December 21, 2025

เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้นำของโลกด้านระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI วันนี้ ได้เผยแนวโน้มในการพัฒนา AI ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจไทยสำหรับปี 2025

โดยปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการก้าวสู่คลื่นลูกที่สามของ AI ด้วยความก้าวหน้าในการพัฒนาเจ้าหน้าที่เอเจนต์อัจฉริยะ (AI Agent) ซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ (Autonomous) สามารถตัดสินใจและดำเนินงานโดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องคอยกำกับการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างแท้จริง โดยปี 2025 นี้จะเป็นปีที่ AI จะสร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นจริง และจะมีการออกแบบ AI Agent ซึ่งเน้นทำงานที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกระบวนการทำงานในองค์กรแต่ละแบบ และมอบผลลัพธ์ที่ทำให้องค์กรสามารถพัฒนาก้าวไปเกินกว่าการทดลองใช้งาน AI เท่านั้น

คุณเดวิด โมลด์ (David Mould) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี และผู้อำนวยการด้านโซลูชัน ของ Salesforce ประจำประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า "AI Agent คือการพัฒนาความสามารถขององค์กรธุรกิจให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เป็นแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มอบประสบการณ์เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละคน และขับเคลื่อนการเติบโตให้กับองค์กร" พร้อมเสริมว่า "ปี 2025 นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในวิวัฒนาการของ Autonomous AI เนื่องจากองค์กรธุรกิจทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยซึ่งได้เริ่มลงทุนใน AI Agent จะเริ่มได้รับประโยชน์จากการใช้งานที่สามารถจับต้องและวัดผลได้จากเทคโนโลยีนี้"

เทรนด์ด้าน AI ที่สำคัญสำหรับปี 2025

1. Autonomous Agents จะสร้างโอกาสการเติบโตทางรายได้ให้กับธุรกิจ

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา องค์กรธุรกิจต่างมุ่งเน้นมาตรการลดต้นทุนเพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการเติบโตที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Autonomous Agent ในปัจจุบันได้เพิ่มโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ในช่องทางใหม่ ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากองค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบมีที่โครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง (Structured and Unstructured Data) จากทั่วทั้งองค์กร ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างแนวทางรูปแบบใหม่เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาช่องทางรายได้ใหม่ให้กับธุรกิจ

Autonomous Agent จะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของบริษัทเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น หากธนาคารที่ทำงานร่วมกับลูกค้าธุรกิจหลายพันราย ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายเบื้องต้นและเข้าใจว่าลูกค้าที่เป็นธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่นั้นมีระดับการใช้จ่ายต่ำ แต่หากวิเคราะห์ลงลึกมากยิ่งขึ้นข้อมูลอาจเผยให้เห็นว่าธุรกิจเหล่านี้ได้กระจายการใช้จ่ายและธุรกรรมไปยังธนาคารหลาย ๆ แห่ง ในกรณีนี้การปรับเปลี่ยนทีมพนักงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทุก ๆ รายให้ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั้นอาจทำได้ยาก แต่หากธนาคารนำ Autonomous Agent มาใช้พัฒนาการมีส่วนร่วมกับลูกค้าและสร้างการปฏิสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์เข้ามาควบคุมดูแลตลอดเวลา การพัฒนาการบริการในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามาก นอกจากนี้ Agent ยังสามารถทำงานได้ทุุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ธนาคารจึงสามารถมอบการบริการให้ลูกค้าได้ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะช่วยยกฐานการสร้างรายได้ขององค์กรให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งธนาคารอาจต้องสูญเสียโอกาสให้กับคู่แข่งหากไม่สามารถมอบการบริการลักษณะเช่นนี้ได้ AI Agent ยังสามารถช่วยคัดกรองโอกาสการขายจากผู้ที่มีแนวโน้มหรือความสนใจในสินค้า (Lead) เบื้องต้นให้กับพนักงานของบริษัทได้แบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่งต่อให้ทีมขายซึ่งเป็นมนุษย์ให้บริการต่อไป ช่วยให้พนักงานไม่เสียเวลาไปกับโอกาสการขายที่ไม่มีการตอบสนอง การตอบคำถามพื้นฐานทั่ว ๆ ไป หรือการใช้เวลาไปกับโอกาสการขายที่มีปฏิสัมพันธ์ต่ำ AI Agent จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและปรับปรุงผลการดำเนินงานทางธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ

2. โซลูชันด้าน AI และ Agentic AI ที่สร้างสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน และการผสานรวมข้อมูล จะเป็นพื้นฐานความสำเร็จของการใช้งาน AI

ในโลกที่องค์กรต่างแข่งขันเพื่อพัฒนาการใช้งาน AI อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ชนะจะเป็นองค์กรที่สามารถละทิ้งแนวทางการใช้งาน AI แบบ DIY (Do It Yourself) หรือ AI ที่สร้างขึ้นมาเองเพื่อใช้งานภายในองค์กร และหันมาใช้โซลูชันสำเร็จรูปที่มีทั้งความรวดเร็ว ความสะดวกในการติดตั้งและใช้งาน พร้อมทั้งให้ความแม่นยำถูกต้องที่เหนือกว่า ธุรกิจที่ใช้งานโซลูชันแบบสำเร็จรูป จะสามารถเน้นใช้ทรัพยากรขององค์กรกัยบการติดตั้งและใช้งานระบบ AI เพื่อบรรลุเป้าหมายการทำงานและสร้างคุณค่าให้เกิดกับองค์กรได้ในทันที ในทางตรงกันข้าม องค์กรที่พยายามสร้าง AI ด้วยตัวเองมักจะพบกับปัญหาเรื่องต้นทุนแฝงซึ่งไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าและความล่าช้าในสร้างผลลัพธ์ได้อย่างเต็มศักยภาพของเทคโนโลยี AI

การพัฒนา AI บนพื้นฐานของการมีข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสม ถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสำหรับการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนใน AI ขององค์กร โดยระบบจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบที่มีโครงสร้าง เช่น บันทึกธุรกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า และข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น อีเมลบทสนทนาของลูกค้า ข้อมูลสินค้า และเอกสารนโยบายต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อร่วมกันสร้างมุมมองข้อมูลลูกค้าที่มีความครบถ้วนรอบด้านและพร้อมสำหรับการทำงาน หากไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วน AI จะไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับบริบทในการทำงานได้ รวมทั้งไม่สามารถสร้างผลการทำงานที่องค์กรและลูกค้าสามารถเชื่อถือได้ โดยความสามารถในการทำสำเนาเป็นศูนย์ (Zero-Copy) ของ Salesforce นั้นจะทำให้องค์กรสามารถใช้ข้อมูลข้ามระหว่างระบบ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำสำเนาข้อมูลขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรที่มีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดต้นทุนในการเตรียมข้อมูลเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้ถูกต้อง

3. AI ที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อประเทศไทย กับระบบนิเวศการพัฒนา AI ที่กำลังเติบโต

AI ได้กำลังนำพาทุกภาคส่วนสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยได้สร้างทั้งรูปแบบการบริการ บทบาทการทำงาน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกับการที่สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เคยสร้างระบบนิเวศที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องให้กับนักพัฒนาแอปพลิเคชันมาแล้ว การเติบโตของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี AI นั้นได้กำลังสนับสนุนให้เกิดนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดโอกาสให้นักพัฒนาชาวไทยร่วมกันสร้างเครื่องมือ AI ที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของประเทศ เช่น โมเดลภาษาขนาดเล็ก (Small Language Models: SLMs) ที่สนับสนุนภาษาไทย หรือโมเดลเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถแก้ปัญหาธุรกิจแบบเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ของประเทศ เช่น การท่องเที่ยวและการคมนาคม เป็นต้น

การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทระดับโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของสตาร์ทอัพในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บทบาทเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนา AI ที่มักเกิดขึ้นในโลกตะวันตกนั้นย้ายมาสู่ในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับแรงงานในอนาคต

4. AI Agent พลิกโฉมรูปแบบการบริการแบบเดิม ด้วยการขยายขีดความสามารถ เสริมความชาญฉลาด และสร้างประสบการณ์เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล

ในประเทศที่มีต้นทุนแรงงานไม่สูงมากอย่างเช่นประเทศไทย องค์กรธุรกิจมักใช้วิธีเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อปรับปรุงการบริการและพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนพนักงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหา หรือนำไปสู่ความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าที่สูงขึ้นเสมอไป

AI Agent ได้มอบแนวทางใหม่ในการปรับปรุงการทำงานให้กับองค์กรอย่างแท้จริง ด้วยการจัดการกับคำขอรับบริการจากลูกค้าได้แบบอัตโนมัติ และช่วยปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น มากไปกว่าการเพิ่มปริมาณพนักงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแต่ยังเป็นการมอบบริการที่มีคุณภาพสูงให้กับลูกค้า เนื่องจาก AI Agent จะใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงจากแหล่งต่าง ๆ ในระบบแบบเรียลไทม์ เพื่อมอบการบริการที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับเรื่องที่ลูกค้าขอรับบริการ สามารถตัดสินใจและลงมือดำเนินการได้ตามความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ (London Heathrow Airport) ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดในโลก มีเที่ยวบินเฉลี่ยมากถึงวันละ 1,300 เที่ยวบิน เดินทางสู่จุดหมายปลายทางมากกว่า 230 แห่งทั่วโลก และต้องจัดการกับผู้เดินทางระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลในช่วงเทศกาลต่าง ๆ

สนามบินได้ใช้ Agentforce ซึ่งสามารถดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากฐานความรู้และระบบเชื่อมต่อ API ที่นำข้อมูลเที่ยวบินมาใช้ตอบคำถามให้กับผู้โดยสารได้หลายพันคำถามในเวลาเดียวกันได้ในทันที ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องเสียเวลาค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยครั้ง หรือรอสายเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และสามารถรับทราบข้อมูลสถานะเที่ยวบิน การนำทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงบริการต่าง ๆ ในสนามบินได้ในทันที ช่วยให้เจ้าหน้าที่ของสนามบินได้เน้นใช้เวลาเพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางที่มีความซับซ้อน จากการประมาณการณ์พบว่า Agentforce มีความแม่นยำในการตอบสนองมากถึง 95% และช่วยลดความเครียดของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางผ่านสนามบินฮีทโธรว์ได้เป็นอย่างมาก

Agentforce ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างสรรค์การบริการลูกค้าในแบบใหม่ซึ่งมอบคำตอบได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มความซับซ้อนในกระบวนการทำงานหรือเพิ่มการฝึกอบรมพนักงานที่ใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก Agent จะช่วยให้องค์กรในประเทศไทยก้าวข้ามโมเดลการให้บริการแบบเดิม สร้างประสบการณ์ที่มีความเฉพาะสำหรับแต่ละลูกค้าแต่ละบุคคล ได้รับความสะดวกง่ายดายในการใช้งาน พร้อมมอบคุณค่าที่จะคงอยู่ยืนยาวต่อไปให้กับลูกค้า ผ่านการให้บริการแบบเรียลไทม์ที่มีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

5. การให้ Agent ช่วยสร้าง Agent และการที่ Agent สนทนากันเอง จะกลายเป็นเรื่องปกติ

เช่นเดียวกับการที่องค์กรมีพนักงานซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละหน้าที่ ในปี 2025 นี้เราจะได้เห็น AI Agent ได้รับมอบบทบาทเฉพาะเพื่อทำงานภายในเครือข่ายขององค์กร Agent เหล่านี้จะทำงานร่วมมือกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ พร้อมกับสื่อสารพูดคุยกับ Agent ต่าง ๆ และสร้าง Agent ขึ้นมาใหม่ตามความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแต่ละ Agent จะมีหน้าที่เฉพาะซึ่งองค์กรกำหนดไว้อย่างชัดเจน ช่วยให้ระบบเครือข่ายสามารถจัดการงานที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ภายในเครือข่ายการทำงานของ Agent นี้ Meta-Agent จะมีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่าง Agent ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความราบรื่น ตัวอย่างเช่น Agent ที่เป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาหรือ Concierge Agent อาจทำงานร่วมกับผู้ใช้งาน เพื่อให้คำแนะนำในฟังก์ชันงานที่ Agent สามารถให้ความช่วยเหลือได้ และส่งอัปเดตความคืบหน้าของการดำเนินงานให้ทราบเป็นระยะ ส่วน Agent ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหรือ Orchestration Agent จะทำหน้าที่ประเมินความต้องการของผู้ใช้งาน และส่งคำร้องต่อไปยัง Agent ที่เหมาะสมกับหน้าที่นั้น ๆ เพื่อให้จัดการกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานในรูปแบบเครือข่ายนี้จะยิ่งเสริมสร้างการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้นบนแพลตฟอร์มการสื่อสารเช่น Slack ซึ่งเป็นระบบที่มนุษย์สามารถทำงานร่วมกับ AI Agent ได้แบบผสานรวมเป็นทีมเดียวกัน เพิ่มทั้งความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการประสานงานที่ดียิ่งขึ้นโลกยุคใหม่ซึ่งเป็นยุคแห่ง Agent จะเปลี่ยนแปลงนิยามของการทำงานร่วมกัน ด้วยการสร้างพื้นที่ซึ่งทั้งมนุษย์และ Agent ทำงานเคียงคู่กันในสภาพแวดล้อมที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันยกระดับผลการทำงาน ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ผ่านกระบวนการดำเนินงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดตัวโปรแกรม Eco Deals ครั้งที่สี่ในการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Forum) เสริมสร้างความร่วมมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล(WWF) ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ป่าและแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญในเอเชีย ภายใต้แนวคิด "ร่วมกันผลักดัน: กำหนดอนาคตการท่องเที่ยวของอาเซียน" โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่เสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย

อโกด้าตั้งเป้าหมายรับบริจาคสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเป้าหมาย 1 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยในปีนี้ได้ขยายโปรแกรมไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี รวมเป็น 10 ประเทศทั่วเอเชีย และเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา อโกด้าจะบริจาค 1 ดอลลาร์ให้กับความพยายามในการอนุรักษ์ของ WWF สำหรับทุกการจองกับโรงแรมที่เข้าร่วม นับเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

โครงการ Eco Deals สนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำในญี่ปุ่น

การปกป้องนกปากช้อนในเกาหลี

การอนุรักษ์เสือในมาเลเซีย

การปกป้องฉลามวาฬในฟิลิปปินส์

การอนุรักษ์ช้างในไทย

การปกป้องซาโอล่าในเวียดนาม

การฟื้นฟูระบบนิเวศในอินโดนีเซีย

การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำในสปป. ลาว

หรือการสนับสนุนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในกัมพูชา  เป้นต้น

โครงการ Eco Deals นี้จะเปิดให้ทำการจอง ได้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึง 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568 นับเป็นโอกาสในการร่วมมือในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน

สำหรับส่วนหนึ่งของโครงการ Eco Deals ในกรอบการทำงานปี 2568 อโกด้ายังได้เปิดตัวกองทุน Sustainable Tourism Impact Fund ร่วมกับ WWF-Singapore และ UnTours Foundation ซึ่งกองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถมอบเงินลงทุนที่สามารถเข้าถึงง่าย เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านความยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว โดยอโกด้าได้จัดสรรงบประมาณ 100,000 ดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 150,000 ดอลลาร์ เมื่อยอดบริจาคครบ 1.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้นับเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนในวงการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

เรียงจากซ้ายไปขวา นายวีเวค คูมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WWF ประเทศสิงคโปร์, นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประเทศไทย, นางดารณี พรมมาวงศ์สา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ประเทศลาว, นายอัลวิน ทาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศสิงคโปร์, นายโฮ อัน ฟอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ประเทศเวียดนาม, นายเตียง คิง สิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม ประเทศมาเลเซีย, เดเมี่ยน เฟิร์ช, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ อโกด้า, ดร. อับดุล มานัฟ เมตุซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรขั้นพื้นฐานและการท่องเที่ยว ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม, ฮัก ฮูต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ประเทศกัมพูชา, นางวิดิยานี พุทธรี วาร์ดานา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว อินโดนีเซีย, นางคริสตินา การ์เซีย ฟราสโก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์

 

Damien Pfirsch, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าของอโกด้า กล่าวว่า, Eco deals ในปีพ.ศ. 2568 “เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความพยายามในการปกป้องจุดหมายปลายทางต่าง ๆ และสัตว์ป่าในภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น โดยเรามีเป้าหมายร่วมกับ WWF ในการทำให้คนรุ่นต่อไปสามารถสำรวจโลกได้อย่างเข้าถึงได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาความงดงามตามธรรมชาติเอาไว้ โปรแกรม Eco Deals เป็นโครงการสำคัญสำหรับพันธมิตรโรงแรมของเรานับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปีพ.ศ. 2565 โดยทำให้พวกเขาสามารถร่วมกันอนุรักษ์และดูแลที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าได้อย่างง่ายขึ้น ในปีนี้เราจะตั้งเป้าเพิ่มการรับบริจาคเป็น 1.5 ล้านดอลลาร์และขยายโครงการไปยัง 10 ประเทศ ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับโรงแรมอีกด้วย นอกจากนี้การเปิดตัวกองทุน Sustainable Tourism Impact Fund จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) มีส่วนร่วมในอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย”

ในการเข้าร่วมโครงการ Eco Deals พันธมิตรโรงแรมสามารถเสนอราคาลดสูงสุดถึง 15% ให้กับลูกค้า พร้อมทั้งได้รับตรา Eco Deals เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และจะได้รับการโปรโมตบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของอโกด้า

ไม่ว่าจะเป็นบนสื่อออนไลน์ โฆษณาแบนเนอร์ อีเมลที่ส่งถึงลูกค้า และการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยเสริมสร้างการมองเห็นให้กับโรงแรมอีด้วย นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถค้นหา Eco Deals ได้ผ่านหน้า Landing Page ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในอโกด้า เพื่อให้การค้นหาบนเดสก์ท็อปและอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมของมาเลเซีย Dato Sri Tiong King Sing กล่าวว่า “เราสนับสนุนทั้งภาคสาธารณะและภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนทั่วอาเซียน ในฐานะที่เป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีการท่องเที่ยวอาเซียนปีพ.ศ. 2568 เรารู้สึกยินดีที่เห็นความร่วมมือระหว่างอโกด้าและ WWF ในการส่งเสริมการเดินทางที่สามารถมอบประโยชน์ให้กับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้ ซึ่งสอดคล้องกันอย่างพอดีกับแนวคิด "เอกภาพในการเคลื่อนไหว: กำหนดอนาคตการท่องเที่ยวของอาเซียน" และเข้ากับเป้าหมายของ Visit Malaysia Year 2026 ในการพัฒนาความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในมาเลเซียและอื่น ๆ อีกด้วย”

Vivek Kumar, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WWF-Singapore กล่าวเสริมว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลก เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดีของเรา ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ปีที่สี่ ของกรอบความร่วมมือที่สำคัญระหว่างอโกด้าและ WWF ซึ่งเราได้มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ทั่วภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการปกป้องประชากรเสือในมาเลเซีย ฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ที่เสื่อมโทรมในอินโดนีเซีย และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับช้าง รวมถึงการลักลอบล่าสัตว์ในไทย ทั้งนี้ด้วยการขยายขอบเขตไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี เรามีโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยรายงาน Living Planet Report 2024 ของ WWF เปิดเผยว่าประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงอย่างน่าใจหายถึง 73% ทำให้ความจำเป็นในการดำเนินการมีความเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น เราจะร่วมมือกับอโกด้าเพื่อสร้างอนาคตที่ผู้คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”

กองทุน Sustainable Tourism Impact Fund สร้างขึ้นมาเพื่อมอบเงินลงทุนให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) ในภาคการท่องเที่ยว โดยครอบคลุมหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและพัฒนาการอนุรักษ์ ช่วยกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวในแนวทางที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) สามารถเข้าถึงเงินทุน เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว โดยสามารถขอกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 ถึง 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งกองทุนนี้บริหารจัดการโดย UnTours Foundation มีการดำเนินการและคัดกรองใบสมัครอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันอโกด้าจะมีส่วนร่วมในการจัดหาเงินทุน ตัดสินใจลงทุน และให้คำปรึกษา ทั้งนี้ WWF-Singapore จะสนับสนุนในด้านการให้คำแนะนำด้านสิ่งแวดล้อมและตรวจสอบความเหมาะสม ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถส่งใบสมัครได้ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ทางการของกองทุนที่ https://untoursfoundation.org/sustainable-tourism-impact-fund

ด้วยความร่วมมือกับเครือข่ายระดับโลกที่ให้บริการที่พักและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย อโกด้ามุ่งมั้นที่จะสร้างอนาคตการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ เช่น WWF และ UnTours Foundation จะช่วยเสริมสร้างความพยายามของอโกด้าในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจสังคม ให้ทุกการเดินทางมีคุณค่าและส่งเสริมการอนุรักษ์ในทุกจุดหมายปลายทาง

INE NEXT Inc. บริษัทร่วมทุนของ LINE ที่มุ่งพัฒนาและขยายระบบนิเวศ Web3 ประกาศเปิดตัว Mini Dapps และ Dapp Portal ให้ผู้ใช้งานทั่วโลกใช้งานได้แล้ววันนี้

Mini Dapps ที่ขับเคลื่อนด้วย Kaia สามารถเข้าถึงได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชัน LINE ด้วยบัญชีทางการ (LINE Official Account) ของ Dapp Portal โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการ Web3 ได้ง่ายขึ้น ซึ่งบน Dapp Portal นี้ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งาน Mini Dapps ได้หลากหลายประเภท เช่น เกม โซเชียลมีเดีย และคอนเทนต์ต่าง ๆ อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถเข้าถึงแต่ละ Mini Dapp ได้ผ่านบัญชีทางการของแต่ละ Dapp ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลในแอปเพื่อรับรางวัลจากการใช้งาน Dapps และสามารถซื้อขายสินทรัพย์เสมือนและ NFTs ได้ ซึ่ง LINE NEXT ยังมีแผนเปิดตัว Dapp Portal บนแท็บ ‘หน้าหลัก’ (Home) ของแอปพลิเคชัน LINE และเวอร์ชันเว็บเบราเซอร์ในอนาคต โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งาน Mini Dapp สามารถติดตามได้บนช่องทาง Medium ของ Dapp Portal (https://lin.ee/CAvy5jQ/qbko)

 

32 Mini Dapps แรกที่ถูกนำเสนอโดย LINE NEXT ในการเปิดตัวครั้งนี้ได้ถูกพัฒนาภายใต้โปรแกรม Kaia Wave ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จัดทำขึ้นร่วมกันระหว่าง LINE NEXT และสถาบัน Kaia Foundation เพื่อสนับสนุนนักพัฒนา Web3 และได้ถูกพัฒนาผ่านชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Kit: SDK) ของ LINE NEXT ซึ่งตัวอย่างของ Mini Dapps ได้แก่

● Bombie และ Cattea พัฒนาโดย Pluto Studio ที่เคยสร้างโปรเจกต์ mini-app ที่มีผู้ใช้งานถึง 43 ล้านคนภายใน 6 เดือน และประสบความสำเร็จทำยอดขายได้อันดับ 1

● Captain Tsubasa -RIVALS- on LINE เกมที่ดัดแปลงจากมังงะฟุตบอลชื่อดัง Captain Tsubasa

● Superz ซึ่งเป็น Mini Dapp ด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานที่ไม่เคยใช้สกุลเงินดิจิทัลมาก่อน เพื่อผสมผสานพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเข้ากับรางวัลที่จับต้องได้

นอกจากนี้ LINE NEXT ยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวน Mini Dapps ให้ได้มากกว่า 1,000 โปรเจกต์ภายในสิ้นปี 2568 นี้

ย็องซู โค ซีอีโอของ LINE NEXT กล่าวว่า “การทำให้บริการ Web3 เป็นที่นิยมได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการเข้าถึงและการใช้งานที่ง่าย ซึ่งการเปิดตัว Mini Dapps บนแอปพลิเคชัน LINE จะเป็นตัวอย่างของการนำบริการ Web3 มาใช้ในวงกว้างครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย”

ดร.แซม ซอ ประธาน Kaia DLT Foundation กล่าวว่า “เรามีความตื่นเต้นที่จะได้มอบประสบการณ์ Web3 แบบไรเรอยต่อผ่าน Mini Dapps และ Dapp Portal โดย Kaia มีความมุ่งมั่นที่จะมอบโซลูชันบล็อกเชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูงและสามารถปรับขยายได้ให้แก่ LINE NEXT และพันธมิตร Web3 ของเราต่อไป

การประกาศใช้ข้อกำหนดใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ทั้ง Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ว่าด้วยการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และ Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) ว่าด้วยการสอบทานด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้ผู้บริโภคในยุโรปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทหรือองค์กรในยุโรปรวมถึงบริษัทต่างชาติที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานได้ภายในปี 2569 นั้นจะส่งผลกระทบต่อโรงแรมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อรับกติการักษ์โลกของ EU ภายในปี 2569 เนื่องจากโรงแรมและที่พักของไทยกว่า 2 หมื่นแห่งขายห้องพักบน Booking.com ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์รวมถึง Agoda ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การบริหารของบริษัทแม่เดียวกัน (Booking Holdings) ที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด CSRD และ CSDDD โดยทาง Booking.com และ Agoda ได้ขานรับข้อกำหนดของ EU พร้อมส่งเสริมโรงแรมทั่วโลกที่ขายห้องพักบนแพลตฟอร์มให้ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล อย่างเช่น Greenkey, Green Globe, Travelife, EarthCheck, GSTC และรวมถึง Green Hotel Plus ของไทยที่ได้รับ GSTC-Recognized Standard นอกจากนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวยังรวมไปถึงบริษัททัวร์ในยุโรปที่ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งนี้จากข้อมูลโครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในไตรมาส 3 ปี 2567 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า 56% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยนิยมจองโรงแรมและที่พักผ่าน OTAs และ 35% ของนักท่องเที่ยวยุโรปจองโรงแรมและที่พักผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่าข้อกำหนดใหม่นี้จะส่งผลกระทบกับธุรกิจโรงแรมไทยที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนในแต่ละปี โดยราว 20% เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป ขณะที่โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางของความยั่งยืน จากการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมทั่วโลกของ The Department for Environment, Food & Rural Affairs (DEFRA) ของสหราชอาณาจักร พบว่า ในปี 2566 โรงแรมไทยยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ค่อนข้างสูงที่ 43.4 kgCO2e per occupied room เมื่อเทียบกับ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิตาลี และฝรั่งเศส

 

โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก้าวสู่ความยั่งยืน สะท้อนจากจำนวนโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ราว 100 แห่งหรือมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของโรงแรมและที่พักในไทยทั้งหมด อีกทั้งยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยกว่า 60% เป็นโรงแรมเชนทั้งในเครือเชนต่างประเทศและเชนไทย ซึ่งเส้นทางสู่ความยั่งยืนของโรงแรมไทยยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการทั้ง 1) ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์ในระยะยาวของการเป็นโรงแรมยั่งยืน 2) ความพร้อมในด้านเงินทุน บุคลากร ที่ปรึกษา และการเก็บข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบเนื่องจากธุรกิจโรงแรมเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ไม่นาน และ 3) แรงกระตุ้นที่จะผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทั้งจากนโยบายภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจากเทรนด์ของนักท่องเที่ยว

ก้าวสำคัญ (3T) ที่จะช่วยให้โรงแรมยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง

· Target : การกำหนดเป้าหมายสู่ความยั่งยืนภายใต้กรอบเวลาและแผนงานที่ชัดเจน รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งธุรกิจโรงแรมอาจกำหนดเป้าหมายระยะสั้นควบคู่ไปกับเป้าหมายระยะยาว

· Teamwork : การสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้แก่พนักงาน Supplier ไปจนถึงผู้เข้าพัก ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการก้าวสู่ความยั่งยืนร่วมกันด้วย

· Transform : ธุรกิจโรงแรมอาจเริ่มต้นจากการปรับลดการใช้พลังงานและทรัพยากร รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง แล้วจึงวางแผนเพิ่มการลงทุนในพลังงานทดแทนหรือปรับปรุงอาคารเขียวเมื่อมีความพร้อม

การก้าวข้ามข้อจำกัดและการเสริมความแข็งแกร่งด้านความยั่งยืนต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ

· การยกระดับเป้าหมายความยั่งยืนไทย ด้วยการผลักดันให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องโจทย์ด่วนไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกของธุรกิจผ่านการออกข้อกำหนด/มาตรการการบังคับใช้เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเห็นความสำคัญในการก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมด้านความยั่งยืนให้กับสังคม

· การพิจารณาจัดตั้งกองทุนความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการดำเนินการด้านความยั่งยืนเพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งอาจครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนเงินทุนในการยื่นขอรับใบรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล

· การออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านความยั่งยืน อย่างเช่นการออกสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การฝึกอบรมบุคลากร หรือการขอใบรับรองมาตรฐานในระดับสากลเพื่อกระตุ้นให้โรงแรมไทยหันมาลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น

 

บทวิเคราะห์   :  ดร. กมลมาลย์ แจ้งล้อม  

                      นักวิเคราะห์อาวุโส  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ( SCB ) 

 

นายคมสันต์ ลี ผู้ก่อตั้งโครงการ “คมส่งฝัน” เดินหน้าสานต่อโครงการฯตอกย้ำเจตนารมณ์ และวิสัยทัศน์ที่ต้องการหยิบยื่นโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนเพราะเชื่อว่า “การศึกษา คือ จุดเริ่มต้นของโอกาสที่ดีในชีวิต” มอบทุนการศึกษาแบบให้เปล่าจำนวน 6 ทุน มูลค่ารวมกว่า 600,000 บาท ให้แก่เยาวชนไทยที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี และมีความตั้งใจที่กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนไทยเหล่านี้จะสามารถนำความรู้ ความสามารถ มาประยุกต์ใช้ให้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

BINANCE TH by Gulf BINANCE  แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตอกย้ำสัญญาณบวกในตลาด ประกาศจัดอิเวนต์ใหญ่รับเปิดปี 2025 ภายใต้ชื่อ "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE พื้นที่เรียนรู้และเปิดรับประสบการณ์ “สินทรัพย์ดิจิทัล” เต็มรูปแบบเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ มุมมอง และกระแสคริปโทฯ ที่จับต้องได้สำหรับทุกคน และยังเป็นการรวมตัวชุมชนชาวคริปโทฯ จากทั่วโลกในประเทศไทย ณ ใจกลางสยามสแควร์ ระหว่างวันเสาร์ที่ 18 และวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม ศกนี้

กิจกรรมใหญ่ในงาน

*เรียนรู้การลงทุนแบบจับมือทำกับทีม BINANCE TH Academy และวิทยากรระดับโลก

*คริปโทกับโปรเจกต์ระดับโลก และโปรเจกต์ชั้นนำ ได้แก่ MOODENG SOL, MEMELAND, EDU & MOCA, PNUT, MANTA, LUMIA, PIXEL, ONE KEY และอีกมากมาย

*ลุ้นรับรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท จากกิจกรรม Token Reward และกิจกรรมในโซนต่าง ๆ จากทาง BINANCE TH และ Sponsors ที่มีให้สะสมแสตมป์ใน Passport card เพื่อรับ SWAG ที่บอกเลยว่าเป็น rare item (คนในวงการคริปโทฯ รู้กันดี) มีแจกเฉพาะที่งานนี้เท่านั้น!!!

*T-Pop stage ทัพศิลปินชั้นนำพร้อมสาดความมันส์กลางสยามสแควร์ ได้แก่ ต้าห์อู๋-ออฟโรด, PROXIE, PERSES, BNK48, วี ไวโอเล็ต, และโบกี้ไลอ้อน

 8 โซน ภายในงาน ประกอบด้วย

· Zone 1: BINANCE TH ENTRANCE & REGISTRATION (สยามสแควร์ ซอย 7) จุดลงทะเบียน Walk-In และรับ Wristband และ Passport เพื่อเข้าร่วมงานและสำหรับทำกิจกรรมรับของรางวัลภายในงานมากมาย

· Zone 2: BINANCE TH SQUARE (สยามสแควร์ ซอย 7 บล็อก I ) หากกำลังถามหาทีมผู้เชี่ยวชาญและเวิร์คช็อปติว Crypto 101 ตัองมาลงที่ลานนี้

· Zone 3: MEMELAND CAFE (สยามสแควร์ ซอย 3) โซนคาเฟ่ co-working space เพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มที่จัดเตรียมมาภายในงาน

· Zone 4: BINANCE TH CREATOR ZONE (สยามสแควร์ ซอย 3) โซนถ่ายภาพ และพบปะครีเอเตอร์คริปโทตัวท็อปในวงการ รวมถึงเนรมิตพื้นที่สำหรับทำอินเตอร์แอคทีฟคอนเทนต์ สร้างสีสันในงาน

· Zone 5: BINANCE TH BINANCE ACTIVITIES (สยามสแควร์ ซอย 7) ร่วมสนุกกับปาร์ตี้แบบชาวคริปโทที่ทาง BINANCE TH เตรียมไว้ให้ พร้อมร่วมสนุก สะสมรางวัลกับเกมบันไดงู และเกมเจงก้าขนาดบิ๊ก

· Zone 6: BINANCE TH FUTURE STAGE (ลานอัฒจันทร์ ชั้น LG ตึกสยามสแควร์ วัน) เวทีแห่งการเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ คนในวงการ ถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าใจง่ายสำหรับทุกคน

o หัวข้อแนะนำ

§ วันเสาร์ที่ 18 มกราคม - BINANCE TH driving the next 1M crypto adoption in Thailand

§ วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม - Building a career in Web3 and Crypto: Opportunities, Skills, and the Future

· Zone 7: BINANCE TH TUK TUK (สยามสแควร์ บล็อก K) จุดถ่ายภาพสุด Chic ที่เป็น Landmark สำคัญภายในงาน นำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยผสมผสานเข้ากับความเป็นผู้นำระดับโลกของ BINANCE

· Zone 8: BINANCE TH FUTURE BEATS STAGE (สยามสแควร์ บล็อก K) หรือ Moo Deng Stage จัดเต็มคอนเสิร์ต เพิ่มความสนุกกับเหล่า T-Pop ภายในงาน ตั้งแต่ 17:00 น. เป็นต้นไป

o เสาร์ที่ 18 มกราคม พบกับ CU band, BNK48, ต้าห์อู๋-ออฟโรด และ วี ไวโอเล็ต วอเทียร์

o อาทิตย์ที่ 19 มกราคม พบกับ CU band, PERSES, PROXIE และ โบกี้ไลอ้อน

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรี! ตั้งแต่วันนี้ ที่ ้https://lu.ma/883jke53 หรือติดตามข่าวสารงาน Street of the Future Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE ได้ที่ Official Facebook: BINANCE TH by Gulf BINANCE พร้อมร่วมสนุกในโซนต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เวลา 11:00 น. - 21:00 น. ที่สยามสแควร์

เปิดศักราชใหม่รับปีงู LINE MAN MART ชวนคนไทยช้อปสินค้าออนไลน์ รับสิทธิลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ใช้สะดวก สั่งง่าย พร้อมรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2568 สูงสุดถึง 50,000 บาท เพียงสั่งสินค้าจากร้านค้าที่ร่วมรายการกว่า 1,716 แห่ง บน LINE MAN MART พร้อมแจกส่วนลดเพิ่ม 20% ใช้ได้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เริ่มวันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568

ไม่ว่าจะช้อปของใช้ประจำวันหรือของพรีเมียมก็สามารถเลือกช้อปสินค้าจากร้านค้าชั้นนำได้ อาทิ Tops, Tops daily, BigC, Lotus's, Gourmet Market, Boots, HomePro, OfficeMate, B2S, Matsukiyo ,Save Drug, PetPaw, Pet 'N Me, B2S, HomePro, OfficeMate และ BaNANA ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศเพียงสั่งสินค้าผ่าน LINE MAN MART แล้วกดขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) บนแอปพลิเคชัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมลที่ลงทะเบียนไว้

โครงการ Easy E-Receipt 2.0 บน LINE MAN MART เป็นการต่อยอดกระแสตอบรับที่ดีจากปีที่ผ่านมา ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ไม่พลาดโอกาสใช้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ LINE MAN ยังมอบส่วนลดพิเศษให้กับทุกคนเพียงกรอกโค้ด EASYTAX รับส่วนลดเพิ่มทันที! สูงสุด 20% ใช้ได้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เมื่อสั่งขั้นต่ำ 600 บาท เริ่มวันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568

เริ่มช้อปพร้อมใช้สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้แล้ววันนี้บนแอป LINE MAN กดดูวิธีสั่งซื้อและการกรอกข้อมูลเพื่อขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ผ่านทาง https://shorturl.at/8d3cT

*เฉพาะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” ประกาศความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท หลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ลงทุนเมื่อวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม ที่ผ่านมา โดยการระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินของบริษัท และสนับสนุนการขยายธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมทั้งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุนการเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งเสนอขายจำนวน 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี และสามารถปิดการขายด้วยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขอขอบคุณสถาบันการเงินชั้นนำทั้ง 10 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จครั้งนี้ โดยมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกด้านการให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนและช่องทางการจำหน่าย ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ในครั้งนี้ได้อย่างกว้างขวาง

สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “Investment Grade” ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ลงทุน

“ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาทในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อบีทีเอส กรุ๊ปฯ อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 13.2 พันล้านบาทในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้ถือหุ้นจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ (over-subscribed) เป็นจำนวนมาก” ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ กล่าว

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก การเพิ่มขึ้นของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ในประเทศ และโอกาสใหม่สำหรับประเทศไทยในโลกยุคเปลี่ยนผ่าน เป็นประเด็นร้อนในงานสัมมนา KKP Year Ahead 2025: Opportunities Unbound ที่จัดขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าชั้นนำของ KKP โดยมี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เป็นผู้บรรยายพิเศษ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 14 มกราคม 2568

แนวโน้มโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ดร.ศุภวุฒิ ได้กล่าวถึงการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงเพียงการเปลี่ยนแปลงผู้นำของสหรัฐฯ แต่เป็นการสั่นคลอนโครงสร้างระเบียบโลกแบบที่ทุกคนรู้จัก เพราะทรัมป์ ได้แสดงความต้องการถอนตัวหรือการลดบทบาทองค์กรหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น NATO, WHO และ COP ซึ่งสหรัฐฯ เคยเป็นผู้สนับสนุนสำคัญมาโดยตลอด “การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จึงจะไม่ใช่แค่ Presidential Change แต่เป็น Paradigm Shift และเป็นความไม่แน่นอนระดับโลก”

ในส่วนของจีน ดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นถึงภาวะ “อ่อนใน-แข็งนอก” จากเศรษฐกิจภายในประเทศที่เปราะบาง เห็นได้จากปัญหาสินค้าคงค้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ เงินหยวนที่อ่อนค่า ทำให้กำลังซื้อในประเทศตกต่ำจนกระทั่งเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่ในเวทีโลก จีนยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการครองตลาดโลกในสินค้าอุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น แผงโซล่าเซลล์และ รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ยุโรปซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกนั้น ประเทศหลักมีการเติบโตต่ำกว่า 1% และมีความไม่แน่นอนและความเปราะบางทางด้านการเมืองและความมั่นคง ดังนั้นความมั่นใจในด้านเศรษฐกิจคงจะไม่สามารถพลิกฟื้นได้ใน 1-2 ปีข้างหน้า

โอกาสท่ามกลางความผันผวน ในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยจีนและสหรัฐฯ เผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงและยุโรปอ่อนแอ ดร.ศุภวุฒิมองว่า ประเทศไทยมีทางเลือกใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร และบริการ

 “จีน แม้จะมีประชากรมากถึง 20% ของโลก แต่มีพื้นที่เพื่อการเกษตรน้อยกว่า 10% ของพื้นที่ของโลก และมีทรัพยากรน้ำเท่ากับ 6% ของโลก ดังนั้น จีนจึงจะต้องเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรรายใหญ่ของโลกไปอีกนาน และนี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะใช้ความได้เปรียบในด้านการเกษตรและอาหารในการ ขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ”

· นอกจากนี้ จีนก็ยังนำเข้าสุทธิการบริการ มีความต้องการในด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งในส่วนนี้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา “เพราะไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯ ก็ไม่มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทย ส่วนภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่ว่าจะหายไป แต่จะยังคงมีอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจง เช่น เซมิคอนดักเตอร์

ในส่วนของ assembly, testing and packaging แต่อาจจะไม่ใช่หัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (economic engine) ของประเทศไทยในบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป”

งานสัมมนาสะท้อนกลยุทธ์ การันตีด้วยรางวัลด้านบริหารความมั่งคั่ง งานสัมมนา KKP Year Ahead 2025: Opportunities Unbounded โดย KKP ถือเป็นเวทีชั้นนำด้านการเงินและการลงทุนของประเทศ ด้วยข้อมูลเชิงลึกและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถวางแผนและตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด Optimise Your Opportunities ยืนยันโดยรางวัลด้านการบริหารความมั่งคั่งระดับสากลอย่างต่อเนื่อง อาทิ 3 รางวัลล่าสุดจาก The Asian Private Banker ได้แก่ Best Domestic Private Bank, Best CIO และ Best Discretionary Portfolio Management สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการเพื่อลูกค้า และความสำเร็จในมาตรฐานสากล แม้ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

เส้นทางสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรูแห่งเอเชียในปี 2568 ของประเทศไทย ต้องอาศัยการ 'เจาะลึก' ผ่านการยกระดับที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ชั้นนำ ส่งเสริมสุขภาพเชิงฟื้นฟู และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวด้านอาหาร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในภูมิภาค แบรนด์ระดับโลกเดินหน้าผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็น 'เมืองแห่งความสนุกระดับโลก' พร้อมสร้างนิยามใหม่ของการท่องเที่ยวสายลักซ์ชัวรี ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวหรูในไทย

โดยในงาน Thailand Tourism Forum (TTF) 2025 มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน เพื่อสัมผัสวิสัยทัศน์และเทรนด์อนาคตของอุตสหากรรมนี้ โดยงานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัวแนวคิดใหม่ JOMO (Joy of Missing Out) ที่เข้ามาแทนที่ FOMO (Fear of Missing Out) ซึ่งเปลี่ยนการท่องเที่ยวตามกระแสนิยมสู่การเดินทางที่เน้นการพักผ่อนใจ หลีกหนีความวุ่นวาย ดูแลตัวเอง และค้นหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

คุณบิลล์ บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks กล่าวว่า "กระแสใหม่ในตลาดลักซ์ชัวรีขับเคลื่อนโดยกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านบาทต่อปี (5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่พักอาศัยแบรนด์หรูที่มีมูลค่าสูงถึง 191 พันล้านบาท (34.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้ ธุรกิจสุขภาพนั้นได้ก้าวข้ามขอบเขตของสปา สู่การใช้ชีวิตกลางแจ้งและการสร้างไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะอยู่ต่อนานขึ้น และปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยแนวคิดเรื่องการดูแลสุขภาพเพื่ออายุยืนกำลังก้าวขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดลักซ์ชัวรียุคใหม่”

นอกจากนี้ คุณเจสเปอร์ ปาล์มควิสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการบริการและรองประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ STR เผยว่า ทำเลในกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทำผลงานได้โดดเด่นในปี 2024 ซึ่งสอดรับกับแนวคิด 'ลักซ์ชัวรียุคใหม่' ที่เน้นเสน่ห์ของธรรมชาติและเอกลักษณ์ด้านอาหารในย่านต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นจุดดึงดูดสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

งานสัมมนาในหัวข้อ 'การบริหารแบรนด์ไลฟ์สไตล์และแบรนด์ดั้งเดิม' มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแบรนด์อย่างสร้างสรรค์ โดยคุณศิรเดช โทณวณิก รองประธานฝ่ายพัฒนาของโรงแรมดุสิต โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า โรงแรมดุสิตธานีแห่งใหม่สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของกลุ่มได้อย่างชัดเจน ขณะที่แพททริค ฟินน์ รองประธานฝ่ายพัฒนาของ IHG Hotels & Resorts ได้นำเสนอเทรนด์ 'The Hot List – Top Luxury Travel Trends in Thailand' โดยเน้นว่าในปี 2025 ประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่แท้จริงและเต้มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นจุดเด่นสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดย IHG Hotels & Resorts ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการบริการกลุ่มโรงแรมหรูในประเทศไทยด้วยแบรนด์ อินเตอร์คอนติเนนตัล และ คิมป์ตัน โดยเฉพาะ อินเตอร์คอนติเนนตัล เขาใหญ่ รีสอร์ต ที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและอายุยืน หรือ 'longevity tourism' กำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญในตลาดท่องเที่ยวหรูยุคใหม่ของไทย โดยมีสถานที่ล้ำสมัย เช่น VitalLife Scientific Wellness Center Phuket เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น โดย ดร.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก VitalLife Scientific Wellness Center และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวในหัวข้อ 'นิยามใหม่ของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย' ว่าการดูแลสุขภาพเพื่ออายุยืนกำลังเป็น 'พรมแดนใหม่' ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

งาน Thailand Tourism Forum 2025 จัดขึ้นโดย C9 Hotelworks ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ เช่น IHG Hotels & Resorts, STR, Horwath HTL, JLL Hotels and Hospitality, QUO, AMCHAM Thailand, Delivering Asia, VitaLife, Lighthouse, Phuket Hotels Association, Thaiger โดยมีโรงแรม InterContinental Bangkok เป็นสถานที่จัดงาน

X

Right Click

No right click