

Synology หนึ่งในผู้นำด้านโซลูชันการจัดเก็บและปกป้องข้อมูล เปิด 3 ความท้าทายของอุตสาหกรรมภาคการศึกษาไทยในยุค e-Education หลังซอฟต์แวร์ SaaS รายใหญ่ ขึ้นราคาและลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลฟรีลง รายงานของ Netwrix เผย 80% ของสถาบันทั่วโลกถูกโจมตีอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี และต้องปฏิบัติตามระเบียบปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการศึกษาอย่างรัดกุม แนะใช้โซลูชัน On-Premise การวางระบบตั้งอยู่ภายในองค์กร ปิดความท้าทาย พร้อมชูโซลูชัน Synology Office Suite ตอบโจทย์ดีมานด์ตลาด ช่วยลดต้นทุน ซื้อครั้งเดียวไม่เสียค่ารายเดือน
เร็กซ์ หวง ผู้อำนวยการฝ่ายแอปพลิเคชัน บริษัท ซินโนโลจี้ จำกัด (Synology) เปิดเผยว่า ในยุคที่เทคโนโลยีการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคการศึกษาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Software as a Service (SaaS) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Google และ Microsoft ล่าสุด ยกเลิกแผนบริการพื้นที่เก็บข้อมูลไม่จำกัดฟรีและปรับลดฟังก์ชันการทำงาน ทำให้สถาบันการศึกษาต้องหันมาทบทวนระบบ SaaS ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และมองหาแนวทางแก้ไขในระยะยาวที่มีความยั่งยืนต่อการบริหารต้นทุนและความปลอดภัยของข้อมูลในภาคการศึกษาที่ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญ โดยความท้าทายที่ภาคการศึกษาต้องเผชิญมีดังนี้
1. ต้นทุนขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบาย SaaS รายใหญ่ในตลาดทั้ง 2 ราย ส่งผลให้สถาบันการศึกษาต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาพื้นที่เก็บข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานเดิม โดยเฉพาะสถาบันขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งอาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
2. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลพุ่ง จากรายงานของ Netwrix (2024) พบว่า 80% ของสถาบันการศึกษาทั่วโลกถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างน้อย 1 ครั้งในแต่ละปี เนื่องจากสถาบันการศึกษาจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ประวัตินักเรียน ข้อมูลการเงิน และงานวิจัย
3. กฎระเบียบรัดกุมขึ้น กฎระเบียบเฉพาะด้านการศึกษา เช่น FERPA และ GDPR มีข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นสำหรับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล สถาบันการศึกษาต้องมั่นใจว่าระบบของตนปลอดภัย เป็นส่วนตัว และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่โซลูชันประสิทธิภาพการทำงานสาธารณะอาจไม่สามารถริงรับได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
ทั้งนี้ส่งผลให้สถาบันการศึกษาเริ่มฟันมาใช้โซลูชัน Productivity หรือชุดซอฟต์แวร์ แบบติดตั้งภายในองค์กร (on-premise) หรือ การวางระบบตั้งอยู่ภายในองค์กร ที่มีการติดตั้ง server ภายในองค์กรจะช่วยให้สถาบันการศึกษามีการควบคุมข้อมูลที่มากขึ้น คาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ง่าย และเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการพื้นที่เก็บข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ต่างจากโซลูชัน SaaS ที่มักมีความเสี่ยงจากการปรับราคาหรือการเปลี่ยนฟีเจอร์การให้บริการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
![]()
เร็กซ์ หวง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการศึกษาให้สามารถหันไปใช้ชุดประสิทธิภาพการทำงานที่แบบ on-premise บริษัท มีบริการ Synology Office Suite สำหรับสถาบันการศึกษา ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูล ให้ความปลอดภัยแก่ข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย และยังช่วยลดต้นทุน มากไปกว่านั้น ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานร่วมกันและการสื่อสารด้วยเครื่องมือแบบครบวงจรเช่น Synology Drive, Office, MailPlus, Chat, Calendar, Contacts และ NoteStation เครื่องมือเหล่านี้มีฟีเจอร์ที่ช่วยนักเรียน อาจารย์ และคุณครู จัดการไฟล์ทำงานได้ง่ายและให้ข้อมูลปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดเก็บไฟล์อย่างปลอดภัย การกำหนดสิทธิ์การแชร์ที่ละเอียด การแก้ไขเอกสารแบบเรียลไทม์ และการส่งข้อความ
นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ดูแลระบบไอที สามารถจัดการระบบง่ายขึ้น ด้วย dashboard ที่รวมศูนย์ ระบบติดตามสถานะและเครื่องมือสำหรับตรวจสอบเพื่อความสอดคล้องกับกฎระเบียบ ทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง
“การบริการ SaaS รายใหญ่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะสั้น และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสถาบันการศึกษาในการทบทวนความเหมาะสมของระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โซลูชัน Productivity แบบ on-premise นำเสนอเส้นทางที่ยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ เสริมความปลอดภัยให้กับข้อมูล และสร้างรากฐานดิจิทัลที่มั่นคง เพื่อรองรับความต้องการด้านภาคการศึกษาที่เปลี่ยนแปลง”
กรุงเทพฯ, 28 มกราคม 2568 -- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570 โดยธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนในครั้งแรกด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่อยู่ในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการก็จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งสูงอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารคู่เทียบ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น จึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) จะยังคงสูงกว่า 19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ
สำหรับวงเงินส่วนที่เหลืออีก 14,000 ล้านบาท ธนาคารจะกำหนดกรอบการซื้อคืนและระยะเวลาอีกครั้ง โดยจะพิจารณาให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและมูลค่าหุ้น เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการซื้อหุ้นคืนในอีก 2 รอบที่เหลือจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นเช่นกัน
นายปิติ กล่าวสรุปว่า “นอกเหนือจากโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสมผ่านการไถ่ถอนตราสารหนี้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier1) และการลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปี 2567 การเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาอยู่ที่ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตและบริษัท ที ลิสซิ่ง
การดำเนินการอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเราในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทีทีบีเติบโตได้อย่างมั่นคงและส่งมอบประโยชน์กลับคืนสู่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”
แกร็บ ประเทศไทย รุดหน้าโครงการ Grab EV เผยยอดคนขับใช้รถ EV ให้บริการบนแพลตฟอร์มเกินหมื่นคัน พร้อมผนึกกำลัง 5 พันธมิตรใหม่ ได้แก่ SUSCO, Whale EV, AGEWAY, SHARGE และ Spark EV ร่วมเดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ชูโปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ” ให้คนขับเช่าซื้อ BYD Seal ผ่อนจ่ายเริ่มต้นเพียง 1,010 บาทต่อวัน เปิดเช่าแท็กซี่ไฟฟ้าโดยเพิ่มรถรุ่น Aion ES เป็นตัวเลือก พร้อมอัดส่วนลด-สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับการชาร์จไฟกว่า 600 สถานีทั่วประเทศ
![]()
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “โครงการ Grab EV ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วหลังจากที่เราได้ประกาศเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนคนขับแกร็บที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากก๊าซเรือนกระจก โดยปัจจุบันเรามีคนขับที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ และเดลิเวอรีโดยใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารวมกันเป็นจำนวนมากกว่าหมื่นคัน ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ 10 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สงขลา อุดรธานี และอุบลราชธานี”
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนคนขับที่ใช้รถ EV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาช่วยสนับสนุน โดยร่วมกันพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้า และเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ Grab EV อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เราได้จับมือกับ 5 พันธมิตรใหม่ อันได้แก่ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) (SUSCO), บริษัท ไบโอ แลป ซัพพลาย จำกัด (Whale EV), บริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด (บริษัทในเครือของ AGE Group ภายใต้ชื่อ AGEWAY), บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) และ บริษัท สปาร์ค อีวี จำกัด (Spark EV) ที่จะเข้ามาช่วยปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ และเพิ่มทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนขับยิ่งขึ้น” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านี้ แกร็บได้พัฒนาโปรแกรม รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับคนขับแกร็บ ดังนี้
· โปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ”: แกร็บได้ร่วมมือกับ SUSCO ผู้ให้บริการสินเชื่อยานยนต์ไฟฟ้า เปิดโอกาสให้คนขับแกร็บสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากประวัติในการให้บริการกับแกร็บ ทั้งนี้ คนขับสามารถเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal รุ่น Dynamic รุ่น Premium และ รุ่น AWD Performance ด้วยการผ่อนจ่ายรายวันเริ่มต้นที่ 1,010 บาทโดยหักรายได้จากการให้บริการในแต่ละวัน ในระยะสัญญา 5 ปี และไม่ต้องวางเงินดาวน์ พร้อมยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปีหรือ 160,000 กม. ฟรีค่าซ่อมบำรุงรักษาตามรอบ ฟรีประกันรถสาธารณะชั้น 1 รวมถึงการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากผู้ให้บริการตลอดอายุสัญญา
· โปรแกรม “เช่าครบจบบนแอป”: แกร็บจับมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการเช่าแท็กซี่ไฟฟ้า ได้แก่ Whale EV และ AGEWAY เปิดให้บริการเช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้าเพื่อให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab โดยได้มีการนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม จากเดิมที่มีเพียงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG EP ให้บริการ โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนขับแท็กซี่ ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองปล่อยเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีคนขับใช้รถรุ่นนี้ให้บริการแล้วกว่า 400 คัน
· สิทธิประโยชน์พิเศษจากสถานีชาร์จไฟฟ้า: แกร็บยังได้ขยายความร่วมมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า ได้แก่ SHARGE และ Spark EV เพื่อเสริมความมั่นใจให้คนขับแกร็บในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ โดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับคนขับแกร็บเป็นพิเศษ อาทิ อัตราค่าไฟพิเศษเพียง 5.84 บาทต่อหน่วย (จากราคาปกติ 7.5–9.5 บาทต่อหน่วย) สำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ ReverSharger 1และบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท จำนวน 1,000 รางวัลให้กับคนขับแกร็บสำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ Spark EV ภายในกุมภาพันธ์นี้
“การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่แกร็บมุ่งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากวงจรธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ GrabForGood หรือ แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เพียงร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและประโยชน์ของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการไปควบคู่กัน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนผ่านจำนวนของคนขับที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนับหมื่นคัน รวมถึงจำนวนผู้ใช้บริการที่เปิดฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า2 ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นับเป็นแรงผลักดันสำคัญที่่ทำให้เรามุ่งมั่นเดินหน้าสานต่อความตั้งใจในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในสังคมต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวปิดท้าย
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ประกาศความพร้อมดูแลการใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 5G, 4G ตลอดเทศกาลตรุษจีนปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 29 มกราคม 2568 อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติของชาวจีน โดยได้ยกระดับประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้งานที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนทั้งวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว โดยวางแผนรองรับพฤติกรรมการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค
คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านการค้าสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการชาวจีนยังได้ให้วันหยุดพิเศษแก่พนักงานเพื่อออกท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว ซึ่งมีแนวโน้มจะเดินทางกลับภูมิลำเนาและเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทได้เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย 5G และ 4G พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ขยายสัญญาณเพิ่มเติม เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทค ทั่วประเทศ รวมทั้งดูแลเครือข่ายไฟเบอร์ ให้ลูกค้าเน็ตบ้านทรูออนไลน์ได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยมีทีมวิศวกรติดตามและวิเคราะห์คุณภาพสัญญาณแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เราได้บูรณาการการทำงานระหว่างทีมต่างๆ ประกอบด้วย ทีมเน็ตเวิร์ก ทีมวิเคราะห์ข้อมูล ทีมภูมิภาค และศูนย์บริการลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสูงสุด โดยเฉพาะในพื้นที่จัดงานสำคัญเทศกาลตรุษจีนทั่วประเทศ”
![]()
เพิ่มสัญญาณความพร้อมเพื่อลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคช่วงเทศกาลตรุษจีนทั่วประเทศ อาทิ
· วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) จ. กรุงเทพฯ
· วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) จ.กรุงเทพฯ
· งานตรุษจีน เยาวราช จ. กรุงเทพฯ
· งานเทศกาลตรุษจีน (ถนนอาหารเมืองอุดรธานี) ประจำปี 2567 จ.อุดรธานี
· งานประเพณีแห่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ปากน้ำโพ (เทศกาลตรุษจีนปากน้ำโพนครสวรรค์) จ.นครสวรรค์
· ตรุษจีนสุพรรณบุรี มหัศจรรย์ 17 ปี มังกรสวรรค์ จ.สุพรรณบุรี
· งานราชบุรีไชน่าทาวน์ ประจำปี 2025 จ.ราชบุรี
· งานตรุษจีนศาลเจ้ามูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ จ.สงขลา
· เทศกาลตรุษจีนหาดใหญ่ บริเวณโรงเรียนศรีนครมูลนิธิ ถนนเทพสงเคราะห์ จ.สงขลา
· วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม (ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ) จ.ชลบุรี
· ศาลเจ้ากวนอู ไร่ไหหลำ จ.ชลบุรี
· เทศกาลตรุษจีนไชน่าทาวน์เมืองเชียงใหม่ 2568 จ.เชียงใหม่
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยกระดับการให้บริการครอบคลุมทั้งบริการ 5G, 4G, อินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง และ WiFi พร้อมระดมทีมปฏิบัติการดูแลโครงข่ายและบริการตลอด 24 ชั่วโมง ประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ หรือ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่นำระบบ AI มาเสริมประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังจัดหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจลงพื้นที่จุดเทศกาลสำคัญทั่วทุกภูมิภาค เพื่อดูแลและยกระดับคุณภาพบริการให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตลอดช่วงเทศกาลตรุษจีน
ลูกค้าทรู ดีแทค พร้อมรับความปังทั้งรัก ทั้งไลฟ์... รับปีมะเส็ง กับ ‘LUCKY’ together! รักดี ดวงดี.. ชีวิตดีขึ้นเยอะเลย เติมรักเสริมเฮง แบบไม่ต้องเลือก ไม่ต้องลุ้น ครบครัน ทั้งดวงดี.. ด้วยปฏิทินเสริมดวง ให้เริ่มต้นสิ่งดีในทุกวันมงคล โหลดเลย คลิก https://ss.true.th/s/lucky2025 งานดี.. ด้วยเบอร์มงคลยุค ๙ ให้ก้าวหน้าเรื่องงาน ก้าวล้ำข้ามปัญหา ก้าวไกลในหน้าที่การงาน รักดี.. ด้วยโปรโมชันเด็ด โดนใจ พร้อมแพ็กเกจเสริม รวมถึงพาเหรดสิทธิพิเศษหวานฉ่ำมากมาย แบบไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องรอ ก้าวหน้าโตไว ดวงดีถึงใจไปกับทรู ดีแทค พร้อมให้ส่งต่อความเฮงแบบล้ำๆ ด้วยคลิปอวยพรสุดพิเศษในรูปแบบ Hyper Realistic ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส และพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์จากมังกร สัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลนำพา
อุดมสมบูรณ์ความสมบูรณ์ และโชคลาภ พร้อมให้ทุกคนได้ร่วมส่งต่อความสุข เริ่มต้นปีใหม่จีนด้วยความโชคดีง่ายๆแค่คลิก https://vt.tiktok.com/ZS26snVMYS/
![]()
ลูกค้าทรู ดีแทค ! รักดี ดวงดี.. ชีวิตดีขึ้นเยอะเลย เติมรักเสริมเฮงรับปีมะเส็ง แบบไม่ต้องเลือก ไม่ต้องลุ้น ดังนี้
ลูกค้ารายเดือน
· เบอร์คู่มงคลคัดพิเศษ : เติมเต็มความเฮงรับตรุษจีน ด้วยเบอร์คู่มงคลคัดพิเศษ คู่ดีทุกคู่เลข ( 6 คู่ดี) ด้วยศาสตร์คู่เลข ของอ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา กับแพ็กเกจรายเดือนเริ่ม 899 บาท ตั้งแต่ 21 ม.ค. 68 - 31 มี.ค. 68
· เบอร์ฟันธงนาคราช : เสริมโชค รับทรัพย์ กับพญานาคราชประทานทรัพย์ให้ชีวิตเฮงรับตรุษจีน เบอร์ฟันธงนาคราช ผ่านพิธีบวงสรวงองค์พญานาคราช 6 สถานที่ 2 แผ่นดิน (ไทย-ลาว) โดย อ.ลักษณ์ โหราธิบดี แพ็กเกจรายเดือนเริ่ม 499 บาท ตั้งแต่ 21 ม.ค. 68 - 31 มี.ค. 68
· เบอร์มงคลทั่วไป ยอดนิยม : เบอร์สวยผลรวมดี (สวยตอง หรือสวยพรีเมียม 4 หลัก) แพ็กเกจรายเดือนเริ่ม 699 และ เบอร์คู่มงคลคัดพิเศษ คู่ดีทุกคู่ (6 คู่ดี) แพ็กเกจรายเดือนเริ่ม 899 ตั้งแต่ 21 ม.ค. 68 - 31 มี.ค. 68
· ลููกค้าทรู ดีแทครายเดือน ชีวิตดีเฮง ปีมะเส็ง ฟรีอั่งเปาเน็ต 25GB รับแพ็กเน็ต 45 GB (ปกติ 20GB +โบนัส 25GB) 7 วันเพียง 169 บาท ตั้งแต่ 20 ม.ค. - 1 ก.พ. 68 สมัครกด *900*8168#โทรออก หรือ สมัครได้ที่ True iService app , dtac app
· โปรปัง รับเฮง ซื้อ iPhone 16 ทั้งที ต้องที่ทรู ดีแทค เท่านั้น! กับโค้งสุดท้าย โปรข้ามเวลา การันตีราคาดีที่สุด ซื้อเดือนนี้ทุกรุ่น แลก iPhone รุ่นใหม่ เริ่มต้น 0 บาท! หรือ iPhone รุ่นฮิตอื่นๆ เฮงทุกดีล ราคาเกินคุ้ม บนเครือข่าย 5G ที่ดีที่สุดทั่วไทย พร้อมรับสิทธิ์ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000.-** และสิทธิพิเศษอีกเพียบๆ ตั้งแต่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 68
ลูกค้าเติมเงิน
· ลูกค้าทรู ดีแทค เติมเงิน เฮงเต็มสปีดกับ เน็ตเต็มสปีด 88 GB 88 บาท ใช้ได้ 8 วัน ตั้งแต่ 15 - 31 ม.ค. 68 พร้อมรับเงินคืน 25% ผ่านทรูมันนี่แอป ฯ
· เที่ยวไทยรับตรุษจีน! ซื้อซิม True dtac Tourist Infinite 449 บาทขึ้นไป เล่นเน็ตไม่อั้น พร้อมรับถุงส้มมงคลสุดพิเศษ ได้ที่บูธทรูดีแทคในสนามบินทั่วประเทศ ตั้งแต่ 16 ม.ค. 68 - 3 ก.พ. 68
· แก๊งค์เจนใหม่ เปิดซิม ทรูเซเว่น 99 บาท ได้เบิ้ลเบิ้ล เน็ต 18 GB (จากปกติ 9 GB) และ 14 วัน (จากปกติ 7 วัน) พร้อมเข้าYOU Student Club โดยอัตโนมัติรับสิทธิพิเศษเพียบ เฉพาะวัยทีน 7-24 ปีเท่านั้น ที่เซเว่นทุกสาขา
ทรูออนไลน์
· สมัครเน็ตบ้านทรู สุขกายสุขใจทั้งบ้าน รับฟรี! กล้องวงจรปิด ประกันภัยบ้าน-ชีวิต ซิมเน็ตมือถือ กล่องทรูไอดี ทีวี พร้อมชมความบันเทิงระดับโลกจากทรูวิชั่นส์นาว เน็ตบ้านแรง 500/500 Mbps เพียง 600 บาท/เดือน ลูกค้าซิมทรู ดีแทครับส่วนลดรายเดือนสูงสุด 300บาท/เดือน ตั้งแต่ 20 ม.ค. 68 - 28 ก.พ. 68
ติดตามสิทธิพิเศษแบบปังๆ จากทรูและดีแทคได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : TrueMove H และ dtac
การ์ทเนอร์เน้นย้ำถึงแนวโน้มสำคัญหลายประการที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของภาคยานยนต์ในปี 2568 ด้วยเหตุที่อุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบการปล่อยมลพิษและการเติบโตที่แข็งแกร่งจากจีน
เปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ซอฟต์แวร์และการใช้พลังงานไฟฟ้าจะยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสองประการในการเปลี่ยนแปลงของภาคยานยนต์ อย่างไรก็ตามในปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในเรื่องกฎระเบียบการปล่อยมลพิษและความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า"
ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่กำลังเปลี่ยนไปทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) ทำให้ประเด็นเรื่องกฎระเบียบการปล่อยมลพิษของยานยนต์กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลให้ผู้รับจ้างผลิตอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนหรือ OEMs บางรายอาจลังเลที่วางกลยุทธ์หลักของธุรกิจไว้ที่รถยนต์ไฟฟ้า การ์ทเนอร์ประเมินว่ายอดการจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้า (ประเภทรถโดยสาร รถยนต์ รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่) จะเติบโต 17% ในปี 2568 และคาดว่าในปี 2573 มากกว่าครึ่งของรถยนต์ทั้งหมดที่วางจำหน่ายและทำตลาดโดยผู้ผลิตนั้นจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การนำแนวคิด CASE มาปรับใช้ล่าช้า อุปสรรคทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปกำหนดและบังคับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของจีนจะทำให้การนำเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ความเป็นอิสระ ซอฟต์แวร์ และการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกรวมกันว่า CASE มาใช้ในทั้งสองภูมิภาคนี้ล่าช้าลง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจีนถือเป็นประเภทยานพาหนะที่มีความก้าวหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม
บิล เรย์ รองประธานอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ผู้ผลิตโดรนและบริษัทโทรคมนาคมจีนกำลังรับรู้ถึงผลกระทบจากมาตรการแทรกแซงทางการค้าระหว่างประเทศ และรายต่อไปก็คือผู้ผลิตหุ่นยนต์ การมีซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถอัปเดตได้ กล้องที่เข้าถึงได้จากระยะไกล และการผสานการเก็บข้อมูลเข้ากับโมเดลธุรกิจยานยนต์ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่จะเป็นตัวแบ่งแยกตลาดและชะลอการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้"
ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้เปรียบการแข่งขันในด้านซอฟต์แวร์และระบบพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากมีแนวทางการพัฒนาที่มีความเฉพาะและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง และราคาไม่แพง อย่างไรก็ตามอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจลดทอนข้อได้เปรียบดังกล่าวนี้ และทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสำหรับผู้บริโภคมีความหลากหลายลดลง ผู้ผลิตชิ้นส่วน OEM ต่าง ๆ ขยายความร่วมมือด้านซอฟต์แวร์กับผู้ผลิต OEM จากจีน ผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบกำลังประสบปัญหาในการพัฒนาความสามารถด้านซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ส่งผลให้หลายรายหันมาทำข้อตกลงกับผู้ผลิต OEM จากจีน เพื่อเข้าถึงสถาปัตยกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ (E/E) ของยานพาหนะ ทำให้พึ่งพาความสามารถด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากยิ่งขึ้น
กำลังการผลิตส่วนเกินกระตุ้นให้โรงงาน OEM ปิดตัว
กำลังการผลิตส่วนเกินเป็นความท้าทายสำหรับโรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งในยุโรปและอเมริกาเหนือมานานหลายปี การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่สหรัฐฯ และ EU กำหนดเมื่อเร็ว ๆ นี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์จีนอาจตั้งโรงงานในยุโรปและสหรัฐฯ หรือในประเทศพันธมิตรการค้าเสรี อาทิ โมร็อกโกหรือตุรกี เพื่อรักษาความสามารถด้านราคาให้แข่งขันได้
การ์ทเนอร์คาดว่าสถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การปิดตัวหรือขายโรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งที่มีอัตราการใช้งานต่ำให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง ที่นำไปสู่การปิดตัวโรงงานของซัพพลายเออร์ ประเด็นนี้จะเป็นการกำหนดทำเลการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ และยุโรปขึ้นใหม่ และทำให้ประเทศที่มีต้นทุนต่ำกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและเป็นห่วงโซ่อุปทานหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์
ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ ผอ.ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายมนตรี แก้วดวง ผอ.สถานีวิจัยลำตะคอง (สลค.) พร้อมด้วยทีมนักวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ ร่วมให้การต้อนรับ H.E. Renato U. Solidum, Jr. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Secretary of the Department of Science and Technology : DOST) และคณะผู้แทนจากหน่วยงานภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในโอกาสศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ณ สถานีวิจัยลำตะคอง จ.นครราชสีมา
ในการนี้ นายมนตรี แก้วดวง ได้นำเสนอภาพรวมภารกิจของสถานีฯ ที่มุ่งเน้นการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ดังนี้
*การสาธิตการผลิตพืชผล
*การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีทางการเกษตรมาช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับปรุงพันธุ์พืชและเพิ่มผลผลิต
*การส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์
*การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและแมลง
นอกจากนี้ นายเรวัตร จินดาเจี่ย นักวิจัย สลค. และ น.ส.บัณฑิตา เพ็ญสุริยะ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
![]()
ดร.คนึงนิจ บุศราคำ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญความหลากหลายทางชีวภาพ และน.ส.ภาวินี เขตร์นนท์ ได้บรรยายภารกิจศูนย์อนุรักษ์แมลงเขตร้อน
การเยือนของคณะผู้แทนฯ ฟิลิปปินส์ ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนางานวิจัยในอนาคต ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน
อนึ่ง วว. และหน่วยงาน Philippine Council for Agriculture, Aquatic and Natural Resources Research and Development (PCAARRD) ภายใต้ DOST ประเทศฟิลิปปินส์ มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการเกษตรในสาขา *การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ *การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ *การปรับปรุงและคัดเลือกสายพันธุ์พืช *การจัดการศัตรูพืช และ*เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
LH Bank จัดงานสัมมนา Opportunities Beyond Borders สำหรับกลุ่มลูกค้าที่สนใจการลงทุนในหัวข้อ “Taiwan Investment Forum” เจาะลึกภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนไต้หวัน พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกและเป็นผู้นำซัพพลายเชนเทคโนโลยี พร้อมเสนอขายกองทุนใหม่ LH Taiwan Growth and High Dividend Fund: LHTWGHD กองทุนหุ้นไต้หวัน IPO 13-20 ม.ค. 68 ชูโอกาสการลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) ที่เน้นปันผลและการเติบโต โดยมีผู้เชี่ยวชาญชั้นนำร่วมถ่ายทอดความรู้และมุมมองศักยภาพของตลาดกองทุนไต้หวัน
นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank ประธานเปิดงาน กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานสัมมนา Opportunities Beyond Borders ในหัวข้อ “Taiwan Investment Forum” เจาะลึกภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนไต้หวัน พร้อมเสนอขาย LHTWGHD กองทุนหุ้นไต้หวันที่ LH Bank และ LH Fund ร่วมมือกันเพื่อสร้างโอกาสลงทุนใน ETF ไต้หวันที่เน้นปันผลและ การเติบโตให้กับลูกค้า โดยมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมงานสัมมนาอย่างล้นหลาม โดยงานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรกิตติมศักดิ์และกูรูชั้นนำได้แก่ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้จัดรายการประวัติศาสตร์ 8 Minutes History – THE STANDARD นายธงชัย ชาสวัสดิ์ อดีตอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ, เอกอัครราชทูตไทยและผู้แทนรัฐบาลไทยในไต้หวัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในประเทศไต้หวันจาก CTBC Investments และ LH Fund มาร่วมเปิดมุมมองและวิเคราะห์การลงทุน พร้อมเปิดตัวกองทุน แอล เอช ไต้หวัน โกรท แอนด์ ไฮ ดิวิเดนด์ (LH Taiwan Growth and High Dividend Fund: LHTWGHD) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะไต้หวันซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่เติบโตด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า ไต้หวันมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และความสามารถในเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ทำให้ได้รับการยอมรับ ในฐานะผู้นำระดับโลกและเป็นฟันเฟืองสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน AI โดยอุตสาหกรรม AI โลกกำลังเติบโต อย่างก้าวกระโดด คาดการณ์ว่ามูลค่าการผลิตจะขยายตัวเฉลี่ย 17.3% ต่อปี และจะทะลุ 3.68 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 ด้วยบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไต้หวันกำลังเดินหน้าสร้าง ความเปลี่ยนแปลงในตลาดโลกและผลักดันเศรษฐกิจของไต้หวันให้เติบโตอย่างมั่นคง
LH Fund ได้เล็งเห็นความสำคัญในบทบาทของไต้หวันบนเวทีเศรษฐกิจโลก รวมทั้ง LH Fund เป็นบริษัทในกลุ่ม CTBC Bank ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่เป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A จาก S&P Global Ratings ทำให้ LH Fund โดดเด่นในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ ในไต้หวันเป็นอย่างดี ประกอบกับหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตและจ่ายเงินปันผลสูงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับ นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว
LH Fund จึงเปิดตัวกองทุน แอล เอช ไต้หวัน โกรท แอนด์ ไฮ ดิวิเดนด์ (LH Taiwan Growth and High Dividend Fund: LHTWGHD) ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศแบบ Feeder Fund ลงทุนในกองทุนหลัก CTBC TIP Customized Taiwan Growth and High Dividend ETF สกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (New Taiwan Dollar: NTD) จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน (Taiwan Stock Exchange) บริหารจัดการโดย CTBC Investments Co., Ltd. ซึ่ง LHTWGHD จะลงทุนในกองทุนหลักโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV มีระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงและ ความผันผวนของตลาดได้ โดยกองทุนหลักมุ่งหวังติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี TIP Customized Taiwan Growth and High Dividend Index (“ดัชนีอ้างอิง”) ประกอบด้วยหุ้น 50 บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล และมีศักยภาพการเติบโตระยะยาว เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและสูงกว่าตลาด
นายมนรัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน LHTWGHD จะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 13-20 มกราคม 2568 ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนครั้งแรกเริ่มต้น 1,000 บาท โดยสามารถทำรายการผ่าน LHFund Online หรือ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทุกสาขา หรือตัวแทนการขายหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.lhfund.co.th หรือ โทร 02-286-3484 กด 7
อย่างไรก็ดี ภายใต้ข้อมูลและความเห็นของผู้เชียวชาญ นักลงทุนพึงศึกษาและตระหนักในรปะเด็นคือ
· ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
· เนื่องจากกองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าปี 2568 เป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ การกีดกันการค้าที่ทวีความรุนแรง และ สงครามการค้ารอบใหม่ เป็นต้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้จะมีอะไรเป็นบวกหรือลบกับบริษัทบ้างนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่บริษัทต้องปรับกลยุทธ์และวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและการคว้าโอกาสให้แก่ธุรกิจ
สำหรับปัจจัยในต่างประเทศ - สหรัฐอเมริกา เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 แล้ว คาดว่าจะนำแนวนโยบายจากการหาเสียงมาใช้ ในกรณีของการปฏิรูปภาษี มีข้อเสนอเรื่องขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล และ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในบางกลุ่มธุรกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากพิจารณาถึงธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ในสหรัฐอเมริกา Aeroflex USA Inc. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท (บริษัทถือหุ้น 100%) ควรจะได้รับประโยชน์ในกรณีดังกล่าว ส่วนกรณีการใช้นโยบายอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานทั่วไป (Universal Baseline Tariff) ซึ่งจะกำหนดอัตราภาษีพื้นฐาน 10% หรือมากกว่า สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ตั้งเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ และ ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน Aeroflex USA Inc. นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจาก บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด, ประเทศไทย เพื่อนำไปผลิตต่อในสหรัฐอเมริกา โดยอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป ต่ำกว่าสินค้าสำเร็จรูป จึงต้องรอความชัดเจนของนโยบายฯ อีกครั้ง ส่วนประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับแรงงาน Aeroflex USA Inc. ใช้แรงงานที่มีทักษะและถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา อีกทั้ง ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อทดแทนแรงงานบางส่วน นอกจากนี้ นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสหรัฐอเมริกา ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐอเมริกาและส่งผลบวกต่อธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น เช่นกัน ในประเด็นสงครามการค้า ผลบวกที่จะเกิดขึ้นคือการย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทย โดยปัจจุบัน บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด เริ่มได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและสร้างโรงงานผลิตใหม่ ได้แก่ โรงงานผลิตยานยนต์ EV และ Data Center เป็นต้น
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ เผชิญกับความท้าทายที่สำคัญจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศและผู้บริโภคเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหดตัว ได้แก่ หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น กำลังซื้อลดลง ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อยานยนต์ และการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายยานยนต์จีน เป็นต้น ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงคาดหวังว่าจะสามารถลดภาระหนี้ครัวเรือน รวมทั้งการผ่อนปรนเกณฑ์อนุมัติสินเชื่อยานยนต์ เพื่อช่วยให้ยอดขายยานยนต์ในปี 2568 กลับมาเติบโตอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ได้กระจายความเสี่ยงด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อส่งขายให้แก่ค่ายยานยนต์ญี่ปุ่น รวมทั้ง มุ่งเน้นผลิต
![]()
สินค้านวัตกรรมที่มีน้ำหนักเบาซึ่งเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งรถยนต์สันดาป และรถยนต์ EV ด้วยมาตรฐานการผลิตของ Aeroklas ส่งผลให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ Aeroklas ผ่านการตรวจสอบจากค่ายยานยนต์จีน ซึ่ง จะได้รับโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในอนาคต เมื่อตลาดยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถกระบะในจีนเติบโตขึ้น
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลีย Aeroklas Asia Pacific Group Pty. Ltd. (AAPG) ออสเตรเลีย อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร โดยยุติการดำเนินงานใน TJM Off-Road Products Inc. สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีต้นทุนในการดำเนินการสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม AAPG ออสเตรเลีย จะเป็นผู้ดูแลลูกค้าในสหรัฐอเมริกาต่อไป
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP เผชิญกับสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง จึงต้องสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลูกค้า เน้นการเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม โดย EPP มีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต รวมถึงมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก./ GMP/ HACCP/ BRC และ FSC จึงสามารถขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น และในปีนี้จะเตรียมขยายตลาดต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติก
สำหรับราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมี มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยยุคเฟื่องฟูของปิโตรเคมีผ่านพ้นไปแล้ว โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกจีน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ที่เกิดใหม่และการเพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมากทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน และคาดว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใต้รัฐบาลใหม่ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทซึ่งเป็นผู้ใช้วัตถุดิบหลักประเภท HDPE/ PP/ PS และ PET จะได้รับประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ลดลง
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ในปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67 – มี.ค.68) บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตประมาณ 8 - 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30 - 33% โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปีบัญชี 67/68 (เม.ย. - ก.ย.67) บริษัทมียอดขาย 7,182 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 6,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34% เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่ามีกำไรสุทธิ 391 ล้านบาท ลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) อย่างไรก็ตาม กรณี ECL ที่เกิดขึ้น บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นขั้นตอน ปัญหาในกระบวนการผลิตของธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ Supply chain ทั้งหมด ซึ่งเริ่มเห็นการปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
การดำเนินงานของธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas และ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP สามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจ อีกทั้ง บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุนอย่างสม่ำเสมอ คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้(ต.ค.67 - มี.ค.68) ธุรกิจจะสามารถเติบโตได้ดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ยืดเปล่า (YUEDPAO) แบรนด์เสื้อผ้าขวัญใจมหาชนคนรุ่นใหม่ ประกาศเปิดตัวเสื้อยืดตัวละ 100 บาท “New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ ที่เกิดจากการนำเสียงของลูกค้า (Voice of Customer - VoC) มาพัฒนาเสื้อยืดรุ่น “Ultra soft Non-Iron” ที่ขายดีอันดับ 1 ตลอดกาลของแบรนด์ยืดเปล่า หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เสื้อยืดตัวละ 100 บาท” ขวัญใจมหาชนที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลกว่าหลายล้านตัว ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่คู่กับแบรนด์ มากว่า 6 ปี นำมาอัพเกรดคุณภาพ 6 คุณสมบัติ โดยชูจุดเด่น “นุ่มแต่ไร้ขุย” เป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ Customer Centric ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับ 1 มาตลอดการดำเนินธุรกิจจนก้าวสู่ปีที่ 7
คุณทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด กล่าวว่า “สิ่งที่ YUEDPAO ให้ความสำคัญมาตลอดการดำเนินธุรกิจคือเรื่อง Customer Centric หรือการให้ความสำคัญกับลูกค้า เป็นศูนย์กลาง ทำให้แบรนด์สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ จากเสียงสะท้อนของลูกค้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ในโอกาสก้าวสู่ ปีที่ 7 ของแบรนด์นี้ YUEDPAO ได้นำเสื้อยืดรุ่น Ultra soft Non-Iron ซึ่งเป็นสินค้าขวัญใจมหาชนที่ขายดีอันดับ 1 ตลอดกาลของ YUEDPAO ซึ่งเรียกกันในหมู่ลูกค้าว่า เสื้อยืดตัวละ 100 บาท มาพัฒนาต่อยอดจากคุณสมบัติเดิม เพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ตามเสียงเรียกร้องของลูกค้า จนกลายเป็น “New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ เพื่อเป็นการขอบคุณและแสดงถึงความจริงใจในการให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เติบโตมาพร้อมกับแบรนด์ เพราะ YUEDPAO เชื่อว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งต้องเกิดจากความรักลูกค้า และมีลูกค้าเป็นส่วนสำคัญในการร่วมสร้างแบรนด์ให้เติบโตขึ้นผ่านการรับฟัง ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ โดยแบรนด์ได้ทำการแทนที่เสื้อยืด Ultra soft Non-Iron ให้กลายเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ของ YUEDPAO ที่เริ่มต้นจากการมอบสิ่งดีๆ ให้ลูกค้า”
![]()
ดังนั้น “New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ จึงเกิดจากการตั้งใจรวบรวมเสียงของลูกค้า เป็นเวลากว่า 1 ปี มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เสื้อยืดตัวละ 100 บาท (Ultra soft Non-Iron) จากเดิมเสื้อยืดรุ่นนี้โดดเด่น ในเรื่อง ไม่ย้วย ไม่หด ยับยาก ไม่ต้องรีด ผ้านุ่มใส่สบาย แล้วนำมาพัฒนาจากคอมเมนต์หรือคำแนะนำจากลูกค้า ด้วยการปรับส่วนผสมของเนื้อผ้าใหม่ ด้วยโครงสร้างใหม่เส้นด้าย Cotton Comb และ Micro Polyester ที่ละเอียดที่สุดผสานกับเทคโนโลยีการทอที่เป็นเกลียวแน่น ทำให้ผ้ามีความละเอียดนุ่มมากและทนทานมาก เป็นเนื้อผ้าแบบใหม่ที่ “นุ่มแต่ไร้ขุย” มั่นใจได้ ในความทนทานมากขึ้นด้วยการทดสอบด้วยการซักมากถึง 50 ครั้ง เทียบเท่ากับการใส่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 1 ปี การันตีว่า ไม่ย้วย ไม่ขึ้นขุยแน่นอน”
![]()
คอลเลกชัน “New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ เวอร์ชันใหม่นี้มีความโดดเด่นคือ
· คงความ “ยืดแต่ไม่ย้วย” อย่างเป็นเอกลักษณ์ ไม่หด ยับยาก ไม่ต้องรีด
· ส่วนผสมเนื้อผ้าแบบใหม่ สัมผัสที่นุ่มและแน่น สวมใส่สบาย ใช้เทคโนโลยีการทอที่ละเอียดขึ้น ไม่ย้วย รับรู้ได้ตั้งแต่สัมผัสแรก
· ไม่เป็นขุย ผ่านการทดสอบด้วยการซักถึง 50 ครั้ง
· มีสีใหม่ๆ ทั้งหมด 18 สี
· เพิ่มไซส์จาก S - 6XL ครอบคลุมทุกสรีระ (ยกเว้นรุ่น Long-sleeve มีถึงไซส์ 4XL)
· ราคาคุ้มค่า ตัวละ 100 เท่าเดิม
“New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ มาพร้อมกิจกรรมพิเศษเพื่อเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ โดยการนำเสื้อ Ultra soft Non-Iron หรือ เสื้อตัวละ 100 รุ่นเก่า มาแลกสิทธิในการซื้อ “New Ultrasoft Non-Iron” เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่ทุกไซซ์ในราคาพิเศษ 66 บาท (จากปกติ 100 บาท) เพื่อร่วมสัมผัสประสบการณ์ของความ “นุ่มแต่ไร้ขุย” ผ่านทุกสาขา โดยมีระยะเวลาการจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 17 - 19 มกราคม 2568
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสั่งซื้อสินค้า NEW! Ultra soft Non-Iron หรือ เสื้อยืดตัวละ 100 ในตำนานโฉมใหม่