟเบอร์แบบแรงเต็มสปีด และสำรองด้วยอินเทอร์เน็ตมือถือ ในกรณีฉุกเฉินที่เกิดปัญหาการเชื่อมต่อผ่านไฟเบอร์ เราเตอร์จะเปลี่ยนไปใช้อินเทอร์เน็ตจากสัญญาณเน็ตมือถือแบบอัตโนมัติทันที ไม่ต้องตั้งค่า WIFI หรืออุปกรณ์ภายในบ้านใหม่ นอกจากนี้ เรายังมี เทคโนโลยี Smart AI ที่มี PRO AI Network นำ AI มาใช้ตรวจสอบ วิเคราะห์และควบคุมเครือข่าย เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า

Smart Solution - ที่แรก และที่เดียว เราเตอร์เชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในบ้าน เป็นเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณ WiFi และเป็น IoT hub ในเครื่องเดียว โดย IoT hub จะทำงานผ่าน Zigbee Gateway ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart Home IoT อาทิ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว สัญญาณแจ้งเตือนภัย ปุ่มกดแจ้งเตือน เซนเซอร์เตือนภัยสำหรับประตูหรือหน้าต่าง รวมถึง AI CCTV กล้องวงจรปิดที่รุ่นใหม่ ที่มี AI ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ของคน และสัตว์ รวมถึงสามารถจับเสียงร้องของเด็กและแจ้งเตือนผ่านแอปได้ มาพร้อมบริการบันทึกภาพเคลื่อนไหวย้อนหลังผ่านคลาวด์ได้ถึง 7 วันย้อนหลัง เป็นต้น สะดวก ง่าย โดยลูกค้าสามารถควบคุมกล้องและ IoT ทุกชิ้นในบ้านได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอป TrueX เพียงแอปเดียวและยังมี TrueID TV Gen 3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะที่ฉลาดล้ำยิ่งขึ้น ให้ทุกคนในบ้าน สุข สนุก ร่วมกัน ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย กับ AI Fitness กว่า 300 คลาส พร้อม AI นับแคล ให้คะแนนแบบเรียลไทม์ AI Game เล่นเกมผ่านการเคลื่อนไหว และยังมี AI Chipset ใหม่ล่าสุด ให้ภาพคมชัดระดับ 4K HDR ลื่นไหล ดูเพลินไม่สะดุด ร้องเพลงคาราโอเกะ กับแอป Plern Karaoke จากแกรมมี่ แบบExclusive ที่ทรูเท่านั้น และที่ง่ายและสะดวกสุด คือสั่งการง่ายด้วยเสียง กับระบบ Google Assistant นอกจากนี้ โซลูชั่นของเรายังมาพร้อมความปลอดภัยอีกขั้นด้วยประกันภัยที่อยู่อาศัยและประกันชีวิต อีกด้วย

Smart Service & Privilege – สะดวกยิ่งกว่าด้วย True iService แอปศูนย์รวมทุกบริการบนโลกดิจิทัล พร้อม ด้วย Mari Chat ที่ดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง และทีมช่างคุณภาพเข้าซ่อมฉับไว นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ที่คัดสรรอย่างดีที่สุด มอบความสุขทั้งในบ้านและนอกบ้าน เพียงใช้ทรูพอยท์แลกรับสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อความสุขของลูกค้าคนสำคัญ

พบ โปรเน็ตบ้าน ที่ตอบโจทย์ทุกคนในบ้าน ครบครันด้วยอุปกรณ์อัจฉริยะ ที่ทันสมัยที่สุดในตลาด พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆอีกมากมาย สนใจสมัครได้ที่ ทรูช็อป ดีแทคช็อปทุกสาขา และตัวแทนจําหน่ายทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.true.th/trueonline หรือโทร 02-700-8000

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ด้วยโปรโมชั่น “โปรบินคุ้ม ราคาเซฟ! (February‘s Super Savers)” เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 99 บาท (ราคาไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) สำหรับเดินทางบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารได้ระหว่างวันที่ 3 – 6 กุมภาพันธ์ 2568 และใช้เดินทางได้ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 25 ตุลาคม 2568 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ www.vietjetair.com

บัตรโดยสารราคาโปรโมชั่นนี้สามารถใช้เดินทางได้กับทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี อุดรธานี ขอนแก่น และอุบลราชธานี รวมถึงเส้นทางบินข้ามภูมิภาคจาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย และทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น พนมเปญ และไทเป รวมถึงเส้นทางบินตรงจาก เชียงใหม่ สู่ โอซาก้า พร้อมด้วยเส้นทางบินใหม่จาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ โอกินาว่า และ ฮอกไกโด (ผ่านไทเป) และ มุมไบ (อินเดีย) ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้ได้ที่เว็บไซต์ www.vietjetair.com แอปพลิเคชัน “Vietjet Thailand” หรือผ่านช่องทางเฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/VietJetThailand (คลิกที่แถบ “จองเลย”) รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายหรือสำนักงานจำหน่ายบัตรโดยสาร พร้อมกันนี้ผู้โดยสารสามารถชำระเงินด้วย “ทรูมันนี่ วอลเล็ท” และบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต

เวียตเจ็ทไทยแลนด์คว้ารางวัล “สายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในไทยแห่งปี 2567” จากนิตยสารโกลบอลแบรนด์ สหราชอาณาจักร และรางวัล “สายการบินที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นมิตรมากที่สุดแห่งปี 2567” จากนิตยสาร International Finance เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยึดมั่นในค่านิยมหลัก คือ ‘ความสนุกสนานและเป็นมิตร’ ควบคู่กับ ‘ความปลอดภัย’ ‘ความตรงต่อเวลา’ และ ‘ราคาที่เข้าถึงได้’

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ให้บริการครอบคลุม 11 เส้นทางบินภายในประเทศ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเที่ยวบินข้ามภูมิภาค จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย พร้อมกันนี้ สายการบินฯ ได้ขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศสู่

หลากหลายจุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เชื่อมต่อประเทศไทยกับเวียดนาม จีน ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทเป มุมไบ และอีกหลายจุดหมายปลายทางทั่วทั้งภูมิภาค

แอปฯ “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” เปิดประสบการณ์การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ในประเทศไทย จัดแคมเปญ “ล่าคอยน์ สอยรางวัล” ทำธุรกรรมผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และ เป๋าตัง รับ “วายุคอยน์” สะสมเพื่อแลกรับรางวัล หรือใช้เปลี่ยนเป็นสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท หวังกระตุ้นการใช้งานและเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานใหม่ หนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ปลอดภัยแค่ปลายนิ้ว ยกระดับการทำธุรกรรมออนไลน์ให้ "ง่ายและคุ้มค่า" ยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การเงินดิจิทัลในยุคปัจจุบัน พร้อมเผย 5 ธุรกรรมยอดฮิตจากผู้ใช้งานแอปฯ “เป๋าตัง” และ “Krungthai NEXT” รวมกันกว่า 40 ล้านราย โดยทั้งสองแอปฯ ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการทำธุรกรรมดิจิทัล แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสู่ “สังคมไร้เงินสด” ของประเทศ อีกด้วย

แอปฯ “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” โดยธนาคารกรุงไทย (KTB) มีฟีเจอร์รองรับธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานทุกกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกรรมยอดฮิตที่มีการใช้งานสูงสุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่

1. โอนเงินและการชำระเงินระหว่างบุคคล ที่สามารถโอนเงินระหว่างบัญชีหรือไปยังบัญชีต่างธนาคารได้ทันที

2. ชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านแอปฯโดยการสแกนจ่าย ที่ทำได้ทั้งสะดวกและปลอดภัย

3. จ่ายบิลประจำเดือน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และบิลอื่น ๆ ผ่านแอปฯ

4. เติมเงินหรือซื้อแพคเกจมือถือ ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ตู้เติมเงิน ทำรายการได้ทันทีทุกเวลา

และ 5. การตรวจเครดิตบูโร ให้ทุกคนสามารถเช็คข้อมูลเครดิตด้วยตนเองได้ผ่านทั้ง 2 แอปพลิเคชัน ได้รับผลภายใน 24 ชั่วโมง เลือกเช็คได้ทั้งแบบข้อมูลเครดิต และข้อมูลเครดิตพร้อมคะแนนเครดิต

 

เพื่อเสริมสร้างการรับรู้และสนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยีการเงินที่ทันสมัยในทุกมิติล่าสุด แอปฯ Krungthai NEXT และ เป๋าตัง ได้ออกแบบระบบที่มีการผสานการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ CRM เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสะสมยอดการใช้งานจากทั้งสองแอปฯ ภายใต้แคมเปญ “ล่าคอยน์ สอยรางวัล” ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 30 เมษายน 2568 เพียงทำรายการชำระค่าสินค้าและบริการ เช่น เติมเงินมือถือ จ่ายเงิน จ่ายบิล ชำระค่างวด เป็นต้น หรือร่วมกิจกรรม อาทิ ทำแบบทดสอบ Security Survey รวมทั้งสมัครบริการต่าง ๆ

ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และ เป๋าตัง หรือซื้อประกันชีวิตหรือประกันภัยผ่านแอปฯ Krungthai NEXT เพื่อสะสมรับ “วายุคอยน์” สำหรับแลกรับรางวัล หรือใช้แลกสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท สะสมแลกหรือลุ้นง่ายแค่ปลายนิ้ว เพราะทุกการทำธุรกรรมจากทั้งสองแอปฯ วายุคอยน์ที่ได้จะถูกรวมอยู่ในที่เดียว ทำให้การใช้งานและการแลกรางวัลเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ผู้ใช้งานจึงสามารถได้รับประสบการณ์ที่สะดวกสบายและคุ้มค่าที่สุดจากทุกการทำธุรกรรม อีกทั้งยังคุ้มค่า ปลอดภัย และตอบโจทย์ทุกความต้องการ

สำหรับวิธีการใช้ “วายุคอยน์” ที่สะสมได้ ผู้ใช้งานทั้งแอปฯ Krungthai NEXT และ เป๋าตัง สามารถเลือกแลกรับรางวัลได้ทันที โดยมีของรางวัล 3 หมวด ได้แก่ หมวดของรางวัลรับสินค้าฟรี จากพันธมิตรที่ร่วมรายการ เช่น Dairy Queen, Mister Donut, Auntie Anne’s, SF Cinema และ Whoscall และหมวดของรางวัลโค้ดและคูปองส่วนลด จากพันธมิตร อาทิ เต่าบิน, Grab Food, LINE Man, KOI, Starbucks, Lazada, Big C, บางจาก และ Gother หมวดคูปองส่วนลดใช้ได้ที่แอปฯ เป๋าตังเท่านั้น ได้แก่ คูปองส่วนลดเมื่อจ่ายบิลค่าน้ำ-ค่าไฟ เติมมือถือ สแกน QR ร้านค้าธนาคารที่ร่วมรายการ รวมถึงคูปองส่วนลดเมื่อสแกนจ่ายที่ร้านสุกี้ตี๋น้อย Teenoi Express หรือ Teenoi BBQ, Bar B Q Plaza เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเลือกใช้ “วายุคอยน์” แลกสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ อาทิ ทริปไหว้พระฮ่องกง รถจักรยานยนต์ Honda WAVE 225i ทองคำ Samsung Galaxy Flip 6 (12/256GB) 5G iPhone16 Pro 128GB ตั๋วเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่น ฯลฯ

 

แคมเปญ "ล่าคอยน์ สอยรางวัล" มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้งานและเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานใหม่ พร้อมผลักดันการทำธุรกรรมออนไลน์ที่สะดวกและปลอดภัยให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การเงินดิจิทัลกำลังเติบโตขึ้น การสร้างความมั่นใจในระบบและการเข้าถึงบริการทางการเงินที่เท่าเทียมและยุติธรรมจะช่วยขับเคลื่อนให้คนไทยก้าวเข้าสู่โลกของการเงินดิจิทัลได้อย่างเต็มตัว

ล่า แลก ลุ้นคอยน์ได้เลยบนแอปฯ Krungthai NEXT และ เป๋าตัง พร้อมอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขแคมเปญได้แล้ววันนี้ ดาวน์โหลดแอปฯ Krungthai NEXT > https://krungthainext.onelink.me/pfZZ/tco2rni2

 ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง > https://paotang.onelink.me/UDQF/c5parkg8 เพื่อเริ่มต้นการทำธุรกรรมดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมสะสมคอยน์ แลกรางวัลหรือลุ้นรับรางวัลมากมายที่รออยู่!

รายละเอียดและเงื่อนไขแคมเปญ “ล่าคอยน์ สอยรางวัล”: https://krungthai.com/link/coinmaster2025

GULF เตรียมเสนอขายหุ้นกู้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 4-10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00-3.75% ต่อปี ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ระดับ “A” และอันดับเครดิตองค์กรระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” สะท้อนความแข็งแกร่งและความมั่นคงของบริษัทในธุรกิจหลักด้านพลังงาน รวมถึงการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจอื่น คาดว่าจะเริ่มเสนอขายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์การควบรวมกิจการกับ INTUCH ทำให้เกิดบริษัทใหม่ที่มีสถานะทางการเงินเข้มแข็งยิ่งขึ้น ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุน

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล อยู่ระหว่างการเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00 – 3.20% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.15 – 3.35% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.35 – 3.55% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.55 – 3.75% ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ จะประกาศอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนให้ทราบอีกครั้ง

โดยหุ้นกู้ GULF ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ระดับ “A” ในขณะที่อันดับเครดิตองค์กรอยู่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อการควบรวมกิจการกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH

บริษัทฯ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 ชุด ให้แก่ประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และ 3 มีนาคม 2568 ผ่านธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ 10 แห่ง ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ โดยมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และสามารถเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

ทั้งนี้ GULF ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) ที่โครงสร้างหลักแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจพลังงาน (Energy Business) ประกอบด้วย ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Power Generation Business) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Business) ธุรกิจก๊าซ (Gas Business) 2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค (Infrastructure & Utilities Business) และ 3. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) โดยโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ จะได้รับรายได้ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาวกับคู่สัญญาที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “การออกและเสนอขายหุ้นกู้ ของ GULF ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปชำระคืนเงินกู้เดิมบางส่วน รวมทั้งใช้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ มีการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้รายย่อยได้เข้าถึงการลงทุนในบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง และมีความเสี่ยงต่ำ รวมถึงจะได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสม บริษัทฯ คาดหวังว่า การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทุกกลุ่ม”

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ในระหว่างกระบวนการการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทจะนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ซึ่งคาดว่าจะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เพียงแต่มีโอกาสผลักดันให้อันดับเครดิตสูงขึ้นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทขยายการลงทุนได้เพิ่มขึ้น และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว”

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sec.or.th และสามารถติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น

- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่าน krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย

(ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)

- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์)

- ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต)

- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555

- บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร)

- บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050

บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย จัดกิจกรรม “คน น้ำ ดี” ครั้งที่ 6 ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ระดมพนักงานจิตอาสาของบริษัทฯ พร้อมคณะผู้แทนจากหน่วยงานท้องถิ่น ได้แก่ หน่วยจัดการต้นน้ำแก่งกระจาน หน่วยจัดการต้นน้ำหุบกะพง และสถานีควบคุมไฟป่าหุบกะพง ตลอดจนชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำ ณ จังหวัดเพชรบุรี ตอกย้ำค่านิยมองค์กร “การเติบโตอย่างยั่งยืน (Growing for Good)” และ “การตอบแทนกลับคืนสู่สังคม (Giving Back to Society)” โดยมุ่งมั่นนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง

นางสาววิภาวรรณ ทัศนปรีชาชัย ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กิจกรรม ‘คน น้ำ ดี’ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘มิซุอิกุ’ (Mizuiku: Education Program for Nature and Water) ของบริษัทฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เรื่องความสำคัญของทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชน รวมถึงปลูกฝังให้พวกเขามีส่วนร่วมอนุรักษ์น้ำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากเยาวชนแล้ว คนในพื้นที่ต้นน้ำ รวมถึงพนักงานของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญในการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงดำเนินกิจกรรม ‘คน น้ำ ดี’ อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำผ่านการลงมือปฏิบัติจริง กิจกรรม ‘คน น้ำ ดี’ สื่อถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการสร้างทั้งคนเก่งและคนดีที่จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับองค์กร และเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม เราขอขอบคุณเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ และชาวบ้านในพื้นที่ ที่ให้การสนับสนุนและร่วมทำกิจกรรมนี้ให้สำเร็จลุล่วง ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจรักษ์น้ำ เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่านี้ให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป”

หนึ่งในพื้นที่หลักของกิจกรรม “คน น้ำ ดี” ครั้งที่ 6 คือ พื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และถือเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและปราณบุรี แหล่งน้ำที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของผู้คนและระบบนิเวศของจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงเป็นแหล่งศึกษาระบบนิเวศวิทยาที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือกับหน่วยจัดการต้นน้ำแก่งกระจาน หน่วยจัดการต้นน้ำหุบกะพง สถานีควบคุมไฟป่าหุบกะพง ดำเนิน 3 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่

1. ปลูกหญ้าแฝกจำนวน 8,000 ต้น และหวาย 1,000 ต้น บริเวณอ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน โดยหญ้าแฝกเป็นพืชที่ช่วยรักษาหน้าดินเพราะเติบโตเป็นกอขนาดใหญ่และมีระบบรากที่แข็งแรง หยั่งลึกในดินได้ถึง 3 เมตร จึงช่วยป้องกันไม่ให้น้ำไหลเซาะหน้าดินและรักษาระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ส่วนหวาย ก็ถือเป็นหนึ่งในพืชสำคัญที่ปลูกเพื่อชะลออัตราการชะล้างพังทลายของดินด้วยเช่นกัน

2. การสร้างฝายคอกหมูชะลอน้ำ ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยก่อสร้างด้วยท่อนไม้ขนาบด้วยถุงบรรจุทราย เพื่อช่วยกักเก็บน้ำ ลดการพังทลายของหน้าดิน และดักจับตะกอนที่ไหลมากับสายน้ำ ช่วยให้แหล่งน้ำในพื้นที่ตอนล่างเกิดการตื้นเขินช้าลง ช่วยให้ดินชุ่มชื้น ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ ได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต

3. การบูรณะระบบท่อน้ำโครงการป่าเปียก ณ วัดไร่มะม่วง พระราชดำรัส (ป่าดอนขุนห้วย) ให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แนวคิดป่าเปียกเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างแนวป้องกันไฟเปียก (Wet Fire Break) โดยการสูบน้ำขึ้นไปกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำบนภูเขาแล้วค่อย ๆ ปล่อยน้ำลงมาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ป่า กลายเป็น “ป่าเปียก” ซึ่งสามารถป้องกันไฟป่าได้เป็นอย่างดี

 

นายทินกร สินทรัพย์ หนึ่งในตัวแทนพนักงาน บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “ผมภูมิใจและดีใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ‘คน น้ำ ดี’ ในปีนี้ ทำให้ได้มีโอกาสร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากการทำประโยชน์ตอบแทนสังคมแล้ว ยังได้รับความรู้ใหม่ ๆ เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำจากเจ้าหน้าที่หน่วยจัดการต้นน้ำ รวมทั้งแนวคิดเรื่องป่าเปียกจากเจ้าอาวาสวัดไร่มะม่วง พระราชดำรัส (ป่าดอนขุนห้วย) ซึ่งตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้”

ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ริเริ่มจัดกิจกรรม “คน น้ำ ดี” ครั้งแรกในปี 2562 ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงพื้นที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ รวมถึงแหล่งน้ำสำคัญของประเทศในหลายจังหวัด และจะยังคงเดินหน้ากิจกรรมนี้ต่อไป โดยมุ่งพัฒนาระบบนิเวศเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่สังคมไทย

 

X

Right Click

No right click