

ทรู ดีแทค 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro, iPhone 17 Pro Max โดยลูกค้าสามารถสั่งจอง iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมดได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568เวลา 19.00 น. และจะพร้อมจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 โปรดตรวจสอบรายละเอียดวันวางจำหน่ายของ Apple Watch Series 11, Apple Watch SE 3, Apple Watch Ultra 3 และ AirPods Pro 3 อีกครั้ง ติดตามรายละเอียดราคา และการวางจำหน่ายเพิ่มเติมได้ที่ https://www.true.th/promotion/devices/iphone-17-pro

โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVDs) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี แม้โรคนี้จะเคยพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุจากความเสื่อมตามวัย แต่ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตสมัยใหม่เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคเร็วขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล เช่น อาหารไขมันสูง การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ นำไปสู่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ ความผิดปกติแต่กำเนิดและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อก็มีส่วนในการก่อโรคด้วยเช่นกัน สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคลิ้นหัวใจ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี (1)
โรคลิ้นหัวใจคือความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อลิ้นหัวใจ โดยหลัก ๆ แล้วคือภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจแคบลงจนขัดขวางการไหลของเลือดจากหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงอาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ แน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หรือขาบวม อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณให้ต้องไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบที่น่ากังวลนั่นก็คือ ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงถึง 33–50% ไม่มีอาการใด ๆ ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัย (2,3) โดยการวินิจฉัยประกอบด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและความเร่งด่วนในการรักษา

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน (gold standard) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรง รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ข้อดีของการผ่าตัดคือการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ว่าการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมได้ (4) ทุกวันนี้ เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยทำให้การผ่าตัดลิ้นหัวใจปลอดภัยยิ่งขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการผ่าตัดแผลเล็ก (minimally invasive) และการใช้กล้องส่อง (endoscopic) ที่ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย และลดระยะเวลาพักในโรงพยาบาล
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจใช้ลิ้นหัวใจเทียมได้สองประเภท คือ ชนิดเนื้อเยื่อ (bioprosthetic) หรือชนิดโลหะ (mechanical) ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อซึ่งทำจากเนื้อเยื่อเยื่อหุ้มหัวใจวัวหรือลิ้นหัวใจหมู มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับลิ้นหัวใจธรรมชาติ และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต ทำให้เหมาะสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือผู้ที่ไม่สามารถจัดการการใช้ยาได้ แม้ลิ้นหัวใจชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10–20 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องเปลี่ยนซ้ำ แต่ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อรุ่นใหม่มีความทนทานมากขึ้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ยาวนานและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดได้ดีขึ้น
นอกจากแนวทางการรักษามาตราฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation - TAVI) เป็นหัตถการแผลเล็กที่สอดลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปผ่านสายสวน ซึ่งมักทำผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ TAVI ได้รับการแนะนำเป็นหลักสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดเปิดหน้าอก และยังเปิดโอกาสให้สามารถทำหัตถการแบบ Valve-in-Valve ในอนาคตได้อีกด้วย
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคลิ้นหัวใจไปสู่แผนการดูแลระยะยาวที่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า การบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจคือกระบวนการต่อเนื่องที่ครอบคลุมมากกว่าการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว

"การบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิต" (Lifetime Management) นับเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในไทย เพราะการเลือกลิ้นหัวใจเทียมในครั้งแรก ส่งผลต่อทางเลือกการรักษาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากสตรีวัยเจริญพันธุ์ได้รับลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ อาจมีอายุยืนยาวกว่าอายุการใช้งานของลิ้นหัวใจนั้น ดังนั้น การวางแผนเผื่อการทำหัตถการ TAVI แบบ Valve-in-Valve ในอนาคต จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา
การนำหลักการ Lifetime Management มาใช้ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา (Heart Team) และการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ปัจจัยสำคัญได้แก่:
แนวทาง Lifetime Management แบบบูรณาการนี้ ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าทั้งด้านทักษะการผ่าตัดและเทคโนโลยีลิ้นหัวใจ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก โดยมอบทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้ป่วย รวมถึงคนรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการรักษาแบบเดิม ๆ ท้ายที่สุดแล้ว แผนการรักษาจะถูกกำหนดผ่านการตัดสินใจอย่างรอบด้านระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง:
นับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์แนวใหม่ที่ถ่ายทอดความรู้จาก รพ.รัฐ สู่เอกชน มุ่งหาทางรอดรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีโอกาสหายได้ ถึง 70% เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ เครือโรงพยาบาลสมิติเวช ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการรักษาด้วยนวัตกรรม Cell Therapy & Gene Therapy เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาของไทยสู่ระดับสากล เป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด โดยนำเลือดมาสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันดัดแปลงให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้โดยตรง เป็นครั้งแรกของอาเซียน
สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้ถูกถ่ายทอดในงาน ประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “The Cell Therapy & Gene Therapy Symposium 2025” ถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 7 กันยายน 2568 ณ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ และ รร. เมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา โดยรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย, นวัตกรรม CAR T- cell รักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ดื้อยา, ความก้าวหน้าของการรักษาด้วยยีนบำบัด, รวมถึงการดูแลภาวะแทรกซ้อนและผลวิจัยทางคลินิกมาตรฐานโลก ตอกย้ำบทบาทไทยในการก้าวสู่ผู้นำด้านการรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง รองคณบดีกิจการพิเศษ และหัวหน้า Center of Excellence for Cell Therapy and Gene Therapy คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกุมารแพทย์โรคมะเร็งและโรคเลือด โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายว่า โรคธาลัสซีเมีย และ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้นำไปสู่แนวทางการรักษาใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วยได้
ปัจจุบัน นอกจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด (คีโม) ยังมีทางเลือกสำคัญอย่างเช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก สำหรับผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย มะเร็งบางชนิด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ โดยเฉพาะเทคนิค Haploidentical Stem Cell Transplantation ซึ่งใช้สเต็มเซลล์จากพ่อหรือแม่หรือสมาชิกในครอบครัว ผลลัพธ์ของเทคนิคนี้พบว่า เด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายมีอัตราการรอดชีวิตใน 1 ปีสูงถึง 100% และการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยนวัตกรรม CAR T-cell ซึ่งเป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่มีอยู่ราว 30% โดยนำเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยมาปรับแต่งพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการแล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย ให้โจมตีเซลล์มะเร็งโดยตรง เพิ่มโอกาสหายขาดให้แก่ผู้ป่วยที่หมดความหวังได้ถึง 70% แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้มากกว่า 5 เท่า

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า งานประชุมนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือโรงพยาบาลสมิติเวช มุ่งยกระดับการรักษาด้วย Cell Therapy & Gene Therapy สู่มาตรฐานสากล และยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีและการดูแลที่มีมาตรฐานสูง ลดข้อจำกัดเรื่องสถานที่และคิวการรักษา และสามารถต่อยอดไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในภูมิภาคเข้าถึงนวัตกรรมทันสมัย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพบุคลากรไทย แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัยและมีความหวังใหม่ในการต่อสู้กับโรคร้าย

ทางด้านพญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนาน ของโรงพยาบาลสมิติเวช ที่ได้เปิดศูนย์ดูแลเด็กป่วยมะเร็งและบริการปลูกถ่ายไขกระดูกมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยี CAR T-cell เป็นการผสมผสานระหว่างเซลล์และยีนบำบัด มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา แต่ยังเปิดทางให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่ต้องรอนาน ภายใต้กระบวนการรักษาและห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากล (GMP) ในประเทศไทย นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ของเอเชีย”

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่
Professor Philippe Leboulch แพทย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Paris-Saclay ประเทศฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการศึกษาพัฒนา lentivirus เพื่อเป็นพาหะสำหรับการปรับแต่งยีนของโรคพันธุกรรมต่างๆ และเป็นหนึ่งในทีมการศึกษาวิจัยการรักษาด้วยยีนบำบัดในผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย (Beta-Thalassemia) ได้สำเร็จ โดยจะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “All About the Future of Gene Therapy”
Prof. Hideki Marumatsu, M.D., Ph.D. กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเลือดและโรคไขกระดูก จาก มหาวิทยาลัยนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น ผู้มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาโรค Aplastic Anemia และกลุ่มโรค Bone Marrow Failure ชนิดต่างๆ และมีการศึกษาติดตามผู้ป่วย Japan Childhood Aplastic Anemia Cohort Study จะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “Hematopoietic Stem Cell Transplantation in Aplastic Anemia and Inherited Bone Marrow Failure”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างยั่งยืน และเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเตรียมบุคลากรไทยและนานาชาติสู่การรักษาแห่งอนาคต
บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดกิจกรรมสร้างบุญมหากุศล "พลังบุญทิพย 9 เดือน 9 ปีที่ 16" ในวันฤกษ์ดีที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน นำคณะผู้ถือหุ้นและกัลยาณมิตรธรรมกว่า 150 ท่าน ร่วมสร้างบุญมหากุศลในครั้งนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานสมัชชามหาคณิสสรคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานสงฆ์ พร้อมพระภิกษุสงฆ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์และรับเครื่องจตุปัจจัยไทยธรรม รวมทั้งได้รับถวายภัตตาหารเพลจากผู้ร่วมงาน

โครงการ "พลังบุญทิพย 9 เดือน 9" ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 16 สะท้อนเจตนารมณ์ส่งเสริมคุณธรรม ความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน และร่วมสืบสานคุณค่าเอกลักษณ์ความเป็นไทย อีกทั้งยังเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ร่วมสร้างบุญมหากุศลเพื่อแผ่นดินไทย ปวงชนชาวไทย ขอความร่มเย็นเป็นสุขให้ประเทศชาติสืบไป
วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดอบรมหลักสูตรระยะสั้น "Executive Media Mastery & Public Speaking" เป็นครั้งแรก เป้าหมายมุ่งติดอาวุธการสื่อสารที่ทรงพลังผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงในองค์กรโลกธุรกิจ เพิ่มทักษะขั้นสูงรับมือความท้าทายในภาวะวิกฤต พลิกจากปัญหาสู่โอกาสของการตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรอย่างมืออาชีพ โดยจัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 – 16.00 น. ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า โลกธุรกิจยุคใหม่เต็มไปด้วยความท้าทายและความเสี่ยงจากปัจจัยรอบด้าน ดังนั้นหนึ่งในเครื่องมือการบริหารจัดการธุรกิจที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การสื่อสารที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งในแง่ชื่อเสียงและกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ
“เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ทุกคำพูด ทุกการให้ข้อมูล สามารถกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร กระทบความเชื่อมั่น ผู้นำที่สื่อสารอย่างมืออาชีพ ทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือแม้ในสถานการณ์ภาวะวิกฤต”

การเปิดหลักสูตรระยะสั้น "Executive Media Mastery & Public Speaking" นี้ถือเป็นครั้งแรกที่พัฒนามาเพื่อผู้บริหารองค์กรระดับจัดการ (Manager Level) ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร ผู้จัดการทั่วไป ที่ต้องพบปะกับสาธารณชน และ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนองค์กรในการสื่อสาร
โดยหลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อการปลุกศักยภาพพร้อมการติดอาวุธให้ผู้บริหารได้ให้มีความมั่นใจและเครื่องมือที่จำเป็นในการรับมือกับทุกสถานการณ์การสื่อสารได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งการเรียนรู้ใน 6 ชั่วโมงเต็มนี้จะมีความเข้มข้นทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ตั้งแต่การเรียนรู้จิตวิทยาสื่อและธรรมชาติของสิ่งที่นักข่าวต้องการ พร้อมฝึกใช้ภาษากายและบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือใน 7 วินาทีแรก เรียนรู้เทคนิคการสร้าง Key Message ที่คมชัด เพื่อการสื่อสารที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร
นอกจากนี้ ผู้บริหารที่เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการรับมือวิกฤตอย่างมืออาชีพ พร้อมเข้าใจหลักการสื่อสารในภาวะวิกฤต และ เทคนิคการควบคุมสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิธีรับมือกับคำถามที่ยากและคำถามชี้นำต่าง ๆ

อีกหัวใจสำคัญของหลักสูตรอบรมนี้อยู่ที่ “ภาคปฏิบัติ” การฝึกซ้อมหน้ากล้อง (On-Camera Workshop) ในสถานการณ์การให้สัมภาษณ์และสื่อสารกับสาธารณะ โดยวิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต รองโฆษกกองทัพอากาศ และ ผู้ดำเนินรายการ “รักเมืองไทย” ช่อง TNN ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและมีประสบการณ์การทำงานด้านสื่อสารในภาวะวิกฤตของหน่วยงานสำคัญของประเทศ
“เทคนิคการสื่อสาร ไม่ใช่แค่การพูด แต่รวมการแสดงออกภายนอก สีหน้า ท่าทาง การใช้มือในการสื่อสาร ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการจะบอก เช่น ยิ้ม หรือ ยกมือมากจนเกินไปในขณะที่สื่อสารด้านความปลอดภัยและกรณีที่เกิดความสูญเสีย เป็นต้น ซึ่งตอนเวิร์คชอปจะมีวิทยากรทำหน้าที่จำลองเป็นผู้สัมภาษณ์ที่จะทำให้เห็นว่าการรับมือนั้นต้องพัฒนาในจุดใดบ้าง นอกจากการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแล้วผู้บริหารที่เข้าร่วมอบรมยังได้ทำความรู้จักกับคอนเนคชั่นใหม่ ๆ กับผู้บริหารองค์กรที่ร่วมอบรมด้วย”
การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน ควรอยู่ที่ไม่เกินกว่า 1 ชั่วโมง หลังเกิดปัญหาพร้อมการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ เพื่อลดแรงต้านจะช่วยลดสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักให้พลิกกลับมาอยู่ในภาวะที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

ทั้งหมดที่กล่าวมา “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” เป็นศาสตร์ และศิลป์ที่เรียนรู้และฝึกฝน ซึ่งในคอร์สที่เปิดสอนนี้จะเข้มข้นทั้ง ภาคทฤษฎี และปฏิบัตินี้ โดยสิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้กลับไปคือ ทักษะและประสบการณ์ใหม่ พร้อมเครื่องมือเชิงปฏิบัติที่เป็นเช็คลิสต์เวลาตอบคำถาม
ที่ผ่านมา บทบาทของวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มีการทำงานอย่างใกล้ชิดในองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการบินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้พัฒนาคอร์สอบรมในรูปแบบของ “เทรนด์ เดอะ เทรนเนอร์” อบรมผู้สอนเพื่อนำไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน
เตรียมพร้อมรับมือความท้าทาย และสื่อสารในภาวะวิกฤตได้อย่างมืออาชีพ ใน 6 ชั่วโมงเต็ม (09:00 - 16:00 น.) วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น โดย วิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต ลงทะเบียนออนไลน์ https://forms.gle/Gj4F1F9YGB9zMN7TA หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร: 061-863-7991 LINE: @daa_dpu https://lin.ee/hHrcpYa Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และเว็บไซต์ https://www.daatraining.com
ดร.กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (ลำดับที่ 2 จากขวา) ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ การประยุกต์ใช้แผนธุรกิจ ESG และ Sustainability การกำกับดูแล เพื่อความยั่งยืนและมูลค่าเพิ่มต่อองค์กร ภายในงาน TFAC’s Accounting Professions Summit 2025 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ จัดขึ้นโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีและผู้บริหารจากองค์กรภาครัฐและเอกชนกว่า 900 คน
ดร.กิรณ เน้นยํ้าถึงความสำคัญของเรื่อง ESG และ Sustainability ว่าเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญอย่างรอบด้าน โดยต้องสร้างความสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Energy Symphonics ของบ้านปูที่มุ่งผสานพลังงานหลากหลายอย่างสมดุลเพื่อส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เสถียร เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม “ซีนิค ฮาล์ฟมาราธอน กระบี่ 2025” (Scenic Half Marathon Krabi 2025) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนไทยและสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ด้วยเชื่อว่า การมีสุขภาพดี คือ ความมั่งคั่งที่แท้จริง ตามแนวคิด “Health is Wealth” พรูเด็นเชียลฯ จึงได้ริเริ่มแคมเปญ “STEP UP, START NOW : สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน” โดยสนับสนุนการจัดงาน “ซีนิคมาราธอนซีรีส์” (Scenic Marathon Series) ซึ่งเป็นงานวิ่งชั้นนำระดับประเทศภายใต้มาตรฐานสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯและสหพันธ์กรีฑาโลก อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกับสนามวิ่งที่ จ.กระบี่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีภูมิทัศน์งดงามติดอันดับโลก
นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า ‘ซีนิค ฮาล์ฟมาราธอน กระบี่ 2025’ นับเป็นหนึ่งในสนามวิ่งระดับประเทศ ที่ได้รับความสนใจจากนักวิ่งทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นมาอย่างยาวนาน จังหวัดกระบี่ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีภูมิทัศน์งดงาม ผมภูมิใจที่ได้เห็นนักวิ่งจากทั่วประเทศมาร่วมสัมผัสประสบการณ์การวิ่งบนถนนสายโรแมนติกเลียบชายทะเล พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่อ่าวนาง ท่ามกลางวิวภูเขาหินปูนอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีไปด้วยกัน ตามเจตนารมณ์ของพรูเด็นเชียลฯ ชีวิตมีกัน...ทุกวันดีกว่า”

“นอกจากนั้น ปีนี้ถือว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจาก พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 30 ปี เราได้เปิดตัวแคมเปญ #PRU30MinsStartStrong เพื่อชวนให้ทุกคนหันมาเริ่มต้นดูแลตัวเองและใส่ใจในสุขภาพตั้งแต่วันนี้ เพียงแค่ขยับร่างกายหรือวิ่งวันละ 30 นาที เพราะเราเชื่อว่าการเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ในวันนี้ จะนำไปสู่สุขภาพที่แข็งแรงขึ้น ยืนยาวขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในอนาคต” นายบัณฑิต กล่าวเสริม
“กระบี่” เป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวของไทยที่มีภูมิทัศน์สวยงามอันดับต้น ๆ ของโลก จึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ของสนามซีนิคมาราธอนซีรีส์ ในการจัดงาน “ซีนิค ฮาล์ฟมาราธอน กระบี่ 2024”” โดยมีการจัด พรูเด็นเชียล บีช รัน (Prudential Beach Run) ระยะ 5กม. และ 3 กม. ในวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยชวนนักวิ่งมาเปิดประสบการณ์ใหม่ในการวิ่งบนถนนเลียบชายทะเล ชมพระอาทิตย์ตกที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพีและวิ่งบนถนน (Road Run)และ ระยะ 21 กม. และ 10 กม. ในวันที่ 7 กันยายน เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นและวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของภูเขาหินปูนอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ พร้อมทั้งสัมผัสหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสวยใส และเส้นขอบฟ้าที่สวยติดอันดับโลก โดยมีจุดปล่อยตัวอยู่ที่สนามกีฬากลางจังหวัดกระบี่ (อ่าวนาง) และมีเส้นชัยอยู่ที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี

ภายในงานซีนิคฮาล์ฟมาราธอนครั้งนี้ ทาง พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังได้จัดกิจกรรมอัดแน่นด้วยความสนุกและการสนับสนุนสุขภาพที่ดีให้กับผู้ร่วมงาน อาทิ อุโมงค์น้ำ บูธถ่ายรูป กองเชียร์ โซนแช่เท้าสำหรับนักวิ่ง ของพรีเมียมที่ระลึก และเกมแจกตุ๊กตาน้องหมีพรูแบร์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชันครบรอบ 30 ปี พรูเด็นเชียล ประเทศไทย (PRUBear 30th Anniversary Special Edition) รวมทั้งนำเสนอแผนการดูแลสุขภาพในราคาพิเศษ พร้อมมอบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี! คุ้มครองนักวิ่งสูงสุดถึง 100,000 บาท เพื่อสร้างความอุ่นใจให้นักวิ่งที่มาร่วมงานอีกด้วย สำหรับสนามสุดท้ายของซีนิคมาราธอนซีรีส์ในปีนี้ ที่พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะจัดขึ้นที่ จังหวัดจันทบุรีในวันที่ 13-14 ธันวาคม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าจับตามอง ทั้งในด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ธนาคารกสิกรไทย และบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) เชื่อมต่อแพลตฟอร์ม SKILLKAMP และ Chula Lifelong Learning (Chula X) เพื่อยกระดับศักยภาพการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงหลักสูตรคุณภาพที่อยู่บน 2 แพลตฟอร์ม รวมกว่า 1,000 รายวิชา ได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะดิจิทัล รองรับการ Upskill-Reskill ทุกช่วงวัย โดยคาดหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยพัฒนาทักษะและสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปได้อีก พร้อมเดินหน้าเปิดให้บริการเรียนรู้เต็มรูปแบบในปี 2569
ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและ AI (Artificial Intelligent) ที่เข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม ตลาดแรงงานไทยจำเป็นต้องเร่งเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัล โดยคาดการณ์ว่าในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องการบุคลากรด้านนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ตำแหน่ง ขณะที่องค์กรต่าง ๆ มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกสิกรไทย จึงได้พัฒนา SKILLKAMP ขึ้นมา เพื่อเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาทักษะดิจิทัล ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ชั้นนำ รวมถึงมีการสอบประเมินทักษะและต่อยอดโอกาสในการทำงานกับองค์กรชั้นนำอีกด้วย สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) กับบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาและพัฒนาแนวทางการเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม SKILLKAMP และ Chula Lifelong Learning หรือ Chula X ในครั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างการเข้าถึงหลักสูตรคุณภาพมากกว่า 1,000 รายวิชา ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะดิจิทัล รองรับการ Upskill-Reskill ทุกช่วงวัย ส่งเสริมการเรียนของนักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับศักยภาพบุคลากรไทย สู่ตลาดแรงงานในอนาคต โดยผู้เรียนสามารถเข้าสื่อการเรียนการสอนระหว่าง 2 แพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกและโอกาสการเรียนรู้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.ธิติ บวรรัตนารักษ์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีพันธกิจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Chula Lifelong Learning Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่หลากหลายและมีคุณภาพสำหรับคนไทยทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตและการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสู่สังคมไทย เพื่อสร้างสมรรถนะและทักษะที่รองรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในศตวรรษที่ 21 โดยระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “Chula Lifelong Learning (Chula X) ได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รวบรวมองค์ความรู้หลายศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและบูรณาการความร่วมมือข้ามศาสตร์ ครอบคลุมทักษะด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ การจัดการ การตลาด ภาษา สุขภาพ ศิลปะ และการพัฒนาตนเอง ซึ่งจัดการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ พร้อมระบบการสะสมและเทียบโอนหน่วยกิตเข้าสู่หลักสูตรได้อย่างเป็นระบบ”
“Chula X” ไม่เพียงสร้างโอกาสในการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างผู้นำที่มีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถต่อยอดองค์ความรู้และสร้างโอกาสการทำงานในอนาคต สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Impactful Growth” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรอบทิศ
เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมอย่างเป็นรูปธรรม” และที่สำคัญความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล” รศ.ดร.ธิติ บวรรัตนารักษ์ กล่าวเพิ่มเติม
ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ กล่าวในตอนท้ายว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง การเชื่อมต่อของ 2 แพลตฟอร์มช่วยเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและสร้างบุคลากรคุณภาพที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน และส่งเสริมระบบการเรียนรู้ที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศไทยต่อไป พร้อมเดินหน้าสู่การให้บริการเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการในปี 2569 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.skillkamp.com หรือสอบถามที่ LINE OA: @skillkamp