December 22, 2024

กรุงเทพประกันชีวิต สร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าในการซื้อประกันออนไลน์ ขยายขอบเขตความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ISO/IEC 27001:2013) ด้านระบบขายประกันออนไลน์ (Smart Insured)  ตอกย้ำความสำคัญอย่างยิ่งกับความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27001:2013 มาแล้วเป็นระยะเวลา 9 ปี

นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การทำประกันออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว  กรุงเทพประกันชีวิตจึงได้พัฒนารูปแบบการให้บริการด้วยความใส่ใจผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย  และยังเพิ่มความอุ่นใจให้กับลูกค้าในด้านความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านการรับรองมาตรฐานสากลมาอย่างต่อเนื่อง  โดยในปีนี้ได้ขยายขอบเขตความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ISO/IEC 27001:2013) ด้านระบบขายประกันออนไลน์ (Smart Insured) เพื่อให้ครอบคลุมระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลสำหรับระบบขายประกันออนไลน์ซึ่งครอบคลุมการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางกายภาพ และการจัดการความมั่นคงปลอดภัยเครือข่าย

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรุงเทพประกันชีวิตได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27001:2013 มาแล้วเป็นระยะเวลา 9 ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558) โดยมีขอบเขตความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครอบคลุม ศูนย์การจัดเก็บข้อมูล (Data Center) ศูนย์สำรองข้อมูล (DR Site) ด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Software Development Life Cycle) และด้านการปฏิบัติงานการประกันชีวิต (Life Operation) ที่สำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ” นายโชนกล่าว   

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27701:2019 มาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Information Management System: PIMS), ISO/IEC 22301:2012 มาตรฐานการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System: BCMS) และ ISO 9001:2015 มาตรฐานการจัดการคุณภาพเพื่อการบริการลูกค้า (Quality Management System: QMS) ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทฯ ถึงความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ รวมถึงการบริการที่ได้คุณภาพที่มอบให้แก่ลูกค้า บริษัทมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพการให้บริการตามมาตรฐานสากลที่ได้รับการรับรอง และพร้อมที่จะเพิ่มคุณภาพการให้บริการ และความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นเลิศต่อไป

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือกับบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ชั้นนำในประเทศไทย ในโครงการผลิตภัณฑ์เงินฝากสีเขียวของยูโอบี ความร่วมมือครั้งนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาวของบริษัทฯ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์เงินฝากสีเขียวของยูโอบี ได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนสอดคล้องกับทางธนาคาร เรามีความยินดีที่ได้ต้อนรับบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ เป็นพันธมิตรในโครงการนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมมือกันในเส้นทางเพื่อการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น”

ในการเข้าร่วมโครงการผลิตภัณฑ์เงินฝากสีเขียวนี้ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ได้ฝากเงินจำนวนมากกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ซึ่งจะถูกจัดสรรไปยังโครงการที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามกรอบการให้บริการทางการเงินอย่างยั่งยืนของธนาคาร เงินทุนเหล่านี้จะสนับสนุนโครงการยั่งยืนต่างๆ ได้แก่ พลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การก่อสร้างอาคารเขียว และโครงการอื่นๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs)

นายอภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในโครงการผลิตภัณฑ์เงินฝากสีเขียวนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ ความร่วมมือนี้ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าสินทรัพย์ทางการเงินของเราจะถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดูแลโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมเบเกอรี่ บริษัทฯ มุ่งมั่นยกระดับโภชนาการและคุณภาพชีวิตของคนไทย ตลอดจนดำเนินงานให้มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกับยูโอบีนี้จึงสะท้อนถึงกลยุทธ์ ESG ที่ครอบคลุมของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดขยะ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน และการพัฒนาพนักงานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รวมรายละเอียดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ผลิตภัณฑ์เงินฝากของบริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนผ่านโครงการการให้บริการทางการเงินอย่างยั่งยืนของยูโอบีไว้ในรายงานประจำปี

คุณวีระอนงค์กล่าวเสริมว่า “ข้อมูลนี้ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับบริษัทฯ ในการนำไปรวมในรายงานความยั่งยืน และยกระดับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในเรื่องความโปร่งใสและการรับผิดชอบในความพยายามด้าน ESG พร้อมรับผลตอบแทนที่มั่นคง”

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการพาณิชย์ และนายอิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาองค์กร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมงานประกาศผลคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่จับมือกับมิชลิน (MICHELIN Guide) เพื่อมอบเอกสิทธิ์เฉพาะกับลูกค้า PRULegacy และ PRULegacy Plus ได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษระดับดาวมิชลิน (MICHELIN Stars) ด้วยคุณภาพและความสร้างสรรค์ในการรังสรรค์วัตถุดิบ

ภายในงานยังได้มอบรางวัลดาวมิชลินและรางวัลพิเศษประจำปี 2568 และเปิดตัวคู่มือฉบับปีล่าสุดนี้ที่ได้บรรจุรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรรวมทั้งสิ้น 462 แห่ง ประกอบด้วย รางวัล สามดาวมิชลิน จำนวน 1 ร้าน รางวัลสองดาวมิชลิน จำนวน 7 ร้าน รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน จำนวน 28 ร้าน รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 156 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 270 ร้าน โดยในจำนวนร้านใหม่ที่ติดอันดับครั้งแรกในคู่มือฉบับล่าสุดเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีซึ่งมิชลิน ไกด์ ได้ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก รวมทั้งสิ้นอีก 20 ร้าน โดยมีบุคลากรในแวดวงอาหารของไทยพร้อมด้วยพันธมิตรและตัวแทนของมิชลินร่วมฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมกับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พลู จัดกิจกรรมส่งท้ายปี 2024 กับครั้งแรกของ KTAXA x LFC Football Clinic ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุระหว่าง 10-12 ปี เข้าร่วมฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลกับโค้ชแนวหน้าจาก สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พลู อีกทั้งทางบริษัทฯ ได้เปิดตัว โครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ปีที่ 5 ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาและยกระดับนักเตะเยาวชนไปสู่มาตราฐานสากล

คุณบุปผาวดี โอวารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นในการส่งเสริมทักษะกีฬาฟุตบอลให้แก่เยาวชนไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่า ทุกคนทำได้ หรือ “Know You Can” และในวันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเปิดตัวโครงการใหม่ KTAXA x LFC Football Clinic ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่เราได้เปิดโอกาสให้แก่เยาวชนอายุ 10-12 ปี เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะกีฬาฟุตบอล จากทีมโค้ชที่ส่งตรงมาจากประเทศอังกฤษ รวมถึงทีมโค้ชจาก Liverpool FC International Academy Thailand ซึ่งในครั้งนี้มีเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 64 คน ณ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี โดยกิจกรรมดังกล่าวเยาวชนได้เรียนรู้ทักษะการแตะฟุตบอลตามแบบของนักเตะชื่อดังของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พลู หรือ Liverpool Way อาทิ การเลี้ยงลูกบอล การส่งลูกบอล และการยิงประตู เป็นต้น 

นอกจากนี้ ทางกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต  ในฐานะพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรลิเวอร์พลู ได้จัดโครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy ปีที่ 5 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีเยาวชนทั้งชายและหญิงเข้าร่วมโครงการแล้ว กว่า 8,100 คน จาก 4 ภาค ทั่วประเทศ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนสำคัญในการเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพ พัฒนาตนเองในหลายมิติ อาทิ ด้านสุขภาพ ทักษะการเป็นผู้นำ ทักษะการอยู่ร่วมกัน และความมั่นใจในตัวเอง โดยบริษัทฯ เล็งเห็นว่า ประตูแห่งโอกาส คือการปูเส้นทางสู่ความสำเร็จ ของเยาวชนที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน”  คุณบุปผาวดี กล่าวปิดท้าย

โครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ปีที่ 5 จะเปิดรับสมัครเยาวชนไทยในเดือนธันวาคม 2567 โดยเยาวชนชาย และหญิงที่มีอายุระหว่าง 13-15 ปี จะได้เข้าฝึกอบรมทักษะฟุตบอลจากโค้ชระดับ A License ซึ่งการเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 2 ประเภท ได้แก่ 1. แสดงความสามารถ และทักษะด้านฟุตบอลที่สนามฟุตบอล 2. ส่งคลิปแสดงความสามารถทักษะด้านฟุตบอล ซึ่งรางวัลสุดพิเศษสำหรับเยาวชนที่ได้รับคัดเลือก 10 คน จากทั่วประเทศ จะได้รับทุนศึกษา มูลค่า 20,000 บาท/ คน  โดยจุดมุ่งหมายของโครงการ คือการเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับทักษะนักฟุตบอลเยาวชนของไทยทั้งชายและหญิงสู่มาตรฐานระดับโลก และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย อีกทั้งยังสอดคล้องกับการเป็นพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และร่วมสร้างพลังกายพลังใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าทุกคนทำได้ “Know You Can”  บริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุน อยู่เคียงข้างความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย และมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะฟุตบอล เพื่อให้สามารถก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จ

 

ทั้งนี้โครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy ปีที่ 5 จะเปิดรับสมัครในเดือนธันวาคม 2567 สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว หรือกิจกรรมอื่นๆ ของบริษัทฯ สามารถติดตาม ได้ที่ https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers หรือ www.krungthai-axa.co.th หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

การเคหะแห่งชาติร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ หรือ สปสช. ประชุมวางแผนและขับเคลื่อนโครงการ “ตู้ห่วงใย” ตั้งในชุมชนนำร่อง 2 พื้นที่ในโครงการของการเคหะแห่งชาติ

วิถีความงามของคนไทยกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดธุรกิจความงามออนไลน์หลังวิกฤตโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจอาหารเสริมจะเติบโตโดยเฉลี่ย 8.4% และสกินแคร์ 5% ในปีนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่มองแค่ความสวยภายนอก มาสู่แนวคิด 'ความงามองค์รวม' ที่ให้ความสำคัญทั้งความงามจากภายในสู่ภายนอก ควบคู่ไปกับความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์

LINE for Business ตอกย้ำถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับกลุ่มธุรกิจความงาม จึงจัดงานสัมมนา “LINE ESSENTIAL: Inside Out Beauty Marketing” นำโดย กีรติ อนุรักษ์ภราดร หัวหน้าทีมที่ปรึกษาธุรกิจสุขภาพ เปรียว คเนจร ณ อยุธยา หัวหน้าทีมที่ปรึกษาธุรกิจ Personal Care และไลฟ์สไตล์ ฐิติชญา โสธนะเสถียร ที่ปรึกษาธุรกิจสุขภาพและอาหารเสริม และเมธาวี มาพิทักษ์ ที่ปรึกษาธุรกิจ Personal Care และไลฟ์สไตล์ จาก LINE ประเทศไทย มาร่วมแบ่งปันอินไซต์เชิงลึกของธุรกิจอาหารเสริมและสกินแคร์บนโลกออนไลน์ ที่มีฐานการใช้งานแพลตฟอร์ม LINE เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยจำนวน LINE OA ของสองกลุ่มธุรกิจนี้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเม็ดเงินการลงทุนบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสินค้าสกินแคร์ ที่คาดการณ์เติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 18% พร้อมแนะ 4 กลยุทธ์การใช้โซลูชันต่างๆ บนแพลตฟอร์ม LINE เพื่อสร้างการเติบโตให้กับสองกลุ่มธุรกิจนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงและสร้างความผูกพันธ์กับผู้บริโภคในทุกขั้นตอนของ Customer Journey ได้ ต่อยอดสู่การเป็นแบรนด์ Top of Mind ในใจลูกค้า

ใช้โฆษณาบน LINE สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นการใส่ใจสุขภาพ

ธรรมชาติของผู้บริโภคมักเริ่มสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านความงามเมื่อพบความผิดปกติของร่างกาย อย่างไรก็ตาม แบรนด์สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้ โดยใช้พรีเซนเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงในการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ เพื่อให้แบรนด์เป็นตัวเลือกแรกๆ ในใจผู้บริโภค จากข้อมูลเชิงลึกของ LINE พบว่า การนำเสนอคอนเทนต์ผ่าน LINE OA ที่มีการแสดงตัวเลขยอดขาย ผลการวิจัย หรือการตั้งคำถามที่น่าสนใจ มักได้รับความสนใจจากผู้ติดตามสูง ส่งผลให้อัตราการเปิดข้อความและอัตราการคลิก (CTR) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การผสานเทคโนโลยีเข้ากับ LINE OA ยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การใช้เทคโนโลยี Face Scan วิเคราะห์สภาพผิว ควบคู่กับการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สกินแคร์ ช่วยให้แบรนด์เก็บข้อมูลเชิงลึกและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

LINE Ads เป็นอีกหนึ่งโซลูชันที่ทรงประสิทธิภาพในการสร้างการรับรู้ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมทุกช่วงอายุตั้งแต่เยาวชนจนถึงผู้สูงวัย และมีหลากหลายตำแหน่งโฆษณาบน LINE ให้แบรนด์เลือกสรรได้ อาทิ โฆษณาตำแหน่งพรีเมี่ยมอย่าง Smart Channel ด้านบนของหน้ารายการแชต ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ถึง 34 ล้านคนต่อวัน เป็นต้น พร้อมตัวเลือกการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตามอายุ เพศ หรือหลักประชากรศาสตร์ทั่วไป ตามความสนใจ แนวโน้มการซื้อ และล่าสุด แบรนด์ยังสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายจากพฤติกรรมของผู้ติดตาม LINE OA ต่างๆ ได้ เพื่อสื่อสารด้วยโฆษณา สร้างแรงบันดาลใจไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม แม่นยำ

ให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด ยกระดับการสื่อสารพิชิตใจลูกค้า

เมื่อผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาหรือความต้องการด้านสุขภาพที่อาจต้องเผชิญ จะเริ่มหาข้อมูลเพื่อหาทางออกของปัญหาเหล่านั้น โดยทั่วไปลูกค้าจะหาข้อมูลผ่านช่องทางหลักของแบรนด์ เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งการนำเสนอข้อมูลผ่านช่องทางดังกล่าวมักเป็นในรูปแบบทางการและเป็นการสื่อสารทางเดียว ในขณะที่ LINE OA ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านอีกหลังของแบรนด์ สามารถเติมเต็มบริบทดังกล่าว ช่วยทำให้การให้ข้อมูลและการให้บริการกับลูกค้าเป็นไปในรูปแบบการสื่อสารแบบสองทาง แบรนด์สามารถโต้ตอบด้วยข้อความที่เป็นมิตร สร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าได้ อีกทั้ง ยังสามารถเป็นช่องทางกลางในการเชื่อมต่อลูกค้าไปยังเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ ของแบรนด์ได้ตามต้องการ

โดย LINE OA มีหลากหลายฟีเจอร์น่าสนใจ ที่แบรนด์สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความประทับใจ ยกระดับการสื่อสารของแบรนด์เพื่อพิชิตใจลูกค้าด้วยการทำ Personalization อาทิ Rich Menu เมนูลัดในห้องแชต ที่แบรนด์สามารถใส่ข้อมูลเบื้องต้นและออกแบบหน้าตาให้ดึงดูด น่าสนใจ สามารถกำหนดให้ลิงก์ไปยังปลายทางที่ต้องการได้ อีกทั้ง แบรนด์ยังสามารถเชื่อมต่อ LINE API เพื่อออกแบบ Rich Menu ให้แสดงผลต่อลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคลแตกต่างกัน จากอินไซต์ของ LINE พบว่า อัตราการคลิก Rich Menu ในกลุ่มธุรกิจอาหารเสริมเพิ่มขึ้น 4 เท่า และในกลุ่มสกินแคร์เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ การติด Chat Tag ในห้องสนทนา ช่วยให้แบรนด์สามารถระบุและแบ่งกลุ่มลูกค้าจากการพูดคุยได้ เพื่อออกแบบการสื่อสารโต้ตอบกลับ หรือแม้กระทั่งนำเสนอข้อมูลกลับให้ลูกค้าแต่ละคนได้รวดเร็ว ตรงใจ รวมไปถึงการใช้ฟีเจอร์ Step-Message ช่วยให้แบรนด์สามารถตั้งค่าการส่งข้อความล่วงหน้าให้ลูกค้าแบบอัตโนมัติตามสเต็ปขั้นตอนการซื้อที่ลูกค้าแต่ละคนอยู่ได้ การยกระดับการสื่อสารให้ตรงใจด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ในปี 2023 มีจำนวนข้อความที่ผู้ใช้ทักเข้ามาใน LINE OA ของสองกลุ่มธุรกิจนี้เพื่อสอบถามข้อมูลทั้งสิ้นมากกว่า 7,000 ล้านข้อความ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง 11.8 เท่า

แชตและช้อปได้ทันใจ ปิดการขายง่าย ครบจบได้บน LINE OA

เมื่อลูกค้าได้รู้จักสินค้า ได้ข้อมูลครบถ้วนตรงความต้องการ การสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ สร้างความต่อเนื่องให้แชตและช้อปครบจบบน LINE OA ได้จึงถือเป็นสิ่งสำคัญตามมา เทคนิคหลักที่แบรนด์ในกลุ่มธุรกิจความงามนิยมใช้มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เครื่องมือ MyShop มาช่วยเสริมในการสร้างระบบจัดการออเดอร์สินค้า และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเลือกช่องทางการชำระเงินได้หลากหลายตามความต้องการ เป็นการทำ Chat Commerce บน LINE OA อย่างเต็มรูปแบบ หรือการเชื่อมต่อไปยังอีมาร์เก็ตเพลสต่างๆ เพื่อปิดการขาย ซึ่ง LINE เปิดให้เชื่อมต่อไปยังช่องทางและแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างอิสระ อีกทั้งหากแบรนด์มีฐานข้อมูลหรือระบบการขายของตนอยู่แล้ว สามารถนำระบบดังกล่าวมาเชื่อมต่อกับ LINE OA ผ่าน LINE API ได้เช่นกัน เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถปิดการขายผ่าน LINE OA ได้ครบครัน อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าแชตและช้อปได้รวดเร็ว ทันใจ

สร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่องด้วยเครื่องมือหลากหลายบน LINE

การหาลูกค้าว่ายากแล้ว การรักษาลูกค้าประจำนั้นยากกว่า หลายแบรนด์สกินแคร์และอาหารเสริม ได้เชื่อมต่อระบบสมาชิกกับ LINE OA เพื่อสร้างความง่ายให้กับลูกค้าในการเข้าเป็นสมาชิกด้วยกลวิธีและเทคนิคที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ระบบสมาชิกและสะสมแต้มจาก LINE อย่าง MyCustomer | CRM ที่แบรนด์มักนิยมสร้างปุ่มใน Rich Menu ไว้ เพื่อเป็นทางเข้าให้ลูกค้าสามารถกดสมัครและเช็คสิทธิประโยชน์ผ่าน LINE OA ได้อย่างง่าย แบรนด์สามารถจัดการระบบสมาชิกและบริหารการแจกพอยท์ คะแนนสะสมหรือของรางวัลต่างๆ ให้ลูกค้าในแต่ละระดับได้อย่างครบครัน การใช้ MyCustomer | Enterprise อีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าในเชิงลึกและปริมาณมาก เพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อยอดสู่การแบ่งกลุ่ม สำหรับการสื่อสารและนำเสนอ ให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ไปจนถึงการนำ LINE Messaging API อย่าง LINE Login มาใช้ในขั้นตอนที่ลูกค้าลงทะเบียน ช่วยให้แบรนด์สามารถระบุตัวตนลูกค้าในระบบ LINE ได้ เพื่อทำการส่งหรือนำเสนอของรางวัล อาทิ สินค้าตัวอย่าง LINE Point แต้มสะสมจากอีมาร์เก็ตเพลสต่างๆ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ให้แต่ละบุคคลแตกต่างกันไปเป็นการตอบแทน เป็นต้น

โซลูชันอันหลากหลายจาก LINE พร้อมช่วยให้ธุรกิจสกินแคร์และอาหารเสริม เติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน พร้อมเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายและพาแบรนด์เข้าไปนั่งอยู่ในใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี  สำหรับธุรกิจสกินแคร์และอาหารเสริมที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มหรือโซลูชันต่างๆ บน LINE สามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อติดต่อสอบถามทีมที่ปรึกษาธุรกิจองค์กร LINE ประเทศไทยได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/contact หรือติดต่อสอบถามเอเจนซี่ที่ดูแลแบรนด์ของท่านได้ทันที หรือเลือกติดต่อพันธมิตรเอเจนซี่ของ LINE ได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/partner

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย จัดเต็มโปรแรงส่งท้ายปีพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 พร้อมขนทัพผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าโดยมี คุณไชยพร จันทรเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจประกันภัยรถยนต์ คุณสุชัญญา กีรติยุติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายประกันภัยรถยนต์ และคุณณัฐพล อังควานิช ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด  บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  ร่วมเปิดบูธในงาน

โดยภายในงาน “ทิพยประกันภัย” ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยรถยนต์ รวมถึงโปรโมชันสุดพิเศษมากมาย อาทิ TIP Smart Premium ประกันภัยชั้น 1 เบี้ยซ่อมอู่…ดูแลด้วยอะไหล่แท้, TIP Lady ประกันภัยที่เข้าใจผู้หญิง , TIP Rainbow ประกันภัยที่เข้าใจความหลากหลาย, TIP อัพทูไมล์ ประกันภัยสำหรับคนใช้รถน้อย เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ความคุ้มครองแบบครบวงจร นอกจากนี้ภายในบูธยังมีบริการด้านประกันภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้านข้อมูลผลิตภัณฑ์ การคำนวณเบี้ยประกันภัย การต่ออายุกรมธรรม์ รวมถึงกิจกรรมเกมให้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรับของรางวัลมากมายในครั้งนี้ด้วย

“TIP MOTOR BEST OFFER ประกันรถสุดล้ำ” มอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษที่เหนือกว่าใคร อาทิ

  • ส่วนลดเบี้ยประกันภัย สูงสุด 15% สำหรับลูกค้าใหม่
  • รับของสมนาคุณ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท
  • สิทธิ์ลุ้นชิงรถยนต์ New Mazda CX-3 รุ่น Base Plus มูลค่า 830,000 บาท

พร้อมรับสิทธิ์ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน และพิเศษ! สำหรับลูกค้าต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภายในงาน รับบัตร Lotus’s มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท

ขอเชิญผู้ที่สนใจ รับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่บูธทิพยประกันภัย (X03 , X04) ในงาน Thailand International Motor Expo 2024 ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. – 10 ธ.ค. 67

ส่งเสริมนักศึกษาพัฒนาฟีเจอร์การเกษตรอัจฉริยะ ชิงรางวัลรวมกว่า 35,000 บาท

X

Right Click

No right click