December 20, 2025

การตรวจสุขภาพนับเป็นอีกหนึ่งเช็คลิสท์ที่คนในปัจจุบันให้ความสนใจ โดยเฉพาะคนรักสุขภาพ ที่นิยมเข้ารับการตรวจเป็นประจำทุกรอบปี ซึ่งการตรวจสุขภาพ คือ การคัดกรองโรคเบื้องต้น และเป็นการหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค เช่นตรวจ ตับ ไต เพื่อรักษาโรค หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะได้สามารถรักษาดูแล ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ซึ่งหลายคนอาจตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ก็ยังพบว่าสุขภาพไม่ดีขึ้น มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง อาการที่มักพบในคนยุคปัจจุบัน อาทิ นอนไม่หลับ ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน ปวดศีรษะไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส หรือ การตรวจสุขภาพเชิงลึก ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพที่เข้ามามีบทบาท ด้วยจุดเด่นที่การตรวจสุขภาพเชิงลึกเฉพาะบุคคลอย่างเจาะจง เพื่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพถึงต้นตอของสาเหตุ ที่หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน

นายแพทย์พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า การตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส หรือ การตรวจสุขภาพเชิงลึก เป็นการตรวจสุขภาพเชิงลึกเฉพาะบุคคลอย่างเจาะจง และตรวจสุขภาพแบบองค์รวม เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพ และป้องกันความเสี่ยงที่อาจก่อให้โรค ซึ่งกำลังได้รับความสนใจ และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รู้สึกอยากสร้างสมดุลสุขภาพ และใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากพื้นฐานร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน การตรวจสุขภาพพื้นฐานทั่วไปอาจจะไม่เพียงพอ หรือไม่ครอบคลุมต่อความเสี่ยงจากไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกันอย่างมากในยุคปัจจุบัน การตรวจสุขภาพเชิงลึกสามารถวิเคราะห์ถึงความไม่สมดุลในระบบการทำงานของร่างกาย ที่อาจเป็นต้นตอของอาการไม่พึงประสงค์เรื้อรังหลายอาการ ที่คนในยุคปัจจุบันมักต่างเคยประสบปัญหาจนคุ้นชินโดยไม่รู้ตัว อาทิ อาการนอนไม่หลับ รู้สึกเบิร์นเอ้าท์ ปวดหัวเรื้อรัง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ไปจนถึง ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน ภาวะหดหู่ซึมเศร้า ซึ่งการปรับสมดุลร่างกายจะช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน จากการทำงานของร่างกายที่เต็มประสิทธิภาพ

การตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส สามารถตรวจวิเคราะห์เชิงลึก โดยตรวจระบบภายในร่างกายหลัก ๆ 4 ด้าน ได้แก่ ระบบฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ สารพิษโลหะหนักตกค้างในร่างกาย และค่าการอักเสบ โดยวิเคราะห์องค์รวมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่สัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อกัน เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ ต้นตอ จากการที่ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ และส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งการตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง หรือผู้ที่อยากหยุดยาประจำที่ทานอยู่ เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสุขภาพจากต้นเหตุอย่างตรงจุด และเข้าใจพื้นฐานร่างกายของตนเอง ตลอดจนนำไปสู่การปรับสมดุลพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม

การตรวจระบบตรวจฮอร์โมน ฮอร์โมน คือ สารเคมีที่มีผลต่อทุกระบบการทำงานของร่างกาย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายมีสมรรถภาพแข็งแรง หากฮอร์โมนขาดสมดุล ความเสื่อมและประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายจะลดลง กลายเป็นอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนในกลุ่มความเครียดอย่าง “คอร์ติซอล” (Cortisol) และ “อะดรีนาลีน” (Adrenaline) ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดอย่างเหมาะสม หากขาดสมดุลจะส่งให้อารมณ์แปรปรวนง่าย หรือเครียดง่ายกว่าปกติ นอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก ขณะที่ “เอสโตรเจน” (Estrogen) ขาดสมดุลจะส่งผลให้เป็นสิวบ่อย ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ลดน้ำหนักตัวไม่ลง เป็นต้น ทั้งนี้ ฮอร์โมนขาดสมดุลมีโอกาสเกิดได้ไม่ว่าจะเพศหรือวัยใด การตรวจตรวจระบบฮอร์โมนเพื่อเช็คความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ปัจจุบันสามารถตรวจด้วยด้วยวิธี การเจาะเก็บตัวอย่างเลือด และการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ โดยแพทย์จะแนะนำวิธีการตรวจที่เหมาะสมในแต่ละกรณี

การตรวจวิตามินและแร่ธาตุ ปัจจุบันมีผู้ขาดแร่ธาตุและวิตามินเพิ่มมากขึ้นจากการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การกินอาหารไม่ได้คุณภาพทางโภชนาการและมีสารปนเปื้อนมากขึ้น ส่งผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินของร่างกาย หรือการรับประทานแต่อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูป ที่มีสารอาหารไม่ครบ โดยหลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้ตระหนักว่าการขาดวิตามินและแร่ธาตุสามารถเกิดขึ้นกับตัวเองได้ ซึ่งการขาดแร่ธาตุและวิตามิน ส่งผลต่อระบบภูมิต้านทานลดลง ผมร่วง เป็นผื่นคัน เป็นต้น

การตรวจสารพิษและสารโลหะหนักตกค้างในร่างกาย โดยวิถีชีวิตในปัจจุบันไม่อาจหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากโลหะหนักและสารพิษ ไม่ว่าจะควันจากท่อไอเสียรถยนต์ อาหารที่รับประทาน บรรจุภัณฑ์และภาชนะที่ใส่อาหาร หรือแม้แต่การทำสีผม การทาเล็บ ทั้งนี้ การได้รับโลหะหนักสะสมไปเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา โดยอาการเบื้องต้นที่บ่งบอกว่ามีสารพิษโลหะหนักสะสมในร่างกายมากเกินไป มีดังนี้ ปวดศีรษะบ่อย ๆ อ่อนเพลีย นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับโดยไม่พบสาเหตุอื่น ปัจจุบันเราสามารถตรวจหาสารพิษและสารโลหะหนักตกค้างในร่างกายได้ทั้งจากการตรวจแบบเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจด้วยโคนเส้นผม และแบบ Oligoscan ซึ่งเป็นการตรวจทางเนื้อเยื่อที่ฝ่ามือด้วยการสแกนจุดบนผ่ามือโดยไม่ต้องเจาะเลือด

การตรวจหาค่าการอักเสบในร่างกาย หรือ การตรวจหาระดับ (CRP) จะเป็นการตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงการอักเสบในร่างกาย ประเมินการอักเสบเรื้อรัง และการบาดเจ็บ หากเซลล์เกิดการอักเสบ ระดับ CRP ก็จะสูงและอาจก่อให้เกิดเป็นปัจจัยนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เป็นต้น

ปัจจุบันมีการตรวจสุขภาพองค์รวม ที่ครอบคลุมการตรวจทุกระบบ ทั้งการตรวจพื้นฐาน ระบบฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ สารพิษโลหะหนักตกค้างในร่างกาย และค่าการอักเสบในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือผู้ที่ต้องการตรวจสมดุลสุขภาพเชิงป้องกันที่เจาะลึกโดยเฉพาะบุคคลมากกว่า

การตรวจสุขภาพพื้นฐาน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนในการดูแลสุขภาพ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับผลวิเคราะห์ จะช่วยให้การดูแลสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต้อนรับตรุษจีนให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 4 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.35 – 4.00% ต่อปี เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ทั้งนี้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน และในปัจจุบันดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือ ชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท หุ้นกู้มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 4 ชุด มีดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.35% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.85% ต่อปี และ

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี

ซึ่งเฉพาะชุดที่ 4 รุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า ไทยมีความเสี่ยงจะถูกเพ่งเล็งจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้นโยบาย Trump 2.0 สูงเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน จากการที่สหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้ากับไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเกินดุลการค้าของไทยสูง ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท จำนวนคำสั่งมาตรการ AD และ CVD ในหลายประเภทสินค้าสูงกว่าคู่เทียบ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่ค้ารายอื่น ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ นำมาเป็นข้อต่อรองในการพิจารณาขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าระลอกใหม่ ส่งผลให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันให้เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญเพิ่มเติม อาทิ เนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ชี้ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ หลังได้เปรียบการค้าสูงเป็นอันดับสองของอาเซียน

นับตั้งแต่สงครามการค้าระลอกแรก (Trump 1.0) ในปี 2561 อาเซียนกลายเป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองอย่างมาก หลังได้อานิสงส์จากการที่จีนใช้อาเซียนเป็นฐานในการเปลี่ยนเส้นทางการค้า รวมถึงย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น จึงทำให้หลายประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1-2 เท่า เมื่อเทียบกับก่อนสงครามการค้าในปี 2560 โดยเฉพาะเวียดนามที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 3 เท่า

สำหรับปี 2568 สงครามการค้าครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงภายใต้ผู้นำสหรัฐฯ คนเดิมสมัยที่ 2 อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ (นโยบาย Trump 2.0) คาดว่าจะสร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดการเงินและการค้าโลกอีกระลอก โดยทรัมป์มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขกฎหมายให้เอื้อต่อการแข่งขัน การลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การจัดการปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และที่สำคัญคือ การประกาศกีดกันทางการค้าผ่านการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60-100% เมื่อเทียบกับสงครามการค้าระลอกแรกที่อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเฉลี่ย 21.5% อีกทั้งยังมีแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก 10-20% จากเดิมที่เก็บในอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยเพียง 3%

ttb analytics มองว่า การที่ทรัมป์ยังไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งสหรัฐฯ อยู่ระหว่างแต่งตั้งคณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (The United States Trade Representative : USTR) แต่ก็สะท้อนท่าทีของทรัมป์ต่อมาตรการทางการค้า Trump 2.0 ว่าจะมีความแตกต่างจาก Trump 1.0 โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ การที่ทรัมป์หยิบยกนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าครอบคลุมทุกประเทศในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อปูทางไปสู่ “การเจรจาต่อรองทางการค้าแบบเจาะจงเป็นรายประเทศและรายกลุ่มสินค้า” (Bilateral Agreement) เมื่อเทียบกับนโยบาย Trump 1.0 ที่พุ่งเป้าลดการขาดดุลการค้ากับจีนเป็นหลัก (เนื่องจากสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุด สูงถึง 4.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ขณะนั้น (ปี 2561))

 ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นของกรอบการเจรจาการค้าภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ที่มีต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ จะมีความแตกต่างกันไปตามความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ โดย ttb analytics ประเมินจาก 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ระดับการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ (Bilateral Trade Surplus) 2) ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบดอลลาร์สหรัฐ (Exchange Rate Adjusted Cost Advantage) 3) ส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าปลายทางในกลุ่มสินค้าเกษตร (MFN Tariff Excess on Agricultural Products) 4) ส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าปลายทางในกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตร (MFN Tariff Excess on Non-agricultural Products) และ 5) ระดับการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ ผ่านจำนวนคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทุ่มตลาด (Anti-dumping : AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) ที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US International Trade Commission : USITC)

ttb analytics ประเมินว่า ไทยมีแนวโน้มถูกเพ่งเล็งจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้ Trump 2.0 สูงเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มประเทศอาเซียนรองจากเวียดนาม เนื่องจากสหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้ากับไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การเกินดุลการค้าของไทยสูงและเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทระยะหลัง จำนวนคำสั่งมาตรการ AD และ CVD ในหลายประเภทสินค้า (เช่น เหล็กและโลหะ แผงโซลาร์ และเคมีภัณฑ์) สูงกว่าคู่เทียบ รวมถึงการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่ค้ารายอื่น นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 17% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด คิดเป็นกว่า 9.4% ของจีดีพีไทย ทำให้การยกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสูงสุดถึง 20% ในระลอกนี้จะสร้างผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยอย่างมหาศาล ซึ่งจะเป็นการง่ายกับสหรัฐฯ ในการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับไทย

คาดสหรัฐฯ อาจกดดันให้ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตรเพิ่มเติม หลังไทยพยายามลดการนำเข้ามาโดยตลอด

ที่ผ่านมา ไทยเป็นคู่ค้าในการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 16 เทียบกับคู่ค้าทั้งหมดกว่า 200 ประเทศ ด้วยมูลค่าส่งออกราว 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 แต่ปัจจุบันมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรกลับเหลือเพียง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงเฉลี่ยปีละ 6.8% จนทำให้อันดับของไทยในฐานะคู่ค้าสำคัญในหมวดสินค้าเกษตรตกลงมาอยู่ที่อันดับที่ 25 ซึ่งแม้ส่วนหนึ่งจากการที่บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ หันมาตั้งโรงงานผลิตสินค้าเกษตรในไทยมากขึ้นแล้ว ยังมาจากการที่ไทยมีกลไกการปกป้องภาคการเกษตรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมในประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้า ซึ่งมีผลบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน 23 รายการ เช่น นม ครีม และเครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง ผักและผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กาแฟ และ ยาสูบ (ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง)

การถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ เรื่องการจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงและจำกัดโควตาสินค้าเกษตรไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไทย ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ทรัมป์ได้ลงนามยกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) เป็นครั้งที่ 2 กับสินค้าไทย 231 รายการ คิดเป็นมูลค่า 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เหตุผลว่าไทยเปิดตลาดสินค้าและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับหมูอย่างไม่เป็นธรรม (โดยสหรัฐฯ เคยตัดสิทธิ GSP ไทยครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2563 จากการที่ไทยล้มเหลวเรื่องการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามหลักสากลในอุตสาหกรรมประมง) ด้าน USITC ยังชี้ว่าไทยมีการบริหารจัดการอัตราภาษีในและนอกโควตาที่ไม่โปร่งใส การควบคุมใบอนุญาตนำเข้าโดยพลการ และมาตรฐานอาหารที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ไทยยังคิดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรเฉลี่ยค่อนข้างสูงอยู่ที่ 42% เมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดสินค้าอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป (Unprocessed Food) อาทิ ผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้สด ซึ่งทำให้

สหรัฐฯ เสียอัตราภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 216% เทียบกับประเทศอื่นที่ไทยมีข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศซึ่งทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ลดลงเหลือ 0% ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรที่มาจากสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง

คาดสหรัฐฯ อาจกดดันไทยให้เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญเพิ่มเติม เพื่อต่อรองกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากประเทศไทยในกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ พยายามเจรจาขอให้ไทย รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่นนำเข้าสินค้าเกษตรหลายประเภท รวมถึงกดดันผ่านการตัดสิทธิประโยชน์ด้านการค้า การเรียกร้องให้แก้ไขกฎระเบียบการค้าขององค์การการค้าโลก ซึ่งคาดว่าแรงกดดันจาก Trump 2.0 จะส่งผลต่อท่าทีของไทยเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเกษตรหลายประเภท อาทิ เนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่สุดแล้ว ttb analytics มองว่า ไทยอาจจำเป็นต้องผ่อนปรนมาตรการทางการค้ากับสหรัฐฯ ในบางข้อ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าในครั้งนี้

โดยสรุป ท่ามกลางกติกาการค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการไทยควรกระจายความเสี่ยงผ่านการขยายช่องทางตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ซึ่งถือเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออกสูง ประกอบกับไทยมีสิทธิประโยชน์ทางการค้า FTA กับอาเซียน ซึ่งจะช่วยสร้างแต้มต่อทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลก

ช้อปคุ้มกว่า ... ทรู ดีแทค ขานรับนโยบายภาครัฐ Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท เมื่อซื้อมือถือ แก็ดเจ็ตและอุปกรณ์เสริม ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่ ทรู ดีแทค พร้อมข้อเสนอพิเศษมากมาย สุดคุ้ม! เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือน ดูฟรี! ความบันเทิงครบรส ละคร ซีรีส์ วาไรตี้ ซิทคอม ผ่านแอป VIU / iQiyi นาน 1 ปี พร้อมเชียร์บอลพรีเมียร์ลีกบนมือถือ มันส์สะใจ ครบทุกแมตช์ ตลอดฤดูกาล 2024/25 (ครั้งละ 1 จอ) ผ่านแอปทรูไอดี (เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือนที่กำหนด) ฟรี! บริการดูแลหน้าจอสูงสุด 1 ปี (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการและสมัครแพ็กเกจรายเดือนที่กำหนด) สุดคุ้มเมื่อซื้อเครื่องเปล่าไม่ติดสัญญา รับส่วนลดสูงสุด 8,000 บาท* ยกกองทัพรุ่นที่ร่วมรายการกว่า 50 รุ่น ฟรี! บริการดูแลหน้าจอนานสูงสุด 1 ปี* (เฉพาะรุ่นที่กำหนด) พิเศษยิ่งกว่า ลูกค้าทรู ดีแทค ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน นำอายุการใช้งาน รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 1,000 บาท

เช็คสิทธิ์ส่วนลดกด *399*888# โทรออก ช้อปเลย! ที่ทรูช็อป ดีแทคช็อป ทุกสาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์ผ่าน True Store / dtac Online Store ส่งฟรีถึงบ้าน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568

นอกจากนี้ ลูกค้าทรู ดีแทค ยังได้รับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานด้วยบริการ “True CyberSafe” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์แบบเรียลไทม์ โดยอัตโนมัติ ช่วยปกป้องได้แม่นยำด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ช่วยบล็อกหรือแจ้งเตือน เมื่อลูกค้าเผลอคลิกลิงก์อันตรายจาก SMS หรือเว็บบราวเซอร์ โดยความร่วมมือกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เป็นบริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าทรู ดีแทค ปลอดภัยจากภัยคุกคามไซเบอร์ต่างๆ

ช้อปออนไลน์ผ่าน True Store / dtac Online Store ส่งฟรีถึงบ้าน คลิก https://bit.ly/40weoWa

เคทีซีและกลุ่มบริษัทเผยปี 2567 ทำกำไรสุทธิ 7,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากปี 2566 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงกว่าอุตสาหกรรม พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่า 111,162 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ 1.95% พร้อมเดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัลด้วยการปรับโครงสร้างระบบไอที เสริมประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์และบริการ ควบคู่พัฒนาบุคลากรทำงานร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัล และบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อตลอดกระบวนการ (end to end) เติบโตด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม อีกทั้งสานต่อมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในหลายมิติ

นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมว่า “แม้ว่าภาพรวมธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคจะชะลอตัวลง จากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การดำเนินธุรกิจของเคทีซีในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤศจิกายน 2567) ยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยสัดส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 13.0% เพิ่มขึ้นจาก 12.1% ในขณะที่สัดส่วนลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 15.0% จาก 14.7% และสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 6.6% จาก 6.3%”

“เคทีซีและกลุ่มบริษัทยังคงสร้างผลกำไรในปี 2567 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 7,437 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่า 111,162 ล้านบาท ลดลง 1.1% ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทยังคงเน้นการเติบโตมูลค่าพอร์ตควบคู่ไปกับการคัดกรองคุณภาพภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยพอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตหดตัว 0.7% เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่มีส่วนให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ขณะที่พอร์ตสินเชื่อบุคคลขยายตัวที่ 1.1% จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” สำหรับ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำที่ 1.95% บรรลุตามกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ ≤ 2% อัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในปี 2567 อยู่ที่ 10.1% โตกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เป็นผลจากการจัดกิจกรรมการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการสมาชิก”

 

บริษัทมีฐานสมาชิกรวม 3,488,156 บัญชี โดยแบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,799,301 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 73,954 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในปี 2567 เท่ากับ 292,146 ล้านบาท NPL Ratio บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.25% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลรวม 688,855 บัญชี คิดเป็นเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,096 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,015 ล้านบาท NPL Ratio สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.46% สำหรับสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 2,112 ล้านบาท โดยเคทีซีได้หยุดการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่

ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทเคทีซีสำหรับปี 2567 มีรายได้รวมเท่ากับ 27,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% จากปี 2566 จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม รวมถึงหนี้สูญได้รับคืนที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 18,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยหลักๆ เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมจ่ายที่สูงขึ้นตามปริมาณธุรกรรมที่ขยายตัว สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพิ่มขึ้น 14.7% จากปี 2566 เป็นผลจากการตัดหนี้สูญที่เร็วขึ้นตามนโยบายการตัดหนี้สูญใหม่ และการตั้งสำรองสูงขึ้นตามหลักความระมัดระวัง นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% จาก 2.6% ในปี 2566 เนื่องจากมีหุ้นกู้บางส่วนครบกำหนดและ เคทีซีมีการออกหุ้นกู้ใหม่ด้วยอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นกว่าในอดีต เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนเงินให้สินเชื่อสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 14.5% ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 14.8% ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปี 2567 เท่ากับ 12.9% ลดลงจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 13.2%

ในส่วนของแหล่งเงินทุน ข้อมูลเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 62,336 ล้านบาท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) แบ่งสัดส่วนโครงสร้างแหล่งเงินทุนเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) 37% และเงินกู้ยืมระยะยาว 63% โดยแบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทยและบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน จำนวน 5,119 ล้านบาท สถาบันการเงินอื่น 5,000 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทย 9,500 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 42,290 ล้านบาท อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.78 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 2.15 เท่า ต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 10 เท่า

เคทีซียังคงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ตามประกาศของ ธปท. ที่ สกช. 7/2566 เรื่อง หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) โดยบริษัทจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก www.ktc.co.th/about/news/meaure สำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง ( Severe Persistent Debt: SPD) ตลอดปี 2567 คิดเป็นช่วงเวลา 9 เดือน นับตั้งแต่เกณฑ์ SPD มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2567 และในเดือนสิงหาคม 2567 ธปท.ได้ออกข่าวว่า จะมีการขยายระยะเวลาการปิดจบหนี้จากภายในระยะเวลา 5 ปี เป็น 7 ปี เพื่อลดภาระค่างวดต่อเดือน ทั้งนี้ ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการเพื่อสรุปรายละเอียดเงื่อนไข โดยในปี 2567 เคทีซีมีลูกหนี้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ คิดเป็นผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยจริงลดลงไปประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน โดยคำนวณจากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์และเข้าร่วมโครงการ

เนื่องจากเคทีซีเป็นผู้ประกอบธุรกิจ Non-Bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงเป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยสมาชิกสามารถลงทะเบียนผ่าน www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นอกจากนี้ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซียังมีสิทธิ์ร่วมมาตรการลดภาระทางการเงิน โดยการรับเครดิตดอกเบี้ยคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของลูกหนี้ สำหรับสมาชิกบัตรที่ชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8% ของยอดเงินที่เรียกเก็บภายในวันครบกำหนดชำระตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลาของมาตรการฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 โดยสามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการนี้ผ่านลิงค์ www.ktc.co.th/financial-relief-credit

นางพิทยากล่าวว่า “การดำเนินความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการต่างๆ ข้างต้น เคทีซีพิจารณาแล้วคาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในภาพรวม สำหรับปี 2568 เคทีซีตั้งเป้ายกระดับองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” ด้วยการเสริมประสิทธิภาพระบบไอทีและโครงสร้างการทำงานเชิงลึกระหว่างคนกับเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกในหลากหลายมิติ ควบคู่กับการบริหารพอร์ตสินเชื่อรวมให้เติบโต ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ใน 3 ธุรกิจหลักคือ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพราะยังเห็นโอกาสเติบโตจากความต้องการสินเชื่อแต่ละประเภทของผู้บริโภค และที่สำคัญคือการดำเนินธุรกิจให้มีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง บริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อคุณภาพให้ขยายตัวมากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างเหมาะสม โดยเคทีซีคาดว่าในปี 2568 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโต 10% พอร์ตสินเชื่อรวมเติบโตประมาณ 4-5% พอร์ตสินเชื่อ “เคทีซี พราว” เติบโต 3% มูลค่าสินเชื่อใหม่ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง เคทีซีเชื่อว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้”

BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ฉลองครบรอบความสำเร็จการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เผยจำนวนบัญชีผู้ใช้บนกระดานเทรดของ BINANCE TH เพิ่มขึ้น 10 เท่า [1] ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดปี 2567 โดยมีมูลค่าซื้อ-ขายเติบโตกว่า 30 เท่า [1] นอกจากนั้นยังตอกย้ำการสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้เติบโตและแข็งแกร่ง โดยล่าสุดประกาศจัดงานใหญ่ภายใต้ชื่อ "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE เนรมิตสยามสแควร์เป็นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่และประชาชนที่สนใจได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล

คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “เป้าหมายของ Binance TH ในปี 2025 ยังคงให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การดูแลด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และคุณภาพการให้บริการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ปีที่ผ่านมาเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยมากมายที่หลายประเทศต่างให้การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น และวันนี้บิตคอยน์สินทรัพย์ดิจิทัลแรกของโลกก็ได้ไต่ขึ้นอันดับ 6 สินทรัพย์การเงินโลกไปแล้ว โดยมีมูลค่ารวมสูงกว่า $1.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ [2] แซงหน้าสกุลเงินของทั้งสหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในโลกการเงินการลงทุนที่จะเต็มไปด้วยโอกาสในปีนี้”

สำหรับภาพรวมการให้บริการของ BINANCE TH ในปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้งานไทยลงทะเบียนเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า และมียอดเทรดเพิ่มขึ้นถึง 30 เท่า โดยผู้ใช้งานประเภทบุคคลทั่วไปในประเทศคือกลุ่มที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุด  และช่วงบิตคอยน์เข้าสู่ All-Time High เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 แตะที่มูลค่ากว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 บิตคอยน์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลเองก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 39.9% มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  นับเป็นหมุดหมายการเติบโตสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะเป็นโอกาสด้านการเงินให้กับทุกคน

 

ฉลองครบรอบ 1 ปีกับความสำเร็จของ BINANCE TH:

· จำนวนผู้ใช้งาน BINANCE TH เติบโตขึ้นต่อเนื่องนับจากวันที่เปิดให้บริการ สะท้อนศักยภาพตลาดไทยทั้งด้านการเติบโตและปริมาณการซื้อขาย โดยมุ่งมั่นยกระดับอัตราการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลในกลุ่มคนไทยเพิ่มจาก 12% ในปี 2567 [5] และเทรนด์ PayFi [6] เป็นกุญแจสำคัญของการเกิด RWA ที่จะเข้ามาผลักดันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนวัตกรรมในระดับ Application Layer มุ่งเน้นที่การปรับแต่ง AI และการสมัครใช้งานที่ง่ายขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้าง ขณะที่ในระดับ Financial Layer จะเห็นการมาของ สเตเบิลคอยน์และการปรับสภาพคล่องอัตโนมัติเพื่อลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบเงินปกติและคริปโตเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ

· แพลตฟอร์มที่มีเหรียญให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 350 [1] เหรียญ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ สกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า เราจะเห็นการพัฒนาเกมที่วางอยู่บนรากฐานของคริปโต หรือ Crypo-Based In-Game Economies [7] มากขึ้น

· สร้างบุคลากรเข้าสู่อีโคซิสเต็ม BINANCE TH Academy ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในการให้ความรู้เรื่องบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลมาไว้ในห้องเรียน ตลอดปี 2567 สามารถอบรมคนรุ่นใหม่ผ่านสถาบันการศึกษา เป็นจำนวนกว่า 50,000 ราย [1] เพื่อสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและนักพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา Digital Economy ในประเทศ

· พัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มให้มีความทันสมัย พร้อมรองรับนักลงทุนสถาบันไทยด้วยการพัฒนาฟีเจอร์การซื้อขาย Easy/Buy Sell ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายคริปโต หรือดิจิทัลโทเคนต่าง ๆ โดยตรง

· ยกระดับความปลอดภัยแพลตฟอร์มและเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ใช้ BINANCE TH มีนโยบายและยกระดับการดูแลผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเทียบเท่า BINANCE แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก โดยเปิดตัวระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า หรือ Face Verification ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความปลอดภัยและป้องกันการกระทำผิดทางการเงิน ไปจนถึงร่วมมือกับตำรวจไทยในการสอดส่องและให้ความร่วมมือกรณีเกิดความไม่โปร่งใสทางการเงินดิจิทัล

โอกาสนี้ BINANCE TH ประเดิมจัดงานใหญ่รับปี 2025 ต้อนรับตลาดกระทิงกับงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงโปรเจกต์ Crypto Currency ระดับโลก สร้าง Networking สัมผัสเทคโนโลยีมากมายในวงการ Web3 ผ่านการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สาธิต และจำลองประสบการณ์จากพันธมิตรต่าง ๆ มากมาย

“แน่นอนว่า 2025 จะเป็นปีแห่งโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เราไม่อยากให้เป็นแค่การเติบโตของตลาด แต่อยากจะทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำหรับทุกคน โดยงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมของสังคมไทยในการก้าวไปสู่ระบบการเงินยุคใหม่ ที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะกลายเป็น ‘กระแสหลักของโลก’ ที่ผู้ใช้งานสามารถเป็นเจ้าของมูลค่าสินทรัพย์ได้อย่างอิสระและโปร่งใส รวมถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Web3 อย่างเต็มรูปแบบ” คุณนิรันดร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE

"Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE: ถนนสู่ฉากทัศน์การเงินยุคใหม่ ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงและเข้าใจได้

กิจกรรมจัดเต็มทั้งสาระและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงตลอด 2 วัน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ต่างประเทศที่น่าสนใจอย่างMoodengsol, Memeland, Lumia ฯลฯ, โซน game พร้อมทั้งกิจกรรมให้ร่วมสนุก รับของรางวัลมากมาย ฯลฯ ร่วมอัพเดทเทรนด์ลงทุนรับต้นปีบนเวทีเสวนาพิเศษ และแขกคนพิเศษ พร้อมการจับมือทำเวิร์คช็อปสำหรับผู้ที่สนใจอยากเริ่มเทรด โดย BINANCE TH Academy และยังมีโซน Meetup space ที่จำลองบรรยากาศการใช้จ่ายด้วยคริปโต เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้เปิดโลกและสัมผัสประสบการณ์การเงินดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยตนเอง

ติดตามข่าวสารงาน Street of the Future เพิ่มเติมได้ที่ Official Facebook: BINANCE TH by Gulf BINANCE

 

“นม” และผลิตภัณฑ์จากนม ถือเป็นหนึ่งในอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่อยู่วัยเจริญเติบโต ทำให้เด็กไทยยุคใหม่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ต่างจากยุคเก่าก่อนอย่างมีนัยสำคัญ วัฒนธรรมการบริโภคนมของคนไทยเริ่มขึ้นภายหลังปี 2500 ที่อุตสาหกรรมผลิตนมในประเทศก่อตัวขึ้น และพัฒนาจนถึงปัจจุบันซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท จากการบริโภคภายในประเทศเฉลี่ยคนละ 22 ลิตรต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับไต้หวันที่ 77 ลิตรต่อปี ญี่ปุ่น 36 ลิตรต่อปี และสิงคโปร์ 33 ลิตรต่อปี ในทางกลับกัน สถานการณ์การเลี้ยงโคนมของไทยกลับอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงจากปัจจัยลบที่ต่างถาโถมเข้ามา

True Blog ได้มีโอกาสพบกับเกษตรกรรุ่นใหม่อย่าง ธีรพัฒน์ มานะกุล ทายาทรุ่นที่ 3 ของมานะกุลฟาร์ม ที่ีได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง “ทรูฟาร์มคาว” เข้ามาปรับใช้ในกิจการ ลดภาระต้นทุน-ความเสี่ยง เพิ่มผลิตผลและคุณภาพของน้ำนมให้เทียบชั้นโลกตะวันตกได้ ทำความเข้าใจการทำฟาร์มโคนมเบื้องต้น

ธีรพัฒน์ เล่าว่า มานะกุลฟาร์มเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแบบผสมผสานขนาด 51 ไร่ บนพื้นที่ อ.วังม่วง จ.สระบุรี ทั้งฟาร์มโคนม บ่อเลี้ยงปลาดุก และสวนดอกไม้ โดยเริ่มต้นบุกเบิกมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ สังเวียน มานะกุล นักเรียนยุคเริ่มต้นขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อสค. หน่วยงานส่งเสริมการเลี้ยงโคนมที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมโคนมไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากสายพระเนตรอันยาวไกลต่อกิจการโคนมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ระหว่างการเสด็จนิวัตรประเทศเดนมาร์ก ในปี 2503

การเลี้ยงโคนมในสมัยนั้น ถือเป็นอาชีพด้านการเกษตรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็นับว่าเป็นเกษตรกรรมที่มีความมั่นคง เนื่องจากมีรายได้และตลาดรับซื้อที่แน่นอน เมื่อเทียบกับประเภทอื่น เนื่องจากมีผลผลิตทุกวัน ทั้งยังเป็นที่ต้องการของตลาด ภายใต้เงื่อนไขปริมาณและคุณภาพของน้ำนมที่ตลาดกำหนด ซึ่งผู้เลี้ยงจะต้องมีวินัย เอาใจใส่ และขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ

ธีรพัฒน์อธิบายต่อว่า การทำฟาร์มโคนมให้ประสบความสำเร็จได้นั้น มีตัวชี้วัดสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ปริมาณน้ำนม คุณภาพของน้ำนม และผลผลิตโคนมจากการผสมพันธุ์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยทางชีวภาพและกายภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธุ์โคนม อาหาร และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับต้นทุนอาหารและแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงจากโรคระบาด ด้วยเหตุนี้ ‘การบริหารจัดการที่ดี’ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำฟาร์มโคนมในไทย

สำหรับปริมาณน้ำนม โคนมพันธุ์ดีจะให้น้ำนมในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในยุโรป ซึ่งมีภูมิอากาศที่หนาวเย็นอย่างโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน ที่ให้ปริมาณน้ำนมเฉลี่ย 40 ลิตรต่อวัน แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในประเทศไทยที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้โคมีความเครียดได้ง่ายและปริมาณน้ำนมที่ออกมาน้อย และอาจไม่คุ้มทุนที่ลงไป ทั้งนี้ ปริมาณน้ำนมเฉลี่ยที่ฟาร์มโคนมไทยทำได้อยู่ที่ระดับ 12 ลิตรต่อวันเท่านั้น

ในส่วนคุณภาพน้ำนมนั้น จะใช้เกณฑ์ปริมาณเซลล์โซมาติกและแบคทีเรียในน้ำนมดิบ รวมถึงปริมาณไขมันและของแข็งรวม ซึ่ง “อาหาร” ถือเป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิต และมีสัดส่วนถึง 60% ของต้นทุนรวม ด้วยโคนมเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง การจัดหาอาหารจึงมีรายละเอียดมาก โดยประกอบด้วยอาหารหยาบ (พืชที่มีเส้นใยมาก เช่น หญ้า ต้นข้าวโพด เป็นต้น) และอาหารข้น ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้เมล็ดข้าวโพดเป็นส่วนผสมหลัก ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาหารสัตว์มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่ออัตรากำไรที่ลดลง นอกจากนี้ “โรคระบาดหรือโรคอุบัติใหม่ในสัตว์” เช่น โรคปากเท้าเปื่อย และโรคลัมปีสกิน ยังถือเป็นอีกอุปสรรคที่เกษตรกรฟาร์มโคนมเผชิญอยู่ทุกปี ซึ่งส่งผลต่อน้ำนมโดยตรงอีกเช่นกัน

ต้นทุนพุ่ง ขาดแคลนแรงงาน อากาศเปลี่ยนแปลง

นอกจากน้ำนมที่ถือเป็นผลผลิตจากโคนมโดยตรงแล้ว “ลูกวัว” ยังถือเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่เกษตรกรต้องให้สำคัญ เพราะเมื่อโคนมให้นมอายุมากขึ้นหรือสุขภาพไม่แข็งแรง (กรณีของมานะกุลฟาร์มเมื่อโคมีอายุขัยราว 6 ปี) แม่วัวจะถูกคัดออกจากฝูง เพื่อให้ปริมาณน้ำนมเฉลี่ยของคอกสูงขึ้น ส่งผลต่อผลกำไรที่มากขึ้น ดังนั้น เกษตรกรจึงต้องจัดหาโคนมรุ่นใหม่มาทดแทน

“การตรวจพฤติกรรมจับสัด” จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการผสมติดของโคนม เพราะหากล่วงเลยระยะจับสัด เพื่อนำมาผสมเทียมแล้ว อัตราการผสมติดก็จะน้อยลง เกษตรกรต้องรอรอบจับสัดใหม่อีก 21 วัน ทั้งนี้ “การจับสัด” มักใช้แรงงานมนุษย์ในการสังเกตพฤติกรรม เช่น การยืนนิ่ง ส่งเสียงร้องผิดปกติ ปัสสาวะถี่ ซึ่งจะต้องสังเกตทุกวันในช่วงเช้าและใกล้ค่ำ เพราะมีอากาศเย็น สัตว์ไม่เครียด จากนั้นจึงทำการจดบันทึก อย่างไรก็ตาม การจับสัดให้แม่นยำจะต้องอาศัยความชำนาญ แต่ด้วยลักษณะงานที่ต้องเกาะติดชีวิตโคนมเกือบ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหาร การดูแลโรงเลี้ยงให้สะอาด การพาโคนมเข้าคอกรีด การทำให้สัตว์อารมณ์ดี ทำให้แรงจูงใจต่อแรงงานในฟาร์มโคนมมีน้อยลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการขึ้นค่าแรงแล้วก็ตาม

ด้วยนานาปัญหาที่ฟาร์มโคนมต่างเผชิญ มานะกุลฟาร์มจึงมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาผ่านการใช้เทคโนโลยีตั้งแต่รุ่นที่ 2 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก จนมารุ่นที่ 3 โดย ธีระพัฒน์ ในวัย 31 ปี ได้หันหลังให้กับเมืองกรุงอันแสนวุ่นวาย ที่พ่วงด้วยประสบการณ์ 10 ปีจากงานที่ปรึกษาธุรกิจก่อสร้าง มุ่งหน้ากลับความสู่ความสงบที่บ้านเกิดที่สระบุรี พร้อมนำความรู้มาแก้ไขปัญหาเชิงระบบภายในฟาร์มโคนม

“ในช่วงที่กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการมานะกุลฟาร์ม ผมรับทราบถึงแนวโน้มปัญหาที่ฟาร์มกำลังเผชิญ โชคดีว่า ตอนนั้นได้คุยกับสัตวบาล จนพามารู้จักกับ ‘ทรูฟาร์มคาว' ที่นำเทคโนโลยีต้นตำรับจากประเทศอิสราเอล มาเป็นเครื่องมือใช้จัดการฟาร์มโคนมควบคู่กับการใช้คน ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการสังเกตพฤติกรรม ไม่เปลืองแรงงาน คุ้มค่าการลงทุน” ธีรพัฒน์ กล่าว

เทคโนโลยีดิจิทัล: ทางออกเกษตรโคนมท่ามกลางปัจจัยลบรุมเร้า

คงพัฒน์ ประสารทอง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ True Farm ให้ข้อมูลว่า ทรูฟาร์มคาว คือระบบจัดการฟาร์มโคอย่างแม่นยำแบบครบวงจร โดยทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้ร่วมมือกับ MSD Animal Health นำนวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี มาให้บริการสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทย ใช้ในการติดตามพฤติกรรมรายตัวเป็นของโคตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งพฤติกรรมการเคี้ยวเอื้อง การกิน และการเคลื่อนไหว ด้วยเซนเซอร์ที่ติดอยู่กับสัตว์ในรูปแบบ “สร้อยคอ” วัดแต่ละพฤติกรรมเป็นจำนวนนาที แล้วนำมาประมวลผลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อแจ้งเตือนผู้เลี้ยงเมื่อโคมีสุขภาพผิดปกติ และเมื่อโคมีอาการเป็นสัด ทำให้ลดการสูญเสียโคที่ล้มตายจากการรักษาไม่ทัน ลดค่าใช้จ่ายการกินเปล่าของโคจากการลดวันท้องว่าง รวมถึงทำให้เจ้าของฟาร์มสามารถขยายฝูงได้โดยไม่ต้องกังวลข้อจำกัดด้านแรงงาน

นอกจากนี้ ทรูฟาร์มคาว ยังรองรับการบันทึกข้อมูลกิจกรรมที่เกิดขึ้นในโคแต่ละตัว อาทิเช่น การผสมเทียม การตรวจท้อง และการให้วัคซีน เป็นต้น อีกทั้งยังมีรายงานการจัดการโครายกลุ่มด้านภาวะเครียดจากความร้อน (Heat stress) รวมถึงรายงานสรุปประสิทธิภาพด้านการจัดการฟาร์ม เช่น อัตราการผสมติด จำนวนหลอดน้ำเชื้อที่ใช้ต่อการผสมติด และวันท้องว่าง เป็นต้น เปรียบเสมือนการมีเลขาประจำฟาร์ม ที่ทำหน้าที่ทั้งเก็บข้อมูลและสรุปผลการดำเนินงานให้เจ้าของฟาร์มโคนม สามารถใช้ตัดสินใจบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างแม่นยำและครบวงจร เพิ่มผลตอบแทนในการทำฟาร์มด้วยการใช้ข้อมูล

คงพัฒน์ กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมโคนมประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จากความท้าทายด้านการขาดแคลนแรงงานคุณภาพ ความแปรปรวนของสภาพอากาศอย่างรุนแรง ความเสี่ยงด้านโรคระบาด และต้นทุนในการจัดการที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนฟาร์มโคนมได้มีการปรับตัวลดลงกว่า 20% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ในอัตราที่สูงกว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของต้นทุน ทำให้ประสบภาวะขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่องจนต้องทำการปิดฟาร์ม นอกจากนี้ ในปี 2568 ไทยมีกำหนดเปิดการค้าเสรี (FTA) ทำให้สมรภูมิการแข่งขันในอุตสาหกรรมโคนมจะเข้าสู่ระดับนานาชาติ ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร จึงต้องเร่งผนึกกำลังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน

“แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่โอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมปรับตัวมีอยู่อีกมหาศาล จากแนวโน้มการบริโภคเพื่อสุขภาพที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้ำนมดิบคุณภาพสูงยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ไม่ว่าจะใช้ทำนมสำหรับผู้สูงอายุ หรือกรีกโยเกิร์ตธรรมชาติ การใช้นวัตกรรมเกษตรแม่นยำระดับโลก จะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยสามารถฝ่าฟันความท้าทายและเพิ่มผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ดังเช่นเกษตรกรในโลกตะวันตกได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว” ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ True Farm ได้กล่าวทิ้งท้าย

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการใน 6 ประเทศที่สะท้อนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาเซียน พบ 81% วางแผนเที่ยวต่างประเทศ แต่กว่าครึ่งต้องการเดินทางในประเทศใกล้ๆ ภายในภูมิภาค โดยไทยยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบ 86% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR VR หรือ AI เป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง 81% เลือกจองตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง ขณะที่ 78% ระบุว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้สูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด1 ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้ใช้บริการแกร็บใน 6 ประเทศ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 72%) โดยกว่าครึ่ง (52%) ต้องการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (44%) อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมและผลักดัน รวมไปถึงการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ต และประเพณีสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์และลอยกระทง”

ssssss

ทั้งนี้ แกร็บยังได้เผย 5 อินไซต์สำคัญของนักท่องเที่ยวอาเซียนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางที่น่าสนใจ ดังนี้

· ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด

· ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน

· มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ

· ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ

· ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “HiTHIUM” ท็อป 5 โลกด้านระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BESS ผนึกกำลังสายไฟฟ้าคุณภาพและ BESS ที่ผ่าน R&D เข้มข้น สู่โซลูชั่นด้านพลังงานครบวงจร ชูวิสัยทัศน์ร่วมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สอดรับเทรนด์โลก วางแผนเดินหน้าประมูลงานและเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชนไทย ทั้งกลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค-กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม-กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมร่วมชิงเค้กงานระดับภูมิภาคจาก ASEAN Power Grid เปิดช่องหาพันธมิตรร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

 

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HiTHIUM บริษัทชั้นนำระดับท็อปของโลกด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems หรือ BESS) ณ สำนักงานใหญ่ของ HiTHIUM เมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน เพื่อผสานความแข็งแกร่งระหว่างสายไฟฟ้าคุณภาพและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นจากทั้ง 2 บริษัท มาเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างครบวงจร รองรับความต้องการของประเทศ

“ทิศทางโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนมากขึ้น BESS คือหัวใจสำคัญของสถานีไฟฟ้า โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เราและ HiTHIUM ต่างเป็น 2 บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด เราเชื่อมั่นว่าการผลึกกำลังกันระหว่างเจ้าตลาดสายไฟของไทย และท็อป 5 ของโลกด้าน BESS จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนได้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทและ HiTHIUM จะนำเสนอโซลูชั่น รวมถึงเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในไทย ภายใต้ 3 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.กลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 2.กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่เน้นการขยายการติดตั้งและการจำหน่ายระบบจัดเก็บพลังงาน และ 3.กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใส่ใจพลังงานสะอาดและมุ่งเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน จะร่วมกันเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคอย่างโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งเป็นโครงการสร้างความเชื่อมโยงด้านพลังงาน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศสมาชิก โดยบริษัทและ HiTHIUM ยังคงเปิดกว้างการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

 

ด้านนายแซม หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย HiTHIUM กล่าวว่า HiTHIUM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยของ HiTHIUM โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส (Shrewsbury International School Bangkok City Campus) ประกาศเปิดตัวโปรแกรม ฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ (Hanqing Bilingual Pathway) ระดับพรีเมียมแห่งแรก ที่ดำเนินการโดยโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด ‘1 แคมปัส 2 เส้นทางการเรียนรู้ (One Campus, Two Pathways)’ ให้ผู้ปกครองและนักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ระหว่างหลักสูตรอังกฤษที่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน และหลักสูตรอังกฤษที่ใช้ทั้งภาษาจีนกลางและอังกฤษในการเรียนการสอนที่เรียกว่า “โปรแกรมฮั่นชิง” โดยโปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษานี้จะเริ่มเปิดสอนให้กับนักเรียนตั้งแต่ชั้น Early Years 1-2 (อายุ 3-4 ปี) เป็นต้นไป มีวัตถุประสงค์เพื่อปูพื้นฐานด้านภาษาจีนกลางและอังกฤษให้เด็กตั้งแต่เล็ก ส่งเสริมความเข้าใจในวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพิ่มโอกาสในโลกยุคใหม่ และเตรียมความพร้อมสู่ความสำเร็จด้านวิชาการและทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองโลกที่มีศักยภาพสูง

อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส กล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกของโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษที่ได้มีการจัดการเรียนการสอนสองเส้นทางภายในรั้วโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งโปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนวิชาต่าง ๆ ในสองภาษาควบคู่กันไปในระดับเท่า ๆ กัน สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของโรงเรียนในการมองไกลสู่อนาคต และเล็งเห็นถึงความต้องการในตลาดโลก ทั้งนี้ โปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกทางการเรียนรู้ภายใต้โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ ที่ผู้ปกครองและนักเรียนสามารถเลือกได้ตามเป้าประสงค์ของตน สอดคล้องกับพันธกิจของโรงเรียนฯ ในการมอบโอกาสและสนับสนุนนักเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเป็นการสืบทอดมรดกทางการศึกษาของหลักสูตรอังกฤษที่มีมานานเกือบ 500 ปีของโรงเรียนโชรส์เบอรี ที่ประเทศอังกฤษ พร้อม ๆ กับการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกไปพร้อม ๆ กัน”

 

ลูน่า เชา ครูใหญ่ ฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ กล่าวว่า “โปรแกรม ฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสมากมายให้กับนักเรียน ด้วยเนื้อหาการเรียนที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน โดยนักเรียนจะได้สัมผัสประสบการณ์ทางภาษาในทุกมิติ ทั้งวิชาการ ทักษะ และสภาพแวดล้อมการเรียน ผ่านภาษาจีนกลาง 45% ภาษาอังกฤษ 45% และยังมีภาษาไทยด้วยอีก 10% ส่วนครูผู้สอนเป็นเจ้าของภาษาที่มีคุณวุฒิเทียบเท่ากับใบรับรองการสอนของประเทศอังกฤษ (QTS Qualified Teacher Status) โดยเป้าหมายในระยะยาวของโปรแกรมฮั่นชิงคือการปูพื้นฐานทางวิชาการที่แข็งแกร่งให้เด็กตั้งแต่ยังเล็ก ให้นักเรียนเอาไปต่อยอดในระดับมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย และระดับมืออาชีพในโลกการทำงาน มีความสามารถทางภาษาในระดับเจ้าของภาษา มีความ

เข้าใจในวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขยายมุมมองในระดับสากล และเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้นักเรียนประสบความสำเร็จในอนาคต”

โปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เป็นทางเลือกการเรียนสองภาษาระดับพรีเมียมโดยโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์อนาคต ด้วยการให้ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาที่หลากหลาย ผ่านการผสานภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากลและเป็นภาษาหลักในการดำเนินธุรกิจ โปรแกรมนี้ช่วยพัฒนาความสามารถทางภาษา เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรม และการคิดเชิงวิเคราะห์ รวมทั้งยังมีการวางกรอบการเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่ใช้เทคนิค CLIL (Content and Language Integrated Learning) ให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะทางภาษาผ่านการเรียนรู้เนื้อหาของวิชาต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างโอกาสระดับมืออาชีพ โดยนักเรียนที่จบ Year 6 จากโปรแกรมฮั่นชิง จะมีความสามารถด้านภาษาจีนระดับ HSK 3-4 พร้อมสำหรับการศึกษาในหลักสูตร IGCSE และ A-Levels ซึ่งเป็นการเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายตามหลักสูตรอังกฤษที่เข้มข้น รวมถึงเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในตลาดแรงงานที่เชื่อมโยงกับโลกอนาคต โปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ของการศึกษาสองภาษาในประเทศไทย โดยมุ่งพัฒนาเด็กไทยสู่พลเมืองโลกที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับสากล

 

ภายในงานเปิดตัว โปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส อย่างเป็นทางการ ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ ‘พลังความรู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่านภาษาจีนกลางและอังกฤษ (The Transformative Power of Bilingual Education: Merging Mandarin and English)’ เพื่อบรรยายถึงความสำคัญและโอกาสของการเรียนสองภาษา โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรทรงคุณวุฒิเข้าร่วม อาทิ ดร. ลู เจีย ผู้อำนวยการการเรียนการสอนโปรแกรมฮั่นชิง, ผศ. ดร. อภิรดี เจริญเสนีย์ หัวหน้าสาขาวิชาภาษาจีน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ แพทริเซีย - ธัญชนก กู๊ด ศิษย์เก่า โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ที่กำลังเตรียมตัวเป็นคุณแม่ลูกสอง รวมถึงการแสดงศิลปะวัฒนธรรมจีน โดยนักดนตรีจีนและนักเรียนของโรงเรียนฯ สร้างความประทับใจให้กับแขกผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ ได้ที่ https://bit.ly/4g0RlHM หรือลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Open House ที่จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 28 มกราคม 2568 เพื่อร่วมสัมผัสบรรยากาศการเรียนการสอนโดยตรงที่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ได้ที่ https://bit.ly/3PDQDFv

X

Right Click

No right click