December 05, 2025

เดินหน้าขยายพื้นที่ THAIFEX ANUGA ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รองรับผู้ร่วมงานที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก

KBTG ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจัดการเงิน MAKE by KBank พบเทรนด์การเงินของคนไทยกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นเพียงการออมเงิน โดยปัจจุบันผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการ “แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงการมีวินัยทางการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำการพัฒนา Cloud Pocket ให้มีประสิทธิภาพ หนุนความนิยมต่อเนื่อง

นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับวางแผนบริหารเงินอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธี แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจาก “การออมเงินอย่างเดียว” ไปสู่ “การวางแผนใช้จ่ายอย่างมีระบบ” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวินัยทางการเงินที่ยั่งยืน

จากข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank พบว่าประเภท Cloud Pocket หรือ “กระเป๋าย่อย” ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ ได้แก่ “เงินใช้รายวัน/สัปดาห์/เดือน” “เงินค่าการเดินทาง” “เงินเพื่อจ่ายหนี้” และ “ค่าเบี้ยประกัน” แทนที่ประเภท “เงินเก็บ” ซึ่งเคยเป็น Cloud Pocket ประเภทยอดนิยมในปี 2567 โดย 6 ใน 10 ของ Cloud Pocket ที่ถูกสร้างขึ้นจะเกี่ยวกับ “รายจ่าย” เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ และค่าไฟ ส่วน Cloud Pocket ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ หมวดค่าที่อยู่อาศัย ที่มีการสร้างเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า และหมวดเกี่ยวกับกิจกรรมวิ่ง เช่น “รองเท้า” หรือ “มาราธอน” ที่โตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งการแบ่งเงินก่อนใช้ด้วย Cloud Pocket ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมรายจ่ายได้ดีขึ้น แต่ยังมีผลต่อการออมโดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้างกระเป๋าเงินแยกได้ไม่จำกัดตามเป้าหมายได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะแบ่งเก็บออม หรือแบ่งใช้ตามค่าใช้จ่ายที่มี จากสถิติสะท้อนว่า ผู้ที่ใช้ Cloud Pocket สามารถเก็บเงินได้มากกว่าผู้ที่ไม่มี Cloud Pocket ถึง 40% โดยกลุ่ม Gen Z นิยมแบ่งเงินแบบรายสัปดาห์ ขณะที่ Gen Y เลือกจัดการแบบรายเดือน

ทั้งนี้ ในปี 2568 แอปพลิเคชัน MAKE by KBank ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการการเงินด้วยการเปิดตัว Cloud Pocket ใหม่ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. Cloud Savingหรือ Cloud ออมต่อเนื่อง ที่ออกแบบมาในรูปแบบปฏิทินออมเงิน สามารถกำหนดรูปแบบการออมได้แบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสร้างวินัยการออมหรือวางแผนออมเงินสำรองฉุกเฉิน 2. “Cloud Wishlistหรือ Cloud เก็บเงินตามความฝัน ที่จะทำให้ทุกเป้าหมายใหญ่เป็นจริงได้ง่ายขึ้น ด้วยการตั้งระยะเวลาของเป้าหมายและเฉลี่ยจำนวนเงินที่ต้องเก็บแบบรายเดือน เหมาะสำหรับการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายที่มีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ท่องเที่ยว ซื้อของ หรือการเตรียมเงินเพื่อจ่าย 3. “Cloud Credit Cardหรือ Cloud เตรียมจ่ายบัตรเครดิต สำหรับแจ้งเตือนให้เตรียมเงินชำระบิลบัตรเครดิตอย่างเป็นระบบ สามารถเพิ่มรายการใช้บัตร และย้ายเงินเข้าตามรายการใช้บัตรพร้อมกันได้หลายรายการ ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถอัพเกรด Cloud Pocket เดิมมาใช้รูปแบบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือสร้างซ้ำ เพียงเข้าไปที่ Cloud Pocket ที่ต้องการ เลือกสัญลักษณ์สามจุดมุมขวาบน จากนั้นเลือก ตั้งค่า Cloud Pocket เพื่อเปลี่ยนประเภท

นายเชษฐพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแบ่งเงินอย่างมีระบบเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริง MAKE by KBank จึงมุ่งมั่นพัฒนาฟีเจอร์และประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการขยายพันธมิตรด้านการทำธุรกรรมทั้งการเติมเงิน-จ่ายบิล ครอบคลุมทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเทอร์เน็ต และจ่ายชำระเงินบัตรเครดิต เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้การจัดการเงินในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายและสนุก สามารถวางแผน จัดการรายรับรายจ่าย และบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในแอปเดียว

ผู้ที่สนใจต้องการเริ่มวางแผนบริหารจัดการการเงินผ่านแอป MAKE by KBank สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทาง App Store และ Google Play คลิก https://makebykbank.onelink.me/v9lf/MAKE2025 หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ที่  https://makebykbank.kbtg.tech/

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย

ธนาคารออมสินตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น “แหล่งทุนต่อยอด” เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท
รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ล่าสุด เตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย

ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน อว.แฟร์ 2025: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้แนวคิด Creators of Tomorrow: คิดสร้างสรรค์ Kids สร้างอนาคต ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดล้ำด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งตลอด 9 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 720,000 ราย แบ่งเป็น On-site กว่า 222,000 ราย และ Online กว่า 498,000 ราย สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวว่า การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ถือเป็นความท้าทายสำคัญของกระทรวง อว. ในการดำเนินการจัดมหกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลาง เพื่อมอบองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเปิดโอกาสและจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำวิทยaศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน

ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “อว.แฟร์ ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ หากแต่เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมและนำเสนอผลงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ครอบคลุมทั้งด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงองค์ความรู้และนวัตกรรมกับการใช้ชีวิตจริง ตลอดจนจุดประกายโอกาสจากทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ พร้อมทั้งปลุกพลังแห่งการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งสะท้อนบทบาทเชิงกลไกของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ด้วยพลังของการเรียนรู้ที่บูรณาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อมุ่งสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย”

การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ในครั้งนี้นับว่าบรรลุผลสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญและคุณค่าของงานอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ Facebook PR Pages, KOL Influencer, Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Line ซึ่งสร้างการรับรู้รวมกว่า 125 ล้านครั้ง ตลอดจนมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 720,000 คน แบ่งเป็นการเข้าร่วม On-site กว่า 222,000 คน และ Online กว่า 498,000 คน อีกทั้งยังเกิดการจับคู่เจรจาทางธุรกิจสำเร็จ 345 คู่ อันนำไปสู่การต่อยอดและขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มากกว่า 1,059 ผลงาน ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการและประชาชนกว่า 18,000 คน ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านกิจกรรมสัมมนา เสวนา และเวิร์กช็อปกว่า 300 กิจกรรม พร้อมทั้งก่อให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากหน่วยงานในสังกัด อว. ผ่านโซน Marketplace และ Craft Market รวมมูลค่ากว่า 4.3 ล้านบาท โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้เข้าชมงานอยู่ในระดับสูงกว่า 96% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของการจัดงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของงาน อว.แฟร์ 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. การสร้างปัญญา: ด้วยการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการต่อยอดแนวคิด "นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้" ไปสู่โมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะการขับเคลื่อนทุนการศึกษาแบบ Targeted Scholarship และการสร้างพื้นที่เรียนรู้เสมือนจริงสำหรับกลุ่มเปราะบาง
  2. การเปิดโอกาส: ด้วยการยกระดับเวที Business Matching และ Innovation Showcase ให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในระดับพื้นที่ โดยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และงานวิจัยให้มากขึ้น
  3. การสร้างอนาคตไทย: ด้วยการเร่งขับเคลื่อน Deep Tech และอุตสาหกรรมอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนา AI Excellence Center, Quantum Hub, Smart Farming Platform และ Digital Health Supply Chain ให้กลายเป็น Flagship Projects ระดับชาติ

“สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการจัดงานในปีนี้ คือ การเรียนรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเวทีให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ ความรู้เหล่านี้สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพ สร้างธุรกิจ และก่อให้เกิดคุณค่าที่กลับคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ในนามของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ผมขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าในการสร้างปัญญา เปิดโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทย ผ่านพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม” ปลัดกระทรวง อว. กล่าวสรุป

กรมศุลกากรไทยสามารถสกัดกั้นและยึดหมึกเอปสันปลอมกว่า 7,000 ขวด ที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทย จากการตรวจยึดครั้งใหญ่ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การดำเนินการดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคในประเทศไทย

สินค้าที่ถูกยึดได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นของปลอมและละเมิดเครื่องหมายการค้าของ บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น โดยความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างบริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่นและกรมศุลกากรไทย ภายใต้การสนับสนุนจากเอปสันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจยึดเชิงรุกต่อผู้นำเข้า และอายัดตู้สินค้าที่สงสัยว่าละเมิดสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังการตรวจสอบและยืนยันอย่างละเอียด หมึกปลอมทั้งหมดถูกยึดถาวร และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ผู้กระทำผิดจะรับโทษตามกฎหมายไทย โดยสินค้าปลอมทั้งหมดจะถูกทำลายในพิธีทำลายประจำปีของรัฐบาลไทย สะท้อนถึงนโยบาย “ไม่ยอมรับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์” ของประเทศไทย ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่สุจริต

เอปสันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเน้นย้ำให้ผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อหมึกเอปสันจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับการรับรองเท่านั้น พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับกรมศุลกากรไทยและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของสินค้าปลอมอย่างต่อเนื่อง

  • ก้าวสำคัญเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่มูลค่าธัญพืช และเข้าถึงตลาดที่ความต้องการสินค้า เกษตรที่ยั่งยืน ตรวจสอบย้อนกลับได้ กำลังเติบโต
  • สร้างความร่วมมือในโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน

บังกี้ และ กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร หลังจากความสำเร็จในการทดสอบแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใช้ตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองและวัตถุดิบจากถั่วเหลืองที่ยั่งยืนในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ทั้งสองบริษัทขยายการนำเทคโนโลยีนี้มาซื้อขายถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่บังกี้จัดหาจากบราซิล ให้กับ  กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) สำหรับการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อบูรณาการระบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในโครงการลดคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบังกี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู

ตั้งแต่ปี 2566 บังกี้ และซีพี ร่วมกันศึกษาห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค การดำเนินงาน และความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทดลองนำร่องขนส่งกากถั่วเหลืองราว 375,000 เมตริกตัน  ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชนตรวจสอบย้อนกลับกากถั่วเหลืองเหล่านี้ และด้วยข้อตกลงปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัท จะนำข้อมูลวัตถุดิบจากการจัดหาร่วมกัน มาบันทึกและซื้อขายผ่านบล็อกเชน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับธัญพืชได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่ง จนถึงปลายทาง เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน

“ด้วยแพลตฟอร์มบล็อกเชน ทำให้เรากำลังเชื่อมต่อ การผลิตอาหารของเรา เข้ากับลูกค้าปลายทางโดยตรง โดยที่กระบวนการทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยมีข้อมูลต่างๆตลอดห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนในห่วงโซ่มีส่วนสร้างอนาคตที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความสำเร็จของโครงการนำร่องยังเปิดโอกาสให้เราขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับซีพี และพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” ฮูลิโอ การ์รอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของบังกี้ กล่าว

ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส  กล่าวว่า “ความร่วมมือกับผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่าง บังกี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานของซีพี รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย การขยายความร่วมมือในครั้งนี้ ยังคลอบคลุมการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย แพลตฟอร์มดิจิทัล และโมเดลการจัดหาที่ยั่งยืน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย เรายังมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวที่จะสร้างมูลค่ากับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

การขยายความร่วมมือระหว่าง บังกี้ และ BKP ในปี 2568 จึงครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลัก การพัฒนากระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน และการปรับปรุงกระบวนการขนส่ง จนถึงปลายน้ำคือโรงงานอาหารสัตว์ของซีพีในภูมิภาคนี้

“การจัดหาวัตถุดิบภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบและมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้าของทั้งบังกี้และเครือซีพี  ทั้งสองบริษัทต่างมุ่งมั่นสร้างห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่าในปี 2025 แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากแปลงปลูกต้นทาง รวมถึงเอกสารการรับรองมาตรฐานถั่วเหลือง เช่น มาตรฐาน Round Table on Responsible Soy (RTRS) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในความมั่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2050” ฐิติ กล่าวเสริม

“เราเชื่อในพลังของความร่วมมือเพื่อสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่ดีขึ้น และความร่วมมือกับซีพี เป็นตัวอย่างของการที่เราสามารถขยายโซลูชัน เพื่อมอบความโปร่งใส รวมถึงข้อมูลเชิงลึกของห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต่างมีร่วมกัน” พาเมลา โมเรรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ของบังกี้ กล่าว

แพลตฟอร์มบล็อกเชนดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบังกี้ ร่วมกับบริษัท Justoken ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน บังกี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายแรกของโลกที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้รวมถึงติดตามการจัดซื้อถั่วเหลืองทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ 100% ในพื้นที่สำคัญของเขตเซอร์ราโด ประเทศบราซิล บริษัทใช้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงเพื่อติดตามพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตัดไม้ทำลายป่า โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวครอบคลุมจำนวนฟาร์ม กว่า 36,000 แห่ง และพื้นที่กว่า 46 ล้านเฮกตาร์ในอเมริกาใต้

คต. ติวเข้มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย เปิดเวทีสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” พร้อมจับมือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop : SCAN ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล มุ่งเป้า SMEs และนักวิจัย ใช้นวัตกรรมต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการค้า

นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการต่อยอดงานวิจัยและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน นักการตลาดชั้นนำ รวมถึงนักวิจัย ที่มาร่วมผสานพลังเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้พร้อมเข้าสู่ตลาดสากล โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาหัวข้อ “Agri Plus Intelligence: ถอดรหัสเทรนด์โลกและโอกาสของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์การตลาด การวิจัย และนวัตกรรม การเสวนา “From Lab to a Billion” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตัวแทนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการต่อยอดงานวิจัย มาร่วมแบ่งปันความรู้ ชี้แนะ Roadmap เส้นทางสู่ธุรกิจเกษตรมูลค่าสูง การบรรยายในหัวข้อ “Branding for Tomorrow” โดยแบรนด์กูรูชั้นนำของประเทศ และในหัวข้อ “Digital Harvest” พลิกเกมการตลาดด้วย Social Commerce และ AI” โดยนักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดแสดง “Agri Plus Showcase” โชว์ผลิตภัณฑ์เกษตรนวัตกรรมจากการต่อยอดงานวิจัยอีกด้วย

นอกจากการสัมมนาที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามแล้ว กรมฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop: Scan ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2568 โดยนำทัพผู้เชี่ยวชาญมาช่วยประเมินความพร้อมในการประกอบธุรกิจแบบ Exclusive พร้อมให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการแบบครบวงจร โดยผู้เข้าร่วมได้รับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจแบบ Insight เพื่อการขยายธุรกิจเกษตรนวัตกรรมสู่สากลได้อย่างเป็นรูปธรรม

รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จบนเวทีการค้าโลก ผลักดันมูลค่าการค้าของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการเกษตรนวัตกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้เกษตรกร ผ่านกลไกการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตามนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสัมมนาและ Exclusive Workshop ในครั้งนี้จะเป็นแรงส่งเสริมผู้ประกอบการและนักวิจัยในการต่อยอดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของกรมการค้าต่างประเทศ ในการส่งเสริม ผลักดัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน

กรุงเทพประกันชีวิต คว้า 5 รางวัล The Best Contact Center of The Year 2025 (Under 100 Seats) จากงาน TCCTA Contact Center Awards 2025 จัดโดยสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย (TCCTA: Thai Contact Center Trade Association) ตอกย้ำการก้าวสู่แบรนด์อันดับหนึ่ง ในด้านความ “ใส่ใจ” ทั้งในการบริการและการดูแลลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการคอนแทคเซ็นเตอร์ในมาตรฐานสากล และเป็นต้นแบบในการพัฒนาธุรกิจ ณ โรงละครอักษรา กรุงเทพมหานคร

นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธการตลาดและบริหารจัดการ กล่าวว่า รางวัล The Best Contact Center of the Year ไม่เพียงเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับทีมงาน Contact Center ทุกคนที่ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจ โดยกรุงเทพประกันชีวิตเชื่อมั่นว่า หัวใจของการบริการคือความใส่ใจ เริ่มต้นการรับฟังอย่างตั้งใจ การเข้าใจปัญหา เข้าใจความต้องการของลูกค้า การให้คำตอบที่ถูกต้อง รวดเร็ว รวมไปถึงการนำทุกความคิดเห็นหรือปัญหาของลูกค้ามาค้นหาแนวทางป้องกันเชิงรุกเพื่อการให้บริการที่ประทับใจมากยิ่งขึ้น

เรายึดหลักการในการให้บริการคือ ลูกค้าทุกท่านเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเรา และทุกการติดต่อคือโอกาสในการสร้างประสบการณ์ที่ดีและความไว้วางใจ กรุงเทพประกันชีวิตมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจด้วย Human-Tech Solution ซึ่งคือการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาเสริมการทำงานของบุคคลากรของเราที่ผ่านการพัฒนาศักยภาพที่มีทั้ง Empathy และ Expertise เพื่อให้บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถสร้างความรู้สึก อุ่นใจ มั่นใจ และวางใจให้เกิดขึ้นได้จริง กรุงเทพประกันชีวิตเรามุ่งมั่นที่จะยกระดับจากการให้บริการ มาเป็นการส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจ และเป็นเพื่อนที่พร้อมจะดูแล ใส่ใจ ด้วยความเข้าใจ และความจริงใจในทุกช่วงเวลาของชีวิตลูกค้าให้ได้

 โดยกรุงเทพประกันชีวิต ได้รับ 5 รางวัล ดังนี้

  1. The Best Contact Center Operations รางวัลเหรียญเงิน (Silver Award)
  2. The Best Facilities Contact Center รางวัลเหรียญทอง (Gold Award)
  3. The Best Business Contribution Contact Center รางวัลเหรียญทอง (Gold Award)
  4. The Best Customer Experience Contact Center รางวัลเหรียญทอง (Gold Award)
  5. รางวัล The Best Contact Center of The Year 2025 ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กร ผู้ให้บริการติดต่อลูกค้า (Contact Center) ที่มีความเป็นเลิศในการพัฒนาศักยภาพการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า สอดคล้องกับการดำเนินงานของกรุงเทพประกันชีวิต ที่ให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

“สหพัฒนพิบูล” หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย ที่ดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่น ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมเดินหน้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ควบคู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นางนพวรรณ คล้ายโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า SPC ได้รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี นายอำนาจ อัตวรอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เป็นผู้มอบเกียรติบัตร

ทั้งนี้ การคัดเลือกสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 มีสถานประกอบการทั่วประเทศสมัครเข้ารับการพิจารณาจำนวน 1,576 แห่ง โดยมีเกณฑ์สำคัญในการพิจารณา ได้แก่ การบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ การจัดสวัสดิการที่เป็นระบบและครอบคลุม การมีส่วนร่วมของพนักงาน การส่งเสริมความปลอดภัย และการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

“รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SPC ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย สวัสดิการที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม รวมถึงการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานทุกคนมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่ง SPC จะยังคงเดินหน้านโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นองค์กรคู่สังคมไทย ที่ไม่เพียงสร้างการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังมุ่งเน้นความสุขและความมั่นคงของพนักงานควบคู่กัน” นางนพวรรณ กล่าว

ปัจจุบัน สหพัฒนพิบูล หรือ SPC มีพนักงานรวมประมาณ 3,100 คน แบ่งเป็น พนักงานรายเดือน 1,500 คน พนักงานรายวัน 1,600 คน ซึ่งยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจในฐานะผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมมีส่วนร่วมสำคัญในการอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click