December 22, 2024

เน้นสนับสนุนคนไทยวางแผนทางการเงิน พร้อมลดหย่อนภาษี อย่างมั่นคง มั่นใจ เงินคืนไวทุกปี

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำสินค้าคุณภาพชั้นดี ภายใต้แบรนด์ CP อย่าง 'สันคอหมูซีพีคูโรบูตะ' และ 'อกไก่เบญจา' แบรนด์ U FARM มารังสรรค์ด้วยผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสชั้นเลิศ อร่อยเข้มข้นจากโลโบ  กลายเป็น 2 เมนูสุดพิเศษ เสิร์ฟเฉพาะในร้านอาหารถูกและดี ภายใต้ฟู้ดแลนด์ซูเปอร์มาเก็ตเท่านั้น! ด้วยความโดดเด่นแต่ละด้าน จึงรวมตัวพัฒนามื้ออร่อยให้คนไทยได้รับประทานอาหารอย่างมีความสุข ไปพร้อมๆ กับการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ใน

 

เริ่มที่ 'สันคอหมูคูโรบูตะคลุกฝุ่น' นำเนื้อสันคอของหมูซีพีคูโรบูตะ เกรดพรีเมียม ให้สัมผัสนุ่มฉ่ำมากกว่าเนื้อหมูทั่วไป มาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสลาบจัดเต็ม รสชาติแซ่บซี๊ด ถึงเครื่องตำหรับอาหารอีสาน จากนั้นจี่ในกระทะร้อนๆ หอมโชยกลิ่นข้าวคั่ว เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และน้ำซุป ในราคา 149 บาท

 

ถัดมาที่ 'สปาเก็ตตี้อกไก่เบญจากรอบสไปซี่ ราดซอสคองกาเซ่' เนื้ออกไก่เบญจานุ่มฉ่ำ อุดมด้วยโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการเลี้ยงจาก NSF มาชุปแป้งทอดปรุงรสด้วยผลหมักไก่สไปซี่บิ๊กวิงก์ที่มีรสเผ็ดแซ่บจากปาปิก้า เสิร์ฟคู่กับสปาเก็ตตี้และซอสคองกาเซ่ที่อร่อย ส่งกลิ่นหอมพริกไทยดำสูตรลับเฉพาะของร้านถูกและดี ราคาจานละ 129 บาท ซึ่งทั้ง 2 เมนู วางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด ที่ร้านถูกและดี ฟู้ดแลนด์ซูเปอร์มาเก็ต ทุกสาขาทั่วประเทศ

ใครที่ติดใจความอร่อยของ 2 เมนูดังกล่าว สามารถพกความอร่อยของซีพีเอฟที่จำหน่ายในฟู้ดแลนด์ซูเปอร์มาเก็ตกลับไปต่อยอดเป็นเมนูคู่ครัวได้อีกด้วย อย่าง หมูซีพีคูโรบูตะ สเต็กสันคอหมักพริกไทยดำ เนื้อส่วนพรีเมียมที่มีไขมันแรกลายสวย หมักด้วยซอสพริกไทยดำเข้มข้นจนเข้าเนื้อ รสชาติเผ็ดนิดๆ รับรองว่า ถูกใจสายเน้นโปรตีนอย่างแน่นอน นอกจานี้ยังมีผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอื่นๆ ที่พร้อมให้เลือกสรรอีกมากมาย รวมถึงผงปรุงรสต่างๆ จากโลโบ ที่จะมาช่วยเติมเต็มความอร่อยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

 

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อส่งมอบวัตถุดิบ ตลอดจนอาหารคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานสูงสุด โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญ ตลอดจนกิจกรรมความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อเข้าถึงและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มทุกวัย

บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซักผ้า "บรีส" ชวนหนุ่มหล่อหน้าใสสุดฮอต “เจมีไนน์ - นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์” นำทีมขึ้นสังเวียนออกหมัดฮุก  ในงาน "บรีส ศึกสู้คราบหนัก Breeze Stains Fight x Gemini" พร้อมชวน 50 Lucky Fan ร่วมฟินไปกับเกมสนุก ๆ แบบเอ็กคลูซีฟ งานนี้บอกเลยว่าเรียกเสียงกรี๊ดจนห้างแตก ทำเอาแฟน ๆ ฟูลฟีลใจแบบเต็มร้อย ที่สยามสเคป

โดยบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความคึกคักทั้งเหล่ากองเชียร์ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันชี้ชะตากับศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างคราบหนักและบรีส เริ่มเปิดสังเวียนความมันส์ด้วยการเปิดตัวผู้นำทีมอย่างหนุ่มเจมีไนน์ - นรวิชญ์ ซึ่งงานนี้เตรียมพร้อมฟิตร่างกายมาอย่างเต็มที่ เพื่อมาประกาศศักดาชนะน็อคคราบหนักด้วยไอเทมลับอย่างผลิตภัณฑ์ซักผ้าบรีส ที่สามารถขจัดคราบหนักและกลิ่นอับตั้งแต่ครั้งแรกที่ซัก พร้อมด้วยกลิ่นหอมติดทน สดชื่นยาวนาน

เริ่มต้นยกแรกบนสังเวียนด้วยเกมใบ้คำตรงใจบรีส ที่หนุ่มเจมีไนน์ ต้องเลือกสุ่มแฟนคลับผู้โชคดีขึ้นมาร่วมเป็นนักสู้ประลองความรู้ใจอย่างใกล้ชิด ทำเอาแฟน ๆ ฟินจนทำตัวไม่ถูก สานต่อความฟินในยกที่สองด้วยเกมเรียงเต๋าบรีส ที่แฟนคลับผู้โชคดีต้องร่วมกันเรียงภาพ ซึ่งเกมนี้ต้องอาศัยความเร็วเพื่อชิงกันตอบคำถามจากภาพ ใครทำคะแนนได้มากกว่าจะเป็นผู้ชนะรับของรางวัลกลับบ้าน งานนี้ทำเอาสังเวียนเกือบลุกเป็นไฟ เพราะเหล่าแฟนคลับสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร และทำให้ศึกสู้คราบหนัก Breeze Stains Fight x Gemini ในครั้งนี้ ทีมบรีสเป็นฝ่ายเอาชนะคราบหนักไปได้ และก่อนปิดสังเวียนเจมีไนน์ ได้จัดเตรียมโชว์สุดพิเศษ ที่ขนเพลงฮิตติดชาร์ต มาร่วมสร้างโมเม้นต์สุดฟินให้กับแฟน ๆ ได้ยิ้มจนแก้มปริไปตาม ๆ กัน จนถึงช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าแฟนคลับรอคอย กับกิจกรรม Lucky Fan Photo ที่แฟนคลับผู้โชคดี จะได้ร่วมถ่ายรูปกับ เจมีไนน์ ทั้งแบบตัวต่อตัว และแบบกลุ่ม ก่อนที่จะเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน เจมีไนน์ ได้กล่าวขอบคุณแฟนคลับที่คอย ให้กำลังใจเสมอมา เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรม ที่เต็มอิ่มครบรสแห่งความสุขอย่างแท้จริงเลยทีเดียว

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ซักผ้า "บรีส" ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ บรีส เอกเซล กลิ่น เฮฟเวน บลอสซั่ม (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) ผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำสูตรเข้มข้น ที่ชวนสัมผัสกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกชวนฝัน ขจัดคราบหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ซอกซอนลึกถึงใยผ้า มาพร้อมกับเพอร์ฟูม พลัส เทคโนโลยี กลิ่นหอมละมุนยาวนาน พร้อมลดกลิ่นอับตั้งแต่ครั้งแรกที่ซัก สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ ผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์อย่างเป็นทางการของยูนิลีเวอร์ ที่ Shopee, Lazada, TikTok ,ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

นางเหมวรรณ พูนผล รองประธานเจ้าหน้าที่ สายงานทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนรับรางวัลจากโครงการ Thailand HR Innovation Award 2024 ระดับ Silver จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ “Employee Journey for new Business” (Donjai) และ “1-on-1 Coaching to Drive High Leader Performance” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เป็นรางวัลกา   รันตรีด้านนวัตกรรมการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย หรือ PMAT ในฐานะธุรกิจค้าปลีกที่บริหารงานบุคคลโดยมีจุดมุ่งหมายด้วยการนำเอานวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อพนักงานได้เรียนรู้ ปรับใช้ เสริมความเกร่งในศักยภาพ ควบคู่ไปกับการเติบโตของบิ๊กซี

 

ทั้งนี้ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ได้รับรางวัลมากถึง 27 รางวัล ทั้งในระดับเอเชีย และระดับประเทศ ที่การันตีความสำเร็จด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมศักยภาพ พัฒนา และดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจของพนักงาน สร้างสรรค์ชีวิตที่ดีกว่าเพื่อทุกคน Bring Up Better Life for All

จากแนวโน้มการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ความยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นทางรอดที่ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อบริหารจัดการและรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักลงทุน พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน บริษัท แทคท์ โซเชียล-คอนซัลติ้ง จำกัด ได้เปิดตัวธุรกิจ Sustainability Consulting ซึ่งให้บริการที่ปรึกษากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนแก่ภาคธุรกิจและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ยั่งยืนเป็นไปได้อย่างเหมาะสมใน บริบทของประเทศไทย

นางสาวดลพร พิทักษ์สิทธิ์ Co-Founder และ CFO บริษัท แทคท์ โซเชียล คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า “Tact เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน โดยช่วยองค์กรวางกลยุทธ์และดำเนินโครงการเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสริมสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการประเด็นด้านความยั่งยืนให้ดียิ่งขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของ Tact ได้แก่ ภาคเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อบริหารจัดการและรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักลงทุน, ภาคเอกชนผู้ส่งออกในกลุ่มธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง (Carbon-intensive), และบริษัทที่ผู้บริหารมองหาโอกาสเติบโตทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน”

สำหรับการบริการของ Tact ประกอบด้วย :

  1. Academy
  • Training and Workshop จัดกิจกรรมอบรมและเวิร์คชอปที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและ Climate Change ให้แก่กลุ่มผู้บริหารและพนักงานขององค์กร อาทิ เวิร์คชอปการตั้งเป้าหมายหรือกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท การอบรมความรู้ด้าน ESG และการวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และคาร์บอนเครดิต รวมถึงการปลูกฝังแผนงานด้านความยั่งยืนเข้าไปสู่ฝ่ายงานต่าง ๆ ในองค์กร
  1. Advisory
  • Sustainability Strategy ให้คำปรึกษาในการวางแผนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้กับองค์กร โดยการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญด้านยั่งยืน (Materiality Assessment) ที่สร้างผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • Net Zero Strategy ให้คำปรึกษาในการตั้งเป้าหมายและกลยุทธ์เพื่อไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์สำหรับองค์กร โดยตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับ Science Based Target Initiative (SBTi) และแผนการหาทางแก้ปัญหาที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมในองค์กร
  1. Assessment & Disclosure
  • Sustainability Reporting and Certificate การจัดทำรายงานและยื่นมาตรฐาน/รางวัลด้านความยั่งยืน อาทิ รายงานด้านความยั่งยืนประจำปี การรายงาน 56-1 One Report และยื่นการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (ESG rating), สำหรับบริษัทจดทะเบียน, SDG Impact Standard, GRI Standards เป็นต้น
  • Carbon Footprint Accounting ให้คำปรึกษาวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO) และผลิตภัณฑ์ (CFP) แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร การเก็บรวบรวมข้อมูลไปจนถึงคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเตรียมพร้อมสำหรับการรับรองจากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) หรือ ISO 14064 โดยใช้มาตรฐานตามหน่วยงานของไทย และระดับสากล เช่น TGO, IPCC, GHG Protocol, PCAF
  1. AI for Sustainability
  • Microsoft Cloud for Sustainability (MCfS) การบริหารจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืนขององค์กรแบบเรียลไทม์ผ่าน Microsoft Cloud for Sustainability (MCfS) ที่มีเทคโนโลยี AI ในการช่วยรวมข้อมูลที่กระจัดกระจาย เช่น ระบบ ERP บิลค่าไฟ หรือแหล่งต่าง ๆ ขององค์กร รวบรวมเข้าไปในแพลตฟอร์มเพื่อจัดทำรายงานด้าน ESG ตามมาตรฐานต่าง ๆ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับผู้บริหารหรือฝ่ายต่าง ๆ ในการวางแผนกลยุทธ์องค์กร

ผู้บริหารกล่าวเพิ่มว่า จุดเด่นที่แตกต่างของ Tact ในฐานะที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของไทย คือ : 

  1. การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับภาษาและวัฒนธรรม (Localization)

Tact ให้ความสำคัญกับการปรับ Framework ด้านความยั่งยืนจากต่างประเทศให้สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของประเทศไทย เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปใช้ได้จริงและเกิดประสิทธิผลสูงสุด

  1. ความยืดหยุ่น (Flexibility)

บริการของ Tact ถูกออกแบบให้ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้า โดยคำนึงถึงอุตสาหกรรม งบประมาณ และเป้าหมายเฉพาะของแต่ละองค์กร

  1. ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง (Academic Driven)

Tact ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการ เช่น โครงการ Sustainability Consulting & Reporting ทาง Tact ทำงานร่วมกับทางสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน (SBDi) ซึ่งมีประสบการณ์ออกแบบหลักสูตรและสอนบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า 15 ปี

  1. AI for Sustainability Solutions

Tact เป็น Prioritized Partner ของ Microsoft ในการใช้ Microsoft Cloud for Sustainability โดยนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล ESG ขององค์กร

หากองค์กรของคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน Tact พร้อมเป็นที่ปรึกษาที่จะช่วยวางกลยุทธ์และดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานใกล้ชิดกับองค์กร ตั้งแต่การศึกษาและวางแผนกลยุทธ์ ไปจนถึงการออกแบบกระบวนการที่สามารถวัดผลได้จริง พร้อมจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม นอกจากนี้ Tact ยังสามารถนำ AI Sustainability Solutions มาใช้เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนขององค์กรคุณเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร “วินด์เซอร์” (WINDSOR) ผู้นำตลาดประตูหน้าต่างไวนิล จากบริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ชูนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างรักษ์โลกจากไวนิล ปูพรมกว่า 78 โครงการบ้านของศุภาลัยทั่วประเทศ จับมือเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน พร้อมยกระดับบ้านอยู่สบาย ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและดีไซน์ด้วย “Ultimate Protection” ที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน ฝุ่น เสียง และการรั่วซึมได้มากขึ้น พร้อมก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ศุภาลัย ประกาศความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัสดุและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง มาตรฐานดี และมีความปลอดภัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อีกทั้งยังสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2573 โดยเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้วัสดุ Green Product รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง รวมถึงการบริหารจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยสีเขียวและก้าวสู่การเป็นองค์กร Zero Waste แบบครบวงจร”

ทั้งนี้ ศุภาลัย ยังได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมที่อยู่อาศัยร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ศึกษา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ สามารถนำไปใช้จริง โดยร่วมกับ “วินด์เซอร์” (WINDSOR) ผู้นำตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ในกลุ่มธุรกิจ SCGC เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบประตูและหน้าต่าง สามารถลดการใช้พลังงานในการผลิต ส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยลดการเกิดเศษวัสดุเหลือจากกระบวนการประกอบ โดย ศุภาลัยได้คัดสรรเลือกใช้ประตูหน้าต่างไวนิลวินด์เซอร์ ตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน ยาวนานนับหลายสิบปีที่ ผ่านมา จึงมั่นใจได้ว่าบ้านทั่วประเทศของศุภาลัยที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์จาก “วินด์เซอร์” นั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความมุ่งมั่นของศุภาลัยในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ดีและอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

 

นายอภิชาติ พรวรนันท์ ผู้จัดการฝ่ายขายโครงการ และ Profiles Business Sponsor บริษัท  นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ในกลุ่มธุรกิจ SCGC กล่าวว่า “จากสภาวะโลกเดือดที่เป็นปัญหาสำคัญของโลกในขณะนี้ ทุกภาคส่วนต่างตระหนักและร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว สำหรับวินด์เซอร์ ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทาง ESG จาก SCGC  ได้มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนด้วยวัสดุประตูหน้าต่างไวนิลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้วิสัยทัศน์ “WINDSOR for Sustainability” โดยเดินหน้าพัฒนากระบวนการผลิตประตูหน้าต่างไวนิล ในรูปแบบ “Pre-cut” ที่มีเฉพาะในแบรนด์วินด์เซอร์ ทำให้ไม่เกิดเศษเหลือในกระบวนการประกอบ (Zero Waste) ผ่านการรับรองจาก SCG Green Choice  รวมทั้งได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุต พริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) และฉลากลดโลกร้อน (CFR) จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานในการผลิตที่ลดลงได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ SCGC ที่มุ่งเน้นเรื่อง Low Waste, Low Carbon พร้อมทั้งตอบโจทย์แนวทางการสร้างบ้านของศุภาลัยที่มุ่งมั่นเลือกใช้สินค้าคุณภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน ควบคู่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

 

ทั้งนี้ ทุก ๆ การใช้ประตูหน้าต่างไวนิลวินด์เซอร์ในบ้าน 1 หลังของโครงการศุภาลัย ด้วยการใช้กระบวนการประกอบในรูปแบบ Pre-cut สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 39 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 5 ต้น ตอบโจทย์เจ้าของบ้านสายกรีนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทางศุภาลัยได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กรอบประตูหน้าต่างของวินด์เซอร์ในโครงการต่าง ๆ กว่า 78 แห่งทั่วประเทศ รวมพื้นที่หน้าต่างโครงการคิดเป็นปริมาณ CO2 ที่ลดลงกว่า 194,062 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 22,612 ต้น

นอกจากการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนแล้ว วินด์เซอร์ยังพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับบ้านอยู่สบาย ด้วยคุณสมบัติ “Ultimate Protection” ที่พัฒนาให้มีคุณสมบัติเพื่อปกป้องบ้านและผู้อยู่อาศัยจากสิ่งรบกวน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ฟังก์ชันและดีไซน์ ให้บ้าน “เงียบกว่า” เมื่อเทียบกับการใช้บานอลูมิเนียมทั่วไปถึง 40% โดยสามารถลดทอนเสียงรบกวนจากภายนอกสู่ภายในบ้านได้ถึง 32 เดซิเบล  นอกจากนี้ ยัง “เย็นกว่า” ด้วยประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน จึงช่วยประหยัดการใช้พลังงานในระยะยาว ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 9,144 บาทต่อปี  “ปลอดฝุ่นกว่า” สามารถป้องกันมลภาวะและฝุ่น PM2.5 จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้านได้ถึง 3 เท่า เพื่อสุขภาวะที่ดี และ “มั่นใจกว่า” ป้องกันการรั่วซึมของน้ำและอากาศ ต้านทานแรงลมได้ดี ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน พร้อมรองรับทั้งบ้านพักอาศัยและงานอาคารสูง

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รับรางวัล The Thailanders Best Bank in Sustainable Finance for Social Impact 2024 จาก นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานในงานมอบรางวัล The Thailanders Top Business Organizations & Social Impact Sustainability Awards 2024 ด้วยธนาคารออมสินเป็นสถาบันการเงินที่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนาน พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยบทบาทธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ดำเนินภารกิจทั้งเชิงพาณิชย์และเชิงสังคมควบคู่กัน ด้วยการนำกำไรจากธุรกิจปกติ มาสนับสนุนภารกิจเชิงสังคม โดยมุ่งหวังขยายผลและสร้าง Social Impact ให้มากขึ้น ใน 4 บทบาท ได้แก่ การดึงคนเข้าสู่แหล่งเงินทุนในระบบ การแก้ปัญหาหนี้สิน การพัฒนาสังคมและชุมชน และการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้กลยุทธ์ “การสร้างคุณค่าร่วมต่อสังคม” หรือ CSV : Creating Shared Value ในการยกระดับและขับเคลื่อนการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนและสังคม พร้อมวางเป้าหมายที่จะช่วยสังคมให้มากยิ่งขึ้น

 

สำหรับงานดังกล่าว The Thailanders สื่อสองภาษาชั้นนำของไทย จัดขึ้นในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 8 เพื่อเผยแพร่ความสำเร็จขององค์กรธุรกิจภาคเอกชนสู่สาธารณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ โดยมี นางอมรสิริ บุญญสิทธิ์ บรรณาธิการบริหารสื่อ The Thailanders ร่วมด้วย ณ โรงแรม Park Hyatt Bangkok เมื่อเร็ว ๆ นี้

ในวันที่การศึกษาต่อระดับปริญญาโทถูกตอบรับจากคนรุ่นใหม่ลดลง ด้วยปัจจัยประชากรลดลง เศรษฐกิจ ความสนใจการเรียนคอร์สระยะสั้นที่ใช้เวลาไม่นานได้เข้ามาแทนที่การศึกษาในระบบที่ต้องใช้เวลา 1.5 – 2 ปี ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย “รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ ศรีวรรโณภาส ผู้อำนวยการโครงการ International MBA (Inter MBA) / Accelerated MBA (AMBA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)” ในการทำให้ทั้ง 2 หลักสูตรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ 

การขึ้นมาดำรงตำแหน่งของ รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ ถือเป็นการเปิดหนังสือหน้าใหม่ของหลักสูตรที่เคยเงียบๆ อย่าง Inter MBA เพราะสามารถเปิดรับนักศึกษาได้ปีละ 2 รุ่น ๆ ละไม่ต่ำกว่า 25 คน ภายในเวลาเพียง 6 เดือน

“ทุกคนงงว่าเราทำได้ไง เราปรับทุกอย่าง ปรับโฆษณา ปรับการยิงโฆษณา เราเลือกวิชาที่คนรุ่นใหม่อยากเรียน อยากรู้ และความที่นิด้าเป็นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ทำให้เด็กมั่นใจว่ามาเรียนแล้วจะได้ทั้งทักษะและความรู้”

รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนระดับปริญญาโทกับคอร์สระยะสั้นซึ่งเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ว่า “เป็นความท้าทายของเรามากที่จะทำอย่างไรให้เด็กอยู่กับเรา บางคนเขามองว่าเรียนคอร์สสั้นๆ ดีกว่า แต่สิ่งที่ทำให้การเรียนที่เราต่างจากการเรียนคอร์สระยะสั้น คือ องค์ความรู้ที่เขาจะได้คุ้มค่ากับการมาเรียน เขายังได้คอนเนคชั่นแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ได้เรียนรู้รอบด้าน บรรยากาศการเรียนเป็นรูปแบบนานาชาติ เด็กจะได้พูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา โดยทั้ง 2 หลักสูตรจะมีเด็กต่างชาติประมาณ 30% นอกจากนี้ หลักสูตรยังสะท้อนความต้องการของอุตสาหกรรม เนื่องจากมีการอัปเดตบ่อยๆ” 

สำหรับความแตกต่างของหลักสูตร Inter MBA และ AMBA คือ AMBA เปิดรับผู้ที่จบการศึกษาใหม่หรือคนที่ยังไม่ได้เข้าระบบการทำงาน โดยจะเรียนวันจันทร์ - ศุกร์ ส่วน Inter MBA ผู้มาเรียนส่วนใหญ่เป็นคนทำงานแล้วจึงเรียนวันเสาร์ - อาทิตย์

ด้าน Core Course ของทั้ง 2 หลักสูตรเหมือนกันและอาจารย์ผู้สอนคนเดียวกัน เช่น วิชาผู้นำองค์กร กลยุทธ์องค์กร ฯลฯ โดยจะต่างกันในเรื่องของวิชาเลือก ซึ่งวิชาเลือกจะเหมาะกับเทรนด์หรือความต้องการของตลาด โดย Inter MBA จะเน้นเนื้อหาที่ Advance ทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด อย่าง Digital Marketing, AI, Brand Marketing ฯลฯ เพื่อให้เด็กนำความรู้ไปพัฒนาสายงานตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงสายงาน

“อย่าง AI เราไม่ได้ให้เขาเรียนเพื่อทำเอง แต่ให้เขาเข้าใจคนทำ AI การเป็นผู้บริหารจะต้องเข้าใจสิ่งที่คนทำซอฟต์แวร์จะทำและต้องรู้ขีดกำจัดของ AI เพื่อนำเอาเทคโนโลยีมาปรับกับองค์กร”

ส่วน AMBA จะเรียนแบบครบรอบด้านทั้งการตลาด การเงิน HR Contemporary Management ฯลฯ เพื่อส่งเสริมให้เขาได้เลือกงานที่เหมาะกับตัวเองหรือสร้างศักยภาพเป็นรีดเดอร์ชิพ วิชาเลือกจะเป็น CRM, Datamining ฯลฯ

นอกจากจะมีการปรับหลักสูตรให้เหมาะกับเด็กมากขึ้น ยังปรับลดค่าเทอมด้วยการยกเลิก Study Trip เนื่องจากมีความยุ่งยากในการบริหารและระยะเวลา 1 สัปดาห์ เด็กไม่ค่อยได้อะไรกลับมาก็เหมือนกับการเรียนคอร์สระยะสั้น เมื่อตัด Study Trip ออกและไปเพิ่มวิชาอื่นๆ รวมทั้งการให้เด็กทำ IS (Independent Study) ซึ่งเขาจะต้องทำเองทั้งหมด ทำให้ค่าเล่าเรียนถูกลงแต่เขาได้ความรู้มากขึ้นและเด็กก็ตอบรับตรงนี้ด้วย 

รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ กล่าวต่อว่า การที่นิด้าเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในไทยที่ได้รับมาตรฐาน AACSB Accredited ซึ่งมีการตรวจที่เข้มข้นทุกๆ 5 ปี ในทุกปีหลักสูตรมีการเตรียมพร้อมทั้งเรื่องมาตรฐานการศึกษา การเก็บข้อมูล เพื่อเข้าถึงปัญหาก่อนและปรับปรุงให้สอดรับกับมาตรฐาน อย่างไรก็ดี มาตรฐาน AACSB ไม่เพียงแต่เน้นด้านวิชาการ แต่เน้นในเรื่องของความยั่งยืน (ESG) จริยธรรมทางธุรกิจ การทำ CSR ฯลฯ ดังนั้น ทั้ง 2 หลักสูตรก็จะนำความรู้เหล่านี้มาสอนเพื่อให้เด็กไม่เพียงแต่มีคุณภาพทางด้านวิชาการ การวางแผนพัฒนาธุรกิจ แต่เขาต้องเก่งและให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ด้วย

ด้านความร่วมมือทางวิชาการ รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมามีการจับมือกับ University of Massachusetts ในหลักสูตร AMBA เป็นการเรียนคู่กันและแข่งขันกันในเกม Simulation ซึ่งทาง AMBA ชนะ นอกจากนี้ ในปีหน้า Inter MBA จะมีคอร์สเรียนคู่กับสถาบันทางอเมริกา วิชา Operations Management โดยสิ่งที่นักศึกษาจะได้จากการร่วมมือทางวิชาการ คือ ได้ประสบการณ์ ได้เพิ่มทักษะการแข่งขันและได้แสดงศักยภาพในตัวเอง

นอกจากนี้ AMBA ยังเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยทางฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยนักศึกษาเสียแค่ค่าครองชีพ ส่วนค่าเล่าเรียนจ่ายตามราคาเมืองไทยและได้รับดีกรี 2 ใบ ด้านความร่วมมือของตัวอาจารย์ก็มีการจับมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศอินโดนีเซีย เป็นการทำวิจัยร่วมกันและนำความรู้ตรงนี้มาสอน

แม้วันนี้ทั้ง 2 หลักสูตรภายใต้การบริหารงานของ รศ.ดร.ดนยพฤทธ์ จะได้รับการยอมรับจากทั้งภายในและภายนอกแล้ว แต่ความท้าทายในการบริหารงานยังคงมีอยู่เสมอ

“เราจะเน้นรับเด็กต่างชาติเพิ่มขึ้น อันนี้เป็นความท้าทายของเราเลย ตอนนี้เราทำการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ผู้เรียนในพม่าและกำลังจะเริ่มทำตลาดจีน เด็กพม่า เด็กจีน อยากมาเรียนที่ไทย เรามีการคัดเลือกเด็กต่างชาติแบบเข้มข้นเพื่อให้ได้คนที่อยากเรียนจริงๆ เราจะบอกเลยว่าถ้าไม่เข้าเรียนเราจะถอนวีซ่า เราดิวกับต่างชาติมามาก เรามองออกว่าแต่ละชาติมีความแตกต่างกันอย่างไร คนที่ไม่ใช่ก็จะไปจากตรงนี้เอง”

สำหรับเป้าหมายเปิดรับนักศึกษาใหม่ปี 2568 Inter MBA จะเปิดรับรุ่นละ 25 – 30 คน ส่วน AMBA จะเปิดรับรุ่นละ 15 คน ถือเป็นตัวเลขที่ท้าทายพอสมควร เพราะนิด้าไม่มีนักศึกษาปริญญาตรีและประชากรรุ่นใหม่มีจำนวนลดลง ดังนั้น คนอยากเรียนต่อที่นิด้าจริงๆ ถึงจะมา


เรื่อง / ภาพ โดย กองบรรณาธิการ

อาชีพทางด้านการเงินสามารถแบ่งได้เป็น 2 สายงานหลักดังนี้ สายงานแรก คือสายงานการเงินองค์กร (Corporate Finance / Managerial Finance) สายงานนี้เกี่ยวข้องกับการเงินของธุรกิจต่างๆ ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ เป็นธุรกิจภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม ลักษณะงานในสายงานนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินทั้งหมดขององค์กร ตั้งแต่การระดมทุนในการทำธุรกิจขององค์กร การจัดทำงบประมาณลงทุน (Capital Budgeting) หรือการศึกษาความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการ (Financial Feasibility) ต่างๆ ขององค์กร การจัดทำแผนการเงิน การวางแผนในการซื้อเครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำธุรกิจขององค์กร และการบริหารเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนขององค์กร อาชีพหรืองานในสายนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินขององค์กร (Chief Financial Officer/CFO), ผู้จัดการฝ่ายการเงินขององค์กร (Corporate Treasurer/Financial Manager) และ นักวิเคราะห์การเงินขององค์กร เป็นต้น

สายงานที่สอง คือสายงานบริการทางการเงิน (Financial Services) เป็นสายงานที่เกี่ยวข้องกับการให้คำแนะนำทางการเงิน และการออกแบบและการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Financial Products) ต่างๆ ให้กับบุคคลทั่วไป บริษัทเอกชนต่างๆ และภาครัฐ สายงานนี้พบได้ทั้งในธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัทประกัน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาชีพหรืองานในสายนี้มีมากมาย ได้แก่ วาณิชธนกร (Investment Banker), ผู้จัดการกองทุน (Fund Manager), นักวิเคราะห์การลงทุน (Investment Analyst), ผู้แนะนำการลงทุน (Investment Consultant), นักวางแผนทางการเงิน (Financial Planner/Wealth Manager), ผู้ประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Appraiser) เป็นต้น

เมื่อพูดถึงการเรียนในสาขาการเงินแล้ว มักนิยมแบ่งการเรียนการเงินเป็น 3 กลุ่มหลักดังนี้ โดยเป็นการแบ่งที่คำนึงถึงการไหลของเงินทุน (Flow of Funds) ในระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก ดังแสดงในภาพด้านล่าง

กลุ่มแรกเป็นการเรียนในเรื่อง Corporate Finance ซึ่งสามารถเรียกได้ในชื่ออื่นๆ เช่น การบริหารการเงิน (Financial Management/Managerial Finance) หรือการเงินธุรกิจ (Business Finance) เป็นต้น โดยตัวอย่างวิชาภายใต้กลุ่มนี้ ได้แก่ การบริหารการเงิน (Financial Management), การศึกษาความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการ (Feasibility Study), การเงินระหว่างประเทศ (International Finance), การเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) เป็นต้น กลุ่มนี้เป็นการศึกษาถึงการตัดสินใจระดมทุน (Financing Decisions) และการตัดสินใจลงทุน (Investment Decisions) ของบริษัทต่างๆ โดยบริษัทจะพิจารณาโครงการลงทุนและคำนวณหาค่าผลตอบแทนของโครงการลงทุน (Internal Rate of Return/IRR) นั้น จากนั้น พิจารณาเลือกแหล่งที่มาของเงินทุนว่าจะเป็นหนี้สิน (Debt) ผ่านการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือการขายหุ้นกู้ และทุน (Equity) ผ่านการขายหุ้นสามัญ ในสัดส่วนที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งสัดส่วนของแหล่งที่มาของเงินทุนจะเป็นตัวกำหนดต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) ของโครงการหรือของบริษัท จากนั้น ทั้ง IRR และ Cost of Capital จะเป็นตัวกำหนดว่าโครงการลงทุนต่างๆ น่าลงทุนหรือไม่

ดังนั้น กลุ่มที่สองของการเรียนการเงินจึงเป็นกลุ่ม Financial Markets and Institutions หรือตลาดการเงินและสถาบันการเงิน เพราะการระดมทุนของบริษัทดังกล่าวข้างต้น อาจจะระดมทุนผ่านสถาบันการเงิน (Financial Institutions) เช่น ธนาคารพาณิชย์ ในรูปเงินกู้ (Loans) เป็นต้น (โดยธนาคารพาณิชย์ก็ระดมเงินจากนักลงทุนในรูปเงินฝากต่ออีกทีหนึ่ง) และระดมผ่านตลาดการเงิน (Financial Markets) ในรูปแบบของการออกตราสารทุน (ครั้งแรกหรือ Initial Public Offerings/IPOs หรือครั้งถัดมาหรือ Seasoned Equity Offerings/SEOs) อย่างหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ หรือในรูปแบบของการออกหุ้นกู้ (Corporate Bonds) เพื่อขายให้กับนักลงทุนรายย่อย (Individual Investors) และ/หรือนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) ซึ่งหน้าที่หลักๆ ในทางเศรษฐกิจของตลาดการเงินและสถาบันการเงิน คือเป็นแหล่งที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเงิน (Demanders of Funds) อย่างบริษัทต่างๆ หรือจะเป็นภาครัฐก็ได้ มาเจอกับผู้ที่มีเงินและต้องการลงทุน (Suppliers of Funds/Investors) โดยวิชาภายใต้กลุ่มนี้แบ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับตลาดการเงิน (Financial Markets) อาทิเช่น Market Microstructure, เครื่องมือและตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) ต่างๆ ตั้งแต่ หุ้นสามัญ ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และตราสารทางการเงินที่ซื้อขายกันในตลาดรองอย่าง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts/REITs), Exchange Traded Funds (ETFs), ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depository Receipts/DRs) เป็นต้น ส่วนวิชาทางด้านสถาบันการเงินจะมีจุดมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจบทบาทของสถาบันการเงินต่างๆ ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ลักษณะของธุรกิจของสถาบันการเงินต่างๆ และการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ของสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (ที่บริหารการลงทุนของกองทุนรวมต่างๆ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เป็นต้น โดยวิชาทางด้านบริหารความเสี่ยง จึงมักเป็นวิชาที่สำคัญและควรศึกษาสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในสถาบันการเงินต่างๆ เหล่านี้ โดยคุณวุฒิหรือ Certificates ระดับนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับทางด้านการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน ได้แก่ Financial Risk Manager (FRM®)

ท้ายที่สุด เมื่อบริษัทต่างๆ ระดมทุนผ่านการออกตราสารทางการเงิน ก็ต้องมีนักลงทุนรายย่อยและ/หรือนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาซื้อตราสารทางการเงินเหล่านั้น ดังนั้น กลุ่มที่สามของการเรียนการเงิน (และมักเป็นกลุ่มที่มีจำนวนวิชาและผู้สนใจเรียนอย่างมาก) คือกลุ่ม Investment/Asset Management หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการบริหารสินทรัพย์ลงทุน โดยกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาสินทรัพย์ลงทุนหรือตราสารทางการเงินต่างๆ ตั้งแต่ เงินฝาก ตราสารหนี้ระยะสั้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญ (ทั้งแบบออกใหม่อย่าง IPOs/SEOs และที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดรอง) รวมทั้งหน่วยลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ โดยวิชาในกลุ่มนี้มักจะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ราคา (Valuation) ผลตอบแทนคาดหวังและความเสี่ยง (Expected Returns and Risk) ของตราสารทางการเงินแต่ละประเภท วิชาภายใต้กลุ่มนี้มีเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น จรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพทางด้านการเงินการลงทุน (Ethics in Finance and Investment), ทฤษฎีการลงทุนและการบริหารพอร์ตโฟลิโอ (Investment Theory and Portfolio Management), การวิเคราะห์ตราสารทุน (Equity Valuation), ตราสารหนี้ (Fixed Income Securities), ตราสารอนุพันธ์และการบริหารความเสี่ยง (Derivatives and Risk Management), การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments), วาณิชธนกิจ (Investment Banking), การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management), การเงินเชิงพฤติกรรม (Behavioral Finance), การเงินเชิงปริมาณ (Quantitative Finance), การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการตัดสินใจทางการเงิน (Data Analytics for Finance), และเทคโนโลยีทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล (Fintech and Digital Assets) โดยคุณวุฒิหรือ Certificates ระดับนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับทางด้านการเงินการลงทุน ได้แก่ Chartered Financial Analyst® (CFA®) และ Certified Financial PlannerTM (CFP®) เป็นต้น

ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าข้อมูลของอาชีพสายการเงินและวิชาเรียนที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเป็นประโยชน์สำหรับนิสิตนักศึกษาที่สนใจเรียนด้านการเงินและมาประกอบอาชีพทางด้านการเงิน รวมทั้งผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายการทำงาน โดยข้อมูลข้างต้นน่าจะเป็นประโยชน์ในการเลือกหลักสูตรการเงินและ/หรือวิชาการเงินต่างๆ ที่ตรงกับความสนใจของตนเอง เพื่อนำไปประกอบอาชีพทางการเงินต่อไปครับ


บทความโดย: รศ.ดร. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์   CFA

   คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

X

Right Click

No right click