นับแต่ระลอกแรกของ Technology Disruption ที่กระทบกระแทกเข้ามาพลิก เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปสู่วิถีแห่งดิจิทัล ตัดตอนวงจรธุรกิจที่เคยดำเนิน สืบเนื่องติดต่อกันมายาวนาน ปิดเกม เปลี่ยนโฉมโมเดลการค้าน้อยใหญ่ในโลก  ไม่พ้นแม้อุตสาหกรรมการเงิน วันนี้เริ่มมีคำกล่าวขานว่าระลอกคลื่นแห่ง Disruption เริ่มหันทิศทางมาที่ภาคการศึกษา ประเด็น Education Disruption เริ่มจุดกระแส ความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ไม่พ้นแม้แต่หลักสูตรบริหารธุรกิจ ใน Business School อันเป็นที่สุดของ ความนิยมทั่วโลกก็ยังเริ่มสั่นคลอน

รศ.ดร.สิริวุฒิ บูรณพิร คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ (AccBA CMU) ได้เผย วิสัยทัศน์ต่อประเด็น Education Disruption บนมุมมองของนักการศึกษาประกอบกับ สายตาผู้เชี่ยวชาญสายกลยุทธ์ หรือ  Management Strategist โดยยกแนวคิด ของ ศ. อิกอร์ แอนซอฟ (Prof. Igor Ansoff) เจ้าแห่งทฤษฎี Strategic Success Paradigm ในการพยากรณ์แนวโน้มตลาดผู้เรียน MBA และแนวทางพัฒนาหลักสูตร เพื่อตอบโจทย์อนาคตที่กำลังเปลี่ยนไป

Technology Disruption คือ การพลิกเกม โดยเทคโนโลยี ซึ่งจะมา Disrupt อุตสาหกรรม การศึกษา ขนาดเกิด Education Disruption นั้น กระทบทุก Business School จน นักวิจารณ์บางรายบอกว่ามหาวิทยาลัย จะถูกตัดตอนออกไปนั้น อันที่จริงแล้ว Business School ก็ พลิกเกม” โดย พัฒนาตัวเองมาหลายยุคหลายสมัย  มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตาม สภาพการณ์และสภาพแวดล้อมท่ี เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตร รายวิชาซึ่งเป็นเสมือนผลิตภัณฑ์ ก็มีการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ตลาดและ ความต้องการอยู่เสมอๆ ครั้งนี้เช่นกัน เมื่อสภาพแวดล้อมวันนี้และอนาคตที่ คาดการณ์ว่าจะต่างไปจากในอดีต และ คาดว่าจะเปลี่ยนมากและยากต่อการ พยากรณ์ นั่นหมายความว่า อนาคตของ Business School ก็ย่อมต้องเปลี่ยนไป ส่วนทิศทางของ Business School จะเป็น ไปอย่างไรนั้นในมุมของผมคิดว่า น่าจะ พัฒนาไปสู่ Business School for Life คือ “เรียนรู้ตลอดชีวิต” คือบทเปิด ความคิดเห็นของ รศ.ดร.สิริวุฒิ อันนำมาสู่ บทสัมภาษณ์ เพื่อขยายความในประเด็น เรื่อง Future Education และ Business School for Life และแนวทางวันนี้ของ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Q: ความเห็นของอาจารย์ในเรื่อง Technology Disruption?

A: ทุกวันนี้การคาดการณ์อนาคตทำยากขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่า Disruptive Technology ไม่ว่าจะเป็น AI (Artificial Intelligence: ปัญญาประดิษฐ์) Machine Learning (การเรียนรู้ ของสมองกล) หรือ Big Data ทั้งหลายนั้นในที่สุดแล้วมันจะพัฒนาไปถึงไหน มี Limitation หรือขีดจำกัดอยู่ที่ใด เพราะสิ่งที่พูดกันทุกวันนี้คือ ทุกสิ่งทได้ ขอเพียงจินตนาการไปถึง ซึ่งถ้ำศักยภาพในการทได้มีมากขนาดนั้นจริง เราจะรู้ได้อย่างไรว่า AI  หรือ Machine Learning จะดึงเราไปไกลแค่ไหน หรือเส้นขอบฟ้าของเราจะกว้างขึ้น เพียงใด เมื่อเป็นเช่นนี้ การคาดการณ์อนาคตจึงยากมาก

พูดถึงเทคโนโลยีแค่สองตัว อย่าง Machine Learning กับ AI ผมมองว่า คือ ตัวที่จะ มาเสริมบทบาทหน้าที่ของมนุษย์ และแทนที่งานในบางลักษณะ โดยเฉพาะที่ทำซ้ำๆ และ งานที่มนุษย์มีโอกาสทำผิดพลาดบ่อยๆ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่างานที่มีแบบแผนตายตัว เทคโนโลยีทำแทนได้ทันที ไม่ใช่เพียงแค่งานใช้แรงกายอย่างเดียว เพราะงาน Labor นั้น หุ่นยนต์หรือ Robot ทำได้และทำแทนมานานแล้ว ตอนนี้งานที่ใช้สมองก็แทนได้เขาถึง เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ เช่น การลงรายการบัญชี การทำบัญชี จนถึงรายงานการเงิน  ทุกวันนี้สามารถสแกนใบเสร็จแล้วเรียลไทม์ลงงบการเงินได้ทันที ซึ่งก็มีเว็บไซต์ที่เปิดให้ บริการทั่วไปหมดแล้ว หรืออย่างบทความจำนวนมากของ Bloomberg ก็ถูกเขียนโดย AI ซึ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทำหลายอย่างแทนมนุษย์จะทำให้เรามีเวลาเหลือมากขึ้น และต้องผันตัวไปทำอะไรที่สร้างสรรค์ (Imaginative Work) มากขึ้น คำถามคือ เราต้อง สอนคนต่างไปอย่างไร

Q: แรงขับของภาคการศึกษา โดยเฉพาะในสาย Business School ตลอดจนแนวทางการปรับตัวอันสืบเนื่องมาจากผลกระทบจาก เทคโนโลยี ในความคิดเห็นของอาจารย์จะเป็นอย่างไร? 

A: ผมคิดว่า Driving Force ไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น อย่างที่บอกว่าทุกสิ่งต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แต่คิดว่าอนาคตต่อไปจะอยู่ยากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงมันซับซ้อน รวดเร็ว แหวกแนว และเห็นได้ไม่ชัด ลองมาไล่เลียงกันดูก็ได้

ภาคการศึกษาในยุคแรก คือ Education for Knowledge การศึกษาเพื่อมุ่งสร้างความรู้ Driving Force หรือแรงขับเคลื่อน ยุคนั้นคือรัฐบาล ที่กำหนดนโยบายและจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริม และสร้างให้ประชาชนมีความรู้ สถาบันฯ ก็มุ่งเป้าหมายชัดเจนไปที่การสอนความรู้ และการ Apply ความรู้ ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัย ในยุคนั้น มักจะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็น Research University เน้นงานวิจัย และเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่เน้นไป ทางด้านวิทยาการ มุมมองของคนทั่วไป ก็จะมองว่า มหาวิทยาลัยเป็นสมบัติของ แผ่นดิน เป็น National Asset ในส่วน  Business School ก็วางหลักสูตรเพื่อปั้น คนให้เป็นคน “รู้จริงและคิดเป็น” ซึ่งต่อมาพอสภาพแวดล้อมเปลี่ยน แนวคิดนี้ก็ปรับไป

หลังจากนั้น Driving Force เริ่มไม่ได้ มาจากแรงขับเพียงภาครัฐ แต่เกิดจากภาค ผู้เรียน ที่อยากจะมี Job Mobility  ที่สามารถไปสมัครงานที่ไหนก็ได้ เปลี่ยนงาน ได้คล่อง ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ก็เกิดภาวะการแข่งขันสูง (Competition Demand) ต้องการบุคลากรที่มีทั้งความรู้ และทักษะที่จะมาช่วยทำให้องค์กรชนะ การแข่งขันได้ จึงก้าวมาสู่ยุคการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะหรือ Business School for Skills ยุคนี้ผู้เรียนเรียกร้อง อยากได้ สิ่งที่จะทำให้ตนเองทำงานได้ หลักสูตร ใน Business Schools ทั้งหลายเปลี่ยน กำหนดเป้าหมายและจุดขายมาที่เพิ่ม ทักษะเชิงปฏิบัติ เพื่อให้บัณฑิตเป็น ผู้ที่ทั้ง คิดเป็น และทเป็น

ณ จุดนี้จะพบว่าภาคการศึกษาที่ จากเดิมเคยเน้นการเรียนการสอนและ การวิจัย เอาสิ่งที่วิจัยได้มาสอน ก็เริ่มปรับ มาสอนสิ่งที่เป็นความรู้ทั่วไป หรือ  General Knowledge เป็นความรู้พื้นฐาน กว้างๆ แล้วเติมทักษะเฉพาะ หรือ  Specialized Skills ซึ่งส่วนใหญ่ตัวหลักสูตร จะถูกออกแบบมาในลักษณะที่ต้องมีวิชาพื้นฐาน (Core Courses) แล้วมีวิชา ที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะให้เลือก (Electives) โดยการเรียนการสอนใน  Business Schools ก็มีการ Balance กัน ระหว่างการศึกษาแบบสามัญกับแบบอาชีวะ และลักษณะการเรียนการสอนก็จะเริ่ม ปรับจากเดิมที่เน้นการบรรยาย หรือ Teacher Teaching มาเป็น Case Studies บ้าง Problem-Based หรือ Project-Based หรือ Experiential Learning บ้าง วิชาใน กลุ่มบริหารงานบุคคลก็ใช้การแสดง บทบาททำ Role Play อะไรต่างๆ เข้ามา ลักษณะนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาทักษะ ผู้เรียนอีกขั้นหนึ่ง

ถัดจากนั้นก็มาถึงยุคที่เริ่มมีเสียง วิพากษ์วิจารณ์จากภาคผู้ประกอบการ หรือผู้ใช้บัณฑิตว่า การศึกษาที่ทำอยู่ ไม่ตรงจุด หรือ Irrelevant ผลิตบัณฑิต ที่ไม่พร้อมใช้ เมื่อเสียงขององค์กรเริ่ม สะท้อนดังขึ้น จนเป็นแรงขับดันที่นำมา สู่ยุคของการศึกษาเพื่อองค์กร Education for Organization

แนวคิด Education for Organization เป้าหมายคือการผลิตบัณฑิตที่ คิดเป็น ทเป็นและแก้ปัญหาได้ เป็นมนุษย์ พร้อมใช้ โดยหลักสูตรจะบูรณาการ  (Integrate) ทฤษฎีกับการท?างานจริง ในสถานประกอบการเน้นการเรียนไป พร้อมกับทำงาน เป็นความร่วมมือกันของ สถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม แต่หลักสูตรต่างๆ ก็ยังถูกพัฒนาจากมุมมอง ฝั่ง Supply Side หรือสถาบันการศึกษาอยู่ดี

ทั้งนี้ Business School for Organization มีธรรมชาติที่ต่างไปจากสองยุคแรก  ในแง่ของความจำเพาะเจาะจง สังเกตได้ จากหลักสูตรจะวางวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ว่าต้องการบัณฑิตเพื่องานในองค์กร ประเภทไหน จะลดความเป็น Generalized ลงแต่จะมุ่งตอบโจทย์เฉพาะอุตสาหกรรม ที่เป็นเครือข่ายกับสถานศึกษาเพราะ เป็นการเรียนควบคู่ไปกับการทำงาน  การเรียนผ่านการปฏิบัติจริง (Action Learning) การจัดการเรียนผ่าน Online อย่าง MOOC ผสมกับการเรียนฝึกปฏิบัติ เรียนนอกเวลางาน  ถ้าเป็นในรั้วมหาวิทยาลัย ก็เรียนวิชาข้ามคณะมากขึ้น เป็นปรากฏการณ์ ในยุคนี้  ข้อดีคือผลลัพธ์พร้อมใช้จริงๆ  แต่จุดอ่อนของการจัดการศึกษาลักษณะนี้ คือ จะต้องมีหลักสูตรออกมาจำนวนมาก จึงจะสามารถครอบคลุมความต้องการ ของอุตสาหกรรมที่ประเทศต้องการ และ ความเสี่ยงคือ หากมีการเปลี่ยนแปลง อย่างฉับพลันของเทคโนโลยี กลุ่มคน เหล่านี้ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ Reskill อย่างเร่งด่วน คำถามคือทำได้ทันไหม และ ในกรณีที่มีดีมาน หรือ

ความต้องการใหม่ๆ เกิดขึ้น Capacity ในการรองรับก็จะเป็น ปัญหาเพราะมีความจำกัดในเรื่อง Scale Up ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วในปัจจุบันโครงการ นำร่องทั้งหลายก็ยังรับคนได้จำกัดและ ไม่สามารถขยายผลรองรับความต้องการ ขนาดใหญ่ได้

อีกแรงขับสำคัญคือ ภาครัฐที่ขานรับ เสียงสะท้อนของภาคเอกชนว่า บัณฑิตที่ เป็นผลผลิตจากหลักสูตรต่างๆ ไม่ตรงกับ ความต้องการของชาติ จนต้องมีการ ปรับเปลี่ยนกติกา หรือ Deregulation ใหม่  เช่นให้ต่างชาติมาตั้งมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทยได้ ผ่อนข้อบังคับมาตรฐาน สกอ. เพื่อให้เกิดหลักสูตรพันธุ์ใหม่ จนเป็นที่มาของหลักสูตรผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่   ซึ่งก็เป็นโครงการที่เริ่มนำร่องล่าสุด  เพื่อเป้าหมายที่จะรองรับแผนพัฒนา ประเทศ Thailand 4.0 ที่โดยส่วนตัวแล้ว อยากจะใช้คำว่า World 4.0 มากกว่า เพราะถ้ามองรอบๆ ตัวเราประเทศไหนๆ ก็ 4.0 แทบทั้งนั้น บ้างก็ไปถึง 5.0 แล้ว  แต่เหตุผลก็เพราะสภาพแวดล้อมเริ่มเปลี่ยน ทำให้การศึกษาก็ต้องเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์ ความต้องการที่ไม่เหมือนเดิม และนั่นคือ แรงขับในยุคต่อไป ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นยุคที่เรียกว่า การศึกษาตลอดชีวิต หรือ  Education for Life รวมทั้งหลักสูตรบริหารธุรกิจก็จะต้องปรับเป็น Business School for Life

Q: ปัจจัยผลักดันไปสู่ Business School for Life จะประกอบไปด้วย?

A: ชัดเจนประการแรกเลยคือ เทคโนโลยี ที่เราเริ่มเอามาช่วยเสริมการเรียนการสอน ให้มีความยืดหยุ่น เป็น Flexible Learning ด้วยความสามารถของเทคโนโลยี เรา สามารถออกแบบจัดทำหลักสูตรที่ปรับให้ มีความสอดคล้องกับผู้เรียนซึ่งสามารถ ปลดล็อกได้หลายเรื่อง ทั้งเรื่องเวลา สถานที่ หรือจะเป็นการเอื้ออำนวยต่อผู้เรียนที่ทำงานไปพร้อมกัน ที่สำคัญต่อไปเราจะเห็นการเรียนสามารถทำเป็นโมดูลสั้นๆ แทนที่จะต้องเรียนคอร์สยาวๆ มากขึ้นหรือออกแบบเป็นหลักสูตรพ่วงประกาศนียบัตร เสริมเป็น Bundle Specialized Program โดยดึงเอาความเชี่ยวชาญจากหลายๆ ศาสตร์มารวมกันแล้วนำเสนอเป็นแพ็กเกจ เป็นต้น เมื่อเทคโนโลยีเป็นไปได้ การออกแบบจัดทำหลักสูตรจึงมีความยืดหยุ่นได้อย่างไม่เคยมีมา

อีกประเด็นที่ตื่นเต้นกันแต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครก้าวไปถึง คือที่พยากรณ์กันว่า ต่อไปคนจะไม่คาดหวังปริญญา แต่จะหันมาเรียนรู้เป็นเรื่องๆ เฉพาะที่สนใจในขณะนั้นแล้วเอาไปใช้งาน และเมื่อเจอปัญหาใหม่ก็เดินกลับมาสถาบันการศึกษาเพื่อเพิ่ม สมรรถนะอีกวนเวียนกลับไปมาอย่างนี้เป็น Life Time Relationship ซึ่งคิดว่าก็มี ความเป็นไปได้ ในแง่ที่ต่อไปคนจะหันมา เน้นที่การสะสมสมรรถนะ Competency ว่าจะต้องรู้อะไรจึงจะแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ และเมื่อรู้แล้วต้องการจะใช้ได้จริง คือ แทนที่จะสะสมหน่วยกิตเพื่อปริญญาหรือวุฒิ แล้วเอาไปประกาศว่ามีคุณสมบัติเหมือนอย่างในอดีต ก็เปลี่ยนมาแสดงว่าฉันมีสมรรถนะที่จะทำงานแบบนี้ได้นะ แล้วใช้เป็นจุดขายของตัวเองไปเลย ซึ่งเป็นแค่การคาดการณ์ แต่ผมไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนหรือแม้แต่ภายในปีสองปี แต่ก็เป็น Driving Force ที่เรามอง ข้ามไม่ได้จำเป็นจะต้องเตรียมวางรากฐานการศึกษาแบบตลอดชีวิตหรือ For Life  แม้คำพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การปรับหลักสูตรมาสู่ Competency-Based ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ควรทำ

Q: คีย์สคัญในเรื่อง Business School for Life คืออะไร?

A: เมื่อพยากรณ์กันว่าการศึกษา ในอนาคตจะไม่ใช่เพื่อใบประกาศหรือ ปริญญา แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม และพัฒนาสมรรถนะหรือ Competency นั่นก็หมายความว่า ผู้เรียนจะต้องรู้ว่าตนเองต้องกาเรียนรู้ในเรื่องอะไรซึ่งไม่ง่ายเลย ดังนั้น Need Assessment จึงเป็นสิ่งที่สคัญมาก

ที่ผ่านมาเกณฑ์ที่เราใช้ประเมินและคัดกรองผู้เรียน จะพิจารณาที่สติปัญญาว่าเพียงพอและมีศักยภาพในการเรียนจนจบ ได้หรือไม่ ทั้ง 3 ยุคแรก เราล้วนใช้เกณฑ์ ชี้วัดคัดเลือกเดียวกัน เช่น เกรด คะแนนสอบ ประสบการณ์ทำงาน ฯลฯ แต่ในโลกยุคใหม่ เชื่อว่า เราต้องเริ่มจากการช่วยผู้เรียน ประเมินตนเอง (Need Assessment)  ว่าเขาผู้นี้ขาดอะไร จำเป็นต้องรู้อะไร แล้วจึง จัด Package ของการเรียนรู้เพื่อเติมเต็ม สิ่งที่ขาดหรือจำเป็นต้องมี ซึ่งประเด็นสำคัญคือ ความต้องการจะเรียนรู้ของคนเราในแต่ละช่วงของวัฏจักรชีวิตจะไม่ เหมือนกัน เช่นเริ่มจะขึ้นเป็นผู้บริหารกับช่วงก่อนเกษียณ ช่วงมีแรงทำงานหลายอาชีพไปพร้อมๆ กันกับช่วงทำงานแก้เหงายามอายุมากขึ้น กลายเป็นการศึกษาตลอด Life Cycle แทน และในท้ายที่สุดเราจะต้องเตรียม Business School ให้ รองรับ Education for Life นั่นเอง

สรุปคีย์สำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไรให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและตระหนักรู้ถึงความไม่รู้ของตนเอง และรู้ว่าตนเองจเป็นจะต้องรู้อะไร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อย มีใครกล่าวถึง เพราะก่อนจะไปถึงจุดที่ คนไม่ต้องการปริญญา กระดาษไม่มี ความหมายแต่จะเป็นอย่างนั้นได้ต้องอยู่ บนสมมุติฐานว่าคนทุกคนบอกได้ว่า ตนเองต้องการอะไร ถ้าเขายังบอกไม่ได้เลย ว่าต้องการอะไร ความรู้อะไร ทักษะไหน หรือขาดอะไร เขาก็ย่อมไม่รู้ว่าจะไปเลือกเรียน อะไรเพิ่ม มันจึงเป็นอีกความท้าทายของ สถาบันการศึกษาที่จะต้องช่วยชี้ให้รู้ให้ได้ ว่า “ความต้องการ” นั้นอยู่ที่ไหน คืออะไร?

Q: หากต้องจัดหลักสูตรเพื่อรองรับ Need ที่แตกต่างและหลากหลาย รูปแบบของโปรแกรมการเรียนการสอนควรจะดเนินอย่างไร?

A: คิดว่าตัวการศึกษาจะต้องเป็น หน่วยเล็กๆ ที่เลือกเรียนต่อๆ กัน Micro Module และสามารถจัดการผสมผสาน สาขาในศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็น  Mix & Match โดยอิงกับความต้องการและสิ่งที่ขาดของผู้เรียนเป็นสำคัญ หากเทียบ กับ 3 ยุคแรกที่หลักสูตรจะกำหนดโดย Supply Side แต่ในอนาคตจะกลับกัน  ซึ่งคิดว่า Module การเรียนจะตอบโจทย์ Demand Side มากขึ้นปัจจัยที่สร้างความยืดหยุ่นแบบนี้ให้เป็นไปได้คือ  Disruptive Technology ทั้งหลาย เมื่อก่อนผมเรียก เทคโนโลยีอุบัติใหม่ แต่พอมาประยุกต์ในลักษณะนี้แล้วทำให้เรียกใหม่ ว่า เทคโนโลยีพลิกเกม” จะตรงกว่า

Q: แล้วผลกระทบของ Ed Tech. ในแง่มุมที่เกี่ยวกับ ชุมชนและสังคม?

A: เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่งานหลายๆ อย่าง จะเป็นได้ทั้งตัวช่วยที่ปิดช่องว่างและสร้างโอกาสในหลายๆ เรื่อง แต่สิ่งที่เป็น ความท้าทายสำคัญที่สถาบันการศึกษาต้องตอบให้มากขึ้นคือ จะทำอย่างไรกับเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางปัญญา หรือที่เรียกว่า Intelligence Inequality ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ  แต่การเข้าถึงซึ่งการศึกษาที่มีคุณภาพสูงได้ด้วยราคาที่ไม่แพงและทันการณ์ โดยนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ จุดนี้สำคัญมาก

Q: Success Factors ของการศึกษาในอนาคต จะขึ้นกับ ปัจจัยอะไรเป็นสคัญ?

A: ขั้นแรกเลยนั้น Learning Goals จะต้องเปลี่ยนก่อนเลย เพราะ หากมองไปที่ไทม์ไลน์พัฒนาการของ Business School ในแต่ละยุค โดยเจาะลงไปที่เป้าหมายของการเรียนหรือ Learning Goals จะเห็นว่า ยุค For Knowledge เล็งเป้าหมายเพื่อทำให้คนมีความรู้ พอเป็นยุค For Skills ก็มุ่งไปที่การสร้างทักษะเพื่อใช้ในการทำงาน ถึงยุค For Organization เป้าหมายก็ชัดที่การรองรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

แต่สำหรับในยุค For Life นั้น ผมคิดว่าเป้าหมายนั้นต้องเพื่อทำให้คนสามารถ Co-Learning at Time of Need คือเรียนรู้ร่วมกัน ณ เวลาที่ต้องการ โดยมี ผู้เรียนกับผู้สอนเป็น Learning Partners และไม่จำเป็นว่าผู้สอนต้องรู้มากกว่า แต่ต้องสามารถจัดสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการพัฒนาและความจำเป็นของผู้เรียนได้

โมเดล คือ ผู้เรียนมาเรียนรู้ร่วมกับผู้สอน ผู้เรียนมาเรียนเป็น  On Demand จริงๆ แล้วลักษณะของสถาบันการศึกษาที่จะรองรับแบบนี้ ประการแรกต้องเป็น Lifelong Learning และอีกประการคือ เป็น Multiple Career คือต้องเป็น Program ที่ยืดหยุ่นมากพอที่จะรองรับ ให้คนสามารถทำหลายๆ อาชีพได้ในเวลาเดียวกัน เพราะคำพยากรณ์ในอนาคตคือคาดว่า เทรนด์ต่อไปคนจะมีอาชีพมากกว่า 1 อาชีพ และ ถือเป็นเรื่องปกติ โดยคนจะทำงานทั้งอาชีพอิสระ เป็นทั้งฟรีแลนซ์พร้อมๆ กับมีอาชีพประจำ ดังนั้นความต้องการเพิ่มพูนความรู้ และทักษะเพื่อทำงานที่แตกต่างและหลากหลายจะกลายเป็นความต้องการและจะเป็นอีกเป้าหมายของการเรียนรู้

Q: รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในอนาคต

A: หลักสูตรของอนาคตจะต้องมี Micro Module หรือทำเป็น โมดูลเล็กๆ ในการเรียนการสอนที่สามารถเชื่อมโยงได้กับทั้งชุมชน และองค์กรและที่สำคัญคือ Business School สำหรับยุคไทยแลนด์  4.0 ที่เป็น For Organization สามารถผลึกเข้าด้วยกันโดยดึงเอา ความเชี่ยวชาญจากหลายๆ สายมารวมกัน

ซึ่งเชื่อว่าต่อไป Education for Life หรือการศึกษาจะต้อง ไม่รวมกันมาเป็น Package สำเร็จรูปเหมือนในอดีต แต่จะมีความเป็นโมดูลเล็กๆ เป็นทางเลือกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการการเรียนรู้ และทักษะในเรื่องต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น

ส่วนโมดูลเหล่านั้นจะผ่านรูปแบบที่เป็น MOOC หรือ Human Interaction หรือ E-Learning หรือเป็นการฟังบรรยาย ก็สุดแล้วแต่ แต่การเรียนในอนาคตจะมีรูปแบบที่หลากหลาย ออกมาให้เลือก ซึ่งจะมีการดีไซน์ออกมาบนพื้นฐานธรรมชาติ ของเนื้อหา และที่น่าสนใจคือต่อไปการเรียนรู้จะสามารถ เป็น Just in Time Learning เหมือนเป็นคลังความรู้ หรือ  Inventory คือ อยากรู้อะไร อยากได้อะไร แค่เดินเข้ามาก สามารถจะรู้ได้ทันที แบบนี้ถือว่าผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อย่างแท้จริง แต่ต้องเรียกว่า Learner-Centric ในรูปแบบ  Individual-Centric โดยเอาความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน เป็นที่ตั้ง และไม่ใช่ Student-Centered แบบในอดีต

Q: ในแง่บทบาทของความเป็นสถาบันการศึกษา หากว่าการเรียนรู้ทเป็นโมดูลและอาจไม่อิงกับความเป็นสถาบัน

A: อยากให้ลองจินตนาการเปรียบเทียบสถาบันการศึกษา กับบริษัทสองบริษัท ที่รายหนึ่งเน้นขายสินค้าที่ตัวเองผลิตได้ ให้กับลูกค้า แต่อีกรายหนึ่งเน้นขาย Solution ช่วยลูกค้าแก้ปัญหา แม้ในการแก้ปัญหานั้นอาจมีบางอย่างที่ไม่ใช่สินค้าของตนเองแต่ก็เอื้อมมือไปหาเครือข่ายที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้า เช่น เจ้าหนึ่งมุ่งแต่จะขายคอมพิวเตอร์ อีกเจ้าหนึ่ง มุ่งสร้างประสิทธิภาพในสำนักงานให้ลูกค้า ใครจะผู้ชนะก็เห็น คำตอบอยู่ชัดๆ ดังนั้น บทบาทและหน้าที่ของสถาบันการศึกษาจะเป็นเสมือน Solution ของโจทย์ความต้องการเรียนรู้ แม้ว่าศาสตร์นั้นจะไม่มีอยู่ในคณะตัวเองก็ต้องทำหน้าที่ไปแสวงหาและ Customize เข้ามา แล้วเพิ่มโมดูลเข้าไป ดังนั้น การแบ่งหลักสูตรตลอดจนโครงสร้างการเรียนที่เคยแบ่งเป็นคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยที่แยกกันในอดีต ภายใต้ความเชี่ยวชาญของแต่ละแขนงวิชา พอถึงยุคนี้กลายเป็นข้อจำกัด เพราะอนาคตจะต้องเป็นสหวิทยาการหรือ Multidisciplinary ซึ่งหากว่าเรายังแยกกันไปมันก็จะยากต่อผู้เรียน การนำเสนอแบบ Supply Side ต้องปรับ และสิ่งเหล่าน คือปฐมบทของการศึกษาที่จะพัฒนาไปจน เป็น Education for Life

Q: แล้ว Implication ในเชิงของ ผู้เรียน จะเปลี่ยนไปในแนวทางใด?

A: ต่อไปจะไม่เรียก “นักเรียนหรือ Student แต่จะเป็นผู้เรียนหรือ Learner” ซึ่งอนาคตจะหมายถึงคนที่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเรียน แล้วออกไปทำงานและกลับเข้ามาเรียน เป็นลักษณะ Lifelong Walk-In and Walk-Out Learner คือ แวะเวียน เดินเข้า-เดินออกในสถานศึกษาตลอดชีวิต

ตอนนี้ทุกสถาบันเวลาพูด Lifelong Learning จะยังคงวนใน Loop ของฝั่ง Supplyไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสะสม Credit การเรียนและการสอบ เพื่อนำไปสู่การได้ปริญญา แม้แต่การเรียนออนไลน์ หรือ MOOC ก็ยังเป็นการคิดและพูดกันในรูปแบบเดิมๆ ว่าเรียนอันนี้แล้วจะได้หน่วยกิตเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งถ้าเป็น Education for Life จริงๆ เราต้องบอกว่า เรียนโมดูลนี้แล้วจะได้ Competency อะไร แทนที่จะบันทึกเป็นหน่วยกิต แต่จะต้องบันทึกหรือสะสมสมรรถนะ Competency ว่าบุคคลผู้ที่มี Set of Competency หรือสมรรถนะชุดนี้จะทำอะไรได้บ้าง ในอนาคต Certificate หรือปริญญา จึงพึงควรที่จะต้องออกตาม Competency ซึ่งผู้เรียนสามารถค่อยๆ สะสมไปแบบ Life Long ตลอดชีวิต การทำงาน ซึ่งเป็นได้ว่าผู้เรียนอาจไม่ได้ปริญญาเลยสักใบในชีวิต แต่ความสำคัญคือเขาสามารถติดตามพัฒนาการหรือ Tracking ตัวเองได้ นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า Track Record เพราะสิ่งที่เขามี หรือ Competency ที่สะสมไว้สามารถ ตอบโจทย์เรื่องอาชีพและการงานของเขาได้

แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังมีความท้าทายที่สำคัญมากคือ ต้องก้าวข้ามคำว่า ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ไปสู่คลังสมรรถนะ (Competency Bank) เช่นว่า ต่อไปแทนที่จะออกใบปริญญาหรือสัมฤทธิบัตรด้านการบริหารการเงิน แต่ใน Transcripts คงต้องระบุเป็นสมรรถนะว่าบุคคลผู้นี้มีความสามารถในการทำอะไรได้บ้างด้วย เช่น วิเคราะห์งบการเงิน สามารถตัดสินใจ ลงทุนได้ เป็นต้น

ซึ่งการเรียนลักษณะนี้จะมีความ ยืดหยุ่นมาก เพราะลงในระดับ Issue Base แต่ด้วยโครงสร้างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคง ยังยากที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าใช้วิธีการจัด การศึกษาแบบเดิม แต่หากว่าการ Disrupt เกิดขึ้นและรุกล้ำมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง สถาบันการศึกษาคงจะต้องเตรียมการ เตรียมตัว เตรียมระบบ ทั้งบุคลากรและ ชั้นเรียน ทั้งหมดให้สามารถรองรับกับ อนาคตที่กำลังจะมาถึง

ผมมักบอกกับนักศึกษาเรื่องการเรียนรู้ โดยยกคำพูดของ ท่านมหาตมะ คานธี  ที่เคยพูดไว้ว่า “Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.” คือ ให้ใช้ชีวิตประหนึ่งว่าคุณจะ ตายวันพรุ่งนี้ เพื่อจะได้ไม่ประมาท และ ให้เรียนรู้ประหนึ่งว่าคุณจะมีชีวิตเป็น อมตะ ซึ่งผมว่าเป็นคำพูดที่สมยุคสมัยเป็น อย่างมากในเวลานี้

Q: แล้วคณะบริหารธุรกิจที่ มช. หรือ AccBA CMU เตรียมตัว กับการรับมือในเรื่อง Disruption กันแล้วหรือไม่อย่างไร?

A: เราเริ่มแล้ว ซึ่งเชื่อมโยงกับ AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) ที่คณะฯ กำลังทำอยู่ทั้งเรื่อง Re-Skill อาจารย์ รวมทั้ง กระบวนการท?า Assurance of Learning หรือกระบวนการสร้างหลักประกันว่า ผลสัมฤทธิ์จะเกิดขึ้นจริงในตัวผู้เรียน  ที่กำหนดให้เราต้องระบุว่า การเรียนการสอนนั้นได้สร้าง Competency อะไรให้ผู้เรียน ตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา AccBA CMU หมายรวมถึงอาจารย์ของเราเริ่มปรับ เปลี่ยนทั้งการกำหนดเป้าหมายในเรื่อง Competency การเรียนการสอน การปรับ วิธีการสอนที่มุ่งสร้างสมรรถนะ ไปจนถึง กลไกการวัดผล ซึ่งเราเป็นที่เดียวใน ประเทศไทยที่มีการวัดสมรรถนะผู้เรียนเป็น รายคนและทุกกระบวนวิชาในรูป Student Dashboard สิ่งที่ทางคณะฯ ทำนั้นเกินกว่ามาตรฐานการประกันคุณภาพที่ทาง สกอ. กำหนด เพราะเราต้องการใช้กระบวนการ บันทึกการสะสมสมรรถนะของผู้เรียนที่เรา สร้างขึ้นมานี้เป็นต้นแบบของการวัด ความสำเร็จทางการศึกษาของโลกยุคใหม่ จากบันทึกรายงานความก้าวหน้าฉบับล่าสุด ของเรา AACSB ก็ชมเชยว่าระบบของเรา เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาของโลก  

Q: พูดถึงเกณฑ์ชี้วัด ความสเร็จ เรื่องมาตรฐานกับความคาดหวังของอาจารย์และทางคณะฯ แนวทางเป็นอย่างไร?

A: เพราะเป้าหมายของการศึกษา ในแต่ละยุค มีความต่างกันไปตามวาระ และเวลา Business School ในยุค For Knowledge จึงตั้งเกณฑ์วัดความสำเร็จที่จำนวนผู้จบการศึกษา โดยตั้งเกณฑ์ตัวชี้วัดจากคะแนนและหน่วยกิต เป็นต้น และเมื่อยุคสมัยได้ปรับเปลี่ยนเป็นการพัฒนาทักษะ หรือ For Skills เกณฑ์วัดความสำเร็จก็ถูกขยับไปจับว่า จบออกไปแล้วทำงานตรงกับสายที่เรียนมาใช่หรือไม่ และเมื่อถึงยุค For Organization ตัวชี้วัดก็เล็งผลที่ความพร้อมของบัณฑิตในการทำงาน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายเรื่องคนของอุตสาหกรรม หลักสูตรนำร่อง บัณฑิตพันธุ์ใหม่ไปไกลขนาดให้ผู้ประกอบการเป็นคนวัดว่าบัณฑิตพร้อมใช้จริงไหม แต่สำหรับ Business School for Life ตัวชี้วัดความสำเร็จ คิดว่าสิ่งแรกเลยคือ Responsiveness หรือการวัดความสามารถในการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ของผู้เรียน อันนี้เป็น Life Skill ที่จะสะท้อน ว่าผู้เรียนมีความยืดหยุ่นที่จะรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา สามารถที่จะปรับตัวได้อย่างเท่าทัน และ ใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของตนเองได้  มีความสามารถที่จะประเมินความต้องการ ตนเอง และตอบตัวเองได้ว่าต้องการเติม ความรู้ที่ขาดในด้านใด แล้วเดินกลับมา Re-Skill หรือสะสมโมดูลความรู้ และ Competency ที่ต้องการได้ตลอดเวลา

อีกตัวชี้วัดที่มองว่าสำคัญคือ Speed of Learning คนเรียนรู้ได้ไวหรือไม่ ต่อไป คาดการณ์ว่าคนหนึ่งคนจะมีได้หลายอาชีพ ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น โมดูลในการเติมความรู้และทักษะ ต้องสร้างความรู้ให้กว้างและลงลึก เพื่อสร้างทั้งความเชี่ยวชาญและความรอบรู้ และประการสุดท้ายที่สำคัญ คือ การมีความสมดุลระหว่างชีวิตและการทงานที่เรียกว่า Work Life Balance เพราะต่อไปเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่งานในหลายๆ หน้าที่ มนุษย์เราก็จะมีเวลาคืนกลับมา หมายความว่าเราต้องหันไปพัฒนาและทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น งานที่เทคโนโลยีทำแทนไม่ได้ เมื่องานประเภทซ้ำๆ ลดน้อยลง การใช้ชีวิตจะต้องจัดสมดุลให้ได้ บทบาทของสถานศึกษาในอนาคตจะต้องเริ่มเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญ ถือเป็น Leadership ประเภทหนึ่ง และ AACSB ถือว่าเป็นหน้าที่ของ Business School ที่จะต้องเป็น Leader of Leadership เป็นผู้นำด้านการพัฒนาภาวะผู้นำให้สังคม หน้าที่นี้จะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต

Q: ความเชื่อมโยงกับภายนอก อย่างตลาดงานหรือองค์กร ภาคผู้ใช้บัณฑิต

A: เรื่องนี้ต่อไปความคาดหวังจะอยู่ที่ Competency ที่ต้องมี เช่น อาชีพ นักวิเคราะห์ การตลาด ต้องมีความสามารถ หรือ  Competency อะไรบ้าง ก็เป็น Demand จากภาคผู้ประกอบการ ส่วนสถาบันการศึกษา ก็มีหน้าที่จัดทำโมดูล ซึ่งจะประกอบไปด้วย โมดูลต่างๆ และอาจไม่จำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องเรียนหรือรู้ทั้งหมดก่อนจึงจะทำงานได้ แต่อาจรู้เพียงบางโมดูลก็สามารถทำงานได้เลย เมื่อมีความจำเป็นหรือต้องการ ทักษะความรู้เพิ่มเติมค่อยมาเรียนเพิ่มในภายหลัง ความสำคัญของจุดนี้อยู่ที่ “การปลดล็อก” เรื่องระยะเวลาของหลักสูตรที่กำหนดว่าต้องจบภายในเมื่อนั้นเมื่อนี้โดยต้องขจัดเรื่องเงื่อนไขของเวลาออกไป เพื่อให้การเรียนรู้เป็นเรื่องของการตอบสนอง จริงๆ ซึ่งสถานที่ทำงานและเงื่อนไขสายอาชีพของแต่ละบุคคลมักไม่เท่ากัน แบบนี้จะสามารถคงประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายอย่างดีที่สุด ทั้งผู้เรียน มหาวิทยาลัยและองค์กรเองที่จะได้รับประโยชน์อย่างตรงจุดและตรงโจทย์เป็นที่สุด ในมุมของมหาวิทยาลัยเองก็จะได้ทบทวนตัวเองด้วยว่าความรู้หรืองานวิจัยค้นคว้าที่เคยมีมายังสามารถนำมาใช้ประโยชน์แท้จริงอะไรได้บ้าง

Q: คณะบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัย เชียงใหม่มีการจัดทหลักสูตร ออนไลน์ E-Learning หรือใช้ เทคโนโลยีในหลักสูตรบ้างหรือไม่ อย่างไร?

A: ทางคณะฯ เรามีการพัฒนา E-learning และ MOOC แต่ต่างไปจากที่อื่น ที่ว่าเราไม่ได้เปิดเป็นหลักสูตรเพื่อเพิ่ม อีกวิชา แต่เรามองว่าจะใช้ได้ดีในแง่ของ การเป็น Augment คือเป็นส่วนเสริมของ การเรียนปกติในส่วนของ Content ที่ตายตัว

ปฏิสัมพันธ์ตัวต่อตัวยังไม่มีเทคโนโลยี ใดเทียบได้เลย จึงเชื่อว่ายังไม่สามารถมา แทนที่ในเรื่องนี้ได้หรือแม้กระทั่ง Coursera ที่ว่ากันว่าได้รับความนิยมแพร่หลายอัตรา ของคนที่อดทนเรียนเองผ่านออนไลน์จน จบจะพบว่าน้อยมาก Success Rate ไม่ถึง 10% โดยเฉลี่ยซึ่งถ้าเป็นระบบปกติ 10% นี่ถือว่าล้มเหลว ผมมองว่ามนุษย์เป็น สัตว์สังคมที่ไม่สามารถตอบสนองตัวเองได้ โดยลำพัง ยังต้องการการอยู่รวมกันเป็น กลุ่มมีการพึ่งพา และทักษะหลายอย่าง เช่น ทักษะชีวิต Life Skills ที่จะทำให้ เกิดความก้าวหน้าในอาชีพยังเรียนผ่าน คอมพิวเตอร์ไม่ได้

ในส่วนของการนำเทคโนโลยีมาใช้ คณะฯ เราเริ่มมีการทำบทเรียนเป็น Virtual Reality เพื่อใช้ฝึกนักศึกษาในรูปแบบจำลองสถานการณ์จริง เช่น แทนที่ต้องพา นักศึกษาเดินทางไปโรงงานก็ให้สวมหน้ากากที่รองรับโทรศัพท์มือถือซึ่งมี Application ดูบทเรียนโลกเสมือนที่เตรียมไว้ ก็เสมือนเข้าไปยืนอยู่ในโรงงาน นักศึกษาสามารถเข้าไปดูแม้ในยามที่โรงงานจริงปิดทำการ เหล่านี้เป็นเรื่องของการเสริมการเรียนรู้ทั้งสิ้น

Q: ดูเหมือน Business School for Life จะออกแนว Formless เมื่อเทียบ กับระบบการศึกษาที่ผ่านมา

A: ผมเองมองว่าเรื่องนี้เหมือนลูกตุ้มนาฬิกา ตอนนี้กำลังเหวี่ยงไปสุดโต่งด้านนี้ ในที่สุดเดี๋ยวก็กลับมา อย่างสำนักตักศิลาในสมัยก่อน ใครอยากเรียนอะไรก็มาที่สำนัก เลือกเรียนโน่นนี่นั่น ต่อมาก็พัฒนามาเป็นการเรียนใน Classroom แล้วก็พัฒนาไล่เรียงมา และตอนนี้ก็ดูจะกลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อน เพียงแต่มีเทคโนโลยีเพิ่มเข้ามา และองค์ความรู้มีมากกว่าในอดีต ผมเองคิดว่าต่อไปถ้าหากการเรียนรู้มันเริ่มไร้ รูปแบบมากขึ้น เดี๋ยวคนก็เรียกร้องหา Formality เพราะสิ่งที่จะทำให้คนเรียนรู้ แล้วสำเร็จได้ คือผู้เรียนจะต้องบอกได้ว่าตัวเองขาดอะไร ต้องการอะไร ไม่รู้อะไร ซึ่งไม่ง่าย

Q: การจัดการเรียนการสอน นักศึกษาในปัจจุบันซึ่งกลังอยู่ ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน จากยุคปัจจุบัน เพื่อก้าวข้ามไปสู่อนาคตยุคใหม่ ทางคณะฯ ได้วาง แนวทางอย่างไร?

A: นอกเหนือไปจากการวางหลักสูตร และรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้น  Project Based และ Action Learning  ที่ได้ผลดีในการส่งเสริมความรู้และทักษะ ให้กับนักศึกษาต่อเนื่องมาหลายปี เรายังพยายามทำเรื่อง Career มากขึ้นและถือว่าประสบความสำเร็จมาก เราจัด Module Workshop ให้นักศึกษาปริญญาตรีตลอดเวลา

โดยแบ่งเป็น Step เริ่มจากเรื่อง “ค้นพบอาชีพในฝัน” เราเชิญ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามาเป็นโค้ชให้นักศึกษาปีละกว่า 500 คน ได้ผลสะท้อนออกมาดีมาก ค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง เด็กหลายคน ค้นพบเป้าหมาย บ้างค้นพบความสนใจและความต้องการของ ตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมา บางคนตอนแรกก็เรียนตามแม่สั่ง  ต่อมาก็พบเจอเป้าหมาย Module ต่อมาเป็น Workshop ปรับทัศนคติ “ฉันทำได้” (Can-Do Attitude) เพื่อสร้างทัศนคติและความเชื่อว่า “ฝันได้ก็ทได้” เพราะเด็กหลายคนค้นพบความอยาก และเป้าหมาย แต่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ซึ่งเราต้องส่งเสริมความเชื่อมั่น ซึ่งผมมักบอกเด็กเสมอว่า “คนเราขอแค่ได้คิด ก็คิดได้”  เราประสบความสำเร็จมากในเรื่องเหล่านี้ อย่างที่บอกว่าเราวัด Impact หรือผลกระทบในสิ่งที่เราทำมากกว่าจำนวนของคนจบปริญญา

หลังจากผ่าน 2 Workshop ทางคณะฯ ก็จะจัด Module  ช่วยในเรื่องการปูเส้นทางเพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิตและการงาน ด้วย Workshop โดยเนื้อหาจะเป็นการให้นักศึกษามีบุคคลต้นแบบในใจ (Role Model) เพื่อตอกย้ำ Passion ของตนเองผ่านชุดบรรยาย Inspirational Talk จากรุ่นพี่ศิษย์เก่า และบุคคลตัวอย่างของสังคม  แล้วตามมาด้วย Module ที่เน้นการเรียนรู้สายอาชีพของนักบริหารธุรกิจ ทั้งตำแหน่งงานที่มีอยู่ในองค์กรปัจจุบัน และอาชีพมาแรงแห่งอนาคต นี่เป็นตัวอย่างย่อๆ นอกเหนือจาก Module วิชาการที่เราทำ

Q: ตามวิสัยทัศน์และความคิดเห็นที่กล่าวมา แนวทาง การเตรียมบุคลากร เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ต้องเริ่มยังไง?

A: อาจารย์ต้องได้รับการ Re-Skill เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะ อยู่ได้ภายใต้ Disruptive World โดยยังคงทำเหมือนที่เราเคยทำ เมื่อเข้ามาสอนหนังสือใหม่ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่นั่นก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ยังมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่เราประชุมร่วมกันขบคิด และหารือ อย่างเรื่องวิชาการ การเรียนการสอนคงต้องลดความเป็น Discipline-Based ที่เคยเน้นสาขาวิชา อาทิ สาขาการเงิน การตลาด คงต้องลดและเป็น Issue-Based, Competency-Based มากขึ้น ตอบสนองฝั่ง Demand ให้มากขึ้น ต้องกำหนดชัดไปเลยว่า เรียนสิ่งนี้ไปแล้วได้ Competency อะไร เอาไปทำอะไร เอาประโยชน์ของมันมาตั้งเป็นหลัก แทนที่จะเอาชื่อวิชามาเป็นหลักว่าคนจะจบ ปริญญานี้จะต้องเรียนวิชาอะไร จุดนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

Q: เมื่อไหร่ถึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง

A: คิดว่าในเร็วๆ นี้ ถ้า 5G เข้ามาจริงๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมาก เพราะหลายสิ่งจะมาทำงานแทนเรา ในอีกด้านหนึ่งมันช่วย Free Up เวลาให้เราด้วย เมื่อเราได้เวลาคืนกลับมา ความสำคัญคือ แล้วเราจะใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์และสร้างสมดุลในชีวิตได้อย่างไร ผมคิดว่า ยังไงสถาบันการศึกษาก็ยังคงต้องดำรงบทบาทในการรับผิดชอบเรื่องทำนองนี้อยู่ดี เพราะจะปล่อยให้คนลองผิด ลองถูกกันเองทั้งหมดคงยากที่จะสำเร็จโดยรวมได้

Q: นิยามถึง Spirit ของบัณฑิต AccBA CMU เรา จะกล่าวถึงอะไร?

A: นอกเหนือไปจากเรื่องวิชาการความรู้และทักษะที่ทางคณะฯ เพาะบ่มเพื่อพัฒนานักศึกษาให้มีความรอบรู้ ความสามารถและสติปัญญาเพื่อจะใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคต ทักษะสำคัญประการหนึ่งที่คนเรียนบริหารธุรกิจต้องมีคือ รู้จักการกำหนดเป้าหมาย รู้จักการวางแผนเพื่อให้ไปถึงฝั่งฝัน พร้อมด้วย แรงบันดาลใจ ภายใต้การรู้จักใช้ทรัพยากรและเวลาที่มีอย่างจำกัด เพื่อฝ่าไปให้พบความสำเร็จ เช่น ตอนนี้เราเป็นคณะเดียว ในประเทศไทยที่กำหนดให้นักศึกษาปริญญาตรีจะต้องทำโครงการระยะยาวเพื่อรับใช้สังคม เป็นโครงการที่ต้องทำยาว 3 ปี ก่อนจะสำเร็จไปเป็นบัณฑิต ศิษย์ AccBA CMU ที่ถูกเพาะบ่มผ่าน โครงการที่ต้องเชื่องโยงกับชุมชนและสังคม ได้เรียนรู้ที่จะวางแผนระยะยาว ฝ่าฟันทุกอุปสรรค ทุ่มเทสรรพกำลังในการบรรลุเป้าหมายของตน และทิ้งตำนานที่ตนเองสามารถเล่าขานได้อย่างภาคภูมิใจ ไปตลอดชีวิต

บัณฑิตที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในแต่ละปีมีจนวนเยอะมาก แต่ผู้ที่สเร็จการศึกษาพร้อมกับ Project ที่ทงานร่วมกับชุมชนและสังคมมาถึง 3 ปี หายาก วิชาบริหารธุรกิจมิใช่เพียงการเรียนรู้เพื่อแสวงหา ผลตอบแทนเชิงกไร แต่ในโลกวันนี้และอนาคต วิชาบริหารธุรกิจต้องคนึงถึง Impact และการส่งมอบคุณค่าและความยั่งยืนให้กับชุมชน สังคมและประเทศชาติ จึงเป็นนิยามและความหมายของโรงเรียนบริหารธุรกิจเพื่ออนาคต


เรื่อง : กองบรรณาธิการ       

ภาพ : ชัชชา ฐิติปรีชากุล

กระทรวงพาณิชย์ จับมือ กลุ่มเซ็นทรัล จัดงาน “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ดันสินค้าชุมชนเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพและรักสินค้าไทย เบื้องต้นนำสินค้า 4 กลุ่ม : อาหารสด อาหารแปรรูป ของใช้ในบ้าน และเสื้อผ้า มาจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผลโดยกลุ่มเกษตรกรจากแหล่งผลิตโดยตรง กำหนดจัดงานฯ 2 ครั้ง ในกรุงเทพมหานคร คาดจบงานฯ มียอดขายไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท และต่อยอดธุรกิจขยายตลาดให้ชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น ณ เซ็นทรัลเวิล์ด

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "กระทรวงพาณิชย์ ได้จับมือกับ กลุ่มเซ็นทรัล จัดงาน “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ปี 2562” ซึ่งเป็นการจัดงานร่วมกันต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 (ตั้งแต่ปี 2555) ภายใต้คอนเซป “ฟาร์มอินทาวน์ (Farms in Town)” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมให้แก่กลุ่มเกษตรกรแต่ละชุมชน โดยเน้นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างชุมชน และสร้างคุณภาพชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ผลักดันให้ชุมชนเกิดการรวมตัวกัน พัฒนาชุมชนอย่างเป็นระบบ ร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เป็นที่ยอมรับของตลาดและผู้บริโภค ตลอดจนสามารถขยายตลาดจากชุมชนเข้ามาสู่เมืองใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในระยะยาว"

“การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการนำเสนอสินค้าของแต่ละชุมชนให้เป็นที่รู้จักแล้ว ยังต้องการผลักดันสินค้าชุมชนให้สามารถเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มพรีเมียม พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพและรักสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น โดยได้นำสินค้า 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) อาหารสด กลุ่มผัก/ผลไม้สดคุณภาพเยี่ยม ปราศจากสารพิษและสินค้าออแกนิค 2) อาหารแปรรูป 3) ของใช้ในบ้าน และ 4) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม โดยสินค้าของทั้ง 4 กลุ่ม มาจาก 48 ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งผ่านการคัดสรรเป็นอย่างดีสำหรับผู้บริโภค และจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผลโดยกลุ่มเกษตรกรจากแหล่งผลิตโดยตรง นอกจากนี้ ผู้เข้าเยี่ยมชมงานฯ จะได้พบกับ “ชุมชนต้นแบบ” ที่มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตทั้งในระดับครอบครัวและชุมชน”

“งานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ปี 2562 กำหนดจัดขึ้น 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 13 - 18 มิถุนายน 2562 ณ ลานเซ็นทรัลคอร์ด และ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 15 - 20 สิงหาคม 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 3 กรุงเทพมหานคร โดยคาดว่าหลังจบงานฯ ทั้ง 2 ครั้ง จะมียอดขายไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท มีการเชื่อมโยงต่อยอดธุรกิจให้แก่กลุ่มชุมชนในการขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น และมีการขยายกลุ่มชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์และยกระดับรายได้สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง”

การจัดงานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคสังคม ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานในลักษณะ “ประชารัฐ” เพื่อขยายและยกระดับช่องทางการตลาดแก่สินค้าชุมชนของไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ รวมทั้ง เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

ปลัดกระทรวงฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอเชิญชวนผู้บริโภคทุกท่านร่วมอุดหนุนสินค้าชุมชนของไทยภายในงานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่ทุกท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสินค้าชุมชนของไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของกลุ่มเกษตรกรให้ดีขึ้น ซึ่งกลุ่มเกษตรกรถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ดังนั้น เมื่อกลุ่มเกษตรกรมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นตามลำดับไปด้วย”

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับ กลุ่มเซ็นทรัล ในการให้ความรู้ด้านต่างๆ แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายช่องทางการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าชุมชนได้โดยง่าย และได้มีการใช้ช่องทางการตลาดของแต่ละองค์กรเป็นศูนย์กลางในการช่วยกระจายสินค้าชุมชนออกสู่ท้องตลาด ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ใช้ช่องทางการกระจายสินค้าผ่านโครงการต่างๆ เช่น ธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบที่ได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ ในส่วนของกลุ่มเซ็นทรัล ใช้ช่องทางการตลาด เช่น ท็อปมาร์เก็ต ท็อปซูเปอร์สโตร์ ท็อปเดลี่ เซ็นทรัลฟู๊ดคอร์ท ไทวัสดุ ฯลฯ ในการกระจายสินค้า ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 150 ชุมชน และมีสินค้ากว่า 2,200 รายการ โดยสามารถสร้างรายได้กลับสู่ชุมชนได้มากกว่า 1,300 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2563 จะมีชุมชนเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเป็น 160 - 170 ชุมชน ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ” 

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเครือข่ายพันธมิตรพัฒนาเมือง “City Development Alliance: CDA” ซึ่งสมาคมการผังเมืองไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศิลปากร และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เพื่อสนับสนุนทางวิชาการให้กับการพัฒนาเมือง ร่วมกันสร้าง ค้นหา และ ออกแบบความรู้ร่วมกัน พัฒนานโยบายทางด้านการพัฒนาเมืองของประเทศไทย ได้กำหนดแผนการดำเนินงานขึ้นในพื้นที่นำร่อง 19 เมือง 

ทั้งนี้ มข.จะทำหน้าที่เป็นประธานเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนตามกรอบแนวทางการพัฒนาเมืองโดยมีกฎบัตรของเมืองต่างๆนั้นเป็นหัวใจหลักในการพัฒนา ซึ่งมข.และมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมดำเนินการตามโครงการดังกล่าวนี้จะนำหลักวิชาการและองค์ความรู้ด้านวิชาการ นำมาถ่ายทอดและต่อยอดจากสิ่งที่แต่ละเมืองนั้นได้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งทุกเมือง และทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เข้าร่วมตามแผนการดำเนินงานดังกล่าวนี้นั้นจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนและนำเสนอในสิ่งที่มี สิ่งที่ขาดและสิ่งที่ต้องการบนพื้นฐานที่เกิดขึ้นจากความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมสนับสนุนการพัฒนาเมืองตามแนวทางเมืองอัจริยะ และได้กำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการบริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น

“ขณะนี้มีเมืองต่างๆ จำนวน 19 แห่ง ที่ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทพัฒนาเมือง ที่เข้าร่วมกับการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือดังกล่าว จากนี้ไปคณะทำงานร่วม 6 หน่วยงานหลักจะลงพื้นที่เพื่อเปิดเวทีสาธารณะ ในการรับฟังความคิดเห็นและความต้องการ และสิ่งที่คนในชุมชนนั้นอยากที่จะนำเสนอและอยากให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งบริบทของแต่ละพื้นที่ทั้ง 19 เมืองนั้นล้วนแตกต่างกันไปแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ คนในชุมชนนั้นมีความเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่ม มีการร่วมกันวางแผน ยุทธศาสตร์ ด้วยข้อตกลงร่วมกันของสังคม ซึ่งเรียกกันว่า “กฎบัตร” ซึ่งเป็นรูปแบบการพื้นฟูพัฒนาเมือง และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ดังนั้นวันนี้จึงเป็นมิติใหม่ในการพัฒนาเมืองที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือจากภาควิชาการที่เข้าไปสนับสนุนการทำงานในพื้นที่นำร่อง 19 เมืองที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป”

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี โดย นายวิชาญ เจริญกิจสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ผนึกกำลัง เทสโก้ โลตัส โดย นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส ในงาน Rethink Packaging คิดใหม่ ทำใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

เพื่อประกาศยกเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมทั้งหมดของเทสโก้ โลตัส ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2562 เป็นต้นไป พร้อมเพิ่มความเข้มข้นของการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยโครงการแบบครบวงจรและมุ่งสู่การสร้างระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ (closed loop system) ภายใต้กลยุทธ์ 3R (Redesign, Reduce, Recover & Recycle) โดยมี นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติร่วมงาน

สำหรับความร่วมมือระหว่างเอสซีจี และเทสโก้ โลตัส ครั้งนี้ มีตั้งแต่การจำหน่ายบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบรนด์เฟสท์ (Fest) จากเอสซีจี ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานจากกล่องโฟมหรือบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้มากขึ้น

นอกจากนี้ เอสซีจียังให้บริการนำบรรจุภัณฑ์กระดาษใช้แล้วที่เก็บรวบรวมจากสาขาเข้าสู่ศูนย์กระจายสินค้าเทสโก้ โลตัส ไปรีไซเคิลและผลิตเป็นถุงกระดาษสำหรับใช้แทนถุงพลาสติกอีกด้วย จึงนับเป็นความร่วมมือที่เอสซีจี และเทสโก้ โลตัส ประสานพลังในการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานของผู้บริโภค และตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนของเอสซีจี หรือ SCG Circular Way

 

NSI นำสินประกันภัย ห่วงคนไทยเป็นไข้เลือดออกหน้าฝน ออกกรมธรรม์คุ้มครองชดเชยรายได้แบบเหมาจ่าย เพื่อให้คนไทยมีหลักประกันความเสี่ยงในราคาประหยัด เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 99 บาท มีความคุ้มครองให้เลือกถึง 5 แผน เจ็บป่วยนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเวชกรรมแค่คืนเดียวก็ได้รับเงินชดเชยเต็มวงเงินเอาประกันภัยสูงสุดถึง 5 หมื่นบาท

นายสมบุญ  ฟูศรีบุญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ NSI  ได้กล่าวแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในขณะนี้อันมีต้นเหตุมาจากยุงลายที่มักแพร่พันธุ์ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีน้ำท่วมขังในแหล่งน้ำเน่าเสียหรือภาชนะต่างๆ ในบริเวณบ้านหรือเขตชุมชนต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแจ้งล่าสุด (11 มิ.ย.) พบผู้ป่วยแล้ว 2 หมื่น 8 พันราย มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกหรือเชื้อไวรัสเด็งกี่แล้ว 43 ราย ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้ลูกค้าของนำสินประกันภัยและประชาชนทั่วไปช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้เลือดออกด้วยการช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายทั้งยุงลายบ้านและยุงลายสวน เพื่อลดปริมาณยุงให้น้อยที่สุด

ด้วยความเป็นห่วงเรื่องความเสี่ยงที่ประชาชนคนไทยและลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อไวรัสและป่วยเป็นไข้เลือดออกจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลซึ่งอาจมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูง บริษัทนำสินประกันภัย จึงได้ออกกรมธรรม์ “ประกันภัยไข้เลือดออก” ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่ายเฉพาะโรคไข้เลือดออกขึ้นมาเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนในครอบครัว โดยให้ความคุ้มครองกรณีที่ต้องเข้าพักรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยใน (IPD) จากโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเวชกรรม ไม่น้อยกว่า 1 วัน ผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลประโยชน์ชดเชยรายได้ระหว่างการรักษาตัวเป็นเงินก้อนตามทุนประกันภัย สูงสุดถึง 50,000 บาท ซึ่งมีแผนความคุ้มครองให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย จำนวน 5 แผน เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นที่ 99 บาทต่อปี จนถึง 495 บาทต่อปี  ทั้งนี้จะรับประกันภัยตั้งแต่อายุ 1 – 60 ปี และสามารถต่ออายุกรมธรรม์ได้ถึง 65 ปี  สนใจติดต่อตัวแทนและสาขานำสินประกันภัยได้ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ NSI Call Center 0 2017 3333

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่ายผ่านธนาคาร (กลาง) พร้อมด้วยพนักงานจิตอาสาฝ่ายขาย ภูมิภาคนครหลวง 2 ร่วมจัดกิจกรรม “BANCs Hearts in Action Day ครั้งที่ 2” หรือกิจกรรมจิตอาสาจากใจของทีมฝ่ายจัดจำหน่ายผ่านธนาคารเพื่อสังคมไทยน่าอยู่ โดยครั้งนี้ ผู้บริหารและพนักงานจิตอาสาได้ลงพื้นที่ ณ บริเวณป่าชายเลนบางขุนเทียน เพื่อเข้าไปช่วยในการฟื้นฟูระบบนิเวศจากปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะแนวชายฝั่ง รวมทั้งเพื่อช่วยรักษาความสมดุลระบบนิเวศป่าชายเลนบางขุนเทียนให้คงไว้  ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำเป้าหมายหลักของบริษัท ฯ คือ การให้โอกาสทุกคนได้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามใจปรารถนา

เชื่อกันว่าความก้าวหน้าของบล็อกเชน ในปีค.ศ.2019 จะเผยโฉมถึงปรากฏการณ์ของความเปลี่ยนแปลงและ Technology Disruption อย่างประจักษ์ชัดอีกหลายประการ เพราะวันนี้บล็อกเชนได้ก้าวข้ามความเป็นเทคโนโลยีที่รองรับ Bitcoin หรือคริปโตเคอเรนซี่ เข้าสู่มิติของการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมจริง หรือ Real Sector จากกรณีตัวอย่างของการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมภาคต่างๆ อย่างหลากหลาย คือมุมเปิดความคิดเห็นของนักพัฒนาและโปรแกรมเมอร์รุ่นเก๋ากว่า 20 ปีในวงการไอที โดม เจริญยศ ซีอีโอ บริษัท โดมคลาวด์ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สยามไอซีโอ จำกัด และอีกหลายองค์กรที่ โดม เจริญยศมีส่วนร่วมก่อตั้งเพื่อหวังพัฒนาระบบนิเวศน์ของเทคโนโลยีรอบใหม่

“สถานการณ์บล็อกเชนในวันนี้ เป็นเรื่องที่รับรู้และเข้าใจกันอยู่ในคนสายเทคและกลุ่มฮาร์ดคอร์ ในส่วนภาคอุตสาหกรรมหรือองค์กร ธนาคารและกลุ่มสถาบันการเงินเริ่มมีการใช้บล็อกเชนมาสักระยะหนึ่งแล้ว เช่น นำมาใช้ในการออกหนังสือสัญญาค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่เป็นลักษณะออนไลน์อยู่บนบล็อกเชน ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็เริ่มศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้บล็อกเชน สำหรับในบ้านเราก็เรียกว่าอยู่ในขั้นของการเรียนรู้ ส่วนในกลุ่ม End User และการรับรู้บล็อกเชนในวงกว้าง คนทั่วไปส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยรับรู้ว่า ระบบการทำธุรกรรมการเงินที่ใช้อยู่บางธุรกรรมเป็นบล็อกเชนแล้ว เช่น กฎหมายด้านดิจิทัลและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มประกาศใช้สำหรับการดำเนินธุรกรรมกับธนาคารและสถาบันการเงิน ที่อยู่ในขั้นตอน KYC (Know Your Customer) ที่มีการส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตนที่เรียกว่า Digital ID ตรงนี้ เป็นการใช้บล็อกเชน ซึ่งคนทั่วไปยังไม่รู้ตัวว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนได้เริ่มแทรกเข้ามาอยู่ในธุรกิจและชีวิตประจำวันแล้ว การส่งเสริมความเข้าใจและการรับรู้เรื่องของบล็อกเชนเพื่อเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เป็นอนาคตใหม่จึงเป็นสิ่งพึงควรและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง” คือความคิดเห็นของ โดม

อัปเดตการระดมทุน บนถนนเทคโนโลยี

โดม บอกเล่าถึงช่วงที่ผ่านมามีกระแสการระดมทุนที่เรียกว่า IEO หรือ Initial Exchange Offering ซึ่งมีโมเดลที่น่าตกใจ ชื่อ IEO ฟังคล้ายกับ ICO (Initial Coin Offering) ซึ่งได้รับความสนใจและมีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในหลายประเทศทั่วโลก เกิด Token หรือ Coin ที่ออกมาระดมทุนเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยเป็นหลักพันเหรียญในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ดี โมเดล ICO ยังมีข้อจำกัด และยังรอการผ่านกระบวนการกำหนดกฎเกณฑ์และพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย การเงินและการลงทุนอย่างถูกต้องและปลอดภัย แต่สำหรับ IEO ไม่ต้องผูกพันกัน ไม่ต้องการ Smart Contract เป็นการออกเหรียญมาแล้วเทรดใน Exchange เลย ราคาขึ้น-ลง ขึ้นอยู่กับ Market Maker และไม่สามารถย้ายไปเหรียญที่ Exchange อื่น แต่ก็ปรากฏว่ามีคนแห่แหนเข้ามาระดมทุนและลงทุนกันอยู่ไม่น้อย

ลักษณะนี้คือ อวตาร เพราะเจ๊งแน่ๆ ไม่มีทางที่จะขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เมื่อลงมีคนเสีย เมื่อขึ้นมีคนได้ มีอยู่เท่านั้นเอง แต่แน่นอนว่าไม่ส่งผลกระทบถึงคนข้างนอก เพราะเมื่อซื้อก็เทรดที่ Exchange นั้น และในเมืองไทยไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีทางผ่านหลักเกณฑ์ก.ล.ต.ไปได้

สำหรับกระแสการระดมทุน ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย คือ STO หรือ Security Token Offering เพราะเป็นการนำหลักทรัพย์มาแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัล ขณะเดียวกันการระดมทุนด้วยเหรียญ Crypto บนบล็อกเชนในรูปแบบ ICO จะลดลง เพราะว่าการระดมทุน STO มีความปลอดภัยและแน่นอน เมื่อมีความเป็นเหตุเป็นผลก็จะเริ่มเข้ามามีบทบาท โดยทุกคนนำเงินไปลงทุนมีกำไรและนำมาคืนแบบ Smart Contract ซึ่งก็คือ หุ้นกู้แบบไร้ใบเท่านั้นเอง ทุกคนต้องเจอกันและตลาดมีอยู่ทั่วโลก

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับบล็อกเชน

โดมย้ำว่า สิ่งสำคัญของการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ Database ของบล็อกเชนเป็นสิ่งที่แก้ยาก เพราะในกระบวนการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนทั้งหมดนั้นทำนอกเชน เช่น เมื่อมีการทำธุรกรรมโอนเงิน จะมีการเข้ารหัส หลังจากนั้นจึงจะโยนเข้าไปในเชน ดังนั้นเชนไม่รู้จักรหัสผ่าน ไม่มีการเก็บรหัสใดๆ ไว้

นี่คือความยิ่งใหญ่ของบล็อกเชน มีความเก่ง คือ Secure แต่มีข้อเสียคือ ช้า และจะไม่เร็วขึ้น จะเร็วแค่ถึงจุดหนึ่งเท่าที่จะรับได้เท่านั้น เพราะจะทำให้สูญเสียความ Secure ไป ยกตัวอย่าง Crypto Wallet นั้น จะมีคีย์ 2 ตัว คือ User และ Password ดังนั้นเหตุการณ์ลักลอบทำธุรกรรมการโอนเงินของเรานั้น ไม่มีทางทำได้เลย เพราะคีย์ทั้ง User และ Password อยู่กับเรา ไม่มีในเชน และหากว่าเราลืมก็คือหาย ซึ่งมีวิธีเก็บหลายแบบ เช่น เก็บเป็นตัวหนังสือจึงต้องแลกกัน นี่คือสิ่งที่เป็นข้อดีของบล็อกเชนที่ท้าทายและเราต้องแลก แต่ถ้าเป็นในระบบเดิม เช่น ธนาคาร Email ที่ไม่ใช่บล็อกเชน ระบบเป็นผู้ที่เก็บ User และ Password ไว้ เพราะฉะนั้นระบบจึงสามารถเปลี่ยนให้เราได้

โดมยังอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก จากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาแอปพลายในการทำธุรกรรมในหลายธุรกิจ เรียกได้ว่า ไม่ต้องมีการล็อกอินในระบบเลย ยกตัวอย่าง การเปลี่ยนระบบการโอนเงินของธนาคาร จากเดิมที่อยู่ในรูปแบบ Centralize ทั้ง User และ Password เก็บรักษาไว้กับธนาคาร และพนักงานสามารถโอนเงินได้ อนาคตต่อไปจะปรับเปลี่ยนเข้ามาสู่รูปแบบบล็อกเชน ที่เจ้าของบัญชีเป็นผู้เก็บ User และ Passwordไว้เอง ต่อให้ซีอีโอหรือพนักงาน ก็ไม่สามารถโอนเงินให้เราได้ จนกว่าเราจะให้คีย์ไปรับที่เคาน์เตอร์หรือออนไลน์

สำหรับประโยชน์ที่คนจะได้เมื่อบล็อกเชนเข้ามานั้น โดม อธิบายว่า การนำบล็อกเชนเข้ามาใช้ประโยชน์มี 2 มุม เริ่มจาก Private Blockchain ถือเป็นการทำดาต้าเบส ที่มีความโปร่งใสและ Private ภายในองค์กร เช่น บริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านลิสซิ่งหรือเกี่ยวกับการเงิน หรือนำมาใช้ในระบบจัดซื้อจัดจ้างของบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาใช้การทำงานระบบเดิม จะไม่รู้เลยว่าข้อมูลที่อยู่ในดาต้าเบสจริงหรือไม่

ส่วนอีกรูปแบบที่น่าสนใจมาก คือ Public Blockchain คือบล็อกเชนที่มีลักษณะเปิดกว้าง สร้างเหรียญขึ้นมา แล้วนำเหรียญมาเทรดแทนเงิน ตัวอย่างเหรียญยอดนิยม อย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมเป็นบล็อกเชนที่ใครอยากเป็นเจ้าของ หาซื้อแล้วเปิด Wallet ได้เลย

มูลนิธิ ‘ไทยเชน’ และการพัฒนาความพร้อมของไทย

ซีดีโอของโดมคลาวน์ เล่าว่า มี Public Blockchain มากมายในโลก อย่างโซนใกล้ๆ เช่นที่ประเทศเวียดนามก็มีซึ่งเราใช้ Resource ไม่ได้มาก ทำให้มีความคิดว่าน่าจะพัฒนาและตั้งของเราขึ้นมาเองจะดีกว่า ต้นปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดมและ พันธมิตรได้รวมตัวกันก่อตั้ง “มูลนิธิไทยเชน” ด้วยเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ไม่หวังกำไรแต่ต้องการให้เกิด Public Blockchainแห่งแรกของประเทศขึ้น และหลังจากนั้นพัฒนาการของเราก็เริ่มจะเริ่ม Kick off

หลังจากเปิดตัวที่มหาวิทยาลัยบูรพา ให้นักศึกษาคิดโปรเจ็กต์แอปสำหรับการประมูลรถยนต์ หรือแอปขายของบนบล็อกเชน โดยที่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์รองรับเลยนั้น พบว่าสามารถดำเนินการได้เลย แต่ต้องหาเหรียญที่จะมาเป็นต้นทุน ซึ่งมูลนิธิสามารถซัพพอร์ตได้ โดยเปิดขายเหรียญให้คนทั่วไปเข้ามาสปอนเซอร์ให้โปรเจ็กต์สามารถดำเนินการไปได้ เหรียญ 50% เราโอนให้นักศึกษา เพราะจัดคอนเทสต์แต่ละครั้ง สามารถแจกเหรียญได้ จะมีการโอนให้นักศึกษาเจ้าของโปรเจ็กต์ได้เลยแต่ละครั้งสามารถให้นักศึกษามีเหรียญอยู่ในมือ โดยการปรับให้เป็นแอปพลิเคชันในรูปแบบต่างๆ ตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากจัดกิจกรรม 3 เดือน จะมีแอปเกิดขึ้นประมาณ 20 - 30 แอป

“ความคิดของเด็กมหาวิทยาลัย เมื่อรู้เรื่องบล็อกเชน ก็สามารถคิดทิศทางของแอปได้โดยที่เราคาดไม่ถึง” โดมเล่าอย่างตื่นเต้น

สำหรับเป้าหมายไทยเชนนั้น อยากให้เป็น Public Blockchain ของประเทศไทย ที่ดำเนินการภายใต้มูลนิธิ เพื่อที่จะให้ทุกคนสามารถเข้ามาดูแลได้ในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยระยะแรกเน้นการเปิดโหนดเป็นหลัก ซึ่งเรียกว่า ไทยเชน ไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย เพราะมี 6 โหนดที่มาร่วมทำระบบกับเรา และต่อไปจะมีประมาณ 21 โหนดภายในเดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งข้อดีของการมีโหนดจำนวนมากขึ้นนั้น คือ ช่วยกันจำ ทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และทำให้ปลอดภัยขึ้น ไม่มีใครโกงใครได้

มุมมองของโอกาสและความท้าทายสำหรับมนุษย์สายเทคฯ

โดม บอกว่า คนในสายเทคโนโลยีมีความคุ้นเคยกับบล็อกเชน แต่ก็มีอีกหลายคนโดน Disrupt ล้มหายตายจากไป เช่นเดียวกัน ในฐานะที่อยู่ในวงการมานานกว่า 20 ปี จะปรับตัวให้ทันได้อย่างไรนั้น

ผมว่ามันเป็นเรื่องที่สนุก สนุกกับการตามมัน ผมทำชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ตอนนี้ 2562 ยังทำเหมือนเดิม ทั้งการตามเทคโนโลยีและการโค้ช ผมยังสนุกกับมัน มองเหมือนนักดนตรี เล่นดนตรี บังเอิญเครื่องดนตรีหายไป แต่ผมโชคดีที่ผมอยู่กับเทคโนโลยีแล้วมันได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ และแพงขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าวันหนึ่งมันตอบชีวิตผมได้ คือ ได้เงินเยอะ และข้อที่ 2 ยังสนุกกับมัน ผมว่าวิธีคิดแบบนี้สำคัญที่สุด

อนาคตของบล็อกเชนแพลตฟอร์ม

เชื่อว่า แพลตฟอร์มเดิมไม่หายไปไหน ขณะเดียวกัน บล็อกเชนจะเข้ามาช่วยในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนต์ อาจใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาเก็บข้อมูลในระบบเรื่องการเงิน แต่การเพย์เมนต์ทุกอย่างเหมือนเดิม

“บล็อกเชน จะเข้าช่วยแก้ปัญหาด้านต้นทุนที่ถูกและปลอดภัยกว่า ยูสเซอร์อาจไม่รู้ตัว หรือแม้กระทั่งระบบประกาศขายบ้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อนำมาบล็อกเชนเข้ามา ยูสเซอร์จะสามารถกดไปดูโฉนดได้ รูปแบบนี้จะค่อยๆ เข้ามา เหมือนอินเตอร์เน็ทที่อยู่ในชีวิตประจำวันทุกที่ เราจึงคิดว่าบล็อกเชน คือ อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ที่ใครจะเขียนอะไรออกมาก็ได้ บนอินฟราสตรัคเจอร์” โดมกล่าว


เรื่อง : กองบรรณาธิการ    

ภาพ : ภัทรวรรธน์ พงษ์บริพันธ์

ปัญหามลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยและอีกหลายประเทศกำลังเผชิญหน้าและเร่งระดมสรรพวิธีเพื่อหาทางแก้ไข หนึ่งในนั้นคือปัญหาเรื่องขยะมูลฝอยจำนวนมากจากครัวเรือนและภาคโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้มีการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมไปถึงการเผาเพื่อทำลายขยะจนทำให้เกิดมลพิษขึ้น

จากสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน หรือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นวงกว้าง ตลอดจนกระทบถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ปัญหาดังกล่าวจึงถูกยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยในอนาคต

คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมมือกับคณะปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และอาศรมความคิดด้านระบบโลกศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ราชบัณฑิตยสภา จัดงานเสวนาในหัวข้อ “การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศด้านการจัดการมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ทั้งระบบ” ณ ห้องประชุมศรีสุริยวงศ์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรมตวันนา สุรวงศ์ โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเปิดงานเสวนาในครั้งนี้

Temperature Inversion ปรากฏการณ์ฝาชีอากาศผกผัน

ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา ระบุว่า มลพิษทางอากาศที่ล้วนมีสาเหตุหลักจากมนุษย์เป็นผู้สร้าง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในอนาคต หากไม่ดำเนินมาตรการจัดการกับปัญหาฝุ่นละอองก็จะเกิดการสะสมไปเรื่อยๆ เมื่ออากาศเปลี่ยนผันเข้ามาก็กลายเป็นฝาชีครอบเอาไว้ ทำให้ฝุ่นละอองจะไม่สามารถกระจายไปไหนได้ จนท้ายที่สุดฝุ่นละออง PM 2.5 ก็มีการสะสมในปริมาณมาก และส่งผลกระทบต่อประชาชน ถึงขั้นก่อให้เกิดอันตรายกับสุขภาพได้

ความมุ่งหวังต่ออายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี...ที่ดียิ่งขึ้น

บนเวทีเสวนา นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดประเด็นเกี่ยวกับความมุ่งหวังในอีก 20 ข้างหน้า กับการได้เห็นคนไทยมีช่วงอายุของการมีสุขภาพดีที่ยืนยาวขึ้น มีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีไม่ต่ำกว่า 75 ปี และมีอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ เพราะปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาสุขภาพตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 50 ปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมลพิษอากาศที่กระตุ้นให้เกิดโรคภัยได้ง่ายขึ้น โดยมลพิษทางอากาศนั้นจัดเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเกิดโรคไม่ติดต่อรองจากการสูบบุหรี่ ทั้งโรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด และมะเร็งปอด ซึ่งมีประชากรปีละกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรจากมลพิษทางอากาศ

บนเวทีเสวนา นายแพทย์พันศักดิ์ ได้เผยถึงการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขตลอดช่วงที่ผ่านมาว่า “จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดขึ้น เรามีการประเมินสถานการณ์ในทุกๆ วัน ผ่านการเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละอองจากกรมควบคุมมลพิษ และนำข้อมูลเหล่านั้นแปลงเป็นสาระสำคัญสื่อสารไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ต่อไป ขณะเดียวกันเรามีการเฝ้าระวังโรค โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็กหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่าง หอบหืด หลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งจัดทําแนวทางการดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยง เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) และยังดำเนินการสื่อสาร แจ้งเตือนประชาชน ให้ข้อมูลความรู้กับทุกภาคส่วน พร้อมสนับสนุนการใช้ พ.ร.บ.สธ. 2535”

อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมที่มุ่งหวังให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง นั่นคือการบริหารจัดการ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ และการวิจัยของประเทศไทยเองที่จับต้องได้ สามารถเชื่อมโยงให้เห็นได้ชัดเจนว่า มลพิษทางอากาศก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยจริงๆ ไม่ใช้เพียงค่าประมาณการ หรืองานวิจัยอ้างอิงจากต่างประเทศ ที่อาจจะไม่ใช่บริบทของคนไทย

สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับ...ทรัพยากรฯ และสิ่งแวดล้อม

ด้านผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง ชี้ให้เห็นในเบื้องต้นว่า จากสภาพอุตุนิยมวิทยาในช่วงต้นปีที่มีสภาวะอากาศนิ่ง ลมสงบ ไม่เอื้อต่อการกระจายตัว ได้ส่งผลต่อการสะสมของฝุ่นในบรรยากาศอีกทั้งจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงอันเกิดจากแหล่งกำเนิดต่างๆ อาทิ การคมนาคมและขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง การก่อสร้าง และหมอกควันข้ามแดนจากประเทศใกล้เคียง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของ PM 2.5 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษได้จัดทำร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง โดยมีสาระสำคัญภายใต้กรอบแนวคิดที่จะใช้หลักการจัดการเชิงรุก เน้นการป้องกันผลกระทบล่วงหน้า ด้วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับทรัพยากรฯ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษ เพื่อนํามาใช้เป็นแนวทางในการป้องกันความเสียหายหรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พร้อมคํานึงถึงกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยหรือสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่

มาตรการที่ 1 : การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยกําหนดเป็นแนวทางการดําเนินงานในระยะเร่งด่วน รวมถึงแนวทางปฏิบัติการแก้ไขปัญหาในช่วงวิกฤตในพื้นที่ที่มีปัญหาหรือพื้นที่เสี่ยง โดยอาศัยกลไกของระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ มาตรการที่ 2 : การป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกำเนิด โดยให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายออกกฎระเบียบ หรือแนวทางข้อบังคับในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง มาตรการที่ 3 : การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ผ่านการพัฒนาระบบ เครื่องมือ กลไกในการบริหารจัดการ รวมถึงศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจและกําหนดแนวทางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต

เมื่ออุตสาหกรรมเติบโต ต้องเติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นางสาวพะเยาว์ คำมุข ผู้อำนวยการกองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม บอกเล่าถึงความคาดหวังในอีก 20 ปีข้างหน้าที่อยากเห็นการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในรูปแบบของ Green Industry ที่สามารถอยู่ร่วมกับประชาชนได้อย่างยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากภาคอุตสาหกรรม ผ่านการดำเนินงานการกำกับดูแลให้โรงงานระบายอากาศตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ทั้งในกลุ่มโรงงานทั่วไป กลุ่มโรงงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกลุ่มโรงงานที่ก่อให้เกิดมลพิษสูง พร้อมตรวจสอบและเฝ้าระวังโรงงานเพื่อป้องกันการเกิดฝุ่นและมลพิษทางอากาศทั่วประเทศ รวมถึงการสุ่มตรวจวัดมลพิษทางอากาศในพื้นที่ที่มีโรงงานหนาแน่น

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ (S-Curve) ในการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องยนต์ไบโอดีเซล เร่งส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ภายในประเทศ พร้อมพัฒนามาตรฐานการควบคุมปริมาณสารมลพิษอเสียของเครื่องยนต์จาก EURO 4 เป็น EURO 5 และยังมีการร่วมมือกับ METI ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการศึกษาแหล่งกำเนิดและผลกระทบของ PM 2.5 ในภาคอุตสาหกรรมไทย

มากกว่านั้น ภาคอุตสาหกรรมยังร่วมกับ ปตท. และ กทม. สร้างและติดตั้งเครื่องต้นแบบ “ระบบขจัดมลพิษแบบเคลื่อนที่” ในพื้นที่สาธารณะ 11 เครื่อง ควบคู่กับการขอความร่วมมือรณรงค์ประชาสัมพันธ์และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดให้ “ชาวไร่อ้อยไม่เผาอ้อย” และขอความร่วมมือจากสมาชิด ส.อ.ท. ดำเนินมาตรการการหยุดหรือลดกำลังการผลิตในบางช่วงเวลา การบำรุงรักษาเครื่องจักร และ Big Cleaning โรงงาน ร่วมด้วย

งบประมาณที่เสียไป… ต้องได้กลับมาอย่างคุ้มค่า

จากการกำหนดนโยบายต่างๆ หรือแม้แต่มาตรการจัดการที่แต่ละหน่วยงานได้จัดทำออกมานั้น ล้วนแล้วแต่ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ แต่ประเด็นคือ เราจะใช้งบประมาณเหล่านั้นอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด? ดังนั้น นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จึงทำการตีมูลค่าจากมลพิษที่เกิดขึ้นว่าก่อให้เกิดต้นทุนกับสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การเลือกใช้มาตรการที่ดีที่สุดภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยใช้วิธีทางเศรษฐมิติประมาณค่าความเต็มใจที่จะจ่ายต่อครัวเรือนสำหรับความเสียหายขั้นต่ำ อิงจาก PM 10 จำนวน 1 ไมโครกรัม/ลบ.ม. = 6,380 บาท/ปี และจากยอดจำนวนครัวเรือนในกรุงเทพจาก 2.89 ล้านครัวเรือน ดังนั้น สำหรับกรุงเทพฯ ทุกๆ 1 ไมโครกรัมต่อลบ.ม. ของ PM10 ที่เกินระดับปลอดภัย จึงสร้างความเสียหายมูลค่า 18,420 ล้านบาท/ปี ซึ่งในปี 2560 กรุงเทพฯ มีค่าเฉลี่ย PM10 = 44.21 ไมโครกรัม ต่อ ลบ.ม./ปี ดังนั้น เมื่อคำนวณแล้วจะพบว่าความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากมลพิษทางอากาศจึงตีเป็นมูลค่าได้สูง 446,023 ล้านบาท/ปี

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เสนอมาตรการจัดการผ่านการออกกฎหมายโดยใช้แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่อาศัยกลไกในการควบคุมพฤติกรรม หรือการสร้างแรงจงูใจ ไม่เน้นการบังคับอย่างเดียว โดยให้มีการจัดทำมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ผ่านการสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของมลพิษ ลดมลพิษจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในรถยนต์ ลดมลพิษจากการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้ ลดมลพิษจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ลดมลพิษที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน และประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการ

“มาตรการที่เสนอข้างต้นจะประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อ เรามีงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการริเริ่มนำกฎหมายอากาศสะอาดมาบังคับใช้ (Clean Air Act) พร้อมจัดตั้งหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) และสำคัญที่สุดคือ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน” รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิชกล่าวทิ้งท้าย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดงาน ประชารัฐรวมใจ คัดสรร OTOP Select 2019” ร่วมกับ 24 พันธมิตรจากภาครัฐ Trader และ Buyer ยักษ์ใหญ่ จับมือกันคัดผลิตภัณฑ์ OTOP Select 3-5 ดาว ที่ผู้ผลิตสมัครเข้ามาร่วมกิจกรรมกว่า 2,000 รายการทั่วประเทศ จำแนกเป็น 4 กลุ่ม คือ กินดี อยู่ดี สวยดี และดูดี รวมถึงมอบรางวัล Best of OTOP Select (ระดับจังหวัด) และ Top of The Best OTOP Select (ระดับประเทศ) 4 กลุ่ม  มั่นใจ!! ผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับโอกาสสำคัญต่อยอดธุรกิจไปสู่ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย พร้อมเผยแพร่อัตลักษณ์ไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ

นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดงาน “ประชารัฐรวมใจ คัดสรร OTOP Select 2019” ขึ้น ณ อาคารหอประชุม 100 ปี ธัญบุรี เทศบาลนครรังสิต มีกำหนดจัดงานตั้งแต่วันนี้-14 มิถุนายน 2562 โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ ซึ่งเป็นการผสานพลังที่จะช่วยกันคัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีความพร้อมในการพัฒนาทั้งด้านสินค้าและการตลาดเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด   

รองอธิบดี กล่าวต่อว่า “กิจกรรมนี้มีหน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ จำนวน 24 หน่วยงาน ประกอบไปด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, บริษัทสยามพิวรรธน์, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท คิง พาวเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด, บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท นารายภัณฑ์ จำกัด, บริษัท ตำรับไทย สมุนไพร จำกัด, บริษัท อะราวนด์ เดอะ เนค จำกัด, บริษัท โอทอป อินเตอร์เทรดเดอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด, บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน), บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด, บริษัท สยามเจมส์กรุ๊ป จำกัด, สมาคมสินค้าตกแต่งบ้าน, สมาคมทีวีโฮมช้อปปิ้ง (ประเทศไทย), สมาคมของขวัญของชำร่วยและของตกแต่งบ้าน, สมาคมออกแบบสร้างสรรค์, สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย”

“ตลอดระยะเวลาการจัดงาน 4 วัน คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจะร่วมกันพิจารณา ผลิตภัณฑ์ OTOP Select” ที่มีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ OTOP 3-5 ดาวจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 2,000 รายการ โดยจำแนกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) กินดี (Eat well) อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 520 รายการ 2) อยู่ดี (Live well) อาทิ ของใช้ ของที่ระลึก จำนวน 445 รายการ 3) สวยดี (Look well) อาทิ ครีมบำรุง ผลิตภัณฑ์สปา จำนวน 260 รายการ และ 4) ดูดี (Dress well) อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ จำนวน 775 รายการ โดยแนวทางหลักคณะกรรมการจะพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ และพร้อมจะต่อยอดทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกรมฯ จะประกาศผลผู้ที่ผ่านการคัดสรร ในวันที่ 26 มิ.ย.62 ผ่านทางเว็บไซต์ www.dbd.go.th

“นอกจากการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ OTOP Select ในข้างต้นแล้ว ยังมีกิจกรรมการคัดเลือกสุดยอด ผลิตภัณฑ์ OTOP Select ในอีก 2 กิจกรรมคือ 1)  Best of OTOP Select (ระดับจังหวัด) และ 2) Top of The Best OTOP Select (ระดับประเทศ) 4 กลุ่ม เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ผลิตได้มีกำลังใจในการพัฒนาสินค้าและก้าวไปสู่การเป็นต้นแบบให้กับผู้ผลิตรายอื่นๆ และเพิ่มศักยภาพของผลิตภัณฑ์ OTOP ให้ตอบโจทย์การตลาดแต่ยังคงอัตลักษณ์ภูมิปัญญาของไทยเอาไว้ นำไปสู่การเป็นที่ประจักษ์ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมการกระตุ้นและสร้างความนิยมในการซื้อสินค้าท้องถิ่นของไทย ก่อนต่อยอดผลิตภัณฑ์ OTOP Select เข้าสู่ช่องทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วโลก”

“กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จะกระจายอยู่ทั่วประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้ทำงานร่วมกับภาครัฐ ซึ่งจะเป็นความร่วมมือที่สำคัญ ในการผลักดันธุรกิจท้องถิ่นของประเทศให้เดินหน้าไปพร้อมกันกับภาคเอกชนรายใหญ่ ลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ำในวงจรธุรกิจของประเทศและเติมศักยภาพให้ธุรกิจรายย่อยสามารถแข่งขันได้” รองอธิบดี กล่าวในท้ายที่สุด

X

Right Click

No right click