

BAM ผู้นำธุรกิจด้าน AMC ของประเทศ ขยายฐานกลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจ จับมือ MCOT เสนอทรัพย์พร้อมอยู่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม ที่ดินเปล่า ให้แก่พนักงาน อัดโปรโมชัน “ฟรีโอน” สูงสุด 9 แสนบาท และรับบัตรกำนัล SB FURNITURE ชี้การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการขยายฐานลูกค้าไปยังบุคลากรและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ NPL และ NPA ด้วยกลยุทธ์ Business Partnership ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทรัพย์และต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ BAM พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Business Partnership ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งขยายธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านการจับมือกับกลุ่มลูกค้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยต่อยอดทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง และลดระยะเวลาการถือครองทรัพย์สินรอการขาย

สำหรับความร่วมมือกับ MCOT จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางและยอดขายจากการจำหน่ายทรัพย์ ทั้งที่ดินเปล่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ที่เจาะกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยมีการคัดทรัพย์ที่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ทำงานของพนักงาน MCOT เพื่อสร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังมอบโปรโมชันให้กับบุคลากรของ MCOT ได้แก่ ฟรีธรรมเนียมการโอนสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ทั่วประเทศ สูงสุด 900,000 บาทต่อรายการทรัพย์ และบัตรกำนัล SB FURNITURE ในขณะที่ปัจจุบัน BAM มี NPA จำนวนกว่า 25,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 74,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายการของบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 33% ทาวน์เฮ้าส์ 19% คอนโดมิเนียม 19% และที่ดินเปล่า 17% ตามลำดับ
การลงนามในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญของการเสริมสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจด้วยการผนึกความร่วมมือของทั้ง 2 องค์กร และในอนาคต BAM ยังมีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปยังรัฐวิสาหกิจอื่นๆ และพร้อมเดินหน้าในการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อให้ทรัพย์สินรอการขายไม่เพียงแต่กลับมามีมูลค่า แต่ยังกลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างโอกาสและผลตอบแทนให้กับทุกฝ่ายได้อย่างยั่งยืน

นายผาติยุทธ ใจสว่าง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ดังนั้น ความร่วมมือระหว่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จึงเป็นแบบอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่นำศักยภาพอันแข็งแกร่งขององค์กรมาต่อยอดและยกระดับความร่วมมือ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และประโยชน์สูงสุดตามพันธกิจขององค์กร บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นนำเสนอข่าวสาร สาระความรู้ ที่สร้างสรรค์สู่สังคม โดยยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะใช้ศักยภาพขององค์กร ในฐานะสื่อสารมวลชน ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด “สื่อดี สังคมดี” ความร่วมมือกับ BAM ครั้งนี้ จึงเปิดโอกาสให้บุคลากร อสมท ได้เข้าถึงสินทรัพย์คุณภาพที่คัดสรรมาอย่างดี จาก BAM ทั้งที่ดินเปล่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ที่ตรงกับความต้องการ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
ตลอดจนใช้สื่อ อสมท เพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์ ไปยังประชาชนเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลสินทรัพย์คุณภาพ และบทบาทของ BAM ที่เป็นองค์กรหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบงกช สุขมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแผนกลูกค้าสัมพันธ์ (คนที่ 7 จากซ้าย) และพนักงานเข้าร่วมงาน The Best Contact Center Awards 2025 ซึ่งจัดโดย สมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย หรือ TCCTA โดยกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต คว้า 6 รางวัลอันทรงเกียรติ ทั้งระดับองค์กรและระดับบุคคลประกอบด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจาก The Best Technology Innovation Contact Center จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประกวด CC-APAC Award 2025 ระดับเอเชียแปซิฟิค ซึ่งคุณสุฑามาศ ดุลยพีรดิส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพัฒนาบริการ แผนกลูกค้าสัมพันธ์ จะเป็นตัวแทนบริษัทฯ เพื่อเข้าประกวดและร่วมงานประกาศรางวัลที่ประเทศฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายน 2568
สำหรับรางวัล The Best Contact Center Awards 2025 จัดขึ้นเพื่อยกย่ององค์กรและบุคลากรในสายงานคอนแทคเซ็นเตอร์ อีกทั้งยกย่องการทำงานที่ยอดเยี่ยมทั้งทางด้านนวัตกรรมและการบริการลูกค้า พร้อมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมคอนแทคเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รางวัลดังกล่าวนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมพลัง ทำงานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีมาตรฐาน
พร้อมยกระดับการทำงานตามนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
หาหมอบน LINE ได้แล้ววันนี้! LINE ประเทศไทย เปิดตัว “LINE HEALTH” ทางเลือกใหม่ของการดูแลสุขภาพสำหรับคนไทยอย่างเป็นทางการ เชื่อมต่อผู้ใช้ LINE ทั่วไทยเข้ากับ 4 ผู้ให้บริการหมอออนไลน์ Clicknic – Health at Work – หมอคู่คิดส์ – ooca ผ่านบัญชีทางการเดียว (@linehealth) เพียงเพิ่มเพื่อน เข้าปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ รอรับยาที่ส่งถึงบ้าน ดูแลครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย ใจ และหมอเด็ก เข้าถึงง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง พร้อมรองรับสิทธิบัตรทอง 42 กลุ่มอาการโรคทั่วไปและประกันกลุ่ม สะท้อนเจตนารมณ์ของ LINE ในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนบริการสาธารณสุขของประเทศ
รัฐธีร์ ฉัตรดํารงค์ศักดิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ (Chief Commercial Officer), LINE ประเทศไทย “การเปิดตัว LINE HEALTH คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของ LINE ประเทศไทย ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการนำบัญชีทางการ (Official Account) มาสร้างเป็นแพลตฟอร์มกลางเพื่อสนับสนุนและยกระดับระบบสาธารณสุขไทย เรามุ่งหวังว่าด้วยศักยภาพของ LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 56 ล้านคนทั่วประเทศ LINE HEALTH จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล ที่ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม LINE HEALTH จึงได้เชื่อมต่อกับ 4 พันธมิตรผู้ให้บริการด้านเทเลเมดิซีนชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบคลุมทุกความต้องการพื้นฐานด้านสาธารณสุขของคนไทยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหมอสุขภาพกาย หมอสุขภาพจิต และหมอเด็ก ตอบโจทย์ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ผู้ใช้สิทธิประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก ผู้ใช้สิทธิประกันกลุ่ม ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมศักยภาพให้ LINE HEALTH ครอบคลุมการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจของคนไทยอย่างแท้จริง”

4 พันธมิตรผู้ให้บริการเทเลเมดชั้นนำที้ให้บริการบน LINE HEALTH ได้แก่
นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า “LINE เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มสื่อสาร แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเชื่อมต่อผู้ใช้งานกว่า 56 ล้านคนในประเทศไทย สปสช.เชื่อมั่นว่า LINE จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับระบบสุขภาพของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสิทธิบัตรทองอย่างแท้จริง ทั้งการลดข้อจำกัดด้านระยะทาง ลดความแออัดในโรงพยาบาล และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกและมีคุณภาพอย่างเท่าเทียม”
นอกจากนี้ยังสามารถพบกับ WHALE บริการเสริมจาก LINE HEALTH ที่รวบรวมสินค้าคุณภาพในกลุ่มวิตามินและอาหารเสริม รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมและบำรุงความงาม ที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถช้อปสินค้าได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย จากการคัดสรรค์ภายใต้มาตรฐานของ LINE โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่าน Rich Menu ของ LINE HEALTH
LINE HEALTH พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้บนแอปพลิเคชัน LINE ให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้ง่าย สะดวก และปลอดภัย เพียงเปิดแอป LINE แล้วพิมพ์ค้นหา @linehealth หรือเข้าไปที่ https://lin.ee/acRu9SY เพื่อเพิ่มบัญชีทางการ LINE HEALTH เป็นเพื่อน จากนั้นก็สามารถเลือกใช้บริการต่างๆ ได้ทันที
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย (The Federation of Thai SME Association) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จัดตั้งศูนย์ปัญญาประดิษฐ์สำหรับเอสเอ็มอี (AI Center for SME) อย่างเป็นทางการ เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและสากล ณ ห้องเมธาวี ชั้น 5 อาคารวิทยบริการ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.ธัญบุรี
การก่อตั้งศูนย์ฯ มีเป้าหมายชัดเจนในการ สร้างระบบนิเวศด้าน AI สำหรับ SME โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้จากภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และสมาคมวิชาชีพ เข้าสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้ง การวิจัยและพัฒนา (R&D) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมบุคลากร และการสร้างต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยให้ SME สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือนี้สะท้อนพันธกิจอีกบทบาทหนึ่งในการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนและประเทศชาติ โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการยกระดับ SME โดยศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้เรียนรู้และทำงานร่วมกับภาคธุรกิจจริง อันจะนำไปสู่การสร้างกำลังคนคุณภาพสูงที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่

ด้าน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า AI Center for SME เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้าน AI และเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงกับ SME เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้เพิ่มให้กับ SME ด้วย แพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของ SME นั้น ๆ เนื่องจาก SME คือฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถ้า SME ของประเทศไทย เข้มแข็งจะส่งผลโดยตรงให้ประเทศไทยสามารถสร้างนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และแข่งขันกับตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) กล่าวถึงแนวทางดำเนินงานว่า ศูนย์ฯ จะมุ่งเน้นการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในสาขาหลักที่ SME ไทยมีศักยภาพสูง เช่น การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming), การผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing), การค้าปลีกดิจิทัล และการบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมพัฒนาโมเดลต้นแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในธุรกิจ ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดศูนย์ แต่คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย

ส่วน ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เน้นย้ำว่า ความร่วมมือนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ SME ไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ซึ่งจะเป็นเหมือนคลินิกธุรกิจสำหรับ SME ที่ต้องการใช้ AI เพื่อปรับตัวและเติบโต ลดต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

การจัดตั้ง AI Center for SME นี้ เป็นความร่วมมือกันหลายภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และเครือข่าย SME ในการสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยศูนย์ฯ จะเริ่มเดินหน้ากิจกรรมและโครงการนำร่องตั้งแต่ปลายปีนี้ เพื่อปูทางไปสู่การเป็น ศูนย์กลางความร่วมมือด้าน AI สำหรับ SME แห่งแรกของประเทศ.
ออเนอร์ (HONOR) ผู้นำด้านอุปกรณ์อัจฉริยะระดับโลก เดินหน้าตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาดแท็บเล็ตด้วยการเปิดตัว HONOR Pad 10 แท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งานให้ใกล้เคียงกับพีซี ภายใต้คอนเซปต์ “ทำงานได้ทุกที่ สนุกได้ทุกเวลา” ตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคใหม่ที่มองหาแท็บเล็ตครบเครื่อง มาพร้อมปากกาและคีย์บอร์ดในราคาที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดประเทศไทย โดดเด่นด้วย AI อัจฉริยะที่ช่วยจัดการงานต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัว ครอบคลุมทั้งการทำงาน การเรียน และความบันเทิงแบบครบวงจร พร้อมหน้าจอถนอมสายตาขนาดใหญ่ 12.1 นิ้ว ความละเอียด 2.5K เพื่อการรับชมภาพและวิดีโอที่เต็มอรรถรส ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 7 Gen 3 รองรับ 5G และแบตเตอรี่ทรงพลัง 10,100mAh ที่ให้การใช้งานต่อเนื่องยาวนาน ทั้งหมดนี้ในราคาที่เข้าถึงง่าย คุ้มค่าในราคาเริ่มต้นเพียง 12,490 บาท

HONOR Pad 10 ออกแบบมาเพื่อนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ ทั้งด้านประสิทธิภาพและความสะดวกสบายที่หาคู่แข่งเทียบได้ยาก รองรับการใช้งานร่วมกับ HONOR Choice Pencil และ HONOR Pad 10 Keyboard Case เพื่อยกระดับการทำงานสู่ความเป็นมืออาชีพ พร้อมดีไซน์วัสดุเกรดเรือธงที่ทั้งทนทานและหรูหรา ตัวเครื่องบางเบา พกพาสะดวก และใช้งานได้สบายในทุกสถานการณ์ ทำให้ HONOR Pad 10 เป็นตัวเลือกที่ลงตัวที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความคุ้มค่า ฟังก์ชันครบครัน และประสบการณ์เหนือชั้นในทุกมิติ

ทำงานง่ายขึ้นกว่าที่เคย ด้วย AI อัจฉริยะ พร้อมคีย์บอร์ดและปากกา
HONOR Pad 10 มอบประสบการณ์การทำงานที่เหนือกว่าด้วยการใช้งานควบคู่กับปากกาและคีย์บอร์ด มาพร้อมความรู้สึกในการเขียนที่มั่นคงและลื่นไหล ให้ผู้ใช้จดบันทึก พิมพ์งาน และจัดการเอกสารได้สะดวก ราวกับมี PC ขนาดพกพา อยู่กับตัวตลอดเวลา เสริมประสิทธิภาพด้วยฟีเจอร์ AI อัจฉริยะ ที่ช่วยให้งานเสร็จไว เป็นระเบียบ และมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น อาทิ Advance AI Handwriting Beautification แปลงลายมือให้เป็นข้อความเรียบร้อย อ่านง่ายทันที Advance AI Writing Tools ช่วยร่าง แก้ไข และตรวจสอบเอกสารครบวงจร รองรับหลายภาษา Advance AI Notes & Recorder ระบบจดบันทึกอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับการบันทึกเสียง รองรับภาษาไทย Advance AI Summary & Format สรุปใจความสำคัญและจัดระเบียบเอกสารให้อ่านง่าย ดูเป็นทางการ และ Advance AI Minutes ผู้ช่วยตัวจริงสำหรับการประชุม แปลงเสียงพูดเป็นรายงานการประชุมอัตโนมัติ ด้วยการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับปากกาและคีย์บอร์ด HONOR Pad 10 จึงเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งคนทำงาน และนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการเครื่องมือดิจิทัลครบจบในหนึ่งเดียว

พลังแรงเต็มขั้นด้วยชิปเซ็ตเรือธง Snapdragon 7 Gen 3
HONOR Pad 10 ขับเคลื่อนด้วย Qualcomm Snapdragon® 7 Gen 3 Mobile Platform ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4nm โดย TSMC มอบพลังการประมวลผลที่เหนือระดับและเสถียรยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพได้รับการยกระดับอย่างเต็มที่ทั้ง GPU ที่เร็วขึ้นถึง 50%, CPU ที่แรงขึ้น 15%, และ การจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 20% ส่งผลให้ผู้ใช้งานสัมผัสได้ถึงความลื่นไหลและการตอบสนองที่รวดเร็ว ตอบโจทย์การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ การจดบันทึกในห้องเรียน ไปจนถึงการทำงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ หรือความบันเทิงแบบจัดเต็ม เช่นการเล่นเกมกราฟิกหนักๆ ก็สามารถทำได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง

พลังงานเต็มวันกับแบตเตอรี่ความจุ 10,100mAh ใช้งานได้ยาวนาน
HONOR Pad 10 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 10,100mAh ผลิตจากวัสดุพลังงานความหนาแน่นสูง ให้พลังงานถึง 729 Wh/L ในความหนาเพียง 2.48 มม. มอบพลังงานที่ทรงพลังแต่กะทัดรัดพกพาง่าย พร้อมให้ผู้ใช้ทำงาน ดูหนัง ฟังเพลง หรือสนุกกับความบันเทิงได้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด โดยชาร์จเพียงครั้งเดียวสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 25 ชั่วโมงสำหรับวิดีโอออนไลน์, 149 ชั่วโมงสำหรับการฟังเพลง และ 1,434 ชั่วโมงในโหมดสแตนด์บาย พร้อมรองรับ ชาร์จไว 35W SuperCharge เติมพลังงานได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที สนุกต่อเนื่องทันที และด้วยระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ HONOR Pad 10 พร้อมลุยทุกกิจกรรมทั้งวัน ไม่ว่าจะทำงานหรือความบันเทิง สแตนบายได้นานสูงสุด 71 วัน ฟังเพลงต่อเนื่อง 56 ชั่วโมง หรือดูวิดีโอยาว 15 ชั่วโมง เติมเต็มทุกความสนุกได้อย่างมั่นใจ

หน้าจอพรีเมียมใหญ่ 12.1 นิ้ว สบายตา คมชัดระดับ 2.5K
HONOR Pad 10 มาพร้อมหน้าจอ TFT LCD ขนาด 12.1 นิ้ว ความละเอียด 2.5K (2560x1600 พิกเซล) อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 88% ให้มุมมองกว้างเต็มตา และขอบเขตสีที่กว้างระดับ DCI-P3 พร้อมอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ทำให้การเลื่อนหน้าจอ การเล่นเกม และการแสดงผลอนิเมชันลื่นไหลสมจริง ตอบสนองทันใจ เพื่อการใช้งานที่สบายตาแท็บเล็ตรุ่นนี้มาพร้อม HONOR Eye Protection ผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้ง Low Blue Light (โซลูชันฮาร์ดแวร์) และ Flicker Free Eye Comfort ช่วยลดแสงสีฟ้าและการกระพริบของหน้าจอ ลดความเมื่อยล้าของสายตา พร้อม Dynamic Dimming ปรับความสว่างให้ใกล้เคียงแสงธรรมชาติ และ Circadian Night Display ปรับแสงอัตโนมัติหลังพระอาทิตย์ตกเพื่อส่งเสริมคุณภาพการนอน นอกจากนี้ เทคโนโลยี Advance AI Defocus ช่วยปรับเนื้อหาบางส่วนบนหน้าจอให้เกิดเอฟเฟกต์เหมือนเลนส์เบลอ ลดความตึงเครียดและความเมื่อยล้าของสายตา HONOR Pad 10 จึงมอบประสบการณ์ภาพคมชัด สบายตา และเป็นมิตรต่อสุขภาพดวงตาอย่างแท้จริง
ไฮไลต์ที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่างของแท็บเล็ตรุ่นนี้ คือ Magic Ring ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานร่วมกันบนหลายอุปกรณ์ HONOR ได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น ลากและวางไฟล์หรือรูปภาพข้ามอุปกรณ์ หรือรับสายโทรศัพท์จากมือถือผ่านแท็บเล็ต เพียงแค่เชื่อมต่อด้วย HONOR ID เดียวกันบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ HONOR โดยทำงานบนระบบปฏิบัติการ MagicOS 9.0 ล่าสุดบน Android 15 ให้การประมวลผล ลื่นไหล รองรับการใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้อย่างราบรื่น ดีไซน์บางเบาพรีเมียม ตัวเครื่อง Full Metal Unibody สีเทา (Grey) บางเพียง 6.29 มม. และน้ำหนักเบาเพียง 525 กรัม ทำให้พกพาสะดวกและใช้งานได้คล่องตัว อีกทั้งแท็บเล็ตรุ่นนี้ทำงานบนระบบปฏิบัติการ MagicOS 9.0 ล่าสุดบน Android 15 ให้การประมวลผล ลื่นไหล รองรับการใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้อย่างราบรื่น
HONOR Pad 10 มีจำหน่ายในสีเทา (Grey) เพียงสีเดียว มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น WIFI ความจุ 8GB+256GB ราคา 12,490 บาท และ รุ่น LTE ความจุ 8GB+256GB ราคา 14,490 บาท เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2568 เป็นต้นไป พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ เมื่อซื้อ HONOR Pad 10 รับฟรี HONOR Pad 10 Keyboard Case มูลค่า 2,999 และ HONOR Choice Pencil มูลค่า 2,499 รวมมูลค่า 5,498 บาท หาซื้อได้ที่ HONOR Experience Store ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ Shopee: https://th.shp.ee/SPs6FNY Lazada: https://s.lazada.co.th/s.AdCf2 TikTok Shop: https://cutt.ly/ZrX0VEcr
จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ กับงานประกาศรางวัล "TCCTA Contact Center Awards 2025" ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย (TCCTA: Thai Contact Center Trade Association) เพื่อมอบรางวัลให้แก่องค์กร และบุคคลที่เป็นดาวเด่นในสายงาน พร้อมยกระดับธุรกิจบริการคอนแทคเซ็นเตอร์ไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล รวมไปถึงการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรในสายงานคอนแทคเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาธุรกิจต่อไป
ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์

รางวัล TCCTA Contact Center Awards 2025 มีองค์กรและบุคคลที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 116 รางวัล แบ่งรางวัลออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รางวัลประเภทบุคคล (Individual) จำนวน 64 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลยอดเยี่ยม 9 รางวัล, รางวัลดีเด่น 53 รางวัล, รางวัลชมเชย 2 รางวัล และรางวัลประเภทองค์กร (Corporate) จำนวน 52 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลเหรียญทอง 18 รางวัล, รางวัลเหรียญเงิน 17 รางวัล, เหรียญทองแดง 15 รางวัล และรางวัล The Best Contact Center of the Year จำนวน 2 รางวัล โดยภายในงานได้รับเกียรติจากตัวแทนองค์กร และผู้เชี่ยวชาญในสายงานบริการด้านคอนแทคเซ็นเตอร์ ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบรางวัล โดยมีนายศรัณย์ เวชสุภาพร นายกสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและตัวแทนจากองค์กรต่างๆ อย่างเป็นทางการ พร้อมกล่าวเปิดงานบอกเล่าถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานมอบรางวัลในครั้งนี้

นายศรัณย์ เวชสุภาพร นายกสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมคอนแทคเซ็นเตอร์ของไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลแห่งการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดระหว่างเทคโนโลยี AI และทรัพยากรบุคคล ถึงแม้ว่าเราอาจคาดหวังให้เทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนช่วยในการรองรับงานบริการได้แบบครบวงจร แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความรู้สึกได้ ซึ่งในปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงต้องการการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นบุคคลที่จะสามารถเข้าใจ ช่วยแก้ปัญหา และสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกแก่ลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า”

แต่อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรชั้นนำต่างนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ โดยการให้ AI เข้ามาดูแลในส่วนงานบริการมาตรฐานทั่วไป เช่น การตอบปัญหาเบื้องต้น การรับเรื่องร้องเรียนเพื่อส่งต่อปัญหาไปยังบุคลากรเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ยังให้พนักงานคอนแทคเซ็นเตอร์ทำงานควบคู่ไปด้วย จึงส่งผลให้ความต้องการพนักงานคอนแทคเซ็นเตอร์ในปัจจุบันยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 10-20% และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนสายงานการบริการคอนแทคเซ็นเตอร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการเชิดชูบุคลากรในสายงานที่ร่วมผลักดันธุรกิจบริการคอนแทคเซ็นเตอร์ด้วยดีเสมอมา สมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทยจึงจัดงานประกาศรางวัล 'TCCTA Contact Center Awards 2025' ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อขับเคลื่อนบุคลากรในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และส่งเสริมบริการรูปแบบใหม่ ผลักดันคอนแทคเซ็นเตอร์สู่ระดับสากล - นายศรัณย์ เวชสุภาพร กล่าวเพิ่มเติม
ในปีนี้ มีบุคลากรและบริษัทชั้นนำระดับประเทศเข้าร่วมรับรางวัลอันทรงเกียรติกันอย่างคับคั่ง อาทิ ทรู คอร์ปอเรชั่น, กรุงเทพประกันชีวิต, ธนาคารยูโอบี, เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต, แกร็บแท็กซี่, ทรูทัช, ไทยเวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต็อค, บิทคับออนไลน์, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต, พรูเด็นเชียลประกันชีวิต, สยามคูโบต้า, เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล, รู้ใจประกันภัย, บุญรอด ซัพพลายเชน, ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส และอีกหลากหลายองค์กร

นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจาก 5 ประเภท ได้แก่ รางวัล The Best Employee Engagement Contact Center, รางวัล The Best Technology Innovation Contact Center, รางวัล The Best Contact Center Operations, รางวัล The Best Business Contribution Contact Center และรางวัล The Best Customer Experience Contact Center จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประกวด CCAPAC Award 2025 ระดับเอเชียแปซิฟิค ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ฮ่องกง
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและภาพบรรยากาศภายในงานประกาศรางวัล TCCTA Contact Center Awards 2025 ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Thai Contact Center Trade Association-TCCTA หรือ www.tccta.or.th
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครั้งที่ 72 (The 72nd Bangkok Gems and Jewelry Fair) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT และสนับสนุนโดยองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมถึงสมาคมการค้าสำคัญในอุตสาหกรรมฯ 17 องค์กร ซึ่งภายในงานมีผู้เข้าร่วมทั้งในและต่างประเทศ รวม 1,106 บริษัท 2,628 คูหา จัดแสดงเต็มพื้นที่ชั้น G และ LG (Hall 1 - 8) โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานในครั้งนี้ กว่า 40,000 คน เชื่อว่าจะมีเงินสะพัดกว่า 3,500 ล้านบาท

นายวุฒิไกรกล่าวว่า “อัญมณีและเครื่องประดับถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยเป็นอุตสาหกรรมที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานถึงกว่า 8 แสนคนทั่วประเทศ และแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เป็นที่น่ายินดีว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ปี 2568 เดือนมกราคม - กรกฎาคม มีมูลค่า 8,186.28 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.73 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.50 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันปี 2567

Bangkok Gems and Jewelry Fair ที่เติบโตมากว่า 4 ทศวรรษและจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 72 ในวันที่ 9 – 13 กันยาน 2568 ถือเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อัญมณีและเครื่องประดับของไทย ผมภูมิใจที่ในวันนี้ Bangkok Gems ได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อทั่วโลกว่าเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าจิวเวลรี่สำคัญของโลก และเป็นงานที่เป็นหมุดหมายของผู้ซื้อและผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมจากนานาประเทศ “ต้องมา” ถือเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อมั่นที่ผู้ซื้อทั่วโลกมีต่ออุตสาหกรรมจิวเวลรี่ไทยได้เป็นอย่างดี”

ด้านนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดี DITP ผู้จัดงานหลัก ได้กล่าวว่า “ความสำคัญของงาน Bangkok Gems นอกจากจะเป็นแหล่งรวมแบรนด์จิวเวลรี่จากผู้ผลิตและส่งออกชั้นนำของไทยแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมผู้รับจ้างออกแบบและผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ทั่วโลก และเนื่องจากกว่าร้อยละ 50 ของ Exhibitor ที่เข้าร่วมงานเป็นกลุ่มสินค้าพลอยสี Bangkok Gems จึงถือเป็นแหล่งรวมผู้ค้าพลอยสีที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
สำหรับงานครั้งที่ 72 นี้ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 13 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1 ถึง 8 ชั้น G และ LG ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial
ธนาคารกสิกรไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านนวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัว D.E.A.L. (Digital Easy Application for Loan) แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจรที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมได้ง่าย รวดเร็ว ตั้งแต่การประเมินความพร้อม เปรียบเทียบข้อเสนอ และยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารได้ครบจบในที่เดียว พร้อมมอบสิทธิพิเศษจากธนาคารกสิกรไทยสำหรับลูกค้าศุภาลัยโดยเฉพาะ อัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 1.80%* หรือเลือกฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง พร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3.30%** เมื่อสมัครและยื่นขอสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม D.E.A.L ภายในวันที่ 1 ก.ย. 68 - 30 ก.ย. 68 และจดจำนองภายใน 31 ต.ค. 68 นี้
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “จากสถานการณ์ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันและความท้าทาย โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่ 87.4% ของจีดีพี ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกและภัยพิบัติที่กระทบความเชื่อมั่น ทำให้ครัวเรือนมีข้อจำกัดเรื่องการใช้จ่าย และต้องชะลอการใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ออกไป โดยเฉพาะภาคที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ของระบบแบงก์ ในครึ่งแรกของปีหดตัวลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำหรือไม่เติบโตในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยในปีนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยในฐานะพันธมิตร และศุภาลัย ในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “D.E.A.L.” จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้านที่เหมาะสมได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งธนาคารกสิกรไทย ยังมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในโครงการของศุภาลัย ด้วยโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 1.80%* หรือเลือกฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง พร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3.30%** เมื่อสมัครและยื่นขอสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม D.E.A.L ภายในวันที่ 1 ก.ย. 68 - 30 ก.ย. 68 และจดจำนองภายใน 31 ต.ค. 68 เพื่อบรรเทาภาระทางการเงิน และพร้อมเป็นแรงสำคัญในการผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แพลตฟอร์ม ‘D.E.A.L.’ (Digital Easy Application for Loan) เป็นการปฏิวัติวงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วยแพลตฟอร์มที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพื่อยกระดับกระบวนการขอสินเชื่ออย่างครบวงจร เป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยศุภาลัยมุ่งมั่นให้แพลตฟอร์ม D.E.A.L. เป็นบริการใหม่ที่เชื่อมโยง ลูกค้า-ธนาคาร-ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ประสานกันอย่างสะดวก รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ ซึ่งผลลัพธ์ของแพลตฟอร์ม D.E.A.L. จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ทำให้การยื่นขอสินเชื่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมยกระดับมาตรฐานบริการสินเชื่อ นอกจากนี้ ศุภาลัยร่วมกับธนาคารกสิกรไทยจัดทำอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับบ้านและคอนโดมิเนียม โดยจะมอบสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องทุกเดือน สำหรับลูกค้าศุภาลัยเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างแท้จริง
สำหรับแพลตฟอร์ม D.E.A.L. ของศุภาลัย เริ่มใช้งานจริงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 ครอบคลุมทุกโครงการทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยแพลตฟอร์มนี้มอบประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง ด้วยจุดเด่นในการวิเคราะห์คุณสมบัติลูกค้าล่วงหน้า แนะนำธนาคารที่เหมาะสม เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขสินเชื่อที่ตอบโจทย์ พร้อมติดตามผลอนุมัติ ช่วยให้กระบวนการยื่นขอสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมของลูกค้าเป็นไปอย่างสะดวก โปร่งใส ปลอดภัย และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน
ศุภาลัยเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์ม D.E.A.L. ไม่เพียงมอบความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสแก่ลูกค้า แต่ยังยกระดับมาตรฐานการให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย พร้อมเป็นจุดเริ่มต้นสู่การพัฒนา Mortgage Technology ในประเทศไทย และสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืนในอนาคต สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1720 หรือ www.supalai.com”
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.19 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.19-32.46 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเพิ่มขึ้น โดยช่วงต้นสัปดาห์นักลงทุนเทขายพันธบัตรระยะยาวในกลุ่มเศรษฐกิจหลัก นำโดยอังกฤษ และญี่ปุ่น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการคลัง นอกจากนี้ เงินเยนเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหม่ในญี่ปุ่นหลังผู้บริหารระดับสูงสี่คนของพรรค LDP ประกาศลาออก อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สาขานิวยอร์คระบุว่าการตรึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการจ้างงาน ขณะที่ยังไม่เห็นผลกระทบรอบที่สอง (Second Round Effect) ของภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 689 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตรสุทธิ 2,128 ล้านบาท
สำหรับในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ เพื่อประเมินว่าต้นทุนภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ขณะที่ตลาดมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 25bp ในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายน หลังข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมอ่อนแอเกินคาดและการทบทวนตัวเลขบ่งชี้ว่าการจ้างงานเดือนมิถุนายนหดตัว นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามประเด็นทางการเมืองในญี่ปุ่นและฝรั่งเศส รวมถึงการประชุมธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)วันที่ 11 กันยายน ซึ่งมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยที่ 2.00% เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน แม้เราคาดว่าการสื่อสารของอีซีบีจะยังคงเปิดทางเลือกไว้สำหรับการลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป แต่ภาวะที่การลดดอกเบี้ยนโยบายมาใกล้สุดทางแล้วเมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐฯจะเป็นประเด็นลบต่อค่าเงินดอลลาร์
สำหรับปัจจัยในประเทศ ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือนสิงหาคมของไทยลดลงเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน โดย CPI ลดลง 0.79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลของราคาพลังงานและอาหารสดที่อ่อนตัวลง กระทรวงพาณิชย์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบ 0.66% ในไตรมาส 3/68 และติดลบ 0.24% ในไตรมาส 4/68 สำหรับดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด เพิ่มขึ้น 0.81% ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ในช่วงเดือน 8 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.08% และ 0.94% ตามลำดับ
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัล “บริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น” ประจำปี 2567 จากพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานมอบ รางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2568 (Prime Minister’s Insurance Awards 2025) สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารงานที่มีความใส่ใจ ยึดหลักธรรมาภิบาล คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อความสุขที่ยั่งยืน ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภายใต้แนวคิด ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัย ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน เพื่อประกาศเกียรติคุณและแบบอย่างที่ดีในการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติ บุคคล หน่วยงาน สถาบัน บุคคลหรือกลุ่มบุคคลตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นในการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านการประกันภัย

ภายในงานยังมีผู้บริหารระดับสูง นางสาวจารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า และ นายภาคิน ติยะแสงทอง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานคณิตศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เอวัน โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์
