

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) เดินหน้าผลักดันการสร้างความรู้ด้านการลงทุนให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดหลักสูตร "Fund Playbook Mastery" คอร์สเรียนออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจลงทุน ร่วมเจาะลึก Playbook ไขสูตรการลงทุน โดยคอร์สเรียนออนไลน์นี้จะเน้นการยกระดับความรู้ด้วยหลักการง่ายๆ เข้าถึงได้ทุกคน ถอดรหัสความสำเร็จจากนักลงทุนตัวจริง พร้อมแชร์เทคนิคการลงทุนแบบมืออาชีพที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนผ่านกองทุนให้เติบโตในระยะยาวและเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการลงทุนมาร่วมให้ความรู้ความเข้าใจในทุกมิติ ตลอดจนกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับทุกจังหวะตลาดและสไตล์การลงทุน นำโดย คุณเฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี เจ้าของเพจ WEALTH ME UP นักลงทุนมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนกว่า 20 ปี ที่เข้าใจ Insight นักลงทุนมือใหม่ และคุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer, InnovestX
พิเศษสุดสำหรับลูกค้า InnovestX ที่เข้าร่วมสัมมนามีโอกาสรับคำปรึกษาส่วนตัวฟรี พร้อมเทคนิคการแก้พอร์ตจากผู้แนะนำการลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมคอร์ส "Fund Playbook Mastery" ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ได้ที่ https://invs.info/4hn2qDT
หัวข้อเรียนคอร์สออนไลน์ “Fund Playbook Mastery”
(LIVE ผ่าน Zoom เวลา 9.00 - 12.00 น.)
-อาทิตย์ที่ 2 ก.พ. 68: เข้าใจทุกมิติของสินทรัพย์ลงทุน พร้อมเคล็ดลับสร้างพอร์ตเติบโตด้วยกองทุน
โดยคุณเฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี WEALTH ME UP และ New Gen Investor
และคุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer, InnovestX
- อาทิตย์ที่ 9 ก.พ. 68: กลยุทธ์การเลือกกองทุน และการจัดพอร์ตที่เหมาะสมกับทุกจังหวะตลาดและสไตล์การลงทุนของคุณ โดยคุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer, InnovestX
- Workshop 16 ก.พ. 68: เทคนิคแก้พอร์ต ลงมือทำพร้อมได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดโดยผู้เชี่ยวชาญ
จาก บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ โดยคุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer
และผู้เชี่ยวชาญการลงทุน จากทีม Wealth Products & Strategy
ปัญหามลพิษทางอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของผู้คนในเขตเมืองทั่วโลก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่ระดับฝุ่น PM2.5 มักสูงเกินค่ามาตรฐานอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และสภาพแวดล้อมโดยรวมของทุกคนในเมือง
การจัดการกับปัญหามลภาวะทางอากาศจำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่เห็นผลได้จริง ที่นอกจากจะสามารถลดมลพิษได้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมด้วย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT ได้นำความเชี่ยวชาญมาพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์ พร้อมแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ต้องเผชิญร่วมกัน

นายเคอร์ติส คู ผู้อำนวยการธุรกิจประจำประเทศไทยของเดลต้า ประเทศไทย กล่าว “มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน อย่างไรก็ตามด้วยความร่วมมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพอากาศและคุณภาพชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา ระบบคุณภาพอากาศภายในอาคารของเดลต้าหรือ Delta Indoor Air Quality (IAQ) ได้รับการติดตั้งในครัวเรือนหลายแห่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพอากาศให้กับหลายครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญ”
ความอันตรายของฝุ่น PM2.5: ทำไมอากาศสะอาดจึงเป็นเรื่องที่รอไม่ได้
อนุภาคฝุ่น PM2.5 เป็นภัยอย่างมากต่อสุขภาพของทุกคน เพราะมีขนาดเล็กจนสามารถแทรกซึมลึกเข้าไปในปอดได้ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของผู้คน 7 ล้านคนต่อปี และประชากรโลกถึง 92% อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีคุณภาพอากาศต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของ WHO
สำหรับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ รายงานล่าสุดของศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครพบว่า ระดับฝุ่น PM2.5 มักสูงเกินค่าแนะนำที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่ระดับฝุ่นสามารถพุ่งสูงได้ถึง 70-
100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร การที่ร่างกายต้องสัมผัสกับมลพิษในระดับสูงเช่นนี้เป็นเวลานาน ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
นวัตกรรมเพื่ออากาศบริสุทธิ์
เดลต้าให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพอากาศ ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความยั่งยืน โดยได้ออกแบบเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพอากาศภายในอาคารซึ่งเป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ถึง 90% ในแต่ละวัน และพร้อมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพอากาศภายนอกอาคารด้วยเช่นกัน
เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ (ERV) และระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (FAS): เดลต้าได้พัฒนานวัตกรรมประสิทธิภาพสูงเพื่ออากาศบริสุทธิ์ในอาคาร โดยเทคโนโลยีเครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ หรือ ERV นั้นมีความโดดเด่นด้านการรักษาสมดุลอุณหภูมิและความชื้นภายในอาคาร พร้อมทั้งช่วยประหยัดพลังงาน ในขณะที่ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ หรือ FAS เป็นระบบที่ช่วยนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามาหมุนเวียนภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองนวัตกรรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคาร โดยสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้สูงถึง 97% ผ่านระบบกรองอากาศหลายชั้นที่มีประสิทธิภาพสูงและแผ่นกรอง HEPA ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานจะได้รับอากาศบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีเสียงใบพัดมารบกวนใจ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในที่อยู่อาศัย
พัดลมระบายอากาศ: เดลต้าได้นำมอเตอร์ DC brushless ที่ทันสมัยมาใช้กับพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและการทำงานที่เงียบเป็นพิเศษ พัดลมเหล่านี้ช่วยระบายอากาศภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีเสียงที่เบากว่าพัดลมทั่วไปนอกจากความเงียบแล้ว พัดลมระบายอากาศของเดลต้ายังช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึง 70% ทำให้ผู้ใช้งานได้รับทั้งความสะดวกสบายและยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
เครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร UNOnext: เดลต้าได้พัฒนาเครื่องตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร UNOnext เพื่อยกระดับการจัดการคุณภาพอากาศให้ดียิ่งขึ้น ด้วยระบบอัจฉริยะที่ติดตามและวิเคราะห์คุณภาพอากาศภายในอาคารได้แบบเรียลไทม์ และยังสามารถตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศได้อย่างครอบคลุม ทั้งปริมาณฝุ่น PM2.5 ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ และความชื้น นอกจากนี้ UNOnext ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ ERV และระบบระบายอากาศของเดลต้า เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปรับค่าคุณภาพอากาศในอาคารและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพให้น่าอยู่สำหรับทุกคน

สถานีชาร์จ EV ของเดลต้าติดตั้งอยู่ใน 66 ทาวเวอร์ ณ สำนักงานใจกลางเมือง.
การสนับสนุนระบบคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: นอกเหนือจากโซลูชันเพื่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร เดลต้ายังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่เมืองที่มีสาเหตุหลักจากการคมนาคมขนส่ง โดยเดลต้าได้เร่งขยายโครงข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ปี 2553 กลุ่มบริษัทเดลต้าได้จัดส่งสถานีชาร์จ EV กว่า 1.5 ล้านเครื่องทั่วโลก เพื่อสนับสนุนทางเลือกด้านการคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยมลพิษในระดับสากล
เดลต้าให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน ภาครัฐ และภาคธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาโซลูชันที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิต ท่ามกลางแรงกดดันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการขยายตัวของเมืองและมลพิษที่เพิ่มขึ้น บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออากาศบริสุทธิ์และเมืองที่ยั่งยืนต่อไปอย่างไม่ลดละ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป
LINE BK ผู้นำด้าน Social Banking ของไทย ประกาศความสำเร็จในปี 2567 ด้วยยอดผู้ใช้งานกว่า 7.4 ล้านรายทั่วประเทศ และยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 22,000 ล้านบาท สะท้อนความไว้วางใจจากลูกค้า ในปี 2568 LINE BK มุ่งพัฒนาบริการด้วยเทคโนโลยี AI และเตรียมพร้อมสู่ยุค Virtual Bank เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในโลกการเงินดิจิทัล
ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 LINE BK สร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนลูกค้าใช้บริการสินเชื่อกว่า 700,000 บัญชี และยอดสินเชื่อที่ปล่อยรวมตั้งแต่เปิดให้บริการสูงกว่า 98,000 ล้านบาท พร้อมยังคงบริหารจัดการพอร์ทสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาอัตราหนี้เสีย (NPL) ที่ 3% ในส่วนของบริการด้านประกัน โดยบริษัท กสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ประกันชีวิต มีหนี้ไม่มีห่วง" และ "ประกันออมทรัพย์ ออมใจ 11/5" เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้เปิดตัว “ประกันชีวิตเบาใจ 10/10” เมื่อต้นเดือนมกราคม เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงความคุ้มครองที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับความต้องการมากยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2568 ทิศทางการดำเนินงานของ LINE BK จะมุ่งเน้น 3 แนวทางหลักดังนี้
1. พัฒนาบริการการเงินที่ครบวงจร LINE BK มุ่งยกระดับแพลตฟอร์มให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยี AI ที่คาดการณ์ความต้องการทางการเงินได้อย่างแม่นยำและตอบสนองได้ทันที เตรียมพร้อมสู่ยุค Virtual Bank และโลกแห่ง AI เพื่อรองรับทุกความต้องการอย่างครบถ้วน
2. ขยายฐานลูกค้า LINE BK จะมุ่งเน้นการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ โดยใช้ข้อได้เปรียบของฐานผู้ใช้งาน LINE ที่มีจำนวนถึง 56 ล้านคน ทำให้บริการของ LINE BK เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
3. เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน LINE BK ยังคงมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมมอบประสบการณ์การเงินที่ดีที่สุดผ่านบริการบัญชีเงินฝาก การทำธุรกรรม โอน ถอน สแกนจ่าย สมัครบัตรเดบิต และบริการด้านประกัน
“ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นสำหรับธุรกิจการเงิน จากที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ก้าวเข้าสู่การให้บริการ Virtual Bank ทั้งนี้ LINE BK ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านการใช้เทคโนโลยี AI สำหรับบริการทางการเงิน มุ่งมั่นปรับตัวและไม่หยุดพัฒนา เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน พร้อมสร้างบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และมอบประสบการณ์ที่สะดวก เข้าถึงง่าย และตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น” ธนา กล่าวปิดท้าย
*คำแนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อ: กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยวงเงินให้ยืม 18%-25% ต่อปี วงเงินให้ยืมนาโน 33% ต่อปี
**คำแนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัย: LINE BK Insurance Broker ในฐานะนายหน้าประกันภัย รับประกันภัยโดย บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) ได้เผยแพร่ผลการวิเคราะห์แนวโน้มของทองคำสำหรับปี 2568 โดยเน้นว่าอัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนปริมาณความต้องการทองคำในปี 2568
ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทองคำได้แสดงผลตอบแทนที่โดดเด่นในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโตรายปีสูงที่สุดในรอบ 24 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความต้องการทองคำผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนสำหรับปี 2567 ทองคำมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.5% สูงกว่าสินทรัพย์หลักประเภทอื่น ๆ ทั้งหมด ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากบทบาทของทองคำในการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนของตลาดที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยตลอดทั้งปีราคาทองคำจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอนที่ทำการซื้อขายช่วงบ่าย (LBMA Gold Price PM) ได้ทำสถิติแตะระดับสูงสุดใหม่ถึง 40 ครั้ง โดยราคาสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ของทองคำครั้งล่าสุดนั้นอยู่ที่ 2,777.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก ให้ความเห็นว่า “การซื้อทองคำของธนาคารกลางและนักลงทุนได้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของความต้องการภาคผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก นักลงทุนจากภูมิภาคเอเชียนั้นยังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ลดลงและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 3 ของปี 2567 ได้กระตุ้นกระแสการลงทุนจากฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาดและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยอธิบายถึงผลการประกอบการที่น่าทึ่งนี้”
ตลาดโดยรวมคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวภายในกรอบจำกัด สำหรับปี 2568
สภาทองคำโลกได้เปิดเผยว่า ความเห็นของตลาดโดยรวมนั้นคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมเป็น 1.00% ภายในสิ้นปี 2568 โดยที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงแต่ยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมาย ด้านธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้เคียงกันเช่นกัน สถานการณ์นี้อาจบ่งชี้ว่าผลการประกอบการของทองคำจะอยู่ในระดับปานกลางสำหรับปีนี้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามากระตุ้นในช่วงระหว่างปีนี้ได้ ทั้งนี้ การดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจสร้างแรงกระตุ้นให้กับเศรษฐกิจในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความวิตกกังวลในระดับหนึ่งให้กับนักลงทุนทั่วโลกเช่นกัน
ภายใต้บริบทนี้ การดำเนินการของธนาคารกลางสหรัฐและความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ฯ ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทองคำ แต่อย่างไรก็ดีช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่กำหนดผลการดำเนินงานของทองคำ โดยสภาทองคำโลกได้ใช้กรอบแนวทางการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทุกปัจจัยและภาคส่วนที่ผลักดันอุปสงค์และอุปทานของทองคำ จากการวิเคราะห์บนพื้นฐานของ QaurumSM สภาทองคำโลกเชื่อว่าหากเศรษฐกิจโลกเป็นไปตามการคาดการณ์ในปี 2568 ทองคำอาจมีการซื้อขายภายในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา และอาจมีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ในบางสถานการณ์ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยได้พุ่งสูงขึ้นในปี 2567
สภาทองคำโลกยังได้กล่าวถึงความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยในปี 2567 ที่มีความแข็งแกร่งและโดดเด่นอย่างน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยทองคำเป็นสินทรัพย์ที่คนไทยเลือกและลงทุน ในช่วงที่เศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศมีความไม่แน่นอน
คุณเซาไก ฟาน กล่าวเสริมว่า “เราพบว่านักลงทุนไทยได้มองทองคำเป็นทั้งเครื่องมือรักษามูลค่าของทุนและการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้ว่าในระดับโลกความต้องการจะลดลง 9% แต่ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของผู้บริโภคไทยกลับสวนทางและเพิ่มขึ้นถึง 15% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียนสำหรับไตรมาสดังกล่าวอีกด้วย”
เงินเฟ้อและความเสี่ยงต่าง ๆ อาจช่วยกระตุ้นความต้องการทองคำให้สูงขึ้น
นโยบายการคลังที่เป็นมิตรกับธุรกิจมากขึ้น ผสานกับแนวทาง "America First" ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นมีแนวโน้มที่จะช่วยปรับปรุงความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนและผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (Risk-On) ในช่วงเดือนแรก ๆ ของปี อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือนโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานหรือไม่
นอกจากนี้ความกังวลต่อเรื่องหนี้สาธารณะในยุโรปก็ได้กลับมาสร้างความกดดันอีกครั้ง ไม่นับว่าความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ในประเทศเกาหลีใต้และซีเรียเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สภาทองคำโลกเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เช่น ทองคำ เพื่อเป็นเครื่องมือในการตอบรับกับสภาวะการณ์ดังกล่าว
ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารกลางนั้นเป็นผู้ซื้อสุทธิมายาวนานเกือบ 15 ปีติดต่อกัน1 และถึงแม้ว่าความต้องการทองคำจากธนาคารกลางในปีนี้อาจต่ำกว่าสถิติปีในที่ผ่านมา แต่สภาทองคำโลกมองว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดตอบแทนของทองคำได้ในระดับประมาณ 7-10% นอกจากนี้ธนาคารกลางจะยังคงเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญต่อทิศทางของทองคำต่อไป ซึ่งการซื้อทองคำของธนาคารกลางนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายและยากที่จะคาดการณ์เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการสำรวจและวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกได้ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงอยู่ในทิศทางเดิม และคาดการณ์ว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางระยะยาวโดยประมาณจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 500 ตัน และจะยังคงส่งผลกระทบสุทธิเชิงบวกต่อผลตอบแทนทองคำ ทั้งนี้สภาทองคำโลกมองว่าความต้องการของธนาคารกลางในปี 2568 อาจสูงกว่าระดับดังกล่าวได้ แต่ในทางกลับกันหากลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์สภาวะนี้อาจเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดทองคำได้เช่นกัน
บทสรุปภาพรวมของทองคำในปี 2568 การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกซึ่งอ้างอิงจากโมเดลของ QaurumSM ระบุว่า หากความคาดหวังของตลาดในปัจจุบันนั้นถูกต้อง ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบไม่กว้างมาก (Rangebound) อย่างไรก็ตามการผสานระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อนักลงทุนและผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย
ในทางกลับกันหากอัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และหากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสภาวะตลาดเป็นไปในทิศทางที่ทรุดตัวลงกว่าเดิม ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผลการดำเนินงานของทองคำปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางซึ่งยังคงแข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนตลาดทองคำต่อไป ท้ายที่สุดแล้วราคาทองคำนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 4 ประการ ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงต่าง ๆ ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุน และแรงผลักดันของแนวโน้มจากทิศทางตลาด
สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ iNT (อิ๊นท์) ตอกย้ำบทบาทการสนับสนุนธุรกิจ Start-Up และการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัย นวัตกรรม ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความพร้อมในการให้คำปรึกษาและโอกาสในการเชื่อมโยงเครือข่ายกับพันธมิตรระดับโลก
iNT เป็นส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดลที่มีเป้าหมายในการนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของ มหาวิทยาลัยไปสู่ศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ โดยให้ความสำคัญ อย่างยิ่งกับการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัยให้ถูกนำไปสร้างเป็นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม มีส่วนช่วยในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ในปัจจุบัน iNT มีเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ พร้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการส่งเสริมการนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยให้สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ที่ตอบโจทย์ของตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ
บริการของ iNT ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาและให้บริการด้านการจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายทางการค้า พร้อมผลักดันและส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือ Licensing Commercialization เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย
การสนับสนุนให้เกิดการบ่มเพาะธุรกิจ Startup : Entrepreneurial Ecosystem
ด้วยหลากหลายโครงการที่จะส่งเสริมให้บุคลากรและนักศึกษามีแนวคิดในการเป็นเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Incubation Program บ่มเพาะ Startup โครงการ iNT Accelerate การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech Technology) ผ่านกระบวนเร่งสปีดที่เรียกว่า Acceleration Program รวมไปถึงการให้บริการพื้นที่ Co-Working Space ภายใต้ชื่อ MaSHARES นอกจากนี้ทางสถาบัน iNT ยังมีการจัดหาทุนสนับสนุนในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม เพื่อนำทุนไปต่อยอด ในการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมต่อไปในอนาคต อาทิ ทุน Innovation Fund เพื่อพัฒนานวัตกรรมและผู้ประกอบการเพื่อไปสู่เชิงพาณิชย์, Youth Startup Fund, ทุน Talent Mobility ที่ให้อาจารย์นักวิจัยได้ไปทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม ด้านบริการวิจัยและวิชาการ โดยมีการจัดตั้งศูนย์ย่อยในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม คือ ศูนย์ร่วมคิดพาณิชย์นวัตกรรม (MICC) เป็นศูนย์การในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม โดย iNT มีพาร์ทเนอร์มากมาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น และ หน่วยงานเอกชน อาทิเช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, SCG เป็นต้น
เครือข่ายพาร์ทเนอร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบัน iNT สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนสนับสนุนต่อยอดนวัตกรรมไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก สร้าง Real World Impact สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมต่อไป
สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานอธิการบดี ชั้น 2 999 ถนน พุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม 73170 โทร. 02-849-6050
ภาครัฐเผยตัวเลขส่งออกไทยปี 67 ทะลุ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดปี 68 ผ่าคลื่นสถานการณ์โลกโตได้อีก 2-3% ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เผยอุตสาหกรรมอาหารไทยกลุ่มอาหารแช่แข็งและแปรรูปยังเป็นดาวรุ่ง พร้อมเดินหน้ายกระดับงาน ProPak Asia 2025 เป็นเวทีการค้าและเจรจาธุรกิจสำคัญสำหรับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารระดับภูมิภาค ด้านผู้เชี่ยวชาญและบริษัทชั้นนำร่วมจัดแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหารล่าสุด คาดปีนี้ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 80,000 คน มูลค่าเจรจาการค้าทะลุ 5,500 ล้านบาท
นายสรรชาย นุ่มบุญนํา ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มและทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทยในปีที่ผ่านมา (ปี 2567) เป็นปีที่อุตสาหกรรมอาหารไทยมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ล่าสุดเผยว่าการส่งออกไทยปี 2567 สามารถส่งออกได้ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีการขยายตัวถึง 5.4% โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 6.0% โดยสินค้าเกษตรขยายตัว 10.7% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 6.7%
ส่วนปี 2568 นั้น ภาพรวมของสถานการณ์โลกยังอยู่บนความไม่แน่นอน จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก แต่อย่างไรก็ตามยังมีสัญญาณเชิงบวกของปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ GDP โลกที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.7% เศรษฐกิจในอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงและความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อเป็นวัตถุดิบและบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้ากลุ่มอาหารที่ขยายตัวได้ดี อาทิ ไก่สดแช่เย็นและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่แข็งและแห้ง อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ฯลฯ
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต โดยใช้งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มายกระดับสินค้าให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยที่สูงขึ้น เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและพัฒนาอาหารแห่งอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ รวมถึงจำเป็นต้องมีกระบวนการผลิตและการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาสู่เศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ซึ่งจะสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่เดินหน้าหาตลาดการค้าใหม่ๆ และทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการทำข้อตกลง FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือเอฟตา (EFTA) เป็นผลสำเร็จและยังมีการเร่งเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา โดยทั้งหมดจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย
ในส่วนของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia งานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เครื่องจักรและโซลูชั่นในกระบวนการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ที่ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ชั้นนำของเอเชียนั้น ได้มีการยกระดับการจัดงาน ProPak Asia 2025 ให้มีความสำคัญในการเป็นเวทีความร่วมมือทางธุรกิจ การเจรจาการค้า การลงทุน การสร้างพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงเป็นประตูเชื่อมต่ออุตสาหกรรมแปรรูปและผลิตอาหารของภูมิภาค ในการนำเสนอ ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีล่าสุดของโลกสู่ผู้ประกอบการ
สำหรับแนวคิดการจัดงาน ProPak Asia 2025 ครั้งนี้ คือ “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอุตสาหกรรมการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Carbon-Neutral Pathways to Sustainable Processing and Packaging Ecosystem) ที่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแนวทางหรือกลยุทธ์ที่มุ่งลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เท่ากับศูนย์ (Carbon Neutral) ในทุกกระบวนการของการผลิต การแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสียและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันลดการปล่อยคาร์บอนในทุกส่วน
ดังนั้นงาน ProPak Asia 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานแสดงสินค้าที่นำเสนอเพียงโซลูชันล้ำสมัย จากบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก ด้านการผลิตและแปรรูป ผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทุกส่วนของอุตสาหกรรมฯ แต่ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตในภูมิภาคและเป็นช่องทางสร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกได้พบกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการเข้าร่วมงานในปีนี้
งาน ProPak Asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2025 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com
ในยุคที่ธุรกรรมออนไลน์และการใช้บัตรเครดิตเป็นเรื่องปกติ มิจฉาชีพก็พัฒนากลโกงหลากหลายรูปแบบเพื่อหลอกลวงผู้ใช้บัตรเครดิต การป้องกันตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ! ทรู ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แนะ 10 วิธี ใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ
1️. ปรับวงเงินบัตรเครดิตให้เหมาะสม
ตั้งวงเงินการใช้จ่ายตามความจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงหากบัตรถูกขโมยหรือถูกแฮกโดยมิจฉาชีพ
2. เก็บบัตรเครดิตไว้กับตัว อย่าให้คลาดสายตา
ระวังการให้พนักงานร้านค้า หรือบุคคลอื่นถือบัตรของคุณเป็นเวลานาน เพราะอาจมีการลักลอบถ่ายข้อมูลบัตรโดยที่ไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ส่งให้ใช้งาน ต้องอยู่ในสายตาเสมอ ตัวอย่างเช่น การรูดบัตรในปั้มน้ำมัน
3. ไม่เปิดเผยข้อมูลบัตรเครดิตกับผู้อื่น
เลขบัตรเครดิต วันหมดอายุ และรหัส CVV (เลข 3 ตัวท้าย) เป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรบอกใคร แม้แต่เจ้าหน้าที่ธนาคาร ก็จะไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดนี้ และเจ้าหน้าที่ตัวจริง ก็จะต้องไม่ขอข้อมูลนี้ผ่านทางโทรศัพท์หรืออีเมล
4. ปิดเลข CVV ด้านหลังบัตร
ใช้เทปกาวสีทึบ หรือเมจิกสีเข้มเขียนทับเลข CVV เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกลักลอบนำไปใช้
5. ใช้บัตรเครดิตกับร้านค้าที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
เลือกซื้อสินค้ากับร้านค้าที่มีระบบความปลอดภัยที่ดี และหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ดูไม่น่าไว้ใจ หรือหากเป็นลูกค้าทรู ดีแทค เมื่อมีการเข้าเว็บไซต์ที่ผิดปกติ และระบบ True CyberSafe มีการแจ้งเตือนให้ระวัง ควรต้องหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บนั้น เพื่อลดโอกาสถูกโจรกรรมข้อมูล
6. เปิดระบบแจ้งเตือนธุรกรรมทาง SMS และแอปพลิเคชันธนาคาร
สมัครบริการแจ้งเตือนการใช้จ่ายผ่าน SMS และแอปของธนาคาร เพื่อรับรู้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ หากมีการใช้จ่ายที่ไม่ได้ทำเอง จะสามารถระงับบัตรได้ทันที การแจ้งเตือนผ่านทั้ง 2 ทางจะช่วยให้ไม่พลาดการรับรู้ทุกการใช้จ่าย
7. หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตผ่าน Wi-Fi สาธารณะ
การกรอกข้อมูลบัตรเครดิตผ่านเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะอาจทำให้ข้อมูลของคุณถูกดักจับโดยแฮกเกอร์ ใช้อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยหรือเครือข่ายมือถือของคุณเองแทน
8. ตรวจสอบรายการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ
เช็กใบแจ้งยอดบัญชีทุกเดือน และหากพบธุรกรรมที่ไม่คุ้นเคย ให้ติดต่อธนาคารทันทีเพื่อตรวจสอบและดำเนินการแก้ไข
9. ไม่บันทึกข้อมูลบัตรเครดิตในเว็บไซต์หรือแอปที่ไม่น่าเชื่อถือ
แม้ว่าการบันทึกบัตรจะช่วยให้ซื้อของออนไลน์ได้สะดวกขึ้น แต่หากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันไม่ปลอดภัย อาจถูกแฮกและขโมยข้อมูลได้ ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ควรบันทึกบัตรในแอปช้อปปิ้ง ควรต้องยอมเสียเวลากรอกเลขบัตรทุกครั้งที่จะใช้งานผ่านแอป
10. รีบอายัดบัตรทันทีเมื่อพบความผิดปกติ
หากพบว่า บัตรสูญหาย ถูกขโมย หรือมีธุรกรรมที่ไม่ได้ทำเอง ให้ติดต่อธนาคารทันทีเพื่ออายัดบัตรและป้องกันความเสียหาย
"ป้องกันไว้ดีกว่าแก้" การใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวังและตระหนักถึงความปลอดภัยจะช่วยให้คุณใช้จ่ายได้อย่างมั่นใจ ห่างไกลจากมิจฉาชีพ
รายละเอียดเพิ่มเติม “True CyberSafe” ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe
ก่อนเปิดจองซื้อหุ้นกู้ STA ที่จะเริ่มวันแรกในวันที่ 31 มกราคม และวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2568 ด้านสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายเผยกระแสตอบรับดี ชูจุดเด่นหุ้นกู้ STA หลายประการ ทั้งความหลากหลายของอายุ ผลตอบแทนที่น่าพอใจระหว่าง 3.40-4.00% ต่อปี อันดับความน่าเชื่อถือที่ “A-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ความเสี่ยงของหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ 3 (จากความเสี่ยงสูงสุดระดับ 8) รวมถึงโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมยาง และแนวโน้มราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA หนึ่งในผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย กำหนดเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน โดยจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 31 มกราคม และ 3-4 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ซึ่งเป็น “ระดับลงทุน” (Investment grade) จากทริสเรทติ้ง
ด้านสถาบันการเงินชั้นนำในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เปิดเผยว่า หลังจากผู้ลงทุนรับข่าวสารการเสนอขายหุ้นกู้ STA ผ่านช่องทางต่างๆ ปรากฏว่า ได้รับกระแสตอบรับอย่างน่าพอใจ เนื่องจากหุ้นกู้ STA ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน ทั้งอายุหุ้นกู้ที่หลากหลาย ทำให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนจัดสรรเงินลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A-” และแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ จึงมั่นใจว่าในการเสนอขายหุ้นกู้ STA ในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ STA สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย
(ซึ่งรวมถึง บล.กสิกรไทย ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)
พนมเปญ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการศึกษาระดับภูมิภาคด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกัมพูชา ในวันที่ 17 มกราคม 2568 คณะผู้บริหารจุฬาฯ นำโดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เข้าเยี่ยมคารวะ ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอนรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งเป็นศิษย์เก่าหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เข้าเยี่ยมคารวะ ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอน
การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นขยายความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งในด้านการศึกษา และการวิจัย ไม่เพียงแต่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภาคการศึกษาระหว่างสองประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังร่วมหารือการยกระดับการศึกษาของกัมพูชาผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย โดยจะมีนำ AI มาช่วยเสริมสร้างรูปแบบการเรียนการสอน เพิ่มการเข้าถึงการศึกษาแก่เยาวชนทั่วภูมิภาคอย่างยั่งยืน ซึ่งการหารือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของจุฬาฯ ในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการศึกษาและความร่วมมือที่เปิดกว้างในอาเซียน
นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมการประยุกต์ใช้วิศวกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างพลังสะอาดจากแสงอาทิตย์ และการสร้างหุ่นยนต์อำนวยความสะดวก ณ สถาบันเทคโนโลยีกัมพูชา (Institute of Technology of Cambodia – ITC) ภายใต้การบริหารของ ศ.ดร.โพ คิมโถ ศิษย์เก่าหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ และ ดร.โพ คิมโถ ผู้บริหารสถาบันเทคโนโลยีกัมพูชา (ITC)
เจ้าหญิงนีน่า นโรดม ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่สะท้อนถึงบทบาทของจุฬาฯ ในการสร้างผู้นำและขับเคลื่อนวัฒนธรรมของกัมพูชา โดยในโอกาสนี้ เจ้าหญิงนีน่า มีกำหนดการพบปะกับคณะผู้บริหารจุฬาฯ เพื่อพูดคุยถึงความประทับใจในช่วงที่ทรงศึกษา ณ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รวมถึงร่วมหารือถึงแนวทางความร่วมมือทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างสองสถาบันในอนาคต

เจ้าหญิงนีน่า นโรดม ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และ คณะผู้บริหารจุฬาฯ
ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาของกัมพูชา โดยนำความรู้และทักษะความเป็นผู้นำที่ได้รับจากการศึกษาในจุฬาฯ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ สะท้อนถึงความร่วมมือด้านการศึกษาที่ยาวนานระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีศิษย์เก่าจุฬาฯ ชาวกัมพูชา จำนวน 10 คน เข้าร่วมพบปะกับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของจุฬาฯ ในหมู่นักศึกษาชาวกัมพูชา ซึ่งศิษย์เก่าหลายคนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในแวดวงการศึกษา รัฐบาล และอุตสาหกรรมของราชอาณาจักรกัมพูชา

ดร.ฮง คิมเชือง ศิษย์เก่าสาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยี Kampong Speu Institute of Technology (KSIT) และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการฯ มีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือครั้งนี้
ปัจจุบัน มีชาวกัมพูชาที่กำลังศึกษาและทำวิจัยที่จุฬาฯ จำนวน 11 คน ประกอบด้วยนิสิตระดับปริญญาตรี คณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 7 คน นิสิตระดับปริญญาตรี คณะวิทยศาสตร์ จำนวน 1 คน นักวิจัยจำนวน 2 คนในคณะพยาบาลศาสตร์ และสถาบันวิจัยสังคมศาสตร์ รวมถึงบุคลากรจำนวน 1 คน ในคณะแพทยศาสตร์
บริษัทเบอร์สัน (Burson) ผู้นำด้านการสื่อสารระดับโลกที่มุ่งสร้างคุณค่าให้กับองค์กรต่างๆ ได้เปิดเผยผลสำรวจระดับโลกเกี่ยวกับทัศนคติด้านสุขภาพของ Gen Z พบว่ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้เรื่องการดูแลสุขภาพรายงาน "Gen Z: เรียกร้องการเข้าถึงและการเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลสุขภาพ" เป็นการสำรวจขนาดใหญ่ที่สุดโดยบริษัทด้านการสื่อสาร ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากคน Gen Z อายุ 18-27 ปี จำนวน 5,000 คนใน 10 ประเทศ การศึกษานี้ยังใช้ข้อมูลจาก Decipher Health ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ใหม่ของเบอร์สันที่ช่วยวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวสาร เพื่อพัฒนาการสื่อสารระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในระบบสาธารณสุข
ผลสำรวจพบว่า หลังจากการระบาดของโควิด-19 คน Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยมีความกังวลด้านสุขภาพกายร้อยละ 56 และสุขภาพจิตร้อยละ 57 ขณะที่ให้ความสำคัญกับทั้งสองด้านเท่ากันที่ร้อยละ 59 ซึ่งต่างจากความเชื่อทั่วไปที่มองว่า Gen Z สนใจเรื่องสุขภาพจิตมากกว่าสุขภาพกาย
"Gen Z คือปจจุบันของการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่แค่อนาคต ถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมศักยภาพให้พวกเขาในฐานะผู้บริโภคด้านสุขภาพยุคใหม่" เบรนนา เทอร์รี่ หัวหน้าฝ่ายลูกค้าสุขภาพระดับโลกของเบอร์สันกล่าว "ผลการวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่า มีโอกาสมากมายสำหรับองค์กรด้านสุขภาพในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัลและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต การเข้าใจความต้องการและความสนใจของ Gen Z จะช่วยให้เราสร้างความไว้วางใจ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และพัฒนาประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์พวกเขาได้ดียิ่งขึ้น"
ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นแนวโน้มสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของ Gen Z ดังนี้:
1. Gen Z ต้องการการดูแลสุขภาพของตนเองแม้ระบบจะน่าผิดหวัง:
· ร้อยละ 67 ของ Gen Z พอใจกับการดูแลสุขภาพของตนเอง
· แต่ยังพบอุปสรรคด้านค่าใช้จ่าย การสื่อสาร และข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
· ร้อยละ 46 รู้สึกว่าการได้รับความสนใจจากบุคลากรทางการแพทย์เป็นเรื่องยาก
2. Gen Z ยังคงเน้นการพบแพทย์แบบตัวต่อตัว
· แม้เป็นคนยุคดิจิทัล แต่ยังไม่เชื่อมั่นข้อมูลสุขภาพออนไลน์และการรักษาทางไกล
· ร้อยละ 80 เคยพบข้อมูลสุขภาพที่ผิดพลาดทางออนไลน์
· มากกว่าร้อยละ 60 ชอบพบแพทย์แบบตัวต่อตัวมากกว่า เพราะรู้สึกได้รับการดูแลที่ดีกว่า
3. Gen Z เปิดรับข้อมูลจากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ
· พร้อมรับฟังข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์
· ร้อยละ 55 เชื่อว่าบริษัทด้านสุขภาพสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้
"ในฐานะคน Gen Z ผลวิจัยนี้สะท้อนประสบการณ์ของดิฉันที่ว่า คนรุ่นของเราต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของวงการสาธารณสุข" เฮย์ลีย์ สแกนดูรา ผู้บริหารฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเบอร์สัน และหนึ่งในผู้นำการจัดทำรายงานนี้กล่าว "แม้จะมีความเข้าใจผิดว่าคนรุ่นของดิฉันไม่สนใจดูแลสุขภาพ แต่ดิฉันเชื่อว่าหากผู้ให้บริการด้านสุขภาพและบริษัทต่างๆ ทุ่มเทเวลา ใส่ใจ และสื่อสารกับพวกเรามากขึ้น จะช่วยลดความไม่พอใจที่คนรุ่นเรามีต่อระบบสาธารณสุข และส่งเสริมให้เรามีสุขภาพที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย"
Decipher Health: เครื่องมือวิเคราะห์ความเข้าใจและการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากการสำรวจทั่วโลกแล้ว รายงานนี้ยังใช้ Decipher Health วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่มีผลต่อกลุ่ม Gen Z โดยระบบ AI นี้แสดงให้เห็นความสอดคล้องระหว่างผลการวิเคราะห์กับการสำรวจ ตัวอย่างเช่น การสำรวจพบว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาดแพร่หลายในสื่อออนไลน์ที่ Gen Z ใช้ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ซึ่ง Decipher Health ให้คะแนนความน่าเชื่อถือสูงถึงร้อยละ 92 แสดงว่ากลุ่ม Gen Z ยอมรับว่าเป็นความจริง เมื่อขยายการวิเคราะห์ไปยังกลุ่ม Millennials และ Gen X พบว่ามีคะแนนความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 91 และ 89 ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นว่า Gen Z มีความกังวลคล้ายคลึงกับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่วงการสาธารณสุขให้ความสำคัญ
"Decipher Health เป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับงานวิจัยแบบดั้งเดิมของเรา ทำให้เข้าใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Gen Z ได้แม่นยำยิ่งขึ้น เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้เราออกแบบการสื่อสารที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายทั้ง Gen Z และกลุ่มอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการคาดเดาในการสร้างเนื้อหา และสามารถทดสอบผลได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น" วิกกี้ เลฟโก หัวหน้าฝ่ายสุขภาพดิจิทัลระดับโลกของเบอร์สันกล่าว "ทั้งนี้ บริษัทด้านสุขภาพสามารถติดต่อเบอร์สันทั่วโลกเพื่อขอรับคำปรึกษาในการวางกลยุทธ์การสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่ม Gen Z ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้"