องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection) นำโดย นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรฯ มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จำนวน 10,000 เข็ม ให้แก่กรมปศุสัตว์ โดยมี น.สพ.ดร.วีรพงษ์ ธนพงศ์ธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน(โรคพิษสุนัขบ้า) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ เป็นผู้แทนกรมปศุสัตว์รับมอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 องค์กรฯ ได้บริจาควัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องรวมทั้งสิ้นประมาณ 80,000 เข็ม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการช่วยเหลือให้สัตว์ในชุมชนปลอดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องสู่ประชาชนโดยตรงในวงกว้าง นอกจากนี้เราให้การช่วยเหลือตลอดจนทำงานร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายและชุมชนเพื่อช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงจากภัยน้ำท่วมที่ได้เกิดขึ้นในปีนี้ โดยเจ้าหน้าที่องค์กรฯ ได้ร่วมลงพื้นที่พร้อมด้วยเครือข่ายเพื่อร่วมนำอาหารสุนัขและอาหารแมวมอบให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและชุมชน กว่า 1,400 ชีวิต เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ที่ประสบเหตุจากอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดน่าน และจังหวัดสุโขทัย ด้วยการร่วมมอบอาหารสัตว์กว่า 4 ตัน และยารักษาโรค ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่องค์กรฯ ยังได้ลงพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเร่งกระจายอาหารสำหรับสุนัขและแมวจำนวนรวม 2.1 ตัน แจกจ่ายไปยังบ้านเรือน ผู้ใหญ่บ้าน วัด ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติในเขตอำเภอสารภี รวมถึงได้ส่งมอบอาหารสำหรับสุนัขและแมวส่วนหนึ่งให้แก่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนสังคม นโยบาย เพื่อปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์เพื่อให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบทบาทที่สำคัญในการทำงานด้านสัตว์เลี้ยงในชุมชน เช่น สุนัขและแมว ภายใต้โครงการ Better Lives with Dogs ซึ่งได้เริ่มการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 พร้อมทั้งได้มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวร
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้าง กิจการร่วมค้า ไอทีดี-วีซีบี (ITD-VCB Joint Venture) ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้รับจ้างดําเนินการก่อสร้าง โครงการทางพิเศษสายพระราม3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตกสัญญาที่ 3 แจ้งการปิดจราจรชั่วคราวบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร บริเวณด่านฯ ดาวคะนอง ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ด้านขวาทางจำนวน 1 ช่องจราจร เพื่อดำเนินการติดตั้งคานขวางของโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง
กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอความร่วมมือผู้ที่ใช้เส้นทางบริเวณดังกล่าวโปรดสังเกตป้ายเตือนสัญญาณจราจรต่างๆ และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง หากมีข้อเสนอแนะ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ 02-405-4896 ตั้งแต่ 08.00-19.00 และ 062-912-6211 ตลอด 24 ชั่วโมง
โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) เดินหน้าตามแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดสาขาเจริญราษฎร์ เป็นสาขาที่ 10 รับกำลังซื้อย่านทำเลทองใจกลางเมือง มั่นใจสร้างทางเลือกใหม่ด้วยวัตถุดิบอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคและบริการแตกต่าง ที่พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร ธุรกิจโฮเรก้า และร้านค้าโชห่วยให้เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรง โดยมี รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายแสนยากร อุ่นมีศรี เป็นประธานในพิธีเปิด
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า ในวันนี้ โก โฮลเซลล์ ได้ดำเนินการขยายสาขามาจนครบ 10 สาขาแล้ว โดยสาขาเจริญราษฎร์ มีพื้นที่ขายกว่า 6,000 ตรม. ตั้งอยู่บนที่ดิน กว่า 8 ไร่ ใกล้กับย่านสาทร พระราม 3 ซึ่งถือเป็นสาขาล่าสุดที่อยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัยและย่านการค้าที่มีกำลังซื้อสูง มีความพร้อมทุกด้านทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ความบันเทิง ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง อาคารสำนักงาน สถานที่พักผ่อนและการเดินทาง ประกอบกับยังมีช่องว่างในการทำตลาดค้าส่งวัตถุดิบอาหารอีกมาก โดยการเปิดตัวของ โก โฮลเซลล์ สาขาเจริญราษฎร์ จึงเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็น “House of Fresh” ที่พรั่งพร้อมด้วยแผนกอาหารสดขนาดใหญ่ อาหารพร้อมปรุง อาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง เครื่องปรุงรส และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มากกว่า 20,000 รายการไว้คอยให้บริการ
สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของ โก โฮลเซลล์ และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าผู้ใช้บริการ คือ การเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบอาหารสดขนาดใหญ่ อาหารทะเลแบบเป็นๆ ที่แหวกว่ายอยู่ในตู้อควาเรียม เช่น กุ้งมังกรเจ็ดสี ปูม้า ปูอลาสก้า กุ้งลายเสือ ผักผลไม้คุณภาพปลอดภัย ผักไฮโดรโปนิกส์ มีทั้งผลผลิตที่มาจากเกษตรกรไทย ในแหล่งเพาะปลูกและเพาะเลี้ยงคุณภาพ รวมทั้งสินค้านำเข้าจากทั่วโลก ที่จะสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ที่มาเลือกซื้อ ทั้งเนื้อวัวคุณภาพราคาดีจากหลายประเทศ แซลมอนจากแหล่งดังๆ ของโลก ชีส เครื่องปรุงรสนานาชาติ ฯลฯ พร้อมบริการที่ไม่มีใครเหมือน ด้วยการตัดแต่งวัตถุดิบ ครบจบในที่เดียว ประหยัดเวลา สะดวกต่อการนำไปใช้ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการ้านอาหารได้เป็นอย่างดี รวมถึงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการแบบนำไปใช้ต่อยอดทำกำไรได้เลย จากมุมครบเครื่องเรื่องเครื่องดื่ม หรือ Beverage Solution และ การจัดกิจกรรม workshop ให้ความรู้เติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับคนตัวเล็กที่กำลังอยู่ในสนามแข่งขันของธุรกิจอาหาร
นอกจากนี้ โก โฮลเซลล์ ยังมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ที่สาขาตั้งอยู่ ด้วยการส่งเสริมอาชีพด้านอาหาร สร้างความมั่นคงให้กับคนในชุมชน โดยสนับสนุนวัตถุดิบอาหารคุณภาพดี ให้แก่ ศูนย์ฝึกอาชีพวัดวรจรรยาวาส สำนักงานเขตบางคอแหลม เพื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะด้านการประกอบอาหาร ให้กับผู้สนใจนำไปประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้ครอบครัว ซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชนอีกทางหนึ่ง
พิเศษสำหรับสาขาเจริญราษฎร์ สมัครสมาชิกใหม่ รับฟรีคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 1,000 บาท (คูปองส่วนลดมูลค่า 50 บาท จำนวน 20 คูปอง) คูปองส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการครบ 1,500 บาทต่อใบเสร็จ (แสดงคูปองส่วนลดที่จุดบริการชำระเงินก่อนการชำระเงิน คูปองมีระยะเวลาที่สามารถใช้และรับส่วนลดตามที่ระบุบนคูปองส่วนลดเท่านั้น คูปองส่วนลดใช้ได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568) นอกจากนี้ยังจัดแคมเปญ“Happiness on the GO WHOLESALE 2025” ตั้งแต่วันนี้ถึง 14 มกราคม 2568 โดยขนทัพสินค้าหลากหลายรายการมาจัดโปรโมชั่น พร้อมข้อเสนอพิเศษสุด ไม่ว่าจะเป็นกระเช้าปีใหม่ สินค้าชุดของขวัญจากแบรนด์พันธมิตร ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า โปรโมชั่นสินค้าอาหารแช่แข็ง ที่มาพร้อมกระเป๋าเก็บความเย็นเมื่อซื้อสินค้ากลุ่มอาหารแช่แข็งที่ร่วมรายการครบ 2,500 บาทขึ้นไป /ใบเสร็จ และเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะ วัน ที่ โก โฮลเซลล์ ยังได้รับข้อเสนอสุดคุ้ม 2 ต่อ คุ้มที่ 1 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3,000 บาท คุ้มที่ 2 รับคะแนนสูงสุด 10 คะแนน ทุกๆ 100 บาทต่อใบเสร็จ (1 พ.ย.67 - 31 ม.ค.68 ที่ โก โฮลเซลล์ ทุกสาขาและ โก โฮลเซลล์ แอปพลิเคชั่น)
เปี่ยมสุข ผู้นำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและบริการ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย เตรียมต้อนรับปีใหม่ 2568 ผ่านแคมเปญใหญ่ ‘เก่าแลกใหม่’ โดยมี รถแลกบ้าน บ้านเก่าแลกบ้านใหม่ และที่ดินแลกบ้านใหม่ พร้อมเดินหน้าส่งมอบสินค้าพร้อมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ทุกผู้อยู่อาศัย
นายปรีชา กุลไพศาลธรรม กรรมการผู้จัดการ ในเครือบริษัท เปี่ยมสุข เปิดเผยว่า ช่วงปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหาร ‘บ้านเปี่ยมสุข’ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างที่อยู่อาศัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความสุข แม้อยู่ภายใต้ปัจจัยเศรษฐกิจที่เป็นลบ ซึ่งอาจส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น และแม้บริษัทฯ เป็นผู้เล่นรายกลางแต่คาดการณ์ว่าภายในปี 2567 จะยังสามารถผลักดันยอดรับรู้รายได้กว่า 1,200 ล้านบาทซึ่งยังขยายจากปี 2566 ประมาณ 10% แต่ยังคงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 1,500 ล้านบาท
“ปัจจัยที่ทำให้โครงการบ้านเปี่ยมสุขได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา ได้แก่ กลุ่มเซ็กต์เม้นต์ลูกค้าที่เปี่ยมสุขทำการตลาด สอดคล้องกับคุณภาพสินค้าที่ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมุ่งหวัง แต่ยังมีปัญหาเรื่องรีเจกต์การปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าค่อนข้างสูง จึงทำให้ยอดรับรู้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในช่วงปีนี้อีกทั้งบริษัทยังเห็นปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจต่างๆที่ลูกค้ากำลังเผชิญจึงมีการวางกลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือลูกค้า และส่งเสริมการขายไปด้วยพร้อมๆ กัน อาทิ การออกแคมเปญ Clearance Sale, เช่าซื้อ, ผ่อนตรงกับโครงการ, สร้างเครือข่ายนักขาย Agent และล่าสุดที่เปิดตัวคือแคมเปญใหญ่ประจำปี เก่าแลกใหม่ ให้การซื้อบ้านใหม่เป็นเรื่องง่าย โดยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่อยากมีบ้านได้สำเร็จ ผ่านการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับความต้องการใน 3 แคมเปญฯ ได้แก่ รถแลกบ้าน บ้านเก่าแลกบ้านใหม่ และที่ดินแลกบ้านใหม่ ซึ่งจะวางแคมเปญรองรับลูกค้ายาวไปจนถึงสิ้นปีหน้าและคาดหวังว่าแคมเปญนี้จะสามารถกระตุ้นยอดขายภายในปี 2568 คาดว่าจะทำยอดขายจากแคมเปญนี้ได้กว่า 300 ล้านบาท นอกจากนี้เปี่ยมสุขยังมีแคมเปญ Up Value โครงการด้วยเทคโนโลยีสุขภาพประหยัดพลังงานและนวัตกรรมบ้านเย็น เข้ามาเพื่อเพิ่มคุณภาพให้แก่บ้านเปี่ยมสุขในปีหน้านี้สอดคล้องกับกรอบแนวความคิดของการดำเนินงานในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนสังคมที่ยั่งยืน” นายปรีชา กล่าว
นายปรีชา กล่าวถึงรายละเอียดแคมเปญใหญ่ประจำปี ‘เก่าแลกใหม่’ ว่า แคมเปญฯ จะแบ่งเป็น 3 แคมเปญ ได้แก่ บ้านเก่าแลกบ้านใหม่ เปี่ยมสุขยังทำให้การซื้อบ้านใหม่เป็นเรื่องง่ายขึ้นโดยลูกค้าที่มีบ้านอยู่แล้วสามารถเปลี่ยนเป็นบ้านใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถนำมูลค่าบ้านเก่ามาใช้แทนการจ่ายเงินสดบางส่วนหรือเป็นส่วนลดในการซื้อบ้านใหม่ได้ รูปแบบคือ บริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่หรือทีมงานมาประเมินมูลค่าบ้านเก่าของลูกค้า โดยมูลค่าที่ประเมินจะถูกนำมาใช้เป็นเงินส่วนลดในการซื้อบ้านใหม่ สำหรับการรับซื้อบ้านเก่าในบางโครงการเสนอซื้อบ้านเก่าจากลูกค้าในราคาประเมิน และให้เครดิตเงินสดหรือใช้เป็นเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้านใหม่ได้โดยตรง นอกจากนี้โครงการยังร่วมกับบริษัทนายหน้าช่วยขายบ้านเก่าของลูกค้าให้เร็วขึ้น โดยลูกค้าจะได้รับเงินจากการขายบ้านเก่าเพื่อนำไปซื้อบ้านใหม่ในโครงการได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งแคมเปญบ้านเก่าแลกบ้านใหม่ จะสามารถลดภาระแก่ลูกค้าในการขายบ้านเก่าเอง และทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีขั้นตอนชัดเจน อีกทั้งยังลดภาระการผ่อนบ้านสองหลังในเวลาเดียวกัน
รถแลกบ้าน เปลี่ยนรถเป็นบ้าน ลูกค้าสามารถนำสินทรัพย์ประเภทรถยนต์มาใช้แทนเงินสดในส่วนของเงินดาวน์หรือเป็นส่วนลดในการซื้อบ้าน แคมเปญนี้จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านใหม่แต่ยังไม่พร้อมใช้เงินสดจำนวนมาก หรือมีรถยนต์ที่อาจไม่ได้ใช้งานหรือต้องการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับความต้องการ โดยรูปแบบคือ หากผู้ซื้อสามารถนำรถยนต์ที่มีอยู่มาเป็นเงินดาวน์ในการซื้อบ้าน บริษัทจะทำการประเมินมูลค่ารถยนต์แล้วนำมาหักออกจากราคาบ้าน อีกทั้งในบางโครงการลูกค้าอาจนำมูลค่าของรถยนต์มาลดราคาบ้านหรือช่วยลดภาระการผ่อนบ้านในช่วงแรก นอกจากนี้เปี่ยมสุขยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทขายรถเพื่อให้มีบริการรับซื้อหรือแลกเปลี่ยนรถของลูกค้า โดยที่ลูกค้าจะได้รับเครดิตเงินสดเพื่อไปใช้ในการซื้อบ้าน สำหรับข้อดีของแคมเปญรถแลกบ้าน คือ สามารถช่วยลดภาระการดาวน์ และสร้างความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า อีกทั้งยังมีขั้นตอนที่ง่ายและสะดวก
อีกทั้งนี้ยังมีแคมเปญ ที่ดินแลกบ้าน โดยผู้ที่มีที่ดินสามารถนำที่ดินมาใช้แทนเงินสดบางส่วนหรือเป็นส่วนลดในการซื้อบ้านใหม่ได้ โดยบริษัทฯ จะรับที่ดินของลูกค้าแทนการจ่ายเงินสดสำหรับการซื้อบ้านในโครงการ รูปแบบคือ บริษัทฯ จะประเมินราคาที่ดินตามพื้นที่ ทำเล ขนาด และปัจจัยอื่นๆ เพื่อนำมาคำนวณเป็นส่วนลดในการซื้อบ้านใหม่ หรือการแลกเปลี่ยนที่ดินกับบ้านในโครงการ สำหรับบางกรณี บริษัทฯอาจให้เจ้าของที่ดินแลกเปลี่ยนกับบ้านใหม่ในโครงการโดยตรง โดยขึ้นอยู่กับมูลค่าที่ดินและราคาบ้านในโครงการนั้น ๆ ซึ่งข้อดีของแคมเปญนี้จะช่วยลดความยุ่งยากในการขายที่ดิน ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายในการหาผู้ซื้อที่ดิน บริษัทจะจัดการขั้นตอนการประเมินและรับซื้อให้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการได้บ้านใหม่ในฝันโดยไม่ต้องใช้เงินสดมากนัก เป็นการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
อย่างไรก็ตามทั้ง 3 แคมเปญนี้ ผู้สนใจอยากมีบ้านสำเร็จ เป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่นี้ สามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการในเครือบริษัทเปี่ยมสุข ทั้งในทำเล กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี มากกว่า 15 โครงการ อาทิ บ้านเดี่ยวในกลุ่มโครงการ The Master สุขุมวิท, The Master เอกมัย – รามอินทรา, The Master เอกมัย – สุคนธสวัสดิ์, The Master ราชพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก, The Master ราชพฤกษ์ – สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ และบ้านเดี่ยว - ทาวน์โฮม ในกลุ่มโครงการ S Gate อาทิ S Gate Premium ราชพฤกษ์-346, S Gate Premium รังสิต-คลองหลวง, S Gate Life ราชพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก, S Gate Life ราชพฤกษ์ - กาญจนาภิเษก 2, S Gate Town กรุงเทพฯ – ปทุมธานี, S Gate Town ราชพฤกษ์ – 345, S Gate Town ราชพฤกษ์ - ติวานนท์, S Gate Town ติวานนท์ รังสิต, S Gate Town ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และโครงการคอนโด Lloyd ศูนย์วิจัย - ทองหล่อ และภายในอนาคตนี้เปี่ยมสุขจะมีการเปิดขายและขยายโครงการในปีหน้ามีทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ The Master ราชพฤกษ์ - เวสต์วิลล์, The Master ราชพฤกษ์ – 345, The Home (Harrow Bangkok) , S Gate Life กรุงเทพ – ปทุมธานี ได้ตั้งแต่วันนี้ – ธันวาคม 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 02-969-2112 หรือเว็บไซต์บริษัท www.pieamsuk.co.th
บริษัท ค้าผลผลิตน้ำตาล จำกัด (TSTC) จัดงาน “TSTC Celebrates 50th Anniversary” ฉลองครบรอบ 50 ปี ในฐานะ บริษัทผู้ส่งออกน้ำตาลที่มี ความเป็นมายาวนานที่สุดของไทย โดยคุณวิบูลย์ ผาณิตวงศ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัทฯ เป็นประธานเปิดงาน ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
พร้อมด้วย คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบล กรรมการบริษัทฯ และคุณภิรมย์ศักดิ์ สาสุนีย์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ค้าผลผลิตน้ำตาล จำกัด ตลอดจนคณะ กรรมการบริหาร คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ร่วมต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยเฉพาะการปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์ที่ปัจจุบันทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยได้ลงทุนพัฒนาระบบและนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงยกระดับภารกิจรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดตัวบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ True CyberSafe” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ทั้งจาก ลิ้งค์แปลกปลอม SMS หลอกลวง และการกรองสายเรียกเข้า โดยนำร่องให้บริการระบบปิดกั้นและแจ้งเตือนการเข้าถึงลิ้งก์แปลกปลอม (Web / URL Protection) ทั้งที่เป็น Blacklist จากภาครัฐ และลิ้งก์ที่มีความเสี่ยง รวมเบื้องต้นกว่า 100,000 ลิ้งก์ สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค และเน็ตบ้านทรูออนไลน์ทุกคน ฟรี! ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม สร้างความมั่นใจให้คนไทยสามารถใช้งานโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย พร้อมเตรียมต่อยอดแจ้งเตือน SMS AI Filter และแจ้งเตือนสายเรียกเข้า Call AI Filter ที่จะลดความเสี่ยงทุกมิติจากภัยไซเบอร์ อีกทั้ง ผนึกกำลัง แอสเซนด์ มันนี่ (ทรูมันนี่) เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอปทรูมันนี่ ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าจับมือภาคีทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สกมช. หรือ NCSA สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน
“มุ่งสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย”
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในภารกิจสร้างสังคมดิจิทัลที่ ครอบคลุม ปลอดภัย และยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแบบครบวงจร ทั้งการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี 3G 4G และ 5G เป็นรายแรก การวางโครงข่ายไฟเบอร์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศแม้ในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างระบบนิเวศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขี้นในทุกมิติ เพื่อร่วมทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน ทรู
คอร์ปอเรชั่น ยังได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลือนสู่สังคมดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งรวมถึง Responsible AI (RAI) ที่มีการใช้ AI ตามแผนการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ และภารกิจดูแลปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ ที่กลายเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยล่าสุด ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ลงทุนพัฒนาระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ ที่นำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อดูแลปกป้องลูกค้าทรู ดีแทค ของเราทุกคน ซึ่งเป็นที่มาของการเปิดบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ในวันนี้ อันเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่นในการรับผิดชอบสังคมดิจิทัล และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และพันธมิตรเอกชน เช่น บริษัท แอสเซนต์ มันนี่ จำกัด รวมถึงอีกหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกมิติ ”
“ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน”
นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงปัญหาภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา คนไทยสูญเสียจากการถูกหลอกออนไลน์สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก และประเทศไทยมีปัญหา การโทรหลอกลวง สูงเป็นอันดับสองในเอเชีย และ SMS หลอกลวงมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่มีลิงก์ ที่มาจากเบราว์เซอร์ที่มีความเสี่ยงแนบมาด้วย ดังนั้น เราจึงได้พัฒนาบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย โดยทรูได้ลงทุนพัฒนาและนำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อยกระดับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการโลกออนไลน์ โดยระยะแรกจะให้บริการระบบคัดกรองลิ้งค์แปลกปลอมที่รวบรวมจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งค์ โดยลูกค้าจะได้รับการบล็อก หรือ แจ้งเตือนทันทีหลังจากกดลิ้งก์จาก SMS หรือบราวเซอร์ เพื่อให้ลูกค้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจเลือกเข้าหรือไม่เข้าสู่ลิ้งก์ดังกล่าว โดย เปิดให้ลูกค้ามือถือทรู ดีแทค หรือทรูออนไลน์ ที่เชื่อมต่อเน็ตบ้าน หรือ WiFi ของทรูทุกคน ใช้บริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม”
“ทุ่มทุนพัฒนา AI ขั้นสูง กับ True CyberSafe “
ทรู ไซเบอร์เซฟ เป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ ที่ทรูได้พัฒนานำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ แบบแผน และพฤติกรรม การใช้ลิงก์/URL , การส่งSMS และ การโทร เพื่อหาความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ ผ่านแมชชีนเลิร์นนิ่ง รวมทั้งช่วยตรวจจับ คัดกรอง ลิ้งก์/URL แปลกปลอม ที่รวบรวมฐานข้อมูล จากความร่วมมือกับภาครัฐ พันธมิตรเอกชน การร้องเรียนจากลูกค้า การวิเคราะห์จาก AI และจากการลงทุนของกลุ่มทรู ซึ่งได้มาจากทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งก์ในระยะแรก และจะมีการพัฒนาฐานข้อมูลให้ครอบคลุมกลลวงมิจฉาชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ระบบทรู ไซเบอร์เซฟ ยังเป็นไปตามข้อบังคับ PDPA โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งกระบวนการทำงานของ AI ทั้งหมดนี้ ทำให้ทรูสามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติ และแจ้งเตือนภัยออนไลน์ จากมิจฉาชีพ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสามารถป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพได้ใน 4 รูปแบบ คือ 1. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้ามือถือทรู ดีแทค : บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย หากลูกค้ากดเข้าไป จาก SMS หรือ บราวเซอร์ 2. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้าเน็ตบ้านทรูออนไลน์ : บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย บนเว็บบราวเซอร์ 3. SMS AI Filter : โดยจะแจ้งเตือนSMS ที่อาจเป็นมิจฉาชีพ ใช้ AI ในการประมวลพฤติกรรมของมิจฉาชีพ 4. Call AI Filter การกรองสายเรียกเข้า : แจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพ โดยความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเต็มระบบทุกรูปแบบราวเดือนมีนาคม 2568
“ผนึกทรูมันนี่ ชูระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น”
นอกเหนือจาก การพัฒนาระบบความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมกับ แอสเซนต์ มันนี่ มอบการปกป้องการหลอกลวงทางการเงิน ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอป True Money ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า
“ครอบคลุมครบทุกมิติ 360 องศา”
ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ครอบคลุมการดำเนินการทุกมิติทั้ง 360 องศา ซึ่งรวมถึงการให้ความร่วมมือกับ ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การปิดเสาสัญญาณบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันมิจฉาชีพลักลอบใช้สัญญาณเครือข่ายในการหลอกลวงประชาชน ดำเนินการตามมาตรการลงทะเบียนซิมอย่างเข้มงวด พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์ประมวลผลตรวจสอบความผิดปกติของการลงทะเบียนซิมและการใช้งานผิดปกติ รวมทั้งให้ข้อมูลและชี้เบาะแสเพื่อช่วยหน่วยงานภาครัฐในการปราบปรามมิจฉาชีพ อีกทั้งยังเปิดศูนย์ฮอตไลน์ 9777 ให้โทรแจ้งเบอร์โทรและ SMS ต้องสงสัย พร้อมแจ้งผลภายใน 48 ชม. เพื่อนำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพ ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังมุ่งเน้นเสริมสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพทางออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมเวิร์กชอป เสริมทักษะให้คนไทยรู้ทันโลกออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ทรูปลูกปัญญา อีกด้วย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) รับรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ระดับดีเด่น ประจำปี 2567” ประเภทองค์กรรัฐวิสาหกิจ จากพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในงานประกาศรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2567 จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างเคารพสิทธิมนุษยชนของ EXIM BANK อย่างต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567
ในงานดังกล่าว EXIM BANK ร่วมแสดงนิทรรศการความสำเร็จในการดำเนินงานที่นำหลักสิทธิมนุษยชนมาเป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการองค์กรและปฏิบัติงานในทุกระดับ สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างในทุกมิติ ไม่แบ่งแยกเพศ สถานะ และศาสนา ดูแลอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ มุ่งดำเนินบทบาทขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน เช่น การสนับสนุน Development Project ให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน ผ่านการให้สินเชื่อสีเขียว การออกพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) และพันธบัตรสีน้ำเงิน (Blue Bond) รวมทั้ง Blue Financing ซึ่งเป็นการสนับสนุนเงินทุนแก่ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนทางทะเล ตามกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Framework) อันมีส่วนช่วยสร้างระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ดีอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยและโลกโดยรวมไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH หลักทรัพย์ในกลุ่ม SET 100 ได้รับคะแนนประเมินจากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 ระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็น Insurance Holding Company เพียงแห่งเดียวที่ติด 1 ใน TOP QUARTILE ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
TIPH ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีเยี่ยม ควบคู่กับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) และมุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจกับการช่วยเหลือสังคมในมิติต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม