December 05, 2025

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับมหาวิทยาลัยที่มีผลงานโดดเด่นในโครงการ "ECOLIFE in U" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และบริษัท คิดคิด จำกัด กิจการเพื่อสังคม ภายใต้การดำเนินกิจการโดย ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ณ อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “โครงการ "ECOLIFE in U" นับเป็นก้าวสำคัญของกระทรวง อว. ในการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน (Sustainable University) และมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้และปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับนิสิต นักศึกษา และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา โดย "U" หมายถึงทั้งนิสิต นักศึกษา (You) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ (University) ซึ่งเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2567”

"ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา การดำเนินกิจกรรมนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความสำคัญที่สถาบันอุดมศึกษามีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ปริมาณขยะ การใช้ไฟฟ้าและน้ำที่ลดลง รวมถึงการมีส่วนร่วมของนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น  และสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG หลายเป้าหมาย อาทิ  SDG 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ปัญหาจริงและลงมือแก้ไขจริง ทั้งในด้านการจัดการขยะ การอนุรักษ์พลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน  SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน ให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ต้นแบบของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น  SDG 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการลดการใช้พลาสติก และการส่งเสริมการนำขยะกลับมาใช้ซ้ำ  และ SDG 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมต่างๆ ในโครงการ ล้วนมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  กระทรวง อว. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากพลังของคนรุ่นใหม่แล้ว  สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ  ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”- ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายพิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิดคิด จำกัด กล่าวเสริมว่า แพลตฟอร์ม ECOLIFE เป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักสิ่งแวดล้อมที่ยังคงให้ความสนุกและเป็นระบบ ซึ่งเข้ามาช่วยจัดสรรให้นิสิต นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร สามารถเก็บข้อมูลการลดคาร์บอนฟุตพริ๊นท์ในระดับสถาบันการศึกษาได้อย่างเป็นระบบ เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รักษาสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่ความยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต”

สำหรับโครงการ "ECOLIFE in U" เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2567 บรรลุผลสำเร็จอย่างโดดเด่น โดยมีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม ECOLIFE Fill in (การบันทึกข้อมูลการคัดแยกขยะรีไซเคิล) จำนวนทั้งสิ้น 75 แห่ง โดยผลของการดำเนินกิจกรรมสามารถบันทึกน้ำหนักขยะรีไซเคิลรวมกว่า 9,525,471.51กิโลกรัม ลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 9,525.41 ตัน CO₂e และสำหรับกิจกรรม ECOLIFE มีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 43 แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 38,993 ราย ดำเนินกิจกรรมทั้งสิ้น 333,720รายการ และสามารถลดคาร์บอนเพิ่มเติมได้อีก 117,567.51 กิโลกรัม CO₂e รวมการลดคาร์บอนทั้งหมดประมาณ 249,346.5 ตัน CO₂e ซึ่งนำมาสู่ผลสำเร็จสำคัญ ซึ่งตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนิสิต นักศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ รางวัลมหาวิทยาลัยที่มีการปรับพฤติกรรมด้านความยั่งยืนและปริมาณการคัดแยกขยะรีไซเคิลมากที่สุด จากการบันทึกข้อมูลด้วย ECOLIFE Platform ในโครงการ "ECOLIFE In U" ทั้งสิ้น 5 รางวัล ได้แก่

  1. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  2. มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
  3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  4. มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
  5. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

และรางวัลมหาวิทยาลัยนำร่องในการดำเนินงานโครงการ "ECOLIFE In U" อีก 1 รางวัล ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโครงการ “ECOLIFE in U” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านความยั่งยืนในแนวทาง SDGs (Sustainable Development Goals เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) โดยเฉพาะการขยายการมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งการจัดกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ การสร้างแรงจูงใจ รวมถึงวิธีการต่างๆ ที่ให้เกิดความเหมาะสมกับแต่ละมหาวิทยาลัย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการ "ECOLIFE in U" เพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://sub.ecolifeapp.com/university เฟซบุ๊ก www.facebook.com/ECOLIFEapp  หรือ Add LINE: @ecolifeapp หรือคลิก https://lin.ee/0DhZ0BV

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสู่โลกการค้ายุคใหม่ ในงาน "เสริมแกร่งทัพการค้าไทย ด้วยบริการดิจิทัล ยุค AI" เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ เป็นประธานเปิดงานและเป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU 2 ฉบับ ได้แก่ 1) การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยด้านการค้า ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระห่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลด้านการค้าร่วมกัน โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ  2) การเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานและข้อมูล SMEs ระหว่าง DITP และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ SMEs ไทยในการเข้าถึงบริการระหว่าง 2 หน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งนี้ ตั้งเป้าพัฒนา AI Chatbot แล้วเสร็จในปี 2569

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวงที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI สาขา Generative AI จะเป็น change agent สำคัญของโลกการค้ายุคใหม่ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้าแก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ประกอบการซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพทางเศรษฐกิจ สามารถต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ ท่ามกลางตลาดโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความท้าทายที่ต้องปรับตัวได้เร็ว เพื่อต้องชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่สามารถทะลายไซโลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรมของกระทรวง โดยมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานเดียวกันแก้ pain point ของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำการค้าได้ครบถ้วน”

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เสริมว่า “การพัฒนา AI Chatbot ครั้งนี้มุ่งยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า ช่วยลดอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยี ทลายข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลกฎระเบียบการค้าที่มีปริมาณมาก ซับซ้อนเข้าใจยาก กระจัดกระจายหลายแหล่ง และเป็นภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ  ช่วยให้ SMEs ไทยก้าวทันข้อมูลแนวโน้มความต้องการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้ง AI Chatbot จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลา กำลังคนและทรัพยากรในการวิเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกรายเดิม และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่งออกรายใหม่  นอกจากนี้ AI Chatbot จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการค้าของ DITP และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีผู้ขอรับข้อมูลคำปรึกษารวมกัน 180,000 – 200,000 ครั้งต่อปี

นางสาวสุนันทา กล่าวต่อว่า “DITP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ AI Chatbot จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ร่วมดำเนินการร่วมกับ DITP นอกจากนี้ ยังมีทีม Hackathon อีก 2 ทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท เวสเทิร์น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาช่วยพิสูจน์แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาต้นแบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า โดยใช้โมเดล AI ที่แตกต่างกันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะคัดเลือกโมเดลที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป”

สำหรับ MOU ฉบับที่ 2 เป็นความร่วมมือในการเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานระบบดิจิทัลและข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ระหว่างระบบ DITP Single Sign-on (DITP SSO) กับ SME One ID ของ สสว. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานระบบของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย ให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร ไร้รอยต่อ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ช่วยลดความยุ่งยากในการเข้าถึงบริการภาครัฐ และยังมีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของทั้งสองหน่วยงานได้รวม 18 บริการ

พร้อมกันนี้ DITP ยังได้เปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ล่าสุดอีก 2 ระบบ ได้แก่ โมบายแอปพลิเคชัน DITP ONE ที่รวบรวมบริการดิจิทัลของกรมไว้ในที่เดียวในลักษณะ One Stop Service เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลที่นิยมใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบ DITP My Scores ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ความพร้อมและศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ และจะได้รับคำแนะนำกิจกรรมหรือบริการที่เหมาะสม เพื่อยกระดับศักยภาพทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด

DITP ได้พัฒนาบริการดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลและบริการได้สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการของผู้รับบริการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านราย  แต่ยังเป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล และคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็น 1 ใน 3 ของโลก ภายในปี 2570 อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป

ชิลีเฉลิมฉลองวันชาติทั่วประเทศและทั่วโลก แต่ที่กรุงเทพฯ วาระแห่งการเฉลิมฉลองนี้จัดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเพื่อให้สอดคล้องกับอีกสองวาระพิเศษของชิลีคือ การประชุมสุดยอดธุรกิจชิลี–อาเซียน 2025 และครบรอบ 10 ปีความตกลงการค้าเสรีชิลี–ไทย โดยบรรยากาศแห่งมิตรภาพ นวัตกรรมสร้างสรรค์และความร่วมมือส่งผ่านจากซันติอาโกถึงกรุงเทพฯ ตลอดเดือนกันยายน

ธงชาติชิลีโดดเด่นสง่างามอยู่บนอาคารประดับไฟที่พาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน หนึ่งในศูนย์การค้าสุดหรูของอาเซียน ขณะที่การประชุม Chile–ASEAN Business Summit 2025 ปิดฉากอย่างงดงามที่โรงแรม  ไฮแอท รีเจนซี สุขุมวิท ตลอดสามวันที่อัดแน่นไปด้วยการเสวนาระดับสูง การเจรจาจับคู่ธุรกิจ และการแสดงทางวัฒนธรรม ตอกย้ำบทบาทของชิลีในฐานะพันธมิตรที่มั่นคงของไทยและอาเซียน

การจัดงานนี้ดำเนินการโดย ProChile สำนักงานส่งเสริมการส่งออก ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศชิลี โดยมีวาระพิเศษครบรอบ 10 ปี FTA ไทย–ชิลี ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่เกื้อหนุนให้การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างชัดเจน และผลักดันให้ไทยเป็นประตูหลักของชิลีสู่ตลาดอาเซียน ในงาน มีบริษัทชิลีเข้าร่วมกว่า 20 ราย ครอบคลุมธุรกิจเกษตรและอาหาร อาหารทะเล ไวน์ ภาคบริการ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มีการจับคู่ธุรกิจกว่า 200 รอบกับคู่ค้าจากไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนา FTA การเยี่ยมชมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก และเทศกาลสินค้าจากชิลีในห้างค้าปลีกสำหรับผู้บริโภคโดยตรงในกรุงเทพฯ

พิธีเปิดการประชุมสุดยอดธุรกิจได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายปาตริซิโอ พาวเวลล์เอกอัครราชทูตชิลีประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมกับ ดร.นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย โดยมี ฯพณฯ นางเกลาเดีย ซานอูเอซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของชิลี และนายอิกนาซิโอ เฟอร์นันเดซ อธิบดี ProChile ร่วมกล่าวปาฐกถาต้อนรับผู้ร่วมงาน

นางซานอูเอซากล่าวว่า “ภายในสิบปี การส่งออกของชิลีมาไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า ในปี 2567 เป็นมูลค่ากว่า 682 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนหน้านี้ เพิ่มขึ้น 6.8% นอกจากทองแดงและเยื่อไม้ การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ปลาแซลมอน เชอร์รี หอยแมลงภู่ และสินค้านวัตกรรมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว”

นายเฟอร์นันเดซ กล่าวว่า “อาเซียนมีมูลค่าการค้ากับชิลีกว่า 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 6% โดยกว่าครึ่งไม่ใช่ทองแดงหรือแร่ลิเทียม ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายตัวของสินค้าที่หลากหลาย ไทยถือเป็นตลาดสำคัญ และศูนย์กลางสู่การขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายออสการ์ อาริอากาดา ผู้แทนการค้าชิลีประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ในปี 2567 การส่งออกอาหารจากชิลีมาไทยมีมูลค่ากว่า 134 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแซลมอนและเชอร์รีครองอันดับหนึ่ง ครึ่งปีแรกของปี 2568 การส่งออกแซลมอน เพิ่มขึ้น 35.6% และเชอร์รีเกือบ 60% กระแสตอบรับจากผู้บริโภคไทยดีเยี่ยม”

กิจกรรมไฮไลต์อื่นๆ ได้แก่ การสาธิตทำอาหารชิลีและงานกาลาดินเนอร์ การจัดงานชิมไวน์ ‘A Journey Through Chile’ เทศกาลสินค้าจากชิลีในกูร์เมต์มาร์เก็ต เอ็มควอเทียร์ และ GO! Wholesale รังสิต ตลอดจนการประดับไฟธงชาติชิลี ที่พาร์คพารากอน  นอกจากนี้ นักธุรกิจนานาชาติที่มาร่วมงานยังได้เยี่ยมชมกิจการที่เกี่ยวข้อง เช่น การบินไทยคาร์โก ศุลกากรลาดกระบัง และทรูดิจิทัลพาร์ค เพื่อกระชับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และพลังงานหมุนเวียน

การประชุมสุดยอดธุรกิจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเข้าถึงตลาดอาเซียนของชิลี ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ในเวลาเดียวกัน ชิลีซึ่งมีความมั่นคงด้านการค้าและการลงทุน ถือเป็นประตูสู่ ลาติน อเมริกาสำหรับอาเซียนด้วยเช่นกัน

นางซานอูเอซากล่าวสรุปว่า “ชิลีเข้ามาในอาเซียนไม่ใช่เพียงเพื่อการค้า แต่เพื่อสร้างความไว้วางใจ การแบ่งปันนวัตกรรม และการร่วมมือกันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ชิลีใส่ใจในด้านคุณภาพ ความยั่งยืน และการสร้างพันธมิตรที่ยืนยาว”

สำนักงาน คปภ. ให้การต้อนรับผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ในการเข้าหารือแนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ เพื่อไปปรับใช้กับกรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต

สำนักงาน คปภ. โดยนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ และ นายจอม จีระแพทย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกฎหมายและคดี ได้กล่าวต้อนรับคณะผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมร่วมสนทนาและกล่าวถึงหลักการ วิธีการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. กรณีดำเนินคดีกับผู้กระทำการประกอบธุรกิจประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตและกรณีผู้กระทำการเป็นคนกลางประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บูรณาการข้อมูลร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ยกระดับการกำกับดูแลภาคธุรกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพผ่านมาตรการทางกฎหมาย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สำนักงาน คปภ. ได้มีการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการทางอาญา ทางปกครองต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย โดยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบ CARES (Comprehensive Anti - Fraud & Risk Elimination System) ระบบ IRIS เพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ รายงานพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย รวมไปถึงการเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตกรณีตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยมีการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

“การพบกันในวันนี้ จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่ต่างเป็นหน่วยงานกำกับธุรกิจภาคการเงิน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหลอกลวงประชาชน รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบวิธีการดำเนินการต่าง ๆ อันเป็นการช่วยยกระดับมาตรการการกำกับ ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ในปัจจุบัน รูปแบบการกระทำความผิดทั้งธุรกรรมทางการเงินและประกันภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น มีความเสียหายรวมนับพันล้านบาท ดังนั้น การดำเนินการในทางกฎหมาย จึงต้องมีความเข้มข้นและทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย” รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ กล่าวในตอนท้าย

อัปเลเวลวงการ T-POP ขึ้นอีกขั้น...เมื่อ 5 หนุ่มบอยกรุ๊ปสุดปัง LYKN’ ประกอบด้วย ‘วิลเลี่ยม-เลโก้-นัท-ฮง-ตุ้ย’ จาก RISER MUSIC’ ได้บินลัดฟ้าสู่ฮ่องกง เพื่อถ่ายทําโปรเจกต์โชว์สุดพิเศษ กับซิงเกิลใหม่ล่าสุด "หน้าเบลอหลังชัด” (Foreground) ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับรายการ Thailand Music Countdown” (TMC) ที่ได้นำเสนอมุมใหม่ๆ ของศิลปิน T-POP ผ่านบรรยากาศของฮ่องกง ที่เข้ากันกับฟีลอารมณ์ที่มีสีสันชัดเจนของเพลงนี้ได้แบบสุดๆ ชาวด้อม LYKYOU เตรียมเกาะจอรอชมสเปเชียลโปรเจกต์นี้ พร้อมเบื้องหลังสุดเอ็กซ์คลูซีฟได้ ในวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2568 เวลา 16.45 น. ทางช่อง 3HD (กด 33)

โปรเจกต์สุดยิ่งใหญ่นี้ เป็นความร่วมมือระหว่างรายการ “Thailand Music Countdown” และ “การท่องเที่ยวฮ่องกง” (Hong Kong Tourism Board) ที่ต้องการนําเสนอแหล่งท่องเที่ยวแนวใหม่ของฮ่องกง ที่ถ่ายทอดผ่านศักยภาพและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งหมาป่า LYKN โดยทั้ง 5 หนุ่ม ได้เดินทางไปถ่ายทําโชว์พิเศษในเพลง "หน้าเบลอหลังชัด” (Foreground) เพลงแนวป็อปบัลลาดที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักที่ไม่สมหวังในฐานะเพื่อนสนิท ในหลากหลายแลนด์มาร์คฮิตติดเทรนด์ของฮ่องกง ทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จะเป็นแคนวาสให้หนุ่มๆ โชว์ความฮอต อาร์ตปาร์คริมอ่าวที่เหมาะกับมู้ดเหงาๆ ของเพลง รวมไปถึงสปอร์ตปาร์คที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีแห่งใหม่ให้หนุ่มๆ ‘LYKN’ ได้โชว์การแสดงพร้อมปล่อยพลังเสียงกันแบบจัดเต็ม แบบที่ไม่เคยโชว์ที่ไหนมาก่อน

ด้าน ‘LYKN’ ได้เผยถึงความตื่นเต้นกับประสบการณ์ครั้งนี้ว่า “เราไปถ่ายทำกันหลายโลเคชันมาก ต้องบอกเลยว่าพวกเราตกหลุมรักฮ่องกงเข้าแล้วครับ เพราะฮ่องกงรายล้อมไปด้วยบรรยากาศที่ดี ผู้คนที่น่ารัก ความเป็นเมืองที่มีสเน่ห์ สถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม ซึ่งทำให้ตลอดการถ่ายทำเรารู้สึกสบายใจ เป็นตัวของตัวเอง และมีความสุขมากๆ โดยรวมเราเลยขอเรียกอาการนี้ว่า ‘การตกหลุมรัก’  ซึ่งถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอนครับ”

นอกจากโชว์เพลง "หน้าเบลอหลังชัด” (Foreground) เวอร์ชั่นพิเศษท่ามกลางบรรยากาศของฮ่องกงแล้ว ทางรายการ “Thailand Music Countdown” ยังเตรียมเซอร์ไพรส์ให้ชาวด้อม LYKYOU ได้ฟินกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยคลิปวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทําและบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่จะพาไปเจาะลึกทุกความประทับใจของทั้ง 5 หนุ่มตลอดการทํางานในครั้งนี้

เตรียมปักหมุดรอชมความปังและความสนุกแบบจัดเต็มของ ‘LYKN’ ในฮ่องกงได้ในรายการ Thailand Music Countdown” วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2568 เวลา 16.45 น. สามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง YouTube: Thailand Music Countdown

รวมสุดยอดสินค้าจีนส่งตรงถึงไทย เปิดประตูสู่โอกาสทองธุรกิจไร้พรมแดน

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดพิธีเปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2568 โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ซึ่งมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Ballroom Hall 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้งาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises เป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการต่อประเด็นท้าทาย "วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ" ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม.ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยภายในงาน มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) อาทิ UNDP, UNESCAP, UNFPA, UNICEF, World Bank, APCD และ ASEC รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการเสวนา การอภิปราย และการหารือ World Cafe เพื่อเปิดเวทีร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต รวมทั้งการตัดแสดงนิทรรศการสาระน่ารู้ต่างๆ กิจกรรม Workshop ทำของที่ระลึก และ Market place เปิดพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของกลุ่มเปราะบางและภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. เป็นการให้โอกาสในการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมและมีคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายอนุกูล กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับหลักการ "ความเสมอภาค และความยั่งยืน" เป็นกระแสหลัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังคงเกิด "ความเหลื่อมล้ำ" ในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ  เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับวิกฤตโครงสร้างประชากร นั้น มี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 1) "เด็กเกิดน้อย" ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี หรือมีเด็กเกิดใหม่เพียง 4.6 แสนคน 2) "วัยแรงงานลดลง" ปี 2567 วัยทำงาน 3 คน ต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน และ 3) "สังคมสูงวัย" ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2567 โดยประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก หรือมากกว่าร้อยละ 20.69 ของประชากรไทย

ทั้งนี้วิกฤตโครงสร้างประชากร ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ ภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดต่ำลง ภาครัฐแบกรับภาระผู้สูงวัยมากขึ้น โรงเรียนปิดตัวจำนวนมาก เด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.02 ล้านคน ครอบครัวแหว่งกลาง ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีบุตร การค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางออนไลน์

สำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงอันดับที่ 30 ของโลก ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ โดยประเทศไทยต้องเผชิญกับ 4 ภัยหลัก ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยความร้อน และการกัดเชาะชายฝั่ง ซึ่งขณะนี้ เราต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ สถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นพื้นที่ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม) ตั้งแต่ปลายปี 2567 ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน ทั้งนี้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ คลื่นความร้อนสูงส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุและคนพิการที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรก การย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยพิบัติและหางานทำในเขตเมือง เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งในชุมชน ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ตกต่ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับทางออกของวิกฤตโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ กระทรวง พม. ได้ปรับตัวและรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ (1) การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคนทุกช่วงวัย อาทิ การขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านอย่างมีมาตรฐาน, การพัฒนาข้อเสนอขยายอายุเกษียณ, กฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ, การพัฒนานักบริบาลและคุ้มครองสิทธิ

ผู้สูงอายุ , การพัฒนาผู้นำคนพิการที่สร้างแรงบันดาลใจ (TOP10), ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และนิคม NEXT โมเดล และ (2) การดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) , การจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) โดยกระทรวง พม. เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์, การจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2568 ของกระทรวง พม. ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย, การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชากรกลุ่มเปราะบางและชุมชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารโลก (World bank), การปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่กลุ่มเปราะบาง, การพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาที่รับภาระได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการจัดถุงยังชีพ GO BAG สำหรับกลุ่มเปราะบางได้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกิดภั

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับอนาคต ในส่วนของประเทศไทย นั้น เราได้ขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขข้อท้าทายที่เกิดจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากนวัตกรรมที่หลายหน่วยงานนำมาจัดแสดงในงานครั้งนี้ อาทิ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ, การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับคนทุกช่วงวัย, การนำเทคโนโลยีและหุ่นยนต์มาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ, การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า (เกษตรสร้างสรรค์) และการพัฒนาต้นแบบการจัดการเชิงพื้นที่ของคนทุกช่วงวัย (โครงการนิคม NEXT)

"วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาของโลก ที่ประชากรทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกประเทศมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาแบ่งปัน นำไปปรับใช้ และงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ทำนโยบายเชิงรุกในการพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และงานวันนี้ จึงเป็นวาระสำคัญในการมารวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในอาเซียน ที่จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ซึ่งได้มาร่วมกันสร้างเจตนารมย์ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์สำคัญ เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป" นายอนุกูลกล่าว

ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ระหว่างวันที่ 17 - 18 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพราะวันนี้ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป เราทุกคนต้องร่วมกันจัดการและหาทางออก เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

พัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยครบวงจร สอดรับนโยบายอธิบดีณัฏฐิญา ยกระดับแบรนด์ไทยอย่างยั่งยืน

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดงานใหญ่กลางใจเมือง 15 ก.ย. นี้ ณ ICONSIAM เปิดเวทีลงทุนจริง พร้อมผลักดัน 40 ผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่ตลาดยุคใหม่

วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามชั้นนำของ เอเอส วัตสัน  กรุ๊ป ประกาศเปิดตัว "The Watsons Family" ตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์สุดน่ารัก (Intellectual Property: IP)  ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าทั่วเอเชีย ด้วยคาแรกเตอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ 16 ตัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนบุคลิกภาพตาม MBTI ที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้า ขณะเดียวกันเปลี่ยนกิจวัตรด้านสุขภาพและความงามในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและสร้างการแบ่งปันได้

จาเร็ด เดอกุซมัน (Jared DeGuzman) Customer Director of Brand Marketing วัตสัน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “The Watsons Family  เป็นตัวแทนที่สื่อถึงการพัฒนากลยุทธ์ของเราจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมสู่การเปลี่ยนแปลงมาเป็นร้านค้าที่เน้นประสบการณ์ เราใช้พลังการเล่าเรื่องผ่านคาแรกเตอร์ ไม่ได้แค่ขายสินค้า แต่กำลังสร้างจักรวาลสุขภาพและความงาม ให้กลายเป็นแหล่งรวมของความสุข แรงบันดาลใจ เชื่อมโยงชุมชน และลูกค้าของเราทั่วเอเชีย"

การเข้าถึงโอกาสจากการเติบโตในตลาดลิขสิทธิ์ IP ที่พุ่งแรง

คาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์กำลังพลิกโฉมตลาดโลก และกลายเป็นเทรนด์สำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเพิ่มการจดจำ ความภักดีของลูกค้า และส่วนแบ่งทางการตลาด โดยในปี 2567 มูลค่าการซื้อขายสินค้าที่เกี่ยวกับ IP ในเอเชียเติบโตขึ้นถึง 448.94% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้ยอดขายและจำนวนออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200%* ตอกย้ำถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นของประสบการณ์แบรนด์เชิงสร้างสรรค์และการเข้าถึงอารมณ์อย่างชัดเจน

เพื่อคว้าโอกาสในตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภค วัตสันวางแผนเปิดตัว “The Watsons Family” ที่ฮ่องกงเป็นตลาดแรก เพื่อทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์สำหรับการขยายตัวในภูมิภาค ก่อนทยอยเปิดตัวในตลาดอื่นทั่วเอเชีย รวมถึงจีนแผ่นดินใหญ่ มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย พร้อมแคมเปญการตลาดที่จะพาลูกค้าดื่มด่ำกับความสดใสและมีชีวิตชีวาของคาแรกเตอร์เหล่านี้

สำหรับการเปิดตัวในฮ่องกง มี 3 คาแรกเตอร์หลัก ได้แก่ Sunny (แชมป์สุขภาพ), Kilo (โค้ชฟิตเนสจอมพลัง) และ Flora (มาสก์หน้าสุดเปล่งประกาย) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ และความงามตามลำดับ โดยตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ลูกค้าจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่จักรวาล The Watsons Family ผ่านแคมเปญสุขภาพที่มีชีวิตชีวา ในช่วงนี้ร้านวัตสันจะถูกแปลงโฉมใหม่ด้วยภาพลักษณ์สีสันสดใส ที่เหล่านักชอปจะได้เพลิดเพลินไปกับความขี้เล่นของตัวการ์ตูน พร้อมตื่นเต้นไปกับกิจกรรมออนไลน์และแคมเปญโซเชียลพิเศษเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในทุกแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงเตรียมเปิดตัวกิจกรรม Meet & Greet สุดพิเศษกับเหล่าคาแรกเตอร์ The Watsons Family เพื่อสร้างความสนุกให้แฟนๆ อย่างใกล้ชิด

เพื่อผสาน The Watsons Family เข้ากับชีวิตประจำวัน วัตสันเตรียมออกผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า “วัตสัน” ในบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคาแรกเตอร์เหล่านี้ในตลาดฮ่องกง มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและของใช้ประจำวัน ซึ่งจะเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลตัวเองให้สนุกมากขึ้น ด้วยดีไซน์พิเศษที่สะสมได้

วัตสันมุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้คนมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี เปล่งประกายความงามจากภายในสู่ภายนอก ควบคู่ไปกับการทำความดีเพื่อผู้อื่นและสังคม ตามสโลแกน LOOK GOOD, DO GOOD, FEEL GREAT ดังนั้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านการเปิดตัว The Watsons Family ในครั้งนี้ วัตสันมีเป้าหมายที่จะสร้างคอมมูนิตี้ที่มีส่วนร่วมและเชื่อมโยงทางอารมณ์อย่างแท้จริง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมค้นพบความสนุก ความมั่นใจ และการดูแลตัวเอง ผ่านการเล่าเรื่องและประสบการณ์เชิงสร้างสรรค์

พบกับ The Watsons Family - ตัวละคร 16 คาแรกเตอร์ โดยแต่ละตัวได้รับแรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพ MBTI

ที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนของความสุขของความงาม สุขภาพ และการดูแลตนเองในแบบที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้

ผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘วัตสัน’ ได้รับการออกแบบใหม่ด้วยคาแรกเตอร์ The Watsons Family

เปลี่ยนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์การดูแลตนเองที่ขี้เล่นและสะสมได้

 

X

Right Click

No right click