

“ธนาคารออมสิน” และ “เอ้ก ดิจิทัล” ผู้นำธุรกิจด้านวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และการตลาดดิจิทัล โชว์ความสำเร็จการยกระดับเตือนภัยมิจฉาชีพทางการเงินให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัย ผ่านแคมเปญ "จับไต๋ภัยมิจฯ" ใช้พลังดาต้าและเทคโนโนโลยี AI จับอินไซต์ผู้บริโภคแต่ละเจเนอเรชัน วิเคราะห์กลลวงและช่องทางที่มิจฉาชีพหรือมิจจี้ยุคดิจิทัลนิยมใช้ พร้อมนำไปประมวลผลและสร้างสรรค์เป็นหนังสั้นออนไลน์ชุด #จับไต๋ภัยมิจฯ ที่รวมเล่ห์เหลี่ยมและวิธีป้องกันมิจจี้ในรูปแบบที่สนุกสนาน เข้าใจง่าย และจดจำได้เร็ว รวม 20 เวอร์ชัน โดยเผยแพร่ผ่านช่องทาง TikTok GSB Society เพื่อกระตุ้นประชาชนให้ตื่นตัว รู้เท่าทันทุกกลโกง และป้องกันตัวเองด้วยเทคนิคง่ายๆ ไม่คุย ไม่คอล ไม่กด ไม่ส่ง ไม่โอน! รวมตลอดทั้งแคมเปญมียอดชมหนังสั้นรวมกว่า 27 ล้านวิว
ธนาคารออมสิน เล็งเห็งความสำคัญของภัยมิจฉาชีพทางการเงินที่ยังคงระบาดและลุกลามอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาทางธนาคารได้เปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยมิจฉาชีพทางการเงิน GSB Contact Center 1115 กด 6 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งเหตุภัยมิจฉาชีพผ่านช่องทาง LINE: GSB NOW ซึ่งจากรายงานของศูนย์รับแจ้งเหตุภัยมิจฉาชีพทางการเงินของออมสิน พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 นับจนถึงเดือนกรกฎาคม 2567 มีผู้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพและโทรแจ้งเหตุกับศูนย์ฯ สูงถึงกว่า 56,000 เคส โดยถูกหลอกลวงด้วยกลโกงหลากหลายรูปแบบและหลากหลายช่องทาง ทำให้กลุ่มลูกค้าของธนาคารสูญเสียเงินจำนวนมากและยังตกอยู่ในสภาวะเครียดทางจิตใจ ธนาคารออมสินจึงต้องการเดินหน้าส่งเสริมความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทยทุกคนผ่านแคมแปญ ‘จับไต๋ภัยมิจฯ’ จัดทำคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอสั้นและภาพเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ช่วยชี้ให้เห็นตัวอย่างกลโกงของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเก่าและใหม่ เช่น หลอกให้กลัว, หลอกให้ถ่ายรูป หรือถ่ายวิดีโอใบหน้า, หลอกให้บอกรหัส PIN หรือ OTP, หลอกส่ง SMS, หลอกให้กดลิงก์ เป็นต้น พร้อมแนะนำวิธีป้องกัน หรือระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเมื่อต้องเผชิญกับมิจฉาชีพในสถานการณ์เหล่านั้น
![]()
โดยธนาคารออมสินได้ร่วมมือกับเอ้ก ดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพในการสื่อสารของแคมเปญ โดยเอ้ก ดิจิทัลรับหน้าที่ในการนำความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า พลัง AI และ MarTech Solution มาสนับสนุนแคมเปญในทุกมิติ ทั้งการวางแผนและสร้างสรรค์หนังสั้นในรูปแบบ Edutainment ที่น่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ประชาชนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีรายได้น้อย ซึ่งมักตกเป็นเหยื่อได้ง่าย และกลุ่มเป้าหมายรองที่เป็นกลุ่มเยาวชนและคนทำงาน จำนวน 20 เวอร์ชัน วางกลยุทธ์การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพตลอดแคมเปญ ซึ่งธนาคารออมสินหวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยลดปัญหามิจฉาชีพทางการเงิน พร้อมช่วยให้คนไทยรู้ทันทุกกลโกง ไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทุกรูปแบบ โดยตลอดระยะเวลาการจัดแคมเปญตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 31 ธันวาคม มียอดชมหนังสั้นทุกเวอร์ชันรวมกว่า 37 ล้านวิว เกินเป้าหมายไปกว่า 3,000% และสามารถเข้าถึงคนไทยได้มากกว่า 34 ล้านคน (Reach) เกินเป้าหมายไปกว่า 2,000% นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจำนวนผู้ติดตามถึง109,000 Followers สูงกว่าเป้าหมายถึง 100%
นางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันมิจฉาชีพพัฒนารูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลาและเข้าหาเป้าหมายจากหลายช่องทาง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการหลอกลวงไม่ได้เจาะเฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ขยายวงกว้างสู่กลุ่มคนทุกเพศทุกวัย นี่ถือเป็นความท้าทายในการร่วมกันแก้ปัญหา ซึ่งเอ้ก ดิจิทัลรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญนี้ เราได้นำ First-Party Data ของธนาคารออมสินและ TikTok มาจัดระเบียบข้อมูลและกำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยแบ่งตามพฤติกรรม (Behavioral Segmentation) จากนั้นใช้ศักยภาพ AI ในการหาอินไซต์เชิงลึกเกี่ยวกับประเภทของมิจฉาชีพที่เกิดขึ้นบ่อย, กลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อ, ช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ และเทรนด์คอนเทนต์ที่ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มสนใจ พร้อมนำผลลัพธ์ไป Customize สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
นอกจากนี้ยังใช้ MarTech Solution ในการวางแผนการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งถือเป็นชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่ที่เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มแมส โดยบริษัทฯ ผสานความร่วมมือกับ TikTok Creator ที่มีฐานแฟนคลับตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างหนังสั้นที่ตรงใจแต่ละกลุ่ม โดยเรื่องราวของหนังแต่ละเวอร์ชันจะสอดแทรกความรู้ในรูปแบบที่สนุกสนาน กระชับ ใช้ภาษาที่คนทุกเพศทุกวัยเข้าใจและจดจำได้ง่าย อีกทั้งยังใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การสื่อสาร กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและกำหนดเวลาที่เหมาะสมในเผยแพร่ ตลอดจนติดตามผลการตอบรับของผู้ชมอย่างต่อเนื่องผ่านเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตามการตอบรับของผู้ชม โดยแคมเปญนี้ตั้งเป้าหมายมียอดการชมหนังสั้นไม่ต่ำกว่า 3 ล้านวิว ซึ่งบริษัทฯ สามารถผลักดันยอดวิวให้บรรลุเป้าหมายได้ตั้งแต่เปิดตัวหนังสั้นได้เพียงหนึ่งเดือน”
ธนาคารออมสินและเอ้ก ดิจิทัล อยากให้ทุกคนตั้งสติ หยุดคิด และนำข้อปฎิบัติดี ๆ จากแคมเปญนี้ไปป้องกันตัวเองจากมิจฉาชีพทางการเงิน หากพบเจอสถานการณ์น่าสงสัย อย่าลืม! ไม่คุย ไม่คอล ไม่กด ไม่ส่ง ไม่โอน
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเสริมสถานะให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบี ที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารยูโอบี และ สกพอ. จะนำความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่มีมาร่วมนำเสนอโซลูชันทางการเงินและบริการให้คำปรึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการลงทุนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักตามกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อันได้แก่ ยานยนต์ยุคใหม่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียวและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมือระหว่างธนาคารยูโอบี และ สกพอ. แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเราจะให้การสนับสนุนแบบครบวงจรแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมและการพัฒนาในภูมิภาคนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของ สกพอ.”
ความร่วมมือครั้งนี้จะครอบคลุมโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการร่วมกัน อาทิ แคมเปญส่งเสริมการลงทุน การจัดโรดโชว์สำหรับนักลงทุน และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDIA) ของธนาคาร ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2563 หน่วยงาน FDIA ของยูโอบีได้สนับสนุนให้บริษัทกว่า 450 แห่งขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทย โดยคาดว่าสร้างมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 31,000 ตำแหน่ง
![]()
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “การร่วมมือกับธนาคารยูโอบี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทย การดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารยูโอบีในประเทศไทย และเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ สกพอ. ในการเสนอโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับโครงการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าที่หลากหลายและขยายตัวเพิ่มขึ้นของธนาคารยูโอบี โดยทั้งสององค์กรมุ่งมั่นดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างโอกาสให้กับชุมชนในประเทศไทย”
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างปัจจัยบวกให้ประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับบริการธนาคารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ คำแนะนำด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เป็นต้น
“การศึกษา” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญแห่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติ ทว่า การจัดการระบบการศึกษาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จำต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เวลา และเทคโนโลยี
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ก่อตั้งโครงการ “ทรูปลูกปัญญา” เพื่อร่วมพัฒนาและขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบัน ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 17 แล้ว
ในการณ์นี้ True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนวัยเรียน 3 คนที่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 ได้ใช้คลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ส่องสว่างเส้นทางการศึกษา
เสาหลักภายใต้ห้วงการเปลี่ยนผ่าน
![]()
จ๊ะจ๋า - จิณณาภา ญานะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เธอเป็นเด็กที่เติบโตมาจากการศึกษา 2 ระบบ โดยเข้ารับการศึกษาระบบโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ต่อมาเธอตัดสินใจเข้ารับการศึกษาในระบบโฮมสกูล (Home School) ซึ่งเป็นการศึกษาในระบบรูปแบบหนึ่งตาม พรบ. การศึกษา พ.ศ. 2545 มาตรา 12 ที่ให้สิทธิบุคคลหรือหน่วยงานในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ในกรณีโฮมสกูลนั้น จะใช้บ้านเป็นฐานการเรียนรู้ มีการจัดแผนการเรียนโดยอิงจากความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ภายใต้คำแนะนำของศึกษานิเทศก์
“ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างประถมสู่มัธยม พี่ชายจ๊ะจ๋ามีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์มาก และกำลังมองหาระบบการศึกษาที่เอื้อต่อความสนใจของเขา แม้ตอนนั้น หนูจะเด็กมาก แต่ก็รู้สึกว่าโลกนอกตำรายังมีสิ่งน่าสนใจอีกมาก หนูจึงตัดสินใจย้ายมาระบบโฮมสกูลเช่นกัน” จิณณาภา เล่าถึงภูมิหลังทางการศึกษา
ในห้วงแห่งเปลี่ยนผ่านนั้น เธอยอมรับว่า เธอเองก็เผชิญกับความยากลำบากด้านการจัดการหลักสูตร เนื่องจากยังไม่ค้นพบแนวทางการเรียนรู้ของตนเอง แม้ระบบโฮมสกูลจะให้อิสระและความยืนหยุ่นแก่ผู้เรียน
ทั้งในแง่หัวข้อและเวลา แต่ขณะเดียวกัน ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างมากเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพราะด้วยแนวคิดและวิธีการของระบบโฮมสกูล ผู้เรียนคือ เจ้าของการเรียนรู้ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ คุณแม่ผู้เคยทำหน้าที่ครูในระบบโรงเรียนมาก่อน จึงแนะนำเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ ให้เป็นทางออก
“เพราะแต่ละเทอม หนูจะต้องรวบรวมผลงานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาเพื่อเทียบเคียงวุฒิฯ กับหลักสูตรแกนกลาง และด้วยทรูปลูกปัญญานี้เอง ทำให้หนูจับหลักหาแนวทางของตัวเองได้” เธอกล่าวและเสริมว่า “นอกจากการสอนที่มีคุณภาพจากคุณครูที่ช่วยให้เราเห็นการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมในโลกแห่งความจริงได้แล้ว ช่วงท้ายของวิดีโอยังมีการสรุปบทเรียนออกมาเป็นประเด็นๆ ทั้งยังสามารถพิมพ์ออกมาให้เราเทคโน้ต ที่สำคัญ ยังมีใบงานที่ทำให้เราได้ทบทวนความเข้าใจของบทเรียน ใช้เป็นร่องรอยหลักฐานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาได้เลย”
เป็นระยะเวลาราว 7 ปีกับห้องเรียนอันกว้างใหญ่ จิณณาภาได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวตามความถนัด ด้วยกระบวนการเรียนรู้อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟอร์มทีมแข่งขันประกวดสื่อสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนโครงการแอปพลิเคชันเกม ตลอดจนงานอดิเรกอย่างงานเย็บปักถักร้อย
“โฮมสกูลทำให้หนูได้มีโอกาสทดลองเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่จำกัดด้วยกรอบของหลักสูตรฯ เท่านั้น เพราะโลกคือห้องเรียน” จิณณาภา กล่าว
ภายหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระบบโฮมสกูล จิณณาภาเลือกกลับเข้าสู่ระบบการศึกษากระแสหลักอีกครั้ง โดยได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะด้วยหลักสูตรที่มีความเป็นสหวิชา กอปรกับนิสัยรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการทำงานทางความคิดของเธอ ทำให้เธอตกผลึกทางความคิดต่อประเด็นด้านการศึกษาว่า
“การศึกษาคือ เครื่องมือในการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การศึกษาที่มีคุณภาพ จึงควรเป็นเครื่องมือที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในการศึกษาระบบไหน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เข้าถึงการศึกษาด้วยเช่นกัน ซึ่งทรูปลูกปัญญาได้ทำหน้าที่นั้นอย่างแท้จริง กล่าวคือ การทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้ทุกคนได้เข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะ
เป็นคนชอบสรุป คนชอบเนื้อหาเชิงลึก รวมถึงความยืดหยุ่น ที่ทำให้เราเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้” จิณณาภา กล่าว
ค้นหาแรงบันดาลใจ-ความถนัดทางการศึกษา

ไปรท์ - วราเทพ ชื่นตา นิสิตชั้นปีที่ ๅ คณะครุศาสตร์ สาขาประถมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เขาเป็นหนึ่งในผลผลิตทางการศึกษาจากค่านิยมของสังคม กล่าวคือ สังคมไทยโดยผู้ใหญ่รุ่นพ่อรุ่นแม่มักมีมายาคติ “เรียนเผื่อเลือก” รวมถึงการเหมารวม (Stereotype) ของการศึกษา ทำให้เกิดค่านิยมเลือกแผนการเรียนสายวิทย์-คณิตในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างกว้างขวาง แม้เด็กบางคน จะยอมรับว่าชื่นชอบหลักวิชาทางสังคมศาสตร์มากกว่า นำมาสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาที่จำกัดกรอบการเรียนรู้ของผู้เรียน
“จริงๆ แล้ว ผมชอบวิชาสังคมศึกษา เพราะมันทำให้ฝึกการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงตรรกะ และการเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ต่อปรากฏการณ์สังคม แต่ด้วยค่านิยมทางการศึกษาและคำชี้แนะกึ่งบังคับของผู้ใหญ่ จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งพอเจอวิชาคำนวณอย่างฟิสิกส์ เคมีเข้าไป ผมทิ้งเลย ขมขื่นมากๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่ชอบการคำนวณ” วราเทพ บอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียน
แต่เมื่อเลือกแล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อ โฟกัสและหาเป้าหมายต่อไปในสายวิชาที่ชื่นชอบ ภายหลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในคณะที่วาดฝันไว้จึงเป็นคณะครุศาสตร์ ทว่า การสมัครเข้าคัดเลือกในคณะดังกล่าว จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาความถนัดครู (TPAT5) วราเทพจึงหาวิถีทางในการเตรียมสอบฯ โดยรบกวนผู้ปกครองให้น้อยที่สุด นั่นจึงทำให้เขาพบกับคลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ภายในเว็บไซต์มีคลังข้อสอบ และแบบทดสอบจำลองเสมือนจริง ทำให้เขา “เข้าใจ” ถึงหลักคิด และ “จับทาง” บททดสอบ ตั้งแต่ระดับความยากง่าย ประเด็นที่ทดสอบ รวมถึงจุดเแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อชี้ให้เห็นแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะเดียวกัน วราเทพยังได้ใช้สื่อการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ digital book และวิดีโอในคลังบทเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนจากโรงเรียน รวมถึงค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทำการบ้านและรายงานส่งอาจารย์ โดยเฉพาะวิชาโปรดอย่างภาษาไทยและสังคมศึกษา จนทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ผมมองว่า การศึกษาคือ การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด อันเป็นวิถีแห่งการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของผู้เรียนให้ก้าวไปอีกขั้น โดยมีพื้นฐานจากความกระหายใคร่รู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเลขบนข้อสอบ ซึ่งคลังความรู้อย่างทรูปลูกปัญญา ถือเป็นอีกหนึ่งแพลทฟอร์มสำหรับการเริ่มต้น เพื่อค้นหาความถนัดของตัวเอง” วราเทพ กล่าว
ตั้งเป้าหมาย-ค้นหาตัวเอง

วี - ศิวัช สุชาครีส์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ให้ความเห็นว่า เขาและเพื่อนวัยเรียนต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เนื้อหาที่บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับนั้นมีปริมาณมากเกินไป ทั้งแนวกว้างและแนวดิ่ง โดยมองข้ามมิติด้านความถนัดไป อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ปริมาณและความหลากหลายของเนื้อหาวิชานั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรปรับรูปแบบจากภาคบังคับเป็นลักษณะ “ตลาดวิชา” ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนได้เอง การ จากสภาวะทางการศึกษาดังกล่าว ทำให้ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันอยู่ในภาวะเครียดสะสม
“ผมว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนยังไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนมากพอในยุคที่ข้อมูลความรู้อยู่รอบตัว การเรียนการสอนยังเป็นลักษณะท่องจำมากกว่าเข้าใจ” วี กล่าว
ทั้งนี้ การสอบเเข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยนับเป็นอีกหนึ่ง “จุดเปลี่ยน” ของชีวิต ที่ทำให้หลายคนฟันฝ่า มุ่งมั่น ทุ่มแรงกายแรงใจ เพื่อพิชิตคณะที่ต้องการ บ้างเลือกตามความสนใจ บ้างเลือกตามความถนัด และบ้างก็เลือกตามค่านิยมของสังคม หรือความต้องการของตลาดแรงงาน สิ่งเหล่านี้ สะท้อนถึง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาในระบบการศึกษาไทย
ด้วยเหตุนี้ วี จึงมองหา “ตัวช่วย” นำทาง พาให้เขาไปถึงฝั่งฝันทางการศึกษาและอาชีพการงาน โดยเขาได้ใช้ Plook Explorer ระบบที่ช่วยให้ทุกคนรู้จักตัวตนมากขึ้น และค้นพบตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า บนเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้อดีข้อเสียของแต่ละสาขาอาชีพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกคณะหลักและสำรองทั้ง 10 อันดับของ TCAS นอกจากนี้ วียังได้ค้นคว้าเจาะลึกถึงการเตรียมพร้อมการประกอบอาชีพวิศวกรผ่านคู่มือ เอื้ออำนวยต่อการวางแผน กิจกรรม ทักษะและสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนการสมัครรอบต่างๆ ฯลฯ“ผมมองว่าการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีพรมแดน ศาสตร์ทุกศาสตร์ล้วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ขอเพียงแต่มีความกระหายใคร่รู้อยู่เสมอ” วี กล่าวทิ้งท้าย
ซัมซุง จัดงาน Galaxy S25 | Here AI am Music Fest เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุด Galaxy S25 Series อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เดินหน้าดันกระแส AI Phone ชูความเก่งในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ที่เข้าใจทุกความต้องการ มุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานยุคปัจจุบัน ตั้งแต่การทำงาน การพักผ่อน ความคิดสร้างสรรค์ และความยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “AI for All” ของซัมซุงที่ต้องการให้ AI เข้าถึงได้ง่ายในทุกวันและทุกที่ (Everyday, Everywhere)
พร้อมดึงเหล่าคนดัง #TeamGalaxy ผสานพลัง Galaxy AI ร่วมกันเนรมิตคอนเสิร์ตและการแสดงสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทย นำโดย พี่จอง-คัลแลน, เต-นิว, สกาย-นานิ, โบกี้ ไลออน, อิ้งค์ วรันธร, ตูน บอดี้สแลม และน้องเนย Butterbear
ซัมซุง จัดงานเปิดตัว Galaxy S25 Series อย่างยิ่งใหญ่ เนรมิตเทศกาลดนตรีสุดล้ำ ด้วยพลังความสร้างสรรค์จากเหล่า #TeamGalaxy ร่วมกับผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Galaxy AI โดยมี นายสิทธิโชค นพชินบุตร President of Mobile Experience Division เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยกองทัพศิลปินดาราและเซเลบริตี้สุดฮอต ไม่ว่าจะเป็น พี่จอง-คัลแลน สองหนุ่มเกาหลีหัวใจไทย, คู่จิ้นนักแสดงสุดฮอตอย่าง เต-นิว และ คู่เพื่อนซี้ สกาย-นานิ, รวมทั้งศิลปินแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง โบกี้ ไลออน, อิ้งค์ วรันธร, ตูน บอดี้สแลม และน้องเนย Butterbear ไอดอลสาวแห่งยุค มาร่วมพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์การใช้ AI Phone พร้อมสาธิตการใช้ฟีเจอร์สุดล้ำจาก Galaxy S25 อาทิ Best face ที่ใช้ AI วิเคราะห์เฟรมภาพของแต่ละคนและเลือกช่วงเวลาที่ภาพใบหน้าสวยที่สุดเพื่อให้ทุกคนในภาพดูดีมั่นใจพร้อมกันในช็อตเดียว ฟีเจอร์ Audio Eraser ช่วยลบเสียงรบกวนออกจากวิดีโอ หรือ Circle to Search ฟีเจอร์ช่วยหาข้อมูลง่าย ๆ เพียงวงกลมภาพที่ต้องการค้นหา
Galaxy S25 Series รุ่นล่าสุด มาพร้อมเทคโนโลยี Galaxy AI สุดล้ำที่มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว ไม่ว่าจะพูดคุยเป็นเพื่อน ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ หรือสั่งงานข้ามแอปพลิเคชันอย่างการเปิดเพลงที่ชอบ พร้อมมีฟีเจอร์ที่พัฒนามาให้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการทำงาน การสื่อสาร ความสนุก และความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ด้วยเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระดับสูง นอกจากนี้ยังใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ผ่านการออกแบบเครื่องโดยใช้วัสดุรีไซเคิล และแบตเตอรี่ที่ผลิตจากโคบอลต์รีไซเคิลจากอุปกรณ์ Galaxy รุ่นเก่า หรือจากแบตเตอรี่ที่ถูกทิ้งระหว่างกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ พร้อมยกระดับดีไซน์ให้บาง เบา และทนทานที่สุดในตระกูล Galaxy S

นอกเหนือจากความล้ำของเทคโนโลยีแล้ว ความพิเศษในงานเปิดตัว Galaxy S25 Series ภายในงาน “Galaxy S25 | Here AI am Music Fest” ยังได้เนรมิตโชว์พิเศษจากศิลปินนักแสดงสุดฮอต พร้อมร่วมโชว์ตัวในการเดินพรม Blue Carpet และคอนเสิร์ตสุดพิเศษ จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง และผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่อย่าง Galaxy AI ที่มาในบทบาททั้งผู้ดำเนินรายการ คนคิดโชว์ และนับเป็นครั้งแรกของการใช้ AI เป็นไลน์ประสานเสียงร้องในคอนเสิร์ตด้วยฟีเจอร์ Audio Eraser สร้างสีสันความแปลกใหม่ให้กับโชว์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน แท็กทีมศิลปินแนวหน้าของเมืองไทยมาเสิร์ฟความสนุก ผ่านบทเพลงดัง อาทิ ‘วาดไว้’ ของ โบกี้ ไลออน, ‘พบรัก’ จาก อิ้งค์ วรันธร, ‘งมงาย’ บอดี้สแลม พร้อมเซอร์ไพรส์ที่เหนือความคาดหมายอย่างดูโอ้คู่ใหม่ น้องเนย Butterbear คัฟเวอร์เป็น ศิริพร อำไพพงษ์ ร่วมฟีเจอร์ริงกับพี่ตูนบอดี้สแลมในเพลง ‘คิดฮอด’ ทำเอามัมหมีใจละลายไปกับน้องเนยที่มาร่วมส่ายพุง ดุ๊กดิ๊กตามจังหวะดนตรี รวมทั้งกิจกรรม Meet & Greet จากเหล่า #TeamGalaxy On Stage with สกาย-นานิ, ต้าห์อู๋-ออฟโรด และ พี่จอง-คัลแลนที่ร่วมแท็กทีมกับ Galaxy AI แจกโมเมนต์น่ารักเอาใจเหล่าแฟนคลับแบบจัดเต็ม
เป็นเจ้าของ Galaxy S25 Series สมาร์ทโฟน AI ผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้ใจคนไทย สามารถพรีออเดอร์ได้แล้ววันนี้ ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ https://bit.ly/S25Ultra หรือที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ โดย Galaxy S25 Ultra มาพร้อมสี Titanium Silverblue, Titanium Black, Titanium Whitesilver และ Titanium Gray ราคาเริ่มต้นที่ 46,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB, 52,900 บาท สำหรับรุ่น 512GB และ 62,900 บาท สำหรับรุ่น 1TB และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อออนไลน์เท่านั้น ได้แก่ Titanium Jetblack, Titanium Jadegreen และ Titanium Pinkgold และสำหรับ Galaxy S25 และ Galaxy S25+ มีสีให้เลือก ได้แก่ Navy, Silver Shadow, Icyblue และ Mint โดย Galaxy S25 รุ่น 256GB ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท และรุ่น 512GB ราคา 34,900 บาท ส่วน Galaxy S25+ รุ่น 256GB ราคา 36,900 บาท และรุ่น 512GB ราคา 41,900 บาท และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อออนไลน์เท่านั้น ได้แก่ สี Coralred, Blueblack และ Pinkgold พร้อมรับสิทธิพิเศษในช่วงพรีออเดอร์ ผ่าน Samsung Experience store และร้านค้าที่เข้าร่วมรายการ รับโปรฯ แรง 3 ต่อ
ต่อที่ 1 : ฟรี เพิ่มความจุเป็น 2 เท่า มูลค่าสูงสุด 10,000.- ต่อที่ 2 : ลดเพิ่ม 5,000.- เมื่อนำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ ต่อที่ 3 : รับส่วนลด 30% เพื่อแลกซื้อ Galaxy Watch l Buds เมื่อซื้อในคำสั่งซื้อเดียวกัน

พิเศษ! สำหรับใครที่ลงทะเบียนรับโค้ดสิทธิพิเศษล่วงหน้า นำโค้ดมาจองรับฟรี Samsung Care+ 1 ปี มูลค่า 4,590 บาท นอกจากนี้เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะการสั่งจองผ่าน samsung.com และ แอป Samsung Shop สามารถสั่งซื้อ Galaxy S25 Ultra สีพิเศษของการเปิดตัวในรอบนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษหลายต่อ ได้แก่
· ฟรี! เพิ่มความจุเป็น 2 เท่า มูลค่าสูงสุด 10,000.-
· เฉพาะ 72 ชั่วโมงแรกเท่านั้น ฟรี Power Adapter 45W มูลค่า 1,090.-
· สั่งซื้อครั้งแรก บน com และ แอป Samsung Shop (ไม่ต้องกรอกโค้ด) รับส่วนลด 3,500.-
· เก่าแลกใหม่ ส่วนลดตามราคาเครื่องเก่า
พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย รับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 12% และสามารถผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน นอกจากนี้คะแนน Samsung Rewards แลกเป็นส่วนลด X2 มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อ e-Voucher Samsung Reservation เพียงกรอกโค้ดที่ได้รับทางอีเมลรับส่วนลดและเครดิตเงินคืนรวมมูลค่า 4,000 บาท ระหว่างวันที่ 23 มกราคม 2568 ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2568 ส่วนลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อ e-Voucher Samsung Reservation ก็ไม่ต้องกังวล รับฟรีทันที Samsung Rewards 3,000 พอยท์ (1 พอยท์ = 1 บาท) เพื่อใช้เป็นส่วนลดสุดคุ้ม!
โบลท์ (Bolt) ผู้ให้บริการเรียกรถชั้นนำระดับโลก ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยอัตราการเติบโตของการเดินทางไปสนามบินทั่วประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 103% ในปี 2024 ตอกย้ำบทบาทสำคัญของบริการการเดินทางร่วมกันในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของประเทศ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกำลังเติบโตควบคู่ไปกับความนิยมของบริการการเดินทางร่วมกัน โดยบริการเรียกรถได้มอบความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นในการเดินทางแก่นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ข้อมูลจาก Statista ชี้ให้เห็นว่าตลาดการเดินทางร่วมในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างรายได้ถึง 4 แสนล้านบาทในปี 2025 ขณะที่ตลาดการแชร์จักรยานเพียงอย่างเดียวคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 4.16 ล้านล้านบาทในปี 2024 บริการเหล่านี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระบบขนส่งแบบดั้งเดิมเข้ากับความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โบลท์ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเรียกรถให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค โดยผู้ใช้บริการสามารถจองรถล่วงหน้าได้นานถึง 90 วัน เพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นใจในการเดินทาง ฟีเจอร์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มลูกค้าโบลท์ธุรกิจ (Bolt Business) ที่สามารถใช้ฟังก์ชัน Ride Booker เพื่อจัดการการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:
· การจองรถสำหรับการเดินทางในเมืองเพื่อให้มาถึงการประชุมตรงเวลา
· การจัดรถรับส่งแขกของบริษัทที่มาร่วมงานหรือประชุม
· การอำนวยความสะดวกให้กับพันธมิตรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น การจองรถรับส่งไปที่สนามบินล่วงหน้า
เน้นย้ำบทบาทการเดินทางร่วมกันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
"โบลท์มุ่งมั่นที่จะทำให้เมืองเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการนำเสนอทางเลือกที่ทดแทนการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล" นายณัฐดล สุขศิริตานนท์ ผู้จัดการทั่วไป โบลท์ ประเทศไทย กล่าว "ความสามารถในการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า นอกจากจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าแล้ว ยังช่วยส่งเสริมระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โซลูชันของเราได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายทั้งของนักเดินทางและภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
การเปลี่ยนมาใช้ตัวเลือกการเดินทางร่วม เช่น บริการเรียกรถ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับพันธกิจของโบลท์ในการ “สร้างเมืองสำหรับผู้คน” โดยมุ่งลดความแออัดของการจราจรและส่งเสริมระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ ราบรื่น สะดวก และเชื่อถือได้ โบลท์หวังอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ผู้ใช้บริการหันมาเลือกใช้บริการการเดินทางร่วมและระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น
![]()
ตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานสนามบิน
โบลท์มีประสบการณ์ด้านการดำเนินงานสนามบินที่โดดเด่นทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2023 บริษัทได้รับความไว้วางใจจาก Aena ผ่านการประมูลสัญญาให้บริการจุดจอดรับผู้โดยสารพิเศษในสนามบินสำคัญของสเปน ได้แก่ มาดริด-บาราคาส บาร์เซโลนา-เอลปราต และมาลากา-คอสตาเดลโซล โดยมีพื้นที่จอดเฉพาะ 28 จุดในมาดริด 26 จุดในบาร์เซโลนา และ 15 จุดในมาลากา พร้อมคำแนะนำการใช้งานที่ชัดเจนผ่านแอปพลิเคชัน
"ความสามารถในการจัดการการดำเนินงานในสนามบินช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของโบลท์ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับนักเดินทาง ความเชี่ยวชาญด้านการบริการสนามบินของเรายังสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะนักเดินทางชาวยุโรปที่นิยมเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในช่วงวันหยุด" นายณัฐดล สุขศิริตานนท์ กล่าวเสริม
ในฐานะบริษัทสัญชาติยุโรป โบลท์สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับนักเดินทางที่คุ้นเคยกับแอปพลิเคชันและบริการของบริษัทได้เป็นอย่างดี ส่งเสริมให้มีการใช้บริการการเดินทางร่วมกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โบลท์ตอกย้ำการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการขนส่งของประเทศไทยด้วยการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อรองรับนักเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
นางพิทยา วรปัญญาสกุล (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับโล่เกียรติยศในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดประจำปี 2567 (Thailand’s Top Corporate Brand Value 2024) ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าแบรนด์ 92,847 ล้านบาท จากศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร (ซ้าย) อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 6 ที่เคทีซีได้รับรางวัลนี้ โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท
พิทยา วรปัญญาสกุล กล่าวถึงการได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า “ขอบคุณทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มอบรางวัลอันทรงคุณค่านี้ให้กับเคทีซีอีกวาระหนึ่ง ซึ่งเป็นการสะท้อนความตั้งใจของเคทีซีที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง แบรนด์มาตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ จนเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในดีเอ็นเอของคนเคทีซี เพราะพวกเราเชื่อว่าแบรนด์ที่ใช่ คือแบรนด์ที่เข้าใจความต้องการของสมาชิกและผู้บริโภค สร้างคุณค่าและความจริงใจอย่างลึกซึ้งยาวนาน จนได้รับความไว้วางใจ ผูกพันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เคทีซียังคงมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์เพื่อให้เข้าถึงและสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาองค์กรสู่ดิจิทัลผ่านคน-กระบวนการ-ไอที ในการเสริมประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์และบริการแบบครบวงจร เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมาชิกและผู้เกี่ยวข้องในทุกมิติ”
รางวัล ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brand เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยประเมินมูลค่าแบรนด์องค์กรในประเทศไทยและในอาเซียน ซึ่งริเริ่มโดยศาสตราจารย์กิตติคุณดร.กุณฑลี รื่นรมย์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยและที่ปรึกษาหลักสูตร Master in Branding and Marketing และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสร้างเครื่องมือวัดมูลค่า แบรนด์องค์กรเป็นตัวเลขทางการเงิน หรือ CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation) โดยใช้แนวคิดทางการเงิน การบัญชีและการตลาดมาบูรณาการร่วมกันออกมาเป็นสูตรในการคำนวณ ทำให้องค์กรทราบตัวเลขที่สะท้อนถึงมูลค่าแบรนด์ขององค์กร ซึ่งมูลค่าแบรนด์ที่ประเมินได้จะมีผลต่อการตัดสินใจของคู่ค้า นักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญขององค์กรในการดำเนินกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป เพราะมูลค่าแบรนด์ คือ คุณค่าขององค์กรที่ถูกวัดออกมาด้วยวิธีการคำนวณที่ปราศจากอคติ การที่ แบรนด์จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าหรือสังคมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของสินค้าและการบริการ ช่องทางการขายและการส่งเสริมทางการตลาดแล้ว นโยบายและแนวทางปฏิบัติขององค์กรที่ชัดเจนในมุมของความรับผิดชอบต่อสังคมและการมีธรรมาภิบาลที่ดี ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณค่าของแบรนด์องค์กร
บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XD) มองรัฐยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้ำความน่าสนใจลงทุนโทเคนดิจิทัลในไทย พร้อมเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนโทเคนดิจิทัลของภูมิภาคเอเชีย
นายธนศักดิ์ กฤษณะเศรณี รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XD) กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนในโทเคนดิจิทัลในประเทศไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างมาก ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล รวมถึงการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ เพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกสนใจเข้ามาลงทุน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการลงทุนโทเคนดิจิทัลที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย”
ในอดีตเงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดของผู้ถือครองโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนต้องถูก หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 รวมทั้งผู้มีเงินได้ต้องนำรายได้ดังกล่าวไปรวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งเท่ากับว่าเสียภาษีถึงสองต่อ แต่ในปัจจุบันตามประมวลกฎหมายรัษฎากรได้กำหนดให้กำไรหรือผลประโยชน์อื่นใด ของผู้ถือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนได้รับการยกเว้นในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการโอนโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน นอกจากนี้นักลงทุนที่ดำเนินการผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม โดยอนุญาตให้นักลงทุนนำผลขาดทุนจากการลงทุนในโทเคนดิจิทัลมาหักลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้ ช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มจำนวน ทำให้โทเคนดิจิทัลเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีความคุ้มค่า และสร้างแรงจูงใจให้กล้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งทำให้ทำธุรกรรมได้สะดวกและมีความชัดเจนมากขึ้น ลดข้อกังวลด้านภาษีและช่วยสร้างความมั่นใจในการลงทุนในระยะยาว
“โทเคนดิจิทัลเป็นทางเลือกการลงทุนที่ทันสมัยและมีศักยภาพสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ทำให้ธุรกรรมมีความปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ง่าย นักลงทุนสามารถมั่นใจในกระบวนการทำงานของระบบโทเคนดิจิทัลที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริตและข้อผิดพลาดทางการเงิน ทำให้หลายอุตสาหกรรมกำลังนำโทเคน
ดิจิทัลไปใช้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรม ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว”
นอกจากนี้ ความนิยมในโทเคนดิจิทัลยังได้รับแรงกระตุ้นจากการคาดการณ์ของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ เช่น Boston Consulting Group (BCG) ที่ระบุว่า ตลาดโทเคนดิจิทัลทั่วโลกจะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 10% ของ GDP โลกภายในปี 2030 คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 86 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโอกาสเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนที่มีความพร้อมและเข้าใจตลาด
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยความเสี่ยงหลักคือ ความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และนักลงทุนควรมีการศึกษาเกี่ยวกับโทเคนดิจิทัลแต่ละประเภทอย่างถี่ถ้วน รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในแต่ละตัว นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารและกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การผสมผสานระหว่างนโยบายสนับสนุนและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ในอนาคตโทเคนดิจิทัลจะไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและพัฒนาโอกาสการลงทุนในโทเคนดิจิทัล เพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยและต่างชาติสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีศักยภาพนี้ได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน” นายธนศักดิ์ กล่าวปิดท้าย
ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่กำหนดให้ชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ต้องตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นแนวทางในการยกระดับความปลอดภัยการใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง สกัดกั้นบัญชีม้า ที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ ซึ่งล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนต้องดำเนินการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญต่อมาตรการของภาครัฐที่เป็นแนวทางเสริมสร้างความปลอดภัยทางการเงินและป้องกันซิมผี บัญชีม้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวแม้จะเป็นเรื่องระหว่างธนาคารผู้ให้บริการกับลูกค้าที่ผูกบริการโมบายแบงก์กิ้งกับธนาคาร แต่ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการที่เชื่อมต่อระหว่างธนาคารและลูกค้า พร้อมอำนวยความสะดวกลูกค้าผู้ใช้บริการตามหลักเกณฑ์และแนวทางของธนาคารเจ้าของบัญชี โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2568 ธนาคารจะเป็นผู้ส่งข้อความแจ้งเตือนลูกค้าที่ต้องดำเนินการหากชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ไม่ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น หากลูกค้าไม่ได้รับการแจ้งเตือน ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆและสามารถใช้โมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ ขณะที่หากลูกค้าได้รับการแจ้งเตือนจากธนาคาร สามารถติดต่อสอบถามโดยตรงจากธนาคารเจ้าของบัญชี ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 กรณีที่ต้องการเปลี่ยนชื่อผู้จดทะเบียนเบอร์มือถือให้ตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ผู้จดทะเบียนเดิมและใหม่ สามารถนำบัตรประชาชนตัวจริงมาดำเนินการได้ที่ ทรูช้อป หรือศูนย์บริการดีแทค
รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 หรือ ดีแทค 1678
ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นางเขมณัฎฐ์ วชิรรัตนวงศ์ (กลาง) หัวหน้าฝ่ายแบรนด์ โมบายล์ ดีไวซ์และคอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ ซัมซุง โดย นายฐติภศ สิมะวานิชกุล (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที พร้อมด้วย เต-ตะวัน วิหครัตน์ (ขวา) Co Presenter ร่วมเปิดตัว Samsung Galaxy S25 ฉลาดล้ำด้วยผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ พบข้อเสนอที่ดีที่สุด บนเครือข่าย 5G ที่ดีที่สุด สำหรับลูกค้าทรู ดีแทคเท่านั้น เมื่อนำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ พร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 699 บาท การันตีรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15,000 บาท ดูฟรี ความบันเทิงครบรส ดูฟรี EPL ตลอดฤดูกาล (2024/2025) ถึง 31 พฤษภาคม 2568 ลูกค้าทรู ดีแทค นำอายุการใช้งานรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมมากมายและยังผ่อน 0% นาน 36 เดือน หรือผ่อนสบายไม่ง้อบัตร นาน
48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเงินคืน รวมสูงสุด 7,000 บาทจองเลย ตั้งแต่วันนี้ถึง 6 กุมภาพันธ์นี้ ที่ทรูช็อป ดีแทคช็อป ทรูสเฟียร์ ทุกสาขา Line @Truestore / FB Truestore และช่องทางออนไลน์
![]()
Samsung Galaxy S25 I S25+ I S25 Ultra เอไอโฟนที่ทรงพลังที่สุดจากซัมซุง
มาพร้อม Galaxy AI ผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ที่ใครก็มีได้ สามารถคุยเล่น ปรึกษางาน-ปัญหาชีวิต ช่วยหาไอเดีย พูดปุ๊บ จัดการให้ปั๊บ เพียงแค่กดปุ่มเดียว แถมยังรองรับภาษาไทย เรียกว่าคิดอะไรไม่ออกบอก AI นอกจากนี้ยังเอาใจสายโซเชียลที่ชอบถ่ายรูป และ วิดีโอ มาพร้อมกล้องอัจฉริยะ และฟีเจอร์ล้ำอย่าง ฟีเจอร์ Best face เลือกหน้าเป๊ะด้วย AI หมดปัญหาเดี๋ยวคนนี้หลับตา คนนั้นหน้าไม่พร้อม เพราะเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว ไปเลือกหน้าที่ดีที่สุดของแต่ละคนได้ทีหลัง หมดยุคกล้องใครคนนั้นรอด เพราะเราจะรอดกันทุกคนด้วยกล้องจาก Galaxy S25 เครื่องนี้ และ ฟีเจอร์ Audio Eraser เลือกลบเสียงที่ไม่ต้องการออกจากคลิปด้วย AI เช่น เสียงคนพูด เสียงดนตรี เสียงลม สมมติว่ากำลังถ่ายคลิปวิวสวยๆ แล้วมีเสียงคนรอบข้างพูดเข้ามาก็สามารถเลือกลบเสียงคนออกได้ ส่วนเรื่องของตัวกล้อง นอกจากเรื่องซูมแล้ว ครั้งนี้ยังมาพร้อมกับเลนส์ Ultrawide ใหม่ ความละเอียดถึง 50 ล้านพิกเซล รุ่น Ultra มาพร้อมกับจอใหญ่ แต่บางและเบาลง ถือถนัดมือ และ ชิปเซ็ตอันทรงพลัง Snapdragon® 8 Elite สำหรับ Galaxy มีแกนการประมวลผลที่เร็วที่สุดในตลาด มี 4 สีให้เลือก คือ สีไทเทเนียม ซิลเวอร์ บลู, ไทเทเนียม เกรย์, ไทเทเนียม แบล็ค และไทเทเนียม ไวท์ซิลเวอร์
Jobsdb by SEEK ประเทศไทย เผยข้อมูลคำค้นหางานยอดนิยมของผู้ค้นหางานในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานและแนวโน้มที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจจากคำค้นหาที่ถูกใช้ในการค้นหางานมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่เกี่ยวข้องกับทักษะเฉพาะทางในตลาดงาน และแนวโน้มทิศทางของการค้นหางานที่เกี่ยวข้องกับ ทักษะภาษาที่สอง
จากข้อมูลการค้นหาของผู้สมัครงานผ่าน Jobsdb by SEEK พบว่า 5 คำค้นหางานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในกลุ่มคนหางานปี 2567 ได้แก่:
1. วิศวกรรม (Engineering)
2. ธุรการ (Administration)
3. บัญชี (Accounting)
4. การตลาด (Marketing)
5. ทรัพยากรบุคคล (Human Resources)
คำค้นหาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการได้รับความนิยมของสายงานทางวิศวกรรม ที่มีการค้นหาเป็นอันดับหนึ่งของสายงานที่มีคนสนใจค้นหามากที่สุดในปี 2567 ซึ่งวิศวกรรม นับเป็นสายงานที่เป็นทักษะอาชีพระดับต้น ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
นอกจากนี้ จากประกาศวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต รัฐบาลไทยจึงมีเป้าหมายที่จะสร้างตำแหน่งงานจำนวน 280,000 ตำแหน่งในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงในช่วงของห้าปีข้างหน้า โดยเน้นที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความพยายามของรัฐบาลในครั้งนี้อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนจำนวนการค้นหาที่มีมากในอาชีพวิศวกรรมบนแพลตฟอร์ม ของ Jobsdb by SEEK ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความเกี่ยวข้องของอาชีพดังกล่าวในตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ในกลุ่มสายงานสนับสนุน อย่างเช่น สายงานธุรการ บัญชี การตลาด และสายงานทรัพยากรบุคคลก็ยังคงได้รับความสนใจในการค้นหาคำ Top 5 ในปีที่ผ่านมาตามลำดับ
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจในปี 2567 คือการค้นหางานที่พูดถึงทักษะภาษาที่สอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สมัครงานที่พร้อมและยินดีที่จะมองหางานที่ต้องการทักษะด้านภาษาโดยเฉพาะ โดยภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาที่ได้รับการค้นหามากที่สุดถึง 47% ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลางที่มีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างไร้พรมแดน
อย่างไรก็ตาม ภาษาจีน/แมนดาริน ได้รับการค้นหามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสัดส่วนถึง 33% ของคำค้นหาทั้งหมดในปี 2567 ความต้องการทักษะภาษาจีนจึงไม่เพียงแค่ในระดับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงภาคการศึกษา เรียนรู้ภาษาเพิ่มเติม รวมไปถึงการเป็นส่วนสำคัญของการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย
ภาษาญี่ปุ่นตามมาในอันดับที่ 19% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สมัครยังคงให้ความสำคัญกับภาษาญี่ปุ่น เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ภาษาต่าง ๆ เช่น เกาหลี รัสเซีย พม่า ฮินดี เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมัน และอาหรับ มีสัดส่วนรวมกันที่ 1% ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของความพร้อมของทักษะภาษาในผู้สมัครงานในแต่ละอุตสาหกรรม
แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ค้นหางานจำนวนมากกำลังให้ความสำคัญกับการใช้ ทักษะภาษาที่สองเป็นตัวช่วยในการเพิ่มโอกาสในตลาดแรงงาน และเปิดโอกาสการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางภาษาโดยเฉพาะ สำหรับผู้ประกอบการ การเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการนี้สามารถช่วยดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพ และเพิ่มศักยภาพขององค์กรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลคำค้นหานี้ไม่เพียงแค่เป็นข้อมูลที่สะท้อนความต้องการของตลาด แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการสร้างประกาศรับสมัครงานที่สามารถดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพได้อย่างตรงจุด การระบุทักษะเฉพาะทางในประกาศรับสมัคร เช่น การเน้นทักษะด้านสายอาชีพ หรือการกำหนดทักษะด้านภาษาที่สองที่เป็นที่ต้องการ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับใบสมัครงานที่ตรงกับทักษะที่ต้องการได้ดีขึ้น รวมไปถึงผู้หางานที่สามารถนำมาปรับข้อมูลในเรซูเม่ของตนเอง ในการเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่างๆ รวมทั้งทักษะทางภาษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นหางานอีกด้วย
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Jobsdb by SEEK ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “Jobsdb by SEEK ภูมิใจในบทบาทของการเป็นผู้นำทางความคิดในอุตสาหกรรมงาน โดยมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า และสามารถเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างประกาศงานที่ตรงใจผู้สมัครมากขึ้น ในขณะเดียวกันยังเป็นแนวทางให้ผู้สมัครงานสามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสมและเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จในสายอาชีพของพวกเขา”