

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทยร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ด้วยการส่งมอบสายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้วให้กับ Recycle Day Thailand เพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (Refuse Derived Fuel: RDF) ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ตลอดจนสร้างคุณค่าใหม่จากวัสดุที่หมดอายุการใช้งาน

นางนพวรรณ คล้ายโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของ SPC ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยส่งมอบสายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้ว ให้กับ Recycle Day Thailand เพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ทดแทนถ่านหิน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายชนัมภ์ ชวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร Recycle Day Thailand เป็นผู้รับมอบ
สิ่งเล็ก ๆ อย่าง “สายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้ว” เมื่อถูกนำเข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนจากของเหลือทิ้งให้กลายเป็นพลังงานทดแทน ลดภาระขยะปลายทาง และก่อให้เกิดคุณประโยชน์ได้อย่างแท้จริง การจัดการขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้หรือมีมูลค่าต่ำ อาทิ พลาสติกและผ้าสังเคราะห์ ซึ่งถูกนำมาคัดแยก บด อัด และแปรรูปให้กลายเป็นเชื้อเพลิง RDF ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับถ่านหิน ช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบ นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความรู้เรื่องการจัดการขยะอย่างยั่งยืนจาก Recycle Day Thailand ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้งาน “SPC รวมพลังส่งมอบคุณค่าองค์กร EVP” มุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ภายใต้คุณค่าขององค์กร “ความภูมิใจคู่สังคมไทย”

“เราภูมิใจที่พนักงาน SPC ทุกคนได้ร่วมมือกันขับเคลื่อนภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลลัพธ์จริง นอกจากจะช่วยโลกแล้ว กิจกรรมนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการมีส่วนร่วมในองค์กร ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” นางนพวรรณ กล่าว

สำหรับ Recycle Day Thailand เป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะแบบครบวงจร มุ่งมั่นขับเคลื่อนสังคม Zero Waste ผ่านการส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงการรีไซเคิลและการคัดแยกขยะก่อนทิ้งให้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชันสำหรับนัดหมายรถรับขยะรีไซเคิลถึงบ้าน และจุดรับขยะ (Drop Points) 14 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขยะที่ถูกคัดแยกแล้วจะได้รับการจัดการอย่างถูกต้องตามแต่ละประเภท ลดการนำไปฝังกลบ และช่วยบรรเทาปัญหาขยะปลายทางที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
SPC จะมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่การสนับสนุนภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนต่อไป
นางสาวลสา โสภณพนิช (กลาง) ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร Aon Reinsurance Solutions บริษัทนายหน้าประกันภัยประจำสำนักงานในประเทศเวียดนาม และ Sai Gon – Ha Noi Insurance Corporation หรือ BSH บริษัทประกันวินาศภัยชั้นนำในประเทศเวียดนาม ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมการทำงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสินไหมทดแทนยานยนต์ที่บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีระบบ Quick Assignment มาใช้ในการค้นหาเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดเพื่อเดินทางไปให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นตอนการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน อีกทั้งยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยของทั้ง 3 องค์กร ซึ่งนับเป็นเกียรติของบริษัทฯ เป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้ยังได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์กรุงเทพประกันภัยที่รวบรวมโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ชิ้น ณ อาคารกรุงเทพประกันภัย เมื่อเร็วๆ นี้
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้บริการ บัตรอัตโนมัติ (Easy Pass) ของหน่วยงานภาครัฐระหว่าง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับ กทพ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการให้บริการภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการเดินทาง ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานสู่ระบบอัตโนมัติ และสร้างความคล่องตัวในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐ ณ อาคารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาฯ (อาคารซี)

ในการนี้ นายพิทยา ธนวณิชย์กุล รองผู้ว่าการ (ดิจิทัล) และนายเทพฤทธิ์ รัตนปัญญากร ผู้อำนวยการ ฝ่ายดิจิทัล 1 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนางปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวพิยะดา สุดกังวาล ที่ปรึกษาด้านการสื่อสารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ร่วมเป็นพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าวด้วย

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวันสถาปนากระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม “9 Years of DE: Building the Digital Future” โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานกล่าวเปิดงานฯ และมีผู้บริหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ กทพ. เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการบริการภาครัฐ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดย กทพ. จะนำความร่วมมือดังกล่าวมาพัฒนาระบบ Easy Pass ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
GAC เฉลิมฉลองการดำเนินธุรกิจครบรอบ 2 ปีในประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จในการก้าวขึ้นเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมและความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทยอย่างรวดเร็ว ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา GAC ประเทศไทย ได้นำเสนอรถยนต์พลังงานใหม่หลากหลายรุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น GAC AION Y Plus, GAC AION ES, GAC HYPTEC HT, GAC AION V, GAC AION UT และ GAC M8 PHEV และยังได้ลงทุนสร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการผลิต, การพัฒนาบุคลากร, การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการบริการที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมจัดกิจกรรม “2nd DRIVE 2GETHER WITH YOU” ให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองขับรถยนต์พลังงานใหม่จาก GAC
GAC Thailand จัดกิจกรรมทดลองขับ DRIVE 2GETHER WITH YOU
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จตลอด 2 ปี GAC ประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรม “DRIVE 2GETHER WITH YOU” ในวันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2568 ณ โรงแรมโพธาลัย กรุงเทพ (Phothalai Bangkok Hotel) ภายในงาน ท่านจะได้สัมผัสประสบการณ์การทดลองขับรถยนต์พลังงานใหม่จาก GAC อย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมกิจกรรมสนุกๆ และลุ้นรับของรางวัลมากมายตลอดวัน พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ GAC ภายในงาน จะได้รับของขวัญสุดเอ็กซ์คลูซีฟทันที พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นเป็นผู้โชคดีคว้ารางวัลใหญ่ภายในงานอีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผู้จำหน่าย GAC Thailand ใกล้บ้านท่าน เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม DRIVE 2GETHER WITH YOU
ย้อนรอย 2 ปีแห่งความสำเร็จ: การเดินทางของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า GAC ในไทย
GAC ประเทศไทย เริ่มต้นเส้นทางในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2566 โดยได้สร้างความตื่นตัวให้กับตลาด EV ของไทยอย่างต่อเนื่องผ่านการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

GAC AION Y Plus
ประเดิมตลาดด้วย GAC AION Y Plus รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยแนวคิด "Fancy Electric SUV" ชูจุดเด่นด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางที่สุดในคลาส สามารถปรับเปลี่ยนเบาะโดยสารให้กลายเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ได้ พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Magazine Battery ที่ปลอดภัย และระยะทางวิ่งที่ไกลถึง 490 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ความสำเร็จของ GAC AION Y Plus สะท้อนได้จากยอดจองถล่มทลายกว่า 4,500 คันภายในงาน Motor Expo 2023 ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวที่สวยงามและเป็นการประกาศการมาถึงของแบรนด์ GAC ในตลาดประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่

GAC AION ES
ต่อเนื่องความสำเร็จด้วยการส่ง GAC AION ES รถซีดานไฟฟ้า ที่มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรและกลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ ด้วยจุดเด่นด้านความทนทาน, ความคุ้มค่า, ต้นทุนการบำรุงรักษาที่ต่ำ และระยะทางวิ่งที่เพียงพอต่อการใช้งานตลอดวัน ทำให้ GAC AION ES ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและกลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การคมนาคมด้วยพลังงานสะอาดของประเทศไทย

GAC HYPTEC HT
ยกระดับแบรนด์สู่ตลาดพรีเมียมด้วยการเปิดตัว GAC HYPTEC HT ภายใต้แบรนด์ HYPTEC (ไฮป์-เทค) ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าลักชัวรีในเครือ GAC สร้างความฮือฮาด้วยดีไซน์อันโดดเด่นอย่างประตูหลังแบบปีกนก (Gull-wing Doors) พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ, สมรรถนะอันทรงพลัง และความหรูหราสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร การมาถึงของ GAC HYPTEC HT เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีของ GAC และความมุ่งมั่นของ GAC ประเทศไทย ที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าชาวไทย

GAC AION V
GAC สร้างกระแสฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว GAC AION V รถ SUV ไฟฟ้าสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ซึ่งเป็น Global Model ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตลาดโลก ชูจุดเด่นด้านความสะดวกสบายครบครัน อาทิ ตู้เย็นอเนกประสงค์อัจฉริยะ, เบาะคู่หน้ามาพร้อมระบบนวดไฟฟ้า, เบาะหลังปรับเอนได้ 137 องศา, โต๊ะทำงานอเนกประสงค์, พร้อมด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง, พร้อมด้วยระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 602 กิโลเมตร

GAC AION UT
GAC ประเทศไทย ได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัว GAC AION UT รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดของ GAC ที่มุ่งรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับ B-Segment ครั้งแรกในไทย ตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคใหม่ที่มองหารถยนต์เพื่อการใช้งานที่ทนทาน, มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่น และมีระยะทางวิ่งที่ไกลสูงสุดถึง 500 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)

GAC M8 PHEV
และเพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเสนอทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย GAC ประเทศไทย ได้ประกาศเปิดตัว GAC M8 PHEV รถ MPV ระดับลักชัวรีขุมพลัง Plug-in Hybrid รุ่นแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้ากลุ่มผู้บริหารและครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการความหรูหราสะดวกสบายสูงสุด ควบคู่ไปกับความยืดหยุ่นในการเดินทางด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยระยะทางวิ่งรวมสูงสุด 1,032 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTC)

ตอกย้ำความเป็นผู้นำและสร้างสรรค์อนาคต
ในช่วงปีที่ผ่านมา GAC ประเทศไทย ได้บรรลุเป้าหมายและความร่วมมือครั้งสำคัญมากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในคุณภาพและเทคโนโลยีของแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยกระดับบริการเดินทางระดับชาติ จับมือ AOT Limousine: GAC ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ในการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus เพื่อเข้าร่วมให้บริการในระบบ AOT Limousine ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำถึงสมรรถนะ, ความปลอดภัย, และความสะดวกสบายของตัวรถที่ได้รับความไว้วางใจในบริการระดับพรีเมียม แต่ยังเป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์ Green Airport ของท่าอากาศยานไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันให้เกิดการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงประเทศไทย

ผนึกกำลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พัฒนาเครือข่ายสถานีชาร์จ: เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค GAC ประเทศไทย และบริษัทในเครือ GAC Energy ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมกันศึกษาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือนี้จะช่วยเร่งการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อและทดสอบความเข้ากันได้ระหว่างเครื่องชาร์จของ GAC Energy กับแพลตฟอร์ม PEA VOLTA ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งและอำนวยความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ

เดินหน้าขยายเครือข่ายบริการเพื่อความอุ่นใจทั่วประเทศ: ปัจจุบัน GAC ประเทศไทย มีศูนย์บริการและโชว์รูมที่เปิดให้บริการแล้ว กว่า 50 แห่ง ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วประเทศไทย และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมกว่า 80 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2569 เพื่อให้การบริการทั้งด้านการขายและหลังการขายเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพสูงสุด

วางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จในปัจจุบันต่อยอดมาจากรากฐานที่มั่นคงซึ่ง GAC ประเทศไทย ได้วางไว้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมากมาย
การลงทุนโรงงานผลิตในจังหวัดระยอง: GAC ได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศจีน โรงงานแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ แต่ยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน: GAC ประเทศไทย ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับมอบรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus จำนวน 1 คัน เพื่อพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาและบุคลากรในอุตสาหกรรม รองรับการเติบโตของตลาด EV ที่ต้องการแรงงานฝีมือคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

การจัดตั้ง GAC Energy เพื่อสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จ: เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำ GAC ประเทศไทย ได้จัดตั้งบริษัท GAC Energy ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างและบริหารจัดการเครือข่ายสถานีชาร์จเร็ว (Fast-Charging Station) ภายใต้แบรนด์ของ GAC เอง

หัวใจของการบริการ ยึดมั่นในแนวคิด "Customer Centric"
GAC ประเทศไทย เชื่อว่าความสำเร็จที่แท้จริงมาจากการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด "Customer Centric" บริษัทฯ ได้ริเริ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับเจ้าของรถยนต์ GAC AION อาทิ กิจกรรมเฉลิมฉลองการส่งมอบรถ ที่สร้างความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่ได้เป็นเจ้าของ และ กิจกรรมทริปท่องเที่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำและสร้างชุมชนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า GAC ที่แข็งแกร่ง

ในโอกาสครบรอบ 2 ปี GAC ประเทศไทย ขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกท่านสำหรับความไว้วางใจและการสนับสนุนที่ดีเสมอมา บริษัทฯ ขอยืนยันที่จะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการยกระดับบริการหลังการขายที่จะสร้างความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุด เพื่อขับเคลื่อนอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยต่อไป
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยการเข้าร่วมเป็นสถาบันการเงินกลุ่มแรกของ Alliance for Green Commercial Banks (The Alliance) ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกที่ได้รับการริเริ่มโดยบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) สถาบันการเงินในเครือธนาคารโลก โดยนายพรสนอง ตู้จินดา (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนธนาคารในการประกาศเจตนารมณ์ร่วมผลักดันพันธกิจของโครงการ The Alliance ในการเร่งเปลี่ยนผ่านภาคการธนาคารสู่การเงินสีเขียว ในพิธีเปิดโครงการฯ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่งาน Hong Kong Green Week เขตเศรษฐกิจฮ่องกง โดยมีธนาคารพาณิชย์ชั้นนำกว่า 20 แห่งจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้าร่วม
Taiwan Excellence ปิดฉากความสำเร็จอย่างงดงามในงาน Medical Fair Thailand 2025 ที่จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 10–12 กันยายน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) กรุงเทพมหานคร โดยพาวิลเลียน Taiwan Excellence ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน และสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ภายใต้การออกแบบพื้นที่อย่างชาญฉลาด โดยแบ่งเป็น 3 โซนสำคัญ ได้แก่ ระบบคลินิกอัจฉริยะ (Smart Clinics), ห้องผ่าตัดอัจฉริยะ (Smart Operating Rooms) และ หอผู้ป่วยอัจฉริยะ (Smart Wards) สร้างความโดดเด่นจนเป็นไฮไลต์ของงาน จากการนำเสนอพลังนวัตกรรมอัจฉริยะทางการแพทย์เต็มรูปแบบของ 14 บริษัทเจ้าของรางวัลระดับโลก พร้อมผลิตภัณฑ์สมาร์ทเมดิคอลล้ำสมัย สะท้อนบทบาทผู้นำของไต้หวันในการขับเคลื่อนวงการสาธารณสุขโลก ดึงดูดความน่าสนใจและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และผู้นำอุตสาหกรรมจากทั่วโลกนับพันคนที่ได้มาเข้าร่วมชมงาน

ภายในงาน Medical Fair Thailand 2025 ที่ผ่านมา พาวิลเลียน Taiwan Excellence ได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น ผู้เข้าชมต่างชื่นชมเทคโนโลยีล้ำสมัยของไต้หวัน โดยเฉพาะระบบตรวจวินิจฉัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล และการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ

นางสาวมีอา เหลียง ผู้อำนวยการ Taiwan Trade Center, Bangkok กล่าวว่า “จากจำนวนผู้เข้าร่วมงานนับพัน ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีการแพทย์ของไต้หวันตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการสูง ตัวแทนบริษัทต่างๆ ที่เดินทางมานำเสนอผลงาน
ต่างก็เดินทางกลับด้วยความภาคภูมิใจ เพราะความทุ่มเทและนวัตกรรมของพวกเขาได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง”
Taiwan Excellence ตกแต่งพาวิลเลียนภายใต้แนวคิด “From Taiwan with Care” ชูภาพลักษณ์ของไต้หวันในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพระดับโลก องค์กรที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรต่างมองเห็นโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็มองเห็นความร่วมมือที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นประโยชน์และเป็นการยกระดับสาธารณสุขโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน

“เพียงการเข้าร่วมงาน Taiwan Excellence ครั้งแรก เราก็ประทับใจอย่างยิ่ง งานนี้มอบประสบการณ์อันมีค่าให้กับเรา เราได้พบปะพันธมิตรและซัพพลายเออร์เพื่อพูดคุยถึงแนวโน้มในอนาคตของเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ ทั้งด้านนวัตกรรม เครื่องมือแพทย์ และห้องแล็บครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีในการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ร่วมอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ” – เสียงจากผู้แทนของ NUWA Fertility Center
“Taiwan Excellence เป็นเวทีที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเราได้รับความสนใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเสียด้วยซ้ำ แค่ตอนที่เราเปิดเผยว่าจะไปเข้าร่วมงานนี้ ก็มีผู้คนติดต่อสอบถามทางออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง พอมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน ตลอด 3 วัน เราได้นำเสนอระบบนำทางการผ่าตัดและพบปะกับกลุ่มลูกค้าคุณภาพจำนวนมาก เราตื่นเต้นที่จะร่วมขับเคลื่อนวงการการผ่าตัดผ่านกล้องแบบแผลเล็กไปพร้อมกับ Taiwan Excellelnce” – เสียงจากผู้แทนของ EPED Inc.
“การเข้าร่วมงานในฐานะหนึ่งในบริษัทผู้จัดแสดงที่ พาวิลเลียน Taiwan Excellence ถือเป็นความสำเร็จอย่างแท้จริงของพวกเรา งานนี้ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายของเราไปมาก เราภูมิใจที่ได้เปิดตัว Ablatepal เครื่องจี้เนื้อเยื่อด้วยคลื่นวิทยุ และ breathePal เครื่องช่วยหายใจแบบสองระดับในงานนี้ และขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาโอกาสทางธุรกิจที่น่าตื่นเต้น” – เสียงจากผู้แทนของ Compal Electronics, Inc.
พาวิลเลียน Taiwan Excellence สร้างความประทับใจอย่างมากให้กับผู้เข้าชมงาน ด้วยการสาธิตนวัตกรรมการแพทย์ไต้หวันที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบถ่ายภาพด้วย AI ขั้นสูง แพลตฟอร์มการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) อันทันสมัย ไปจนถึงเครื่องมือผ่าตัดแบบแผลเล็กและระบบสนับสนุนโรงพยาบาล ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ ระบบตรวจจับความผิดปกติของเต้านมแบบเรียลไทม์ของ AmCad BioMed พร้อมการประเมินความเสี่ยงอัตโนมัติที่สะท้อนความแม่นยำในการวินิจฉัย, กล้อง 4K AI ของ AVer Information ที่ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยจากระยะไกลตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเรื่องง่ายและราบรื่น, คลิปโพลิเมอร์ Inno-Hook™ ของ Taiwan Surgical และระบบยึดกระดูกสันหลัง Tripod-Fix ของ Wiltrom ซึ่งสะท้อนการผ่าตัดที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเทคโนโลยีการรักษาและสนับสนุนโรงพยาบาลอื่นๆ อีก เช่น ระบบ AblatePal และ BreathePal ของ Compal Electronics, สายระบายของ BIOTEQUE, ระบบนำทาง RETINA ของ EPED, และอุปกรณ์ฆ่าเชื้อ Prime Autoclave ของ Sturdy ทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนถึงการยกระดับความแม่นยำในการรักษา เพิ่มประสิทธิภาพทางคลินิก และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแบบครบวงจร

จากความสำเร็จในงาน Medical Fair Thailand 2025 ทำให้ Taiwan Excellence ขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมในวงการสาธารณสุขระดับสากล อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งแกร่งและความร่วมมือที่มีคุณค่า ความสำเร็จนี้ชี้ให้เห็นอนาคตของการดูแลสุขภาพที่มุ่งสู่นวัตกรรมการบูรณาการและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยเน้นประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญ
Taiwan Excellence จะยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการแพทย์ที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างอนาคตทางสาธารณสุขที่มีคุณภาพสำหรับทุกคน พร้อมส่งมอบการดูแลที่ตอบโจทย์ ทันสมัย เข้าถึงง่าย และเต็มเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ตามเจตนารมณ์ “From Taiwan, with Care”
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เดินหน้ายกระดับกระบวนการตรวจสอบธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เปิดตัวโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการตรวจสอบบริษัทประกันภัย (Onsite Examination System : OES) ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญภายใต้นโยบาย Digital Transformation ขององค์กรในการพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบแบบครบวงจร รองรับในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงของบริษัทเชิงลึกอย่างเป็นระบบสำหรับการวางแผนการตรวจสอบ การประเมินระดับความเสี่ยงรวม และการติดตามรายงานผลการแก้ไข รวมทั้งการใช้มาตรการแทรกแซงต่าง ๆ ทำให้การตรวจสอบและกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยมีความยืดหยุ่นภายใต้การตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ ที่สามารถสะท้อนตามความเสี่ยง ขนาด และความซับซ้อนของการดำเนินงานของบริษัท

นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบเปิดเผยว่า ระบบตรวจสอบบริษัทประกันภัยในรูปแบบดิจิทัล หรือ OES ดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ได้มอบหมายให้สายตรวจสอบ โดยนายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ พัฒนาขึ้น โดย OES จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การปฏิบัติงานตรวจสอบในมิติของการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยง รวมการประเมินประสิทธิภาพและความเพียงพอของการควบคุมภายใน การติดตามผลการรายงานการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย รวมถึงการวางแผนการตรวจสอบมีความรวดเร็ว แม่นยำ และทันต่อสถานการณ์มากขึ้น โดยระบบ OES ได้ถูกออกแบบให้รองรับการทำงานแบบบูรณาการผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลในลักษณะศูนย์กลาง (Centralized Data Platform) ทั้งระหว่างหน่วยงานภายในสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยที่สามารถเข้าถึงร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อันเป็นการช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูล

นอกจากนี้ ยังสามารถรองรับการปฏิบัติงานตรวจสอบ การจัดทำแบบประเมินความเสี่ยงและประเมินประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน รวมถึงการประเมินการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับบริษัทประกันภัยในทุกกระบวนการ โดยบริษัทประกันภัยสามารถทำแบบประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงสนับสนุนและรองรับการวางแผนการตรวจสอบของสำนักงาน คปภ. โดยข้อมูลที่ได้รับจากการจัดทำแบบประเมินและจากการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบต่างๆ จะถูกนำมาวิเคราะห์ความเสี่ยงและกำหนดแผนการตรวจสอบได้อย่างตรงจุดและรวดเร็วขึ้น รองรับการสั่งการ การกำหนดมาตรการแทรกแซง รวมถึงติดตามประเด็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไขและติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาจากผลตรวจสอบได้แบบ Realtime นอกจากนี้ ยังพัฒนาให้มีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยอ่านรายงาน วิเคราะห์แบบฟอร์มติดตาม Top 10 Risks ของแต่ละบริษัท วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจและรายงานผลการตรวจสอบ เพื่อตรวจจับประเด็นและสัญญาณความเสี่ยงต่าง ๆ ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นหรือปัญหาลุกลามบานปลาย

รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ OES เป็นการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล และยกระดับคุณภาพการกำกับธุรกิจประกันภัยไปอีกก้าว โดยใช้เครื่องมือการตรวจสอบยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบตามแนวทาง Risk - Based Supervision ที่สามารถรองรับกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบ ทั้งในส่วนบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ซึ่งระบบดังกล่าวจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2569 ขณะเดียวกันภาคธุรกิจประกันภัยต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต เช่น การบริหารจัดการข้อมูล ( Data Management) ให้สามารถเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม OES และเข้าถึงการใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงพัฒนาและเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เพื่อรองรับกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบในรูปแบบดิจิทัลร่วมกับสำนักงาน คปภ. โดยสำนักงาน คปภ. เชื่อมั่นว่า ระบบดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากแต่ยังมีการติดตามสถานการณ์และมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สามารถป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ ช่วยเสริมสร้างและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพของการตรวจสอบในทุกมิติ ให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพในระดับสากล
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) พร้อมการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เปิดตัว “โครงการฝึกอบรมหลักสูตรเชฟอาหารไทยมืออาชีพ (Master Thai Chef Program) หลักสูตรอาหารเจ (Vegetarian Food)” มุ่งใช้ “อาหารไทย” เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเสริมศักยภาพบุคลากรด้านอาหารไทยในระดับสากล

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศ ยกระดับศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ระดับสากล โดยขับเคลื่อนผ่านนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” 4 ให้ 1 ปฏิรูป ให้ทักษะใหม่ให้เครื่องมือทันสมัย ให้โอกาสโตไกล ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน และปฏิรูปดีพร้อมสู่องค์กรที่ทันสมัย โดยร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) พร้อมการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ดำเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตรเชฟอาหารไทยมืออาชีพ (Master Thai Chef Program) หลักสูตรอาหารเจ (Vegetarian Food) ด้วยการ “สร้างสรรค์และต่อยอด” ให้เกิดเสน่ห์ คุณค่า และเพิ่มมูลค่า “โน้มน้าว” ให้เกิดการยอมรับ เปิดใจ และต้องการ “เผยแพร่” ให้เป็นที่รู้จัก

นางสาวจุฑารัตน์ อาชวรัตน์ถาวร ผู้อำนวยการกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในเทศกาลกินเจของทุกปีนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการซื้อวัตถุดิบอาหารเจ อาหารพร้อมทาน และการใช้บริการร้านอาหาร ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น เกษตรกรผู้ปลูกวัตถุดิบ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีรายได้เพิ่มขึ้น และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ต่างๆ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) จึงมีแนวคิดการดำเนินโครงการ Master Thai Chef Program หลักสูตรอาหารเจ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเชฟมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างทุนมนุษย์ผ่านการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ให้กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถนำเอาศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น มาต่อยอดเมนูอาหารเจ นับเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน และยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในเวทีโลก โดยผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมกว่า 242 ชั่วโมง ถ่ายทอดความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยและอาหารเจ พร้อมระบบการวัดและประเมินผลตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์จะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) หรือ ใบรับรองผู้สัมผัสอาหารจากกรมอนามัย ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญในการประกอบอาชีพในธุรกิจอาหาร โรงแรม และบริการด้านอาหารระดับนานาชาติ

ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะผู้ร่วมดำเนินการพัฒนาหลักสูตรนี้ เล็งเห็นความสำคัญในการนำเมนูอาหารไทย และวัตถุดิบในท้องถิ่นมาใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยการนำเสน่ห์และภูมิปัญญาอาหารต้นตำรับ มาผสมผสานกับแนวคิดอาหารสุขภาพและอาหารทางเลือก ควบคู่กับการสร้างเครือข่ายเชฟรุ่นใหม่ที่สามารถต่อยอดอาหารไทยในมิติสุขภาพให้สามารถเติบโตในตลาดระดับสากล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรเชฟมืออาชีพในหลักสูตรอาหารเจ จำนวน 500 คน ครอบคลุมพื้นที่ ภูเก็ต นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี นนทบุรี และปทุมธานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง โดยจะเปิดอบรมทั้งหมด 5 รุ่น ระหว่างเดือน กันยายน 2568 – มกราคม 2569 โดยเริ่มการอบรมรุ่นแรกในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://rmutt.ac.th หรือทาง https://ofos.thacca.go.th/course/SpecialCourse
