เพิ่งฉลองครบรอบ 1 ขวบปีไปได้ไม่นาน ล่าสุด โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร จุดหมายใหม่เพื่อผู้ประกอบการ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ยังเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสาขาลำดับที่ 10 “สาขาเจริญราษฎร์” เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 4 ธันวาคมนี้ ส่งท้ายปี 2567
เจริญราษฎร์ คือย่านไหนของกรุงเทพมหานคร ทำไม โก โฮลเซลล์ ถึงมาปักหลัก
พบจุดหมายใหม่ของผู้ประกอบการได้ ณ โก โฮลเซลล์ สาขาเจริญราษฎร์ แหล่งรวมวัตถุดิบอาหาร ขนาดใหญ่ ในราคาขายส่ง ที่ครบครันด้วยสินค้าอาหารสด อาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภค จากทุกมุมโลกกว่า 20,000 รายการ พร้อมมีสิทธิประโยชน์แรกเข้ามากมาย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.00 น. ทุกวัน (เฉพาะวันที่ 4 ธันวาคม เปิดให้บริการลูกค้าตั้งแต่เวลา 10.00 น.-22.00 น.)
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดกิจกรรมลูกค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “ไหว้พระขอพร กับ ซินแสเป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร” ร่วมขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัดตะโก วัดสะแก วัดสะตือ วัดโกโรโกโส และปราสาทนครหลวง พร้อมรับประทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารศิวิไลซ์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยกิจกรรมดังกล่าวได้ส่งมอบความสุข สนุกสนาน และเกร็ดความรู้ในการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากซินแสเป็นหนึ่ง ซินแสชื่อดังของประเทศไทย ทั้งนี้กิจกรรมได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และได้รับคะแนนความพึงพอใจในการจัดงานจากลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรม สูงถึง 100% ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
THAIBIZ สื่อภาษาญี่ปุ่นระดับชั้นนำที่นำเสนอข้อมูลแวดวงเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย เปิดตัวโครงการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้รับการสนับสนุนจาก 3 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท เดนท์สุ โซเคน (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เซนโช (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมบริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 350,000 บาท ผ่านสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อจัดหาปัจจัยยังชีพและสิ่งของที่จำเป็นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรค
ยูกิโกะ ซากุราอิ (Yukiko Sakurai) PPH Officer จาก UNHCR ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งการสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราและองค์กรญี่ปุ่น รวมถึงอาจนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันที่แนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต”
นอกจากนี้จากผลสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เผยให้เห็นว่ามี 77 บริษัทจาก 93 บริษัทสมาชิก ร่วมดำเนินการบริจาค หรือมีแผนที่จะบริจาคเงินและสิ่งของต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือฯ รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ผ่านหลายองค์กร JCC ยังร่วมสมทบทุนบริจาคเงินเพิ่มอีก 200,000 บาท ซึ่งช่วยสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทญี่ปุ่นและประเทศไทยที่พร้อมจะยืนเคียงข้างแม้ในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ทาง THAIBIZ รับหน้าที่ประสานเพื่อส่งมอบเตาแก๊สพกพา 480 ชุดจากบริษัท อิวาตานิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ให้แก่ผู้ประสบภัยที่เขตพื้นที่อำเภอแม่สาย ภายใต้โครงการ "หมดตัวไม่หมดใจเพราะยังมี...ตันXจัน" ของ ตัน ภาสกรนที และสำนักข่าวอีจัน ณ ที่ทำการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายอีกด้วย
กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด และผู้ก่อตั้งสื่อ THAIBIZ กล่าวว่า “การร่วมส่งต่อน้ำใจจากบริษัทญี่ปุ่นในครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่กำลังเดือดร้อนให้มีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UNHCR ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยที่จะก้าวไปมีบทบาทสำคัญในเวทีนานาชาติในอนาคต
ขณะเดียวกันในฐานะที่ THAIBIZ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยให้ข้อมูลและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทไทยและญี่ปุ่นมาโดยตลอด ดังนั้นโครงการระดมทุนในครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำบทบาทของ THAIBIZ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้ยั่งยืนและเข้มแข็งขึ้นต่อไปในอนาคต”
สำหรับองค์กรไทยที่ต้องการสร้างการรับรู้ในหมู่นักลงทุนญี่ปุ่น สามารถติดต่อเพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ THAIBIZ ได้ที่โทร. 02-392-3288 หรือ e-mail This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือเว็บไซต์ https://th-biz.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)
ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลเป็นส่วนหนึ่งของระบบการค้าระหว่างประเทศ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และต่อไปสู่อนาคต เพราะเป็นเพียงการขนส่งชนิดเดียวที่ขนส่งสินค้าได้คราวละมาก ๆ และค่าระวางเรือมีราคาถูกกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือจึงเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจการเดินเรือขนส่งและกิจการการค้าระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จึงสนับสนุนธุรกิจในกลุ่มพาณิชยนาวีมาอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ทศวรรษ และได้ขยายการสนับสนุนเพื่อให้ครอบคลุมถึงธุรกิจบริการวิศวกรรมทางทะเล ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพเทียบเท่าสากล เพราะเป็นธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ในบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย EXIM BANK ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการพาณิชยนาวีของไทยที่มีศักยภาพในการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพกองเรือ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน (Blue Economy) โดยใช้กองเรือไทยที่มีความทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และอัตราการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของ EXIM BANK สู่การเป็น Green Development Bank ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
ดร.รักษ์ กล่าวว่า บริษัทเดินเรือส่วนใหญ่ได้ขอสนับสนุนในการลงทุนต่อเรือใหม่สำหรับใช้ขนส่งสินค้าข้ามทวีปในเส้นทางเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มอุปทานธุรกิจบริการขนส่งสินค้าของกองเรือไทย แต่การสนับสนุนธุรกิจทางทะเล EXIM BANK ได้ขยายการสนับสนุนเพิ่มเติมไปถึงการต่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เพื่อให้บริการในทะเลรูปแบบอื่น ๆ หนึ่งในนั้นคือ การให้บริการงานวิศวกรรมทางทะเล ซ่อมบำรุง ติดตั้งและรื้อถอนแท่นขุดเจาะน้ำมันทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเพราะเป็นผู้ให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
ลูกค้าของ EXIM BANK ที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนหมุนเวียนและการค้ำประกันสัญญาธุรกิจคือ บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือ TTA เป็นผู้ให้บริการงานนอกชายฝั่งและวิศวกรรมใต้น้ำ (Subsea Engineering) ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง (Offshore) สามารถรุกตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ชายฝั่งในซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ รวมทั้งได้รับงานจาก บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการทำงานระดับโลก ต่อเนื่องกว่า 10 ปี โดยกลุ่มบริษัทเมอร์เมดเป็นผู้ประกอบการไทยเพียงรายเดียว ที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทน้ำมันชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง นับว่าเป็นบริษัทที่มีคุณภาพระดับโลกและเป็นธุรกิจของคนไทยที่สามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ด้วย
นายพิบูลย์ บัวคุณงามเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้มาจากการที่บริษัทเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ลดการพึ่งพาต่างชาติในธุรกิจที่มีความสำคัญและเป็นรากฐานของแหล่งพลังงานในอ่าวไทย จึงได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในด้านให้บริการงานวิศวกรรมทางทะเล รองรับความต้องการของลูกค้าในประเทศ ลูกค้าส่วนใหญ่คือ บริษัทที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย ต่อมาได้ขยายธุรกิจการให้บริการออกไปยังภูมิภาคอาเซียน และในต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบตะวันออกกลาง เช่น ประเทศซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ กลุ่มลูกค้าตลาดต่างประเทศ เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
“จุดแข็งของบริษัทคือ นโยบายด้านความปลอดภัย คุณภาพที่เชื่อถือได้ และประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับการบริการที่มีมาตรฐาน ตรงต่อเวลา จึงเกิดเป็นความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีกองเรือ เรือของบริษัทเอง ที่พร้อมให้บริการลูกค้า และยังได้ทำสัญญาเช่าเรือระยะยาวกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อรองรับการให้บริการได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่มีการแข่งขันรุงแรงขึ้นในปัจจุบัน” นายพิบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ความท้าทายในอนาคตของธุรกิจซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากฟอสซิลไปเป็นพลังงานทางเลือกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้ลูกค้ามีการพิจารณาปรับแผนการลงทุนระยะยาวบางส่วน และมองหาการลงทุนระยะกลางและระยะสั้น การขุดเจาะสำรวจน้ำมันอาจจะลดลงอนาคต แต่บริษัทรับงานการถอนติดตั้งแท่นขุดเจาะที่หมดอายุสัมปทานด้วย และในอนาคตสามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปให้บริการแก่ธุรกิจพลังงานทางเลือก ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสม
นายพิบูลย์ กล่าวว่า EXIM BANK มีความสำคัญอย่างมากต่อการส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง การได้รับการสนับสนุนแหล่งเงินทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความพร้อมและเหมาะสมรองรับการดำเนินงานและการขยายตัวของผู้ประกอบการไทย จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบ และช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างยั่งยืน สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้เป็นส่วนร่วมที่สำคัญให้กับประเทศไทย ในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ทัดเทียมกับนานาชาติได้อย่างเต็มภาคภูมิ
หากผู้ประกอบการต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ EXIM BANK มีบริการทางการเงินที่หลากหลายและครบวงจร รวมทั้งเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นในเวทีการค้าโลก ปรึกษาปัญหาธุรกิจกับ EXIM BANK โทร. 0 2169 9999
ชมวิดีโอสัมภาษณ์นายพิบูลย์ บัวคุณงามเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) เรื่อง “เมอร์เมด มาริไทม์…ผู้นำระดับโลกด้านวิศวกรรมทางทะเล” ได้ที่นี่
กระทรวงดีอี - ดีป้า ชูผลการการดำเนินโครงการสีคิ้วสมาร์ทลีฟวิ่ง (SIKHIO SMART LIVING) พลิกโฉมเมืองสีคิ้วสู่เมืองอัจฉริยะเต็มรูปแบบ ยกระดับด้านความปลอดภัย ด้านบริการภาครัฐ และด้านการบริหารจัดการข้อมูลเมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารจัดการเมืองในภาคประชาชน สังคมและท้องถิ่น
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เผยว่า การดำเนินโครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารจัดการเมือง ภาคประชาชน สังคม และท้องถิ่น ในพื้นที่อำเภอสีคิ้ว (SIKHIO SMART LIVING) ที่ดำเนินการโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) โดย ดีป้า มุ่งเน้นการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองเป็นหลัก โดย ดีป้า ทำหน้าที่เหมือนเป็นพี่เลี้ยง เชื่อมโยงให้เมืองเข้าถึงโซลูชันเพื่อการพัฒนาเมือง ได้เลือกลองเลือกใช้จนเกิดเป็นความเข้าใจ และนำมาบูรณาการเข้ากับการบริหารจัดการเมืองให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเมืองได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาเมืองครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่ ด้านความปลอดภัย ด้านบริการภาครัฐ และด้านการบริหารจัดการข้อมูลเมือง (City Data Platform: CDP) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ให้ดีขึ้น
ด้านความปลอดภัย ได้ดำเนินการยกระดับซอฟต์แวร์ของกล้อง CCTV ทั้งหมดในอำเภอสีคิ้ว จำนวน 52 ตัว เพื่อยกระดับเมืองให้มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยนำ AI (Artificial Intelligence) มาใช้ในการตรวจจับรถและบุคคล เช่น สี ยี่ห้อรถ ประเภทของรถ เพศ ช่วงอายุ สีของเสื้อผ้าที่สวมใส่ เป็นต้น กรณีเกิดเหตุ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับคนร้ายได้อย่างทันท่วงที และการพัฒนาภายใต้โครงการนี้ยังได้มีการนำ LINE OA มาติดตั้งและประสานรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียน โดยตลอดการดำเนินโครงการกว่า 180 วัน หน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถรับแจ้งเหตุมากกว่า 700 เคส โดยเหตุที่ได้รับแจ้งมากที่สุดคือ ไฟฟ้าสาธารณะดับ ซึ่งระบบดังกล่าวนอกจากประชาชนได้รับการแก้ปัญหาที่เร็วขึ้นแล้ว ผู้มีส่วนในการบริหารเมืองสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อวางแผน และแก้ปัญหาในระยะยาวต่อไป
ด้านบริการภาครัฐ ทำการออกแบบระบบงาน (Software Design Document) ให้สามารถเชื่อมโยงการรับและส่งข้อมูลของเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ เช่น จำนวนกล้อง CCTV ถังดับเพลิง และเสาไฟส่องสว่าง ทำให้ติดตามสถานะของปัญหาและจัดการปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ด้านการบริหารจัดการข้อมูลเมือง โดยการสร้างแดชบอร์ด (Dashboard) เพื่อรวบรวมและบริการจัดการปัญหาของเมือง เช่น ปัญหาไฟฟ้า ทางเท้าชำรุด ขยะสาธารณะ ฯลฯ ซึ่งช่วยให้ทำให้สามารถจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหาตามความเร่งด่วนและความถี่ที่เกิดขึ้นได้ นอกกจากนี้ยังมีแดชบอร์ดเกี่ยวกับข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน ข้อมูลความสูงพุ่มไม้ ข้อมูลด้านสัตว์เลี้ยง ทำให้ง่ายต่อจัดซื้อวัคซีนสัตว์เลี้ยงเพื่อให้บริการกับประชาชน รวมไปถึงข้อมูลด้านสวัสดิการของประชาชน ในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสามารถทราบถึงตำแหน่งที่ตั้ง และจัดส่งทีมช่วยเหลือหรือให้บริการทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา
ทั้งนี้ โครงการสีคิ้วสมาร์ทลีฟวิ่ง (SIKHIO SMART LIVING) ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการดำเนินงานด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทยที่มุ่งเน้นความสำเร็จที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของเมืองเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเมืองที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาเมือง การกำหนดนโยบายขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงบริบทของเมืองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน
‘Asia International Hemp Expo 2024’ พร้อมเปิดงานอุตสาหกรรมกัญชงที่ครบครับที่สุดของเอเชีย ด้วยความร่วมมือของ สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (TiHTA) จับมือกับ นีโอ เดินหน้าสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงนักลงทุน นักอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนกัญชงไทยไปพร้อมกับอุตสาหกรรมเฮมป์ทั่วโลก พร้อมประกาศจับมือ 12 ชาติ ก่อตั้ง ‘สมาพันธ์กัญชงนานาชาติเอเชีย’ ขจัดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริม พัฒนาและสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกัญชงร่วมกัน
นายพรชัย ปัทมินทร นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันพืชกัญชงได้รับการพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งบริบทสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในวงกว้างคือการเป็นพืชลดการปล่อยคาร์บอนและเน้นดูดซับมากกว่าการปล่อย (Carbon Negative) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเส้นใยจากกัญชงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกำลังเติบโตในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากเส้นใยมีคุณสมบัติพิเศษในด้านความแข็งแรง ทนทาน สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้จึงถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อาทิ ผ้า เสื้อผ้า วัสดุก่อสร้าง รวมถึงการนำมาใช้ทดแทนพลาสติกและไนลอน ส่งผลให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมเส้นใยกัญชงในอนาคตช่วยลดปริมาณขยะที่ไม่ย่อยสลาย ลดการตัดไม้ทำลายป่า เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งนี้พืชกัญชง ถือเป็นพืชทางเลือกที่ต้องเร่งศึกษาและวิจัยนวัตกรรมมากขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเส้นใยที่มีมูลค่ามหาศาล ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตอบโจทย์ความต้องการของโลกในยุคปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ การพัฒนาการใช้วัตถุดิบกัญชงในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ มีแนวโน้มการเติบโตตามเทรนด์ Health & Wellness โดยในปี 2567 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 48,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 8.5% จากปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical tourism) ความนิยมผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติที่มีมากขึ้น อีกทั้งในทางการแพทย์ผลิตภัณฑ์จากกัญชงสามารถลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรค NCDs (non-communicable diseases) หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สร้างขึ้นเองจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น
12 ชาติผนึกกำลัง จัดตั้ง ‘สมาพันธ์กัญชงนานาชาติเอเชีย’
สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย ร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติรวมทั้งหมด 12 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ปากีสถาน มองโกเลีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยูเครน สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศ EU จัดตั้ง ‘สมาพันธ์กัญชงนานาชาติเอเชีย’ (Asia International Hemp Federation - AIHF) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมการค้าและพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบ และอุปสรรคทางการค้าในแต่ละประเทศ รวมถึงการจัดตั้งแพลตฟอร์มการค้าผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เพื่อเชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้ขาย นำไปสู่การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรมและผู้จัดจำหน่าย
ทั้งนี้ สมาพันธ์ฯได้วาง 4 พันธกิจในการดำเนินงาน ได้แก่ 1. ส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาอุตสาหกรรม ด้วยการสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมระหว่างเกษตรกร ผู้แปรรูป นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบาย โดยมีการตั้งมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการผลิตและคุณภาพของเฮมป์ในเอเชีย และร่วมส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมกัญชง 2. สร้างความเข้าใจและการยอมรับ ผ่านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเฮมป์ และร่วมกันจัดแคมเปญการตระหนักรู้เพื่อเน้นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจ 3. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและนโยบาย โดยสมาพันธ์จะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเฮมป์ในการหารือเรื่องนโยบาย ด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์กับหน่วยงานรัฐบาลเพื่อพัฒนานโยบายที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรม รวมถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลในการกำหนดมาตรฐานการทดสอบ และความปลอดภัย รวมถึงขีดจำกัดของสารสกัด THC และ 4.ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้เฮมป์ในทุกด้านเพื่อลดปริมาณขยะ
‘กัญชง’ พืชเศรษฐกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมตอบโจทย์ความยั่งยืน
ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมกัญชงทั่วโลก และนับรวมกับกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยมีมูลค่าประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 หรืออัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัสดุจากกัญชง (รวมพลาสติกชีวภาพและวัสดุก่อสร้าง) มีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีข้างหน้า สะท้อนถึงความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืนและผู้บริโภคหันมาเลือกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งได้ปัจจัยบวกจากการสนับสนุนของรัฐบาลหลายประเทศในการออกนโยบายสนับสนุนการปลูกและการใช้กัญชงเพื่ออุตสาหกรรมมากขึ้น สร้างแรงผลักดันที่สำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบันอุตสาหกรรมกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อมนานาประเทศกำลังขยายตัว และถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน อาทิ การใช้วัสดุทดแทนพลาสติก ด้วยการนำไปผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติในการผลิตบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนยานยนต์, อุตสาหกรรมแฟชั่น โดยใช้เส้นใยกัญชงในการผลิตผ้าและเสื้อผ้า ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, วัสดุก่อสร้าง นำมาผลิตเป็นคอนกรีตกัญชง สนับสนุนวัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างความยั่งยืน, เกษตรกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยพืชกัญชงมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูดินและลดการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม ช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า การจัดงาน Asia International Hemp Expo 2024 งานประจำปีของอุตสาหกรรมกัญชงที่ครบครันที่สุดในงานเดียว โดยในปีนี้ได้วางแนวทางในการเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงนักลงทุน ผู้ประกอบการ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกัญชง สร้างโอกาสแก่กัญชงไทยและอุตสาหกรรมกัญชง ผ่านการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกัญชงทั้ง 14 อุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำในกระบวนการปลูก จนถึงปลายน้ำที่นำเสนอเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า และนวัตกรรม โดยมีผู้จัดแสดงงานภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมงานกว่า 150 บริษัท ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 40 หน่วยงาน นอกจากนี้ได้เปิดเวทีสัมมนาประจำปีที่มีนักอุตสาหกรรมกัญชงจาก 40 ประเทศเข้าร่วมงาน เพื่อนำเสนอเทรนด์และแนวโน้มของอุตสาหกรรมกัญชงในปัจจุบันและอนาคต และสร้างพื้นที่เพื่อเจรจาในการมองหาโอกาสทางธุรกิจ
ขณะเดียวกันได้นำเสนอแนวคิดการจัดงาน ‘Hemp Inspires’ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์กัญชงจากความร่วมมือของสมาคม Design and Object จัดแสดงผลงานเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไลฟ์สไตล์ สำหรับกลุ่มนักออกแบบ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม กลุ่มธุรกิจคาร์บอนต่ำ และแฟชั่นโชว์ในช่วงพิธีเปิดงานด้วยคอลเลกชันเสื้อผ้าเส้นใยกัญชงของ Earthology Studio
“สำหรับงาน Asia International Hemp Expo 2024 ผมคาดว่าปีนี้ผู้เข้าชมงานจะอยู่ประมาณ 10,000 คน เม็ดเงินสะพัดจากการจัดงานราว 1,000 ล้านบาท สะท้อนว่าอุตสาหกรรมกัญชงยังคงได้รับความนิยมทั้งจากนักลงทุน ผู้ประกอบการ นักอุตสาหกรรมกัญชงทั้งจากในไทยและต่างประเทศ เชื่อว่างานจะเป็นเวทีและพื้นที่ในการสร้างโอกาสเพื่อก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมกัญชง สำหรับงานนี้จะมีการควบคุมผู้เข้าชมงาน โดยต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 ณ Hall 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” คุณสุรพล กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะองค์กรที่เป็นพลังขับเคลื่อนหลักของประเทศมาโดยตลอด คว้ารางวัลพระราชทาน “ความเป็นเลิศด้านการตลาด” (Marketing Excellence Award) เป็นครั้งที่ 2 และรางวัลโดดเด่น “ด้านการบริหารทางการเงิน” (Financial Management Excellence Award ระดับ Distinguished) ประเภทกลุ่ม Thailand Corporate Excellence Awards 2024 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรางวัลให้แก่องค์กรที่มีความเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ภายในงานได้รับเกียรติจากนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรีเป็นประธานมอบรางวัล
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ในนาม เซ็นทรัลพัฒนา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2024 ในสาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด เป็นครั้งที่ 2 โดยตลอด 44 ปีที่ผ่านมาเซ็นทรัลพัฒนา มุ่งมั่นเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของประเทศมาโดยตลอด ด้วยบทบาทของ Place Maker และการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่มีส่วนยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อม เราภูมิใจอย่างยิ่งที่การพัฒนาโครงการต่างๆ ของเราทั่วประเทศ ได้ช่วยสร้างงาน กระจายรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวให้กับประเทศ พร้อมเชิดชูอัตลักษณ์ของทุกจังหวัดที่เราเข้าไปพัฒนา อีกทั้งโครงการของเรายังเป็นพื้นที่แห่งความสุขของคนทุกเพศ ทุกวัย ได้มาใช้ช่วงเวลาที่ดีร่วมกันในทุกโอกาสและทุกเทศกาล นอกจากนี้ เรายังเป็นรายแรกๆ ที่ได้ริเริ่มสร้างพื้นที่สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงด้วย ทำให้เราเป็น ‘ศูนย์กลางแห่งการใช้ชีวิต’ ของคนทุกกลุ่มในสังคมไทย อีกทั้งการพัฒนาและขยายโครงการของเราทั่วประเทศยังได้สร้างรายได้ให้กับชุมชน และช่วยสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ ให้มีโอกาสค้าขาย และเติบโตในวงการค้าปลีกไทย นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการในระดับ Global Destinations หลายโครงการ ตลอดจนการผลักดันและริเริ่มเทศกาลต่างๆ ทั้งสงกรานต์, Pride Month และงาน Countdown นำไปสู่การสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ จึงนำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ทีมงานทุกคนรวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วน และจะเป็นแรงบันดาลใจให้เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อประเทศชาติและเพื่อทุกคนต่อไป”
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับรางวัลระดับ Distinguished ในสาขาความเป็นเลิศด้านการบริหารทางการเงินจากเวทีเดียวกันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลการันตีที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็น The Ecosystem for All ระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับทุกภาคส่วน โดยยึดมั่นในหลัก ESG ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล โปร่งใส พร้อมสื่อสารกับ Stakeholders อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปีนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จและได้รับรางวัลในระดับประเทศและระดับโลกมากมาย ได้แก่ ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับหนึ่งองค์กรยั่งยืนระดับโลก โดย DJSI World 2023 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 500 บริษัทใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2024 Fortune Southeast Asia 500 รวมถึงรางวัลการันตีที่สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และนักวิเคราะห์ ในระดับประเทศและเอเชีย ในด้านความยั่งยืน เราเป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกในไทยที่ริเริ่มนวัตกรรมทางการเงินออกพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) และพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bonds) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อมและการมุ่งสู่เป้าหมาย NET Zero 2050 อีกด้วย”
เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาโครงการต่างๆ บุกเบิกสร้างเมืองและพัฒนาเศรษฐกิจทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อความยั่งยืนของสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง โดยภายในปี 2567เซ็นทรัลพัฒนา จะมีศูนย์การค้าทั้งหมด 42 โครงการในไทยและมาเลเซีย, คอมมูนิตี้ มอลล์ 15 โครงการ, โครงการที่พักอาศัย 43 โครงการ, อาคารสำนักงาน 10 แห่ง และโรงแรม 10 แห่ง