ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชน EXIM BANK พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทย โดยออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ปัจจุบันเท่ากับ 6.35% ต่อปี
ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้โดยลงทะเบียนผ่าน www.exim.go.th สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999
“EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ขอแสดงความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และยินดีช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการด้วยมาตรการเพิ่มทุนและโอกาส เพื่อให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนหรือมีเงินทุนสำหรับฟื้นฟูกิจการ ลดภาระการชำระหนี้ โดยพักการชำระเงินต้นและแปลงหนี้เป็นระยะยาว ตลอดจนขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเงินกู้ ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่สะดุดและต่อเนื่องท่ามกลางปัญหาและปัจจัยท้าทายต่าง ๆ” ดร.รักษ์ กล่าว
FTSE Russell บริษัทในเครือตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ในฐานะผู้ประเมิน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับสากล ประกาศรายชื่อบริษัทติดอันดับดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good 2024 โดยทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นเทคคอมปานีไทยรายเดียวที่ติดกลุ่มคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นจาก 4.4 ในปีที่ผ่านมา เป็น 4.5 จากคะแนนเต็มรวม 5 คะแนน โดยเฉพาะมิติด้านธรรมาภิบาลที่ได้คะแนนเต็ม 5 คะแนน จากการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีโครงสร้างคณะกรรมการเป็นไปตามสากล ประกอบด้วยคณะกรรมการอิสระ คณะกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร มีคณะกรรมการเพศชายและหญิง ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ รวมถึงนโยบายต่อต้านการทุจริต จัดตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลธรรมาภิบาลภายในบริษัทโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดทางกฎหมายและจริยธรรม ตลอดจนสร้างวัฒนธรรม ‘Speak Up’ ที่ให้พนักงาน รวมถึงบุคคลภายนอก มีส่วนร่วมแจ้งเบาะแสที่อาจละเมิดต่อหลักธรรมาภิบาล (Code of Conduct) ของบริษัท ผ่านสายด่วนธรรมาภิบาล (Integrity Hotline)
มาตรวัดความยั่งยืนผ่านมาตรฐานระดับโลก FTSE Russell
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศยกระดับการประเมินความยั่งยืนบริษัทจดทะเบียนไทย จากเดิมที่เคยใช้เกณฑ์หุ้นยั่งยืน (THSI: Thailand Sustainability Investment) หรือที่รู้จักกันในชื่อ SET ESG Ratings เพื่อประเมินและรวบรวมบริษัทเข้ากลุ่มหุ้นยั่งยืน เปลี่ยนมาเป็นดัชนีมาตรฐานสากล FTSE4Good ของ FTSE Russell ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเน้นประเมินข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยสู่สาธารณะทั้งในและต่างประเทศอย่างโปร่งใส ประเมินหลักทรัพย์กว่า 8,000 แห่งทั่วโลกจาก 47 ประเทศ ซึ่งมีเกณฑ์พิจารณาตัวชี้วัดมากกว่า 300 ด้าน 14 ธีม ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยได้ให้บจ.ในไทย เตรียมความพร้อม 2 ปี ก่อนการประเมิน และจะประกาศผลคะแนน ESG สู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ทรู พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ฝ่าด่านประเมินเข้มข้นมาตลอด 8 ปีซ้อน
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นความสำคัญของการประเมิน FSTE Russell ซึ่งเป็นอีกหนี่งมาตรวัดให้องค์กรต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงทรูได้นำข้อเรียนรู้มาพัฒนา ลดความเสี่ยง ตลอดจนสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทรู ได้ศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อมกับการประเมิน ESG Score โดย FTSE Russell มานานกว่า 8 ปีแล้ว เนื่องด้วยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูง เมื่อเทียบกับบริษัทเทเลคอมทั่วโลก ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้ารักษามาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากลที่เข้มข้นนี้ต่อไป หลังจากที่ในปี 2024 ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good อีกครั้ง ด้วยคะแนนระดับท็อปต่อเนื่องเป็นปีที่ 8”
เจาะลึก “ทรู” ผ่านประเมินเข้ม FSTE4Good 2024
ในปีนี้ นอกจากที่ทรู ผ่านการประเมิน FSTE Russell ที่ได้คะแนนเต็มในมิติด้านธรรมาภิบาลแล้ว ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทรู สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12.7% เมื่อเทียบกับเป้าหมาย 12.6% ด้วยการนำเทคโนโลยี AI, Machine Learning มาบริหารจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ และติดตั้ง Solar Cell มากกว่า 7,000 แห่ง ที่เสาสัญญาณและสถานีฐาน และจะขยายสู่ Data Centers ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตามแนวทาง SBTi โดยในปี 2567 ทรูได้รับการรับรองเป้าหมาย Near-Term จาก SBTi เป็นรายแรกของบริษัทโทรคมนาคมไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมของตนเองให้ได้ราว 42% ภายในปี 2573 อีกด้วย
ส่วนด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า มีคุณธรรมและข้อพึงปฏิบัติสำหรับคู่ค้าที่กำหนดให้คู่ค้าต้องบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ทรู เริ่มผลักดันให้คู่ค้าหลัก 62% ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยจะดำเนินการให้ครบ 100% ในปี 2568 ขณะที่มิติด้านสังคม มีนโยบายด้านการบริหารแรงงานอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และแนวปฏิบัติด้านแรงงานสากล อีกทั้ง ยังมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ใช้ภายในองค์กรและกับพันธมิตรทางธุรกิจ สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQI และส่งเสริมแรงงานสตรี พร้อมการดูแลชุมชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ในยุคที่โลกมีการแข่งขันสูง ผู้ปกครองต่างตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเพื่อให้ลูกได้ประสบความสำเร็จในอนาคต หลายครอบครัววางแผนอยากให้ลูกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับโลก อย่างในเครือ ไอวี่ ลีก (Ivy League) สหรัฐอเมริกา หรือมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford) หรือ เคม-บริดจ์ (Cambridge) ในประเทศอังกฤษ และเริ่มเตรียมความพร้อมหาแนวทางให้กับลูกตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะช่วงอายุ 11-14 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการพัฒนาทักษะและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นช่วงวัยที่เด็กๆ เริ่มต้นค้นหาตัวเองและเริ่มวางแผนอนาคต
ล่าสุด คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น (Crimson Education) จัดสัมมนาหัวข้อ ‘เริ่มต้นเร็ว สู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่’ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้ร่วมรับฟังแนวทางการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ สำหรับนักเรียนไทยช่วงอายุ 11-14 ปี ได้เตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพและปูเส้นทางการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก โดยมี คุณภานุวัฒน์ เหลืองรัชนี ผู้อำนวยการ คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น ประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Crimson Education ประเทศไทย และ คุณแคสซิดี้ โกลด์แบลตต์ ผู้อำนวยการ คริมสัน ไรส์ (Ms. Cassidy Goldblatt, Director of Crimson Rise) ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวสู่ Top U ใน US & UK ตั้งแต่ Grade 6-12, การวางแผนไทม์ไลน์การเตรียมโปรไฟล์ในแต่ละระดับชั้นและอายุ, การเลือกหลักสูตร High School และการเริ่มค้นหาความสนใจและวิธีพัฒนาความถนัดของลูก ณ โรงแรม ซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 กรุงเทพฯ
คุณภานุวัฒน์ เหลืองรัชนี ผู้อำนวยการ คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น ประเทศไทย กล่าวว่า “การเตรียมตัวตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุ 11-14 ปี จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในสถาบันชั้นนำและต่อยอดสู่ความสำเร็จในอาชีพที่ใฝ่ฝัน แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในปัจจุบันคือ เด็กไทยยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดด้านไหน ซึ่งคริมสันจะเป็นผู้ช่วยพัฒนาและค้นหาศักยภาพของลูกๆ ทั้งในด้านวิชาการและทักษะส่วนบุคคล โดยจุดแข็งของคริมสันที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ คือ เรามีทีมงานระดับโลกที่มีประสบการณ์ตรงและจบจาก Top U โดยจะ matching ให้ตรงกับความต้องการของเด็กแต่ละคน อีกทั้งยังมีอดีตกรรมการคัดเลือกที่จะมาช่วยตรวจสอบใบสมัครของเด็กๆ พร้อมให้คำแนะนำวิธีการที่เหมาะสมตามความถนัดของแต่ละคนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจัดหากิจกรรมนอกหลักสูตรที่จะช่วยสร้างโปรไฟล์ที่โดดเด่น เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และสร้างความพร้อมในการแข่งขันกับนักเรียนจากทั่วโลก นอกจากนี้ คริมสันยังสามารถแนะนำโรงเรียนประจำระดับมัธยมปลาย สำหรับผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม เรียนรู้ทัศนคติและวิธีการเรียนการสอนที่เอื้อให้เด็กค้นพบตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนต่อในระดับสูงขึ้นอีกด้วย”
คุณแคสซิดี้ โกลด์แบลตต์ ผู้อำนวยการ คริมสัน ไรส์ กล่าวว่า “Crimson Rise คือโปรแกรมพัฒนาโปรไฟล์และทักษะสำหรับนักเรียนอายุ 11-14 ปี แห่งแรกของโลก ซึ่งจะมีกลุ่มผู้ปกครองและเด็กที่มองหาโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งใน US และ UK รวมถึงประเทศอื่นทั่วโลก คริมสันจึงได้ออกแบบโปรแกรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การเตรียมทัศนคติของนักเรียนให้มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ใช่แค่วิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปลูกฝังทักษะการใช้ชีวิต ฝึกให้มีทัศนคติเชิงบวกที่พร้อมรับมือกับอุปสรรคต่างๆ และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เด็กมีความโดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหา โดยหากเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงอายุ 11-14 ปี ก็จะช่วยลดความกดดันและลดความเครียดให้กับเด็กๆ ได้ โดยคริมสันจะออกแบบวิธีการเรียนรู้ที่เชื่อมทักษะต่างๆ ที่เหมาะสมกับความถนัดของนักเรียน กำหนดเป้าหมายในแต่ละขั้นของการเตรียมตัว คอยให้คำปรึกษาที่เหมาะสมกับพัฒนาการของแต่ละคน และสร้างความพร้อมให้กับทุกสถานการณ์ที่เด็กต้องเผชิญในอนาคต อีกทั้งยังปลูกฝังวิธีการนำเสนอและการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้อัตราการตอบรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกของ Crimson สูงกว่าทั่วไป จนกลายเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้”
จากสถิติของ Crimson Rise ที่ผ่านมา มีจำนวนนักเรียนที่ได้รับการตอบรับข้อเสนอให้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็นจำนวนมาก อาทิ มหาวิทยาลัยในเครือ IVY League จำนวน 797 คน, มหาวิทยาลัย Oxford จำนวน 287 คน, มหาวิทยาลัย 10 อันดับแรกในสหรัฐฯ จำนวน 1,300 คน และมหาวิทยาลัย 50 อันดับแรกในสหรัฐฯ มากกว่า 6,000 คน ซึ่งหากผู้ปกครองเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่เนิ่นๆ หรือ 4 ปีขึ้นไป จะยิ่งเพิ่มโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปถึง 9 เท่า
Crimson Rise ไม่เพียงแต่เป็นโปรแกรมเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตของเด็กๆ เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้าน และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทีทีบีไดรฟ์ โดยทีเอ็มบีธนชาต จัดโปรโมชันพิเศษเอาใจคนอยากซื้อรถยนต์ใหม่ส่งท้ายปี ภายในงาน Motor Expo 2024 เมื่อออกรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และจัดสินเชื่อรถยนต์ใหม่กับ ทีทีบีไดรฟ์ พร้อมเปิดบัญชี ttb all free และสมัครเข้าใช้งาน แอป ttb touch รับส่วนลดช่วยผ่อนชำระค่างวดสินเชื่อรถยนต์ สูงสุด 3,000 บาท (เฉพาะแบรนด์และรุ่นย่อยที่ร่วมรายการจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อย่างเป็นทางการเท่านั้น) พิเศษขึ้นอีก เมื่อสมัครสินเชื่อผ่านฟีเจอร์ My Credit บนแอป ttb touch ซึ่งสามารถรู้วงเงินเบื้องต้นก่อนออกรถใหม่ภายใน 2 นาที รับของสมนาคุณ ฟรี Power Bank สีดำ ขนาดความจุ 10,000 mAh มูลค่า 990 บาท ที่บูททีทีบีไดรฟ์ ภายในงาน Motor Expo 2024 ระหว่างวันที่ 28 พ.ย. 2567 – 10 ธ.ค. 2567 โดยสินเชื่อต้องได้รับการอนุมัติสัญญาและรับรถยนต์ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2568
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/motor-expo-2024
และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์ ทีทีบีไดรฟ์ ได้ที่ www.ttbbank.com หรือ ttb contact center 1428 และ www.facebook.com/ttbDRIVE
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เดินหน้าสานต่อโครงการ “คูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 นำคาราวานแห่งไออุ่น ลงพื้นที่มอบเสื้อกันหนาว 10,000 ตัว ร่วมกับกองทัพบกใน 4 จังหวัด ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมจับมือร้านค้าผู้แทนจำหน่ายมอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมอบเสื้อกันหนาว 3,000 ตัว ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังผู้ที่ขาดแคลน ตอกย้ำการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันในการมุ่งมั่นเคียงข้างสังคมและเกษตรกรไทย
นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างภัยหนาว เราเล็งเห็นว่าเสื้อกันหนาวถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถพกพาหรือสวมใส่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันความหนาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เราจึงตั้งใจดำเนินโครงการคูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล และถือเป็นการแสดงความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เด็กๆ เยาวชน รวมถึงพี่น้องเกษตรกรทุกคน โดยตลอดระยะเวลา 46 ปี เราตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสยามคูโบต้า ทั้งนี้ สยามคูโบต้าได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกที่ทำงานใกล้ชิดดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จึงมีความเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกัน โดยเราจะพิจารณาพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และมีประชาชนที่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ภัยหนาวด้วย
สำหรับในปีนี้ สยามคูโบต้าได้ร่วมจัดคาราวานแบ่งปันความอบอุ่นผ่านเสื้อกันหนาว 4 จังหวัด ในพื้นที่ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร และได้รับความร่วมมือจากร้านค้าผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้ามอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ส่งมอบเสื้อกันหนาวผ่านกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการป้องกันบรรเทา และช่วยเหลือฟื้นฟูในทุกภัยพิบัติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 13,000 ตัว มูลค่ารวมกว่า 3,900,000 บาท ทั้งนี้ สยามคูโบต้าต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความร่วมมือในการเดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิต และแบ่งปันพลังแห่งความอบอุ่นเคียงข้างพี่น้องประชาชนและสังคมไทย”
พลเอก วสุ เจียมสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า “กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ พร้อมเข้าให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนในทุกกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสยามคูโบต้าเป็นภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนกองทัพบกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี ซึ่งในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นการรับมอบเสื้อกันหนาวในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ระหว่างกองทัพบกและสยามคูโบต้าในการเข้าถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวได้อย่างทันท่วงที
ด้าน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า “สำหรับปีนี้ เป็นการดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กับ สยามคูโบต้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในฐานะหน่วยงานกลางของภาครัฐในการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ เราได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวโดยเป็นศูนย์กลางการประสานการช่วยเหลือฯ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงภัยหนาว เน้นกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่ห่างไกลทุรกันดาร โดยได้วางแผนส่งมอบเสื้อกันหนาว ในพื้นที่เป้าหมาย 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงเชียงราย พะเยา และเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความต้องการเครื่องนุ่งห่มกันหนาวและเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดภัยหนาวตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา”
จากวันแรกของการริเริ่มโครงการจวบจนปีที่ 25 วันนี้สยามคูโบต้าได้บรรเทาความหนาวให้พี่น้องประชาชนไปแล้วกว่า 183,000 ราย ด้วยความมุ่งหวังสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมมุ่งมั่นตอบแทนสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกร และร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) (“FWD ประกันชีวิต”) คัดสรรผลิตภัณฑ์เด่นสำหรับลดหย่อนภาษีโดยเฉพาะ ให้ลูกค้าเลือกซื้อแผนประกันที่ตรงตามความต้องการได้บนช่องทาง e-commerce ทั้งแบบประกันสะสมทรัพย์ และแบบประกันบำนาญ รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท แบบเต็มแมกซ์ ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด พร้อมโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปี รับส่วนลดค่าเบี้ยฯ สูงสุด 7% หรือรับของรางวัลเมื่อสมัครและชำระเบี้ยฯ พร้อมผ่อนเบี้ยฯ 0% นานสูงสุด 10 เดือน ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม นี้
ด้วยหลักการทำงานที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer-led) ของ FWD ประกันชีวิต จึงได้รวบรวม ข้อมูลบทความให้ความรู้เกี่ยวกับการซื้อประกันลดหย่อนภาษี พร้อมเครื่องมือช่วยคำนวณภาษี ในที่เดียว พร้อมนำเสนอแผนประกันเพื่อลดหย่อนภาษีประจำปี 2567 เพื่อให้ลูกค้าสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเลือกซื้อแบบประกันที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการได้ด้วยตัวเองทางออนไลน์ ที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเว็บไซต์แคมเปญ https://www.fwd.co.th/th/tax-deduction-insurance
ในปีนี้ FWD ประกันชีวิต เสนอ 3 แผนประกันออนไลน์ยอดนิยม ที่ลูกค้าสามารถรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี สูงสุดถึง 300,000 บาท ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด ดังนี้
แคมเปญพิเศษ สำหรับผู้ที่สมัครและชำระเบี้ยประกันช่องทาง e-commerce ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 รับสิทธิประโยชน์
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันจาก FWD ประกันชีวิต เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ผ่านเว็บไซต์แคมเปญ https://www.fwd.co.th/th/tax-deduction-insurance
ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าพลิกโฉมโรงเรียน CONNEXT ED เฟสที่ 6 ผ่านโมเดล “ผู้ประกอบการจิ๋ว” ต่อเนื่อง ดึงผู้บริหาร-ครู-นักเรียน 6 โรงเรียนเจ้าของผลิตภัณฑ์ชุมชนเด่นจาก 6 ภูมิภาค ผ้ามัดย้อมดาวเรือง-กระเป๋าจากกระจูด-ไซรัปอ้อย-กรอบรูปถมทอง-ยาดมสมุนไพรไม้หอม-ข้าวพื้นเมือง ร่วมเวิร์คช็อปพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เพิ่มโอกาสต่อยอดสินค้า บูรณาการหลักสูตรพัฒนาทักษะวิชาการควบคู่วิชาชีพ หวังสร้างต้นแบบก่อนขยายผลสู่โรงเรียน CONNEXT ED ทั่วประเทศ ด้านโรงเรียน-นักเรียนปลื้ม เพิ่มรายได้กลับสู่โรงเรียน-ครอบครัว-ชุมชน สร้างแรงบันดาลใจประกอบอาชีพของเยาวชนในอนาคต
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า การสร้างคนผ่านการศึกษา ถือเป็นหนึ่งในกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ที่บริษัทยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 จัดงานสัมมนา “โครงการปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว 6 ภูมิภาค” คัดเลือกโรงเรียนนำร่องจากแต่ละภูมิภาค ที่สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างโดดเด่น และนำผู้บริหาร ครู นักเรียน จากโรงเรียนแต่ละแห่ง มาร่วมพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ ให้โรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง เกิดความยั่งยืน
“ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะวิชาการและวิชาชีพควบคู่กัน เรามองว่าทักษะการเป็นผู้ประกอบการ คือรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่วิชาชีพ และเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะช่วยให้เยาวชน ชุมชน โรงเรียน สามารถปรับตัวได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ประยุกต์โอกาส นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีอยู่รอบตัวในชุมชน มาสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ เราคาดหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้กลุ่มโรงเรียนนำร่องประสบความสำเร็จในการสร้างเยาวชนให้เป็นผู้ประกอบการจิ๋ว เกิดสินค้าที่สร้างรายได้คืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และกลายเป็นต้นแบบสู่การขยายผลไปยังโรงเรียน CONNEXT ED ที่เราดูแลอยู่กว่า 610 โรงเรียน” นายยุทธศักดิ์ กล่าว
สำหรับโรงเรียนนำร่องจาก 6 ภูมิภาค ได้แก่ 1.โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ตัวแทนภาคตะวันออก เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง 2.โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) ตัวแทนภาคใต้ เจ้าของผลิตภัณฑ์ กระเป๋าจากกระจูด 3.โรงเรียนโคกงามวิทยาคาร ตัวแทนภาคตะวันตก เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำตาลอ้อยก้อนและไซรัปอ้อย 4.โรงเรียนอนุบาลบ้านท่าพระยาจักร ตัวแทนภาคกลาง เจ้าของผลิตภัณฑ์กรอบรูปถมทอง 5.โรงเรียนบ้านสันป่าสัก ตัวแทนภาคเหนือ เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพรไม้หอม และ 6.โรงเรียนบ้านหนองคันนา ตัวแทนภาคอีสาน เจ้าของผลิตภัณฑ์ข้าวพื้นเมือง
นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ชุมชนใกล้เคียงโรงเรียนปลูกดอกดาวเรืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้ทยอยบูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อาทิ การเลือกดินเพาะปลูกดาวเรือง วิธีการปลูก การแปรรูป เวชสำอาง การตลาด บัญชี พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น ฝีมือเยาวชนและคนในชุมชน
“เราเริ่มขายมาได้ราว 2 ปี มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดแซค ลูกค้าหลักในปัจจุบันเป็นคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนที่มีฐานะไม่ดี มีองค์ความรู้ไปต่อยอดอาชีพของที่บ้าน รวมถึงมาทำงานด้านดาวเรืองเป็นอาชีพเสริมได้ ยิ่งในวันนี้โรงเรียนได้รับเลือกเป็นโรงเรียนนำร่อง มาร่วมสัมมนาปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว เชื่อว่าจะช่วยให้โรงเรียน เยาวชน ชุมชน สามารถพัฒนาและขายผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น” นางวรรณวนา กล่าว
น.ส. กัญญารัตน์ โหมดตาด หรือ โฟร์ท นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ได้เข้าร่วมพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองตั้งแต่ชั้น ม.1 ได้เรียนรู้ทั้งวิธีการปลูก วิธีการคัดเลือกพันธุ์ ทักษะวิชาชีพที่สามารถไปต่อยอดวิชาชีพอื่นได้ โดยตัวเธอเองมีความฝันอยากประกอบธุรกิจของตัวเอง โดยสนใจงานด้านแฟชั่นเสื้อผ้า ซึ่งต่อยอดจากการผลิตผ้ามัดย้อมในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน อยากให้โมเดลผู้ประกอบการจิ๋วเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง ต่อยอดไปถึงน้องๆ รุ่นต่อไป เนื่องจากผู้ปกครองเองก็ชอบกิจกรรมนี้ เพราะเกิดรายได้เสริม ลดภาระผู้ปกครอง เด็กๆ เองก็ได้รับความรู้ สนุกสนาน เกิดการสานสัมพันธ์ในโรงเรียน
นายอับดุลเลาะ อูเซ็ง คุณครูโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง คุณครูโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากกระจูด กล่าวว่า การสานกระจูดถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับการสานกระจูดควบคู่ไปกับการทำประมง โรงเรียนจึงได้ร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ บูรณาการการสานกระจูดและเส้นกกเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน จนได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบ (School Model) มีผลิตภัณฑ์หลักคือหูหิ้วถ้วยกาแฟจากเส้นกก ที่นำไปใช้ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หลายสาขาในพัทลุง และกระเป๋ากระจูดสานมือ วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว จึงมีความมุ่งหวังจะได้รับความรู้ด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ ด้านการตลาด เพื่อให้สามารถสร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน นักเรียน ชุมชน พร้อมทั้งพาผลิตภัณฑ์กระจูดให้เป็นที่รู้จักทั้งระดับในประเทศและนานาประเทศ
นายอัศม์เดช รักษ์จันทร์ หรือ ช้ะชิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง กล่าวว่า จากการสนับสนุนล่าสุดของซีพี ออลล์ จึงทำให้มีห้องไลฟ์สดในโรงเรียน และได้มีส่วนร่วมเป็นคนขายกระเป๋ากระจูดผ่านไลฟ์ รวมถึงการสานกระเป๋ากระจูดทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน ทั้งในรายวิชา อาทิ วิชาแปรรูปกระจูด วิชาแปรรูปเส้นกก ความฝันในอนาคต อยากเป็นคุณครูสอนวิชาศิลปะ เนื่องจากชื่นชอบในการเพนท์กระเป๋ากระจูด ขณะเดียวกัน อาจประกอบอาชีพเสริมด้วยการเพนท์กระเป๋ากระจูดลายภาพเหมือน เป็นภาพบุคคลให้เจ้าของกระเป๋าได้สะพาย
สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 55 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “Giving and sharing” วางเป้าดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED 6 เฟส จำนวนกว่า 610 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) จัดงานเสวนาพิเศษ Exclusive Luncheon Roundtable : Climate Tipping Point, A Race Against Time เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงจุดเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ โดยเชิญองค์กรชั้นนำของประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งในภาคการเงินและตลาดทุน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ขององค์กรให้เปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจโลกที่มีคาร์บอนต่ำ และมีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ โดยมี ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ (คนที่ 8 จากขวา) ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย และ ประธานกรรมการ บลจ.กสิกรไทย พร้อมด้วยนายวิน พรหมแพทย์ (คนที่ 7 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ร่วมให้การต้อนรับ ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ พหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้
“จากปีแรกที่ต้องลงพื้นที่เคาะประตูทุกโรงเรียนในอำเภอวังทองเพื่อหาทีมเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต มีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะการทำความเข้าใจกับทั้งครูและผู้ปกครองด้วยว่าแก่นแท้ของ อีสปอร์ต คืออะไร? ก่อนหน้านี้หลายคนยังเข้าใจผิดว่าเป็นการพนัน ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 การจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตได้รับความสนใจและมีทีมสมัครเข้าร่วมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าครูโดยเฉพาะผู้ปกครองเข้าใจมากขึ้นว่า เกมสามารถเล่นเป็นกีฬาได้และต่อยอดไปถึงการเป็นอาชีพได้อีกด้วย” นายจักรินทร์ กลิ่นอาจ (เจเจ) เจ้าหน้าที่เครือข่ายเยาวชน YSDN (Youth Strong & Development Network) ภายใต้ สำนักงานเครือข่ายงดเหล้า (สคล.) กล่าวถึงการจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ในระยะเริ่มแรก
เจ้าหน้าที่ YSDN อ.วังทอง หรือพี่เจเจของน้อง ๆ ยังกล่าวด้วยว่า กิจกรรมนี้จัดขึ้นตามความต้องการของเยาวชนในพื้นที่ โดยมีผลสำรวจในปี 2564 กว่า 800 ชุด ครอบคลุม 12 อำเภอ จังหวัดพิษณุโลก พบว่า อีสปอร์ต ( E-Sport ) เป็นกิจกรรมที่เยาวชนสนใจมากที่สุด จึงจัดกิจกรรมการแข่งขันอีสปอร์ตขึ้นครั้งแรก ในรุ่นอายุ ไม่เกิน 18 ปี มีเยาวชนสนใจเข้าร่วมจำนวนไม่น้อย โดยวัตถุประสงค์เบื้องต้นของการจัดการแข่งขันเพื่อจัดพื้นที่สร้างสรรค์ให้กับเยาวชนอำเภอวังทองได้มีพื้นที่แสดงออกโดยยึดตามสิ่งที่น้อง ๆ สนใจเป็นกิจกรรมหลัก และการแข่งขันในแต่ละครั้ง นอกจากความรู้เกี่ยวกับกีฬาอีสปอร์ต และการพัฒนาสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับพิษภัยจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อีกด้วย
ดังนั้น E-Sport ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของเยาวชนอำเภอวังทอง แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันเยาวชนจากปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะ ปัญหา เหล้า บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังระบาดในกลุ่มเยาวชน
ในการจัดการแข่งขันอีสปอร์ตล่าสุดในปี 2567 ได้ขยายแนวทางการป้องกันเยาวชนจากปัจจัยเสี่ยงมายังกลุ่มอายุไม่เกิน 15 ปี ภายใต้แข่งขันรายการ “YSDN วังทอง FREE FIRE E-sport 2024” รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี โดยปีนี้มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ 6 เข้าร่วมด้วย และจากการสำรวจพบว่าเกม FREE FIRE ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนักเรียนชั้น ป.4-6 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลและให้คำแนะนำในการเล่นเกมอย่างสร้างสรรค์
สำหรับ ฟรีไฟร์ ( Free Fire) เป็นเกมแบตเทิลรอยัลพัฒนาและจัดจำหน่าย โดยการีนา เป็นเกมมือถือที่ยอดดาวน์โหลดมากที่สุดทั่วโลกในปี 2562 เกมได้รับรางวัล "เกมยอดนิยมที่ดีที่สุด" โดยกูเกิล เพลย์สโตร์ในปี 2562 เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2563 ฟรีไฟร์ ได้สร้างสถิติมีผู้ใช้รายวันกว่า 80 ล้านทั่วโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ฟรีไฟร์ ทำรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั่วโลก และมีการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตนี้แบบมืออาชีพในประเทศไทยด้วย
นายจักรินทร์ กล่าวด้วยว่า เราไม่ได้จัดแค่การแข่งขัน แต่สอดแทรกความรู้เรื่องโทษภัยของเหล้าและบุหรี่ ผ่านกรณีศึกษาจริง ให้เยาวชนได้เรียนรู้และตัดสินใจด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้น้อง ๆ ก้าวสู่การแข่งขันระดับจังหวัดและระดับประเทศต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายด้านกิจกรรมสร้างสรรค์จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยกลไกระดับตำบลเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ส่วนการขอความร่วมมือจากร้านค้าในพื้นที่เพื่อควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่สำหรับเยาวชนยังดำเนินการอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนอย่างยั่งยืน
ด้าน นายชนะพล ศรีเรือง อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดท่าหมื่นราม อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ตัวแทนจาก ทีม TRM Academy ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศในรายการแข่งขัน “YSDN วังทอง FREE FIRE E-sport 2024” ครั้งที่ 3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเยาวชนที่สามารถแบ่งเวลาระหว่าง “เรียน” และ “เล่น” ได้อย่างลงตัว ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.96 กล่าวว่า ผมเล่นเกมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนแรกพ่อแม่ไม่ชอบมาก ๆ แต่ผมก็ดื้อไม่ได้หยุดเล่น สุดท้ายพิสูจน์ตัวเองได้ว่า สามารถสร้างสมดุลระหว่างเรียนกับเล่นได้ พ่อแม่ก็เข้าใจมากขึ้น ผมเต็มที่กับทุกเรื่อง ระหว่างเรียนผมก็ตั้งใจเรียนเต็มที่ เมื่อเล่นผมก็เล่นเต็มที่เช่นกัน นอกจากความเพลิดเพลินแล้ว การเล่นเกม ยังทำให้ผมได้เรียนรู้การบริหารจัดการเวลา การวางแผนกลยุทธ์ในการเล่น การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีม การสร้างความสามัคคีในกลุ่ม จนสามารถนำทีมคว้ารางวัลชนะเลิศของการแข่งขันครั้งนี้ได้
ขณะที่นายทศพล บุระพวง อาจารย์โรงเรียนวัดท่าหมื่น ผู้ดูแลทีม กล่าวว่า โรงเรียนไม่มีบุคลากรที่มีความรู้เรื่องเกมเลย บริบทของโรงเรียนจะไปในทางการเกษตร ปลูกผัก ทำนา และอื่น ๆ แต่เมื่อนักเรียนสนใจในเรื่องใด โรงเรียนก็พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยจัดเวลาให้ฝึกซ้อม สร้างความเข้าใจกับผู้ปกครอง ว่าเกมไม่ได้แค่สร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสร้างเป็นอาชีพได้ เกมยังเป็นกีฬาที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ การแพ้-ชนะ รับมือกับความผิดหวัง หรือ การมีน้ำให้กับเพื่อนนักกีฬาด้วยกัน ที่สำคัญ ทีมนักกีฬาอีสปอร์ตของเรา ยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ ได้ด้วย โดยพวกเขาไม่ได้ทิ้งการเรียนเลย สามารถแบ่งเวลา เรียน กับ เล่น ได้อย่างดี ผลการเรียนไม่ตกลงเลย สำหรับแนวทางการสนับสนุนของโรงเรียน อนาคตจะบรรจุ อีสปอร์ต ลงในรายการแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนเพิ่มเติมด้วย