โค้งสุดท้ายของปี 2567 ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี การซื้อประกันชีวิตถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุ้มค่าจากการได้รับความคุ้มครองทั้งชีวิต ช่วยวางแผนการเงินที่ดี และยังสามารถสร้างเงินก้อนพร้อมใช้ในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน แบบประกันที่ว่านั้นเรียกว่า “ประกันสะสมทรัพย์” หรือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) ซึ่งในระหว่างระยะเวลาสัญญาผู้ทำประกันจะได้รับความคุ้มครองชีวิตควบคู่กับได้รับผลประโยชน์เงินคืนในแต่ละปีซึ่งจะเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละแบบประกันตามที่บริษัทกำหนด รวมถึงเมื่อครบกำหนดสัญญา ก็จะได้รับผลประโยชน์เงินคืนก้อนใหญ่ช่วยสร้างความมั่นคงสำหรับชีวิตในอนาคตได้อย่างสบายใจ และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างกรณีเสียชีวิต ครอบครัวหรือผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนคืนเพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงอีกด้วย
5 เหตุผลดีๆ ของการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
1. สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเบี้ยฯ ที่จ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาทต่อปี ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด โดยเงื่อนไขคือ กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป กรณีที่มีการจ่ายเงินคืนทุกปี จำนวนเงินต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปี หรือหากเป็นการจ่ายเงินคืนตามช่วงเวลา จำนวนเงินต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลา
2. ช่วยสร้างเงินออมเพื่ออนาคต วางแผนทางการเงินได้ ประกันสะสมทรัพย์แต่ละแผน จะมีรูปแบบในการชำระเบี้ยในระยะเวลาแตกต่างกันออกไป เช่น 1 ปี จ่ายครั้งเดียวจบ จ่ายเบี้ยฯสั้น 2 ปี หรือ 5 ปี โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลประโยชน์เงินคืนในรูปแบบที่แตกต่างออกไปตามแต่ละแผนปี ซึ่งรูปแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการจะนำเงินออกมาใช้ก่อนถึงครบกำหนด เป็นตัวช่วยสร้างวินัยการออมเงินและวางแผนทางการเงินในอนาคตได้อย่างแน่นอน
3. ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ประกันสะสมทรัพย์เป็นประกันชีวิตในรูปแบบการสร้างเงินออมที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยแต่ละแบบประกันจะมีแผนความคุ้มครองและรูปแบบผลประโยชน์เงินคืนที่กำหนดเอาไว้ ทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ไม่ต้องรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินในอนาคตได้อย่างแม่นยำ รู้ผลประโยชน์เงินคืนที่ได้รับแน่นอนและสร้างเงินออมให้งอกเงยได้
4. ได้รับความคุ้มครองชีวิต ช่วยให้ผู้ทำประกันเตรียมพร้อมกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินก้อนคืนตามทุนประกันชีวิตโดยมอบให้ผู้รับผลประโยชน์ รวมถึงสามารถกำหนดสัดส่วนของผลประโยชน์เงินคืนนี้ได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ในการเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น หรือในมุมของพ่อแม่สูงวัย ที่ต้องการสร้างความมั่นคงและลดภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่ตนเองเสียชีวิตให้กับลูกหลานที่ยังอยู่ได้อีกด้วย เนื่องจากประกันสะสมทรัพย์บางแผน มีอายุรับประกันภัยสูงถึงอายุ 80 ปี
5. ผลประโยชน์เงินคืนได้จากประกันสะสมทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่น่าสนใจ เนื่องจากผลประโยชน์เงินคืนที่ได้รับจะได้รับแบบเต็มจำนวน ต่างจากผลประโยชน์เงินคืนจากการสร้างเงินออมรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนกับหุ้น กองทุนรวม หรือแม้แต่ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารที่ยังต้องเสียภาษี
ประกันสะสมทรัพย์ออนไลน์ ง่าย สะดวก อนุมัติไว
กรุงเทพประกันชีวิต มีบริการประกันชีวิตออนไลน์ที่มีหลากหลายแผนเพื่อให้ผู้ทำประกันสามารถเลือกได้ตรงกับเป้าหมายทางการเงินได้มากที่สุด สามารถดูรายละเอียดความคุ้มครอง กดคำนวณเบี้ย เพื่อเปรียบเทียบผลประโยชน์ด้วยตัวเองได้ โดยปัจจุบันมีแบบประกันที่น่าสนใจ คือ
ประกันสะสมทรัพย์ บีแอลเอ สมาร์ทเซฟวิ่ง 10/1 หรือประกัน 10/1
เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคล่องตัว เพราะจ่ายเบี้ยครั้งเดียวจบ พร้อมรับเงินคืนทุกๆปีละ 1.75%* รวมตลอดสัญญา 117.5%* เบี้ยประกันภัยรายปี เริ่มต้นปีละ 50,000 บาท
ประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี บีแอลเอ สมาร์ทรีเทิร์น 10/5 หรือ ประกัน 10/5
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างเงินออมก้อนใหญ่ นำไปใช้จ่ายหรือลงทุนต่อยอด โดยแบบประกันนี้คืนเงินไวกว่ากองทุน SSF โดยในปีที่ 7-9 รับเงินคืน 100%* และปีที่ 10 รับเงินคืนถึง 205%* รวมตลอดสัญญา 525%* และ ชำระเบี้ยประกันภัยรายปีระยะเวลา 5 ปี เริ่มต้นปีละ 20,000 บาท เฉลี่ยเดือนละหลักพันต้น ๆ
ประกันชีวิตลดหย่อนภาษี บีแอลเอ ฟาสต์ รีเทิร์น 10/2
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงินสูง เพราะจ่ายเบี้ยฯ สั้น 2 ปี ได้รับเงินก้อนคืนไวในปีที่ 3 รับเงินก้อนคืน 100%* และปีครบกำหนดสัญญา รับเงินคืนอีก 100%* กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รับผลประโยชน์เพิ่ม 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยเบี้ยประกันภัยรายปี เริ่มต้นปีละ 29,100 บาท
นอกจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แล้ว กรุงเทพประกันชีวิต ยังขอให้พิจารณาประกันชีวิตแบบบำนาญควบคู่กันไป เพราะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด โดยแบบประกันที่แนะนำ คือ ประกันบํานาญ ลดหย่อนภาษี แฮปปี้ เพนชั่น (มีเงินปันผล) ที่เหมาะสำหรับคนที่เตรียมพร้อมวางแผนวัยเกษียณ แบบประกันนี้จะช่วยให้เกษียณได้อย่างสบายใจ มีเงินบำนาญใช้ถึงอายุ 99 ปี โดยการันตีรับเงินบำนาญ ตั้งแต่อายุ 60-99 ปี มีโอกาสรับเงินบำนาญเพิ่มพิเศษตลอดสัญญา** และ เลือกระยะเวลาชำระเบี้ยได้เอง 1 ปี/ 5 ปี/ 10 ปี หรือจนถึงอายุ 60 ปี
จะเห็นได้ว่า นอกจากลดหย่อนภาษีแล้ว การทำประกันชีวิตยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ซึ่งช่วยสร้างเงินก้อนในอนาคต ไปพร้อม ๆ กับรับความคุ้มครองชีวิต ซึ่งสามารถเลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์แผนการเงินที่ต้องการได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ พร้อมรับสิทธิพิเศษเฉพาะการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ในแต่ละเดือน เพื่อความคุ้มครองที่คุ้มค่า ผู้สนใจดูแบบประกันเพิ่มเติมได้ที่ https://bla.bangkoklife.com/onlinepr
หมายเหตุ
* %ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
** ผลประโยชน์ที่ไม่รองรับการจ่าย
โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการ “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” ศูนย์ดูแลเด็กอายุ 1-3 ปี สนับสนุนดูแลลูกของพนักงานที่ทำงานในบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน นำเสนอกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย โภชนาการที่ดี มีความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมนโยบายเป็นมิตรสำหรับครอบครัว ดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ สร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี เปิดเผยว่า “บีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” เพื่อช่วยดูแลเด็กเล็กที่เป็นบุตรของพนักงานในกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้เวลากับบุตรหลานมากที่สุด โดยสภาพการเดินทางและการทำงานในยุคปัจจุบันอาจทำให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง มีความลำบากในการหาสถานที่ดูแลเด็กที่มีคุณภาพดี ไว้ใจได้ สามารถดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นการตั้งศูนย์ฯ นี้จะช่วยตอบโจทย์ผู้ปกครองได้มาก สำหรับศูนย์ฯ ดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับอาคารสำนักงานใหญ่บีเจซี บิ๊กซี เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567
“บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” คือ ศูนย์เด็กที่ออกแบบตามมาตรฐาน ยึดหลักความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กปฐมวัยมากกว่า 10 ปี รวมถึงมีพี่เลี้ยงเด็กที่จบการศึกษาด้านปฐมวัยโดยตรง จึงสามารถส่งเสริมการเรียนรู้และออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกหลานพนักงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งยังมีหลักการดูแลเด็กๆ ให้ได้รับโภชนาการที่ดี นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์การเรียนรู้ หนังสือ ของเล่นเด็กต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กมากขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ดังกล่าวเปิดให้บริการสำหรับกลุ่มพนักงานที่ลูกมีอายุระหว่าง 1-3 ปี เปิดดำเนินการวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 07.30 – 18.00 น.
นางฐาปณี กล่าวว่า “บีเจซี บิ๊กซี เชื่อว่าการเนรมิตศูนย์เด็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” นี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับพนักงานที่จะช่วยแบ่งเบาหน้าที่ในการดูแลลูก และตัวเด็กที่จะได้รับการดูแลที่เหมาะสม เรามุ่งเน้นสร้างสรรค์การเป็นองค์กรที่เป็นมิตรกับครอบครัว เราอยากให้พนักงานที่มีบุตรหลานได้ทำงานอย่างสบายใจ และเด็ก ๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย เราเข้าใจและใส่ใจพนักงานทุกคนและมุ่งมั่นที่จะทำให้สถานที่ทำงานเปรียบเสมือนบ้านของครอบครัว”
มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี ได้ให้การสนับสนุนยูนิเซฟ ประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ การเปิดศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการ "ลงมือทำจริง" ด้วยนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัว โดย นางคยอนซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้ครอบครัวต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาศูนย์ดูแลเด็กที่เหมาะสมและราคาไม่แพง โดยเฉพาะหลังจากสิ้นสุดช่วงลาคลอดที่แม่ต้องกลับไปทำงาน ซึ่งศูนย์ดูแลเด็กที่เปิดในวันนี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ให้กับพนักงาน และเปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อแม่และลูก ๆ ไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย คือการสนับสนุนให้นายจ้างนำนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวมาใช้ เช่น นโยบายลาคลอดที่ได้รับค่าจ้าง เวลาพักให้นมแม่ บริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ ตลอดจนสวัสดิการสำหรับเด็ก ศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสถานประกอบการและบริษัทอื่น ๆ ต่อไป”
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ร่วมกับ Google Cloud ประกาศตัวโครงการ ‘ChulaGENIE’ เพื่อบุกเบิกการพัฒนาและส่งมอบแอปพลิเคชันที่นำเอาเทคโนโลยี Generative AI อันล้ำสมัยที่สุดในโลกอันหนึ่ง มาให้ประชาคมจุฬาฯ ใช้งานได้อย่างปลอดภัย เชื่อถือได้ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยคาดว่าในระยะแรก ChulaGENIE จะเปิดให้คณาจารย์และบุคลากรใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2568 และจะเปิดให้บริการแก่นิสิตทุกคนได้ภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยชื่อ ChulaGENIE ย่อมาจาก ‘Chula’s Generative AI Environment for Nurturing Intelligence and Education’
ด้วยการผสานรวมกับ Model Garden บน Vertex AI ทำให้ ChulaGENIE เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและเลือกใช้โมเดล AI พื้นฐานที่ได้รับการคัดสรรอย่างดี ซึ่งแต่ละโมเดลมีจุดเด่นและความเหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน ในระยะแรกผู้ใช้สามารถใช้งาน Gemini 1.5 Flash หรือ Gemini 1.5 Pro ของ Google และในอนาคตอันใกล้จะมีตัวเลือก ในการใช้โมเดล Claude จาก Anthropic และโมเดล Llama จาก Meta อีกด้วย
ผู้ใช้ ChulaGENIE สามารถใช้ความสามารถในการรองรับหลายภาษา (multilinguality) ของโมเดล Gemini เพื่ออธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย รวมถึงสร้างเนื้อหาในภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ และด้วยความสามารถในการรองรับข้อมูลหลายประเภท (multimodality) และขอบเขตการประมวลผลช่วงบริบทที่ยาว (long context window) ของโมเดล Gemini ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดเอกสารที่มีความยาวและซับซ้อน (เช่น เอกสารที่มีความยาว 1.4 ล้านคำ พร้อมตาราง แผนภูมิ และภาพประกอบ) รวมถึงไฟล์ PDF โดยโมเดล Gemini สามารถประมวลผลเนื้อหาและองค์ประกอบภาพในเอกสารเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ดึงข้อมูลหรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักวิจัยที่ต้องการสรุปวรรณกรรมทางวิชาการหรือวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้าน AI ของประเทศไทย (AI University) วันนี้จุฬาฯ ประกาศจับมือกับพันธมิตรระดับโลกเพื่อเร่งรัดการพัฒนา Responsible AI เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว การใช้แพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud ซึ่งรวมเอาความสามารถที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวไว้ในที่เดียว รวมถึงความยืดหยุ่นในการเลือกโมเดลผ่าน Model Garden และความสามารถในการปรับแต่งโมเดลพื้นฐานที่ทรงพลังให้เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายและการตอบสนองได้แม่นยำ ด้วยความสามารถเหล่านี้ ทำให้จุฬาฯ สามารถพัฒนา ChulaGENIE ได้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแอปพลิเคชัน Generative AI สำหรับการใช้งานเพื่อการศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษา โดยยึดหลัก Responsible AI และตอบสนองความต้องการของประชาคมในวงกว้าง โดยจุฬาฯ มีแผนที่จะร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนา ChulaGENIE ให้ดียิ่งขึ้น และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม AI ด้านการศึกษาที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศให้ใช้งานได้จริงเพื่อสนับสนุนการศึกษาทุกระดับ”
เสริมศักยภาพให้ประชาคมจุฬาฯ ด้วย AI ที่ปรับแต่งได้และมีความรับผิดชอบ
จุฬาฯ เตรียมเพิ่มฟังก์ชันใหม่บน ChulaGENIE เร็ว ๆ นี้ โดยประชาคมจุฬาฯ จะสามารถสร้างตัวช่วยเฉพาะทางที่ปรับแต่งได้สำหรับงานเฉพาะด้าน ตัวอย่างของตัวช่วย AI ที่ปรับแต่งได้ มีดังนี้:
จุฬาฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการใช้งาน AI ที่มีความรับผิดชอบ โดยทางมหาวิทยาลัยได้นำระบบกรองเนื้อหาของ Vertex AI และนโยบาย AI ของจุฬาฯ มาใช้เพื่อออกแบบ ChulaGENIE มิให้ตอบหรือสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย นอกจากนี้จุฬาฯ ยังเตรียมเพิ่มความแม่นยำในการตอบคำถามของ ChulaGENIE ด้วยการเปิดใช้งานการ Grounding ด้วย Google Search ซึ่งเป็นฟีเจอร์พิเศษที่พัฒนาโดย Google Cloud
นอกจากนี้จุฬาฯ ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึงระดับองค์กรของ Google Cloud เพื่อมอบประสบการณ์ AI ที่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ระบบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคำสั่งหรือข้อมูลที่ผู้ใช้งานป้อนรวมถึงคำตอบของ AI จะไม่ถูกผู้พัฒนาโมเดลภายนอกจุฬาฯ นำไปใช้ในการฝึกโมเดลพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ในขณะเดียวกันจุฬาฯ ยังสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้งานโดยรวมของ ChulaGENIE เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน และที่สำคัญระบบดังกล่าวยังช่วยป้องกันไม่ให้ ChulaGENIE เผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความลับหรือทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความอ่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย
ในอนาคต จุฬาฯ มีแผนที่จะขยายความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์สที่เน้นเฉพาะด้านสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วและรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตแต่ละคน โดยให้แบบฝึกหัด คำอธิบาย และข้อเสนอแนะที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ โมเดลดังกล่าวยังสามารถสนับสนุนแอปพลิเคชันที่วิเคราะห์หลักสูตรที่มีอยู่ เพื่อค้นหาช่องว่างหรือจุดที่ควรปรับปรุง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขโดยอ้างอิงจากงานวิจัยล่าสุดและแนวโน้มด้านการศึกษาในปัจจุบัน
เสริมทักษะ AI ที่จำเป็นให้กับประชาคมจุฬาฯ
จุฬาฯ อบรมคอร์ส Google AI Essentials ให้กับบุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ Samart Skills ของ Google ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สำเร็จหลักสูตรนี้แล้วกว่า 800 คน และได้รับใบรับรองจาก Google เพื่อยืนยันความเชี่ยวชาญในการใช้งานเครื่องมือ Generative AI โดยคอร์ส Google AI Essentials นี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการใช้งาน AI ผ่านวิดีโอการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ การฝึกปฏิบัติจริง รวมถึงการประเมินผล และเครื่องมืออื่น ๆ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเข้าใจเทคนิคการเขียนคำสั่ง (prompting) และการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ จุฬาฯ กำลังปรับหลักสูตร Google AI Essentials ให้เรียบง่ายขึ้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ ทุกคนสามารถเรียนรู้การใช้งาน ChulaGENIE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน แก้ไขปัญหาในโลกความเป็นจริง และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในสาขาของตนเอง
นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ Google Cloud เราเชื่อมั่นว่าประโยชน์ของ AI ขึ้นอยู่กับความแม่นยำและการนำไปใช้อย่างรับผิดชอบ แพลตฟอร์ม Vertex AI ของเราช่วยให้องค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น จุฬาฯ สามารถนำ Responsible AI ไปใช้ได้จริงผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Grounding บริการประเมินโมเดล และเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานที่เข้มงวดในด้านการกำกับดูแลข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตัว ChulaGENIE อย่างรวดเร็วของจุฬาฯ ตอกย้ำคุณค่าของแนวทางที่เน้นแพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง (platform-first approach) สำหรับโครงการริเริ่มด้าน AI เชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนา ติดตั้ง และจัดการ AI ได้ในวงกว้าง ประกอบกับการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และโครงการพัฒนาทักษะ AI ของ Google จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในด้านการวิจัยและวิชาการ ซึ่งในท้ายที่สุดจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยของเรา”
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก สร้างนิยามใหม่แห่งความคุ้มค่าและความทนทาน ด้วยการเปิดตัว HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ชูจุดเด่นด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ความจุสูง 6000mAh และ 5200mAh รองรับการใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน ตัวเครื่องแข็งแกร่งทนต่อการตกจากความสูง 1.5 เมตร พร้อมมาตรฐาน IP64 ป้องกันฝุ่นและน้ำ โดยสมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นมากับหน่วยความจำภายในแบบจัดเต็มขนาด 8+256GB และกล้อง AI คมชัดสูงสุด ช่วยเก็บทุกรายละเอียดในทุกภาพถ่าย ไม่ว่าจะใช้งานในชีวิตประจำวันหรือเก็บบันทึกช่วงเวลาสำคัญ โดย HONOR X7c เปิดตัวด้วยราคาเพียง 5,999 บาท และ HONOR 200 Smart 5G ราคา 6,999 บาท วางจำหน่ายแล้ววันนี้ พร้อมโปรโมชันพิเศษ Early Bird 28 พฤศจิกายน 2567 - 19 มกราคม 2568 รับฟรี HONOR Band 9 มูลค่า 1,699 บาท รีบจับจองสมาร์ตโฟนที่ให้มากกว่าความคุ้มค่าก่อนใคร และเปลี่ยนทุกวันของคุณให้ง่ายและสนุกยิ่งขึ้นกับ HONOR
HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G สมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นใหม่ล่าสุด เพื่อทุกคนที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่องเหมาะสำหรับการใช้งานครอบคลุมทุกด้านในชีวิตประจำวันในราคาที่จับต้องได้ พร้อมนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยและเทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกความต้องการ โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจ ดังนี้
พลังแบตเตอรี่ยาวนาน ผสานประสิทธิภาพเหนือระดับ
HONOR X7c มาพร้อมแบตเตอรี่ Super Durable ความจุ 6000mAh ที่รองรับการใช้งานยาวนาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ด้วยความหนาแน่นพลังงาน 749Wh/ การันตีอายุการใช้งานถึง 3 ปี พร้อมคงประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าได้มากกว่า 80% มาพร้อม HONOR Super Charge ชาร์จเต็ม 100% ใน 96 นาที หรือชาร์จเร่งด่วน 30 นาที ได้ถึง 42% รองรับการใช้งานต่อเนื่อง อาทิ สตรีมออนไลน์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ดูวีดีโอสั้น 18 ชั่วโมง หรือการเล่นเพลงยาวนานถึง 59 ชั่วโมง และการโทรยาวนานถึง 46 ชั่วโมง มาพร้อมโหมดประหยัดพลังงานสูง แม้แบตเตอรี่เหลือ 2% ก็ยังสามารถใช้งานการโทรได้ยาวนานถึง 60 นาที ทำให้ผู้ใช้มั่นใจในทุกการใช้งาน
HONOR 200 Smart 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 5200mAh ผสานพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความหนาแน่นพลังงานสูง 749Wh/L มอบประสบการณ์การใช้งานที่ยาวนาน การันตีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 3 ปี โดยยังคงประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าสูงกว่า 80% มาพร้อม HONOR Super Charge กำลังไฟ 35W ช่วยให้การชาร์จรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เพียง 30 นาที ได้แบตเตอรี่ถึง 50% พร้อมรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่ อาทิ สตรีมออนไลน์นานถึง 19 ชั่วโมง ฟังเพลงต่อเนื่องถึง 55 ชั่วโมง และในสถานการณ์ฉุกเฉิน โหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เหลือเพียง 2% ให้สามารถใช้งานการโทรได้ยาวนานถึง 60 นาที ให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่จะมีเพียงพอใช้งานในเวลาสำคัญ
ความทนทานที่เหนือชั้นเพื่อความมั่นใจในทุกสถานการณ์
HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G ก้าวข้ามขีดจำกัดด้านความทนทานด้วยนวัตกรรมการออกแบบที่ล้ำสมัย มอบมาตรฐานใหม่แห่งความแข็งแกร่งให้สมาร์ตโฟน พร้อมรองรับการใช้งานในทุกสถานการณ์ ด้วยโครงสร้างกันกระแทกที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ และกระจกนิรภัยเสริมความทนทานของหน้าจอ สมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นนี้จึงสามารถต้านทานแรงกระแทกและการกดทับได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งยังได้รับการรับรองระดับพรีเมียมจาก SGS สำหรับความสามารถในการต้านทานการตกกระแทกจากความสูงถึง 1.5 เมตร และการกดทับ พร้อมการจัดอันดับความต้านทานการตกถึง 5 ดาว เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้งานในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่สมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นอย่าง HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G มาพร้อม มาตรฐาน IP64 ซึ่งให้การป้องกันจากฝุ่นและน้ำกระเซ็น รวมถึงยังได้ผ่านการพิสูจน์โดยการทดสอบที่เข้มงวด อาทิ กันน้ำจากฝนหรือการสัมผัสน้ำโดยบังเอิญ, การซักล้างภายใต้น้ำจากก๊อกในเวลา 3 นาที และการแช่ในน้ำลึก
25 เซนติเมตร ได้นานถึง 3 นาที หรือในน้ำลึก 50 เซนติเมตร ได้นาน 1 นาที
การออกแบบที่แข็งแกร่งรอบด้านนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ตลอดจน HONOR ยังคงมุ่งมั่นสร้างความประทับใจด้วยคุณภาพและความทนทานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่อย่างแท้จริง
ถ่ายภาพคมชัดทุกมุมมอง ด้วยกล้องหลัก AI Ultra-clear 108MP และ 50MP
HONOR X7c ยกระดับการถ่ายภาพบนสมาร์ตโฟนไปอีกขั้นด้วยระบบกล้องล้ำสมัยที่มาพร้อมความละเอียด 108MP ตอบโจทย์ทุกการถ่ายภาพในชีวิตประจำวัน ด้วยคุณภาพที่คมชัดและเก็บรายละเอียดได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ทุกช่วงเวลาสำคัญของทุกคนจะถูกบันทึกไว้ในภาพที่สมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของระบบกล้องนี้คือ กล้องหลัก 108MP (f/1.75 aperture) ที่สามารถเก็บรายละเอียดและสีสันได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือแสงจ้า กล้อง Depth 2MP (f/2.4 aperture) ช่วยเพิ่มความลึกให้กับภาพถ่าย โฟกัสชัดเจนในขณะที่ฉากหลังเบลออย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มความสวยงามให้กับภาพ Portrait ทุกใบ และ กล้องหน้า 8MP (f/2.0 aperture) เหมาะสำหรับการเซลฟี่และการวิดีโอคอลที่ให้ความคมชัดและสีสันที่สดใส ช่วยให้ทุกการถ่ายภาพและการบันทึกวิดีโอของคุณโดดเด่นด้วยความคมชัดและความละเอียดที่น่าทึ่ง
HONOR 200 Smart 5G ปฏิวัติการถ่ายภาพมือถือด้วยกล้องหลัก AI Ultra-clear 50MP (f/1.8 Aperture) ที่พร้อมบันทึกทุกช่วงเวลาค่ำคืนและกลางวันด้วยความละเอียดสูงสุด มอบภาพที่คมชัดและเก็บรายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยโหมด HIGH-RES ที่ช่วยให้ทุกภาพของคุณดูสดใสและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังมาพร้อม AI Motion Sensing Capture ระบบกล้องสุดล้ำซึ่งนำการถ่ายภาพในระหว่างการเคลื่อนไหวไปสู่อีกขั้น ฟีเจอร์นี้ใช้ AI อัจฉริยะ ที่สามารถตรวจจับการกระทำได้อย่างรวดเร็วภายใน 1.5 วินาที ไม่ว่าจะเป็น การกระโดด, รอยยิ้มที่สดใส, หรือการวิ่งที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระบบจะจับภาพช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำและคมชัด ไม่ให้พลาดแม้ในเสี้ยววินาทีที่รวดเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังให้กล้อง Depth 2MP (f/2.4 aperture) ช่วยเพิ่มความลึกให้กับภาพถ่ายบุคคล และ กล้องหน้า 5MP (f/2.2 aperture) เหมาะสำหรับการเซลฟี่ที่คมชัดและสดใสทุกครั้ง ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้อย่างมั่นใจในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือการจับภาพการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ระบบกล้องที่มี AI ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือระดับ
สำหรับประสิทธิภาพด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจ HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G มาพร้อมกับ พื้นที่จัดเก็บภายในขนาดใหญ่ถึง 256GB ซึ่งเพียงพอในการเก็บทุกความทรงจำสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, วิดีโอ, หรือ ไฟล์งาน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่เต็ม พร้อมความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ทันทีทุกเมื่อที่ต้องการ
ทั้งยัง รองรับเทคโนโลยี HONOR RAM Turbo ที่เป็นนวัตกรรมเฉพาะของ HONOR ซึ่งช่วยให้การใช้งานลื่นไหลและรวดเร็วขึ้น โดยการจำลอง RAM ขนาด 8GB และขยายได้อีก 8GB รวม รวมเป็น 16GB และด้วยพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และ ประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยม HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดยผู้ใช้สามารถเก็บภาพถ่ายมากกว่า 60,000 รูป หรือทำงานและพักผ่อนได้อย่างไม่จำกัด ทำให้ชีวิตของทุกคนจะไม่มีข้อจำกัดใด ๆ อีกต่อไป
HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีเขียว (Forest Green) ผิวสัมผัสหนังวีแกนดูหรูหรา เรียบง่ายสบายตา และจับถนัดมือ และสีขาว (Moonlight White) ผิวสัมผัสเป็นเอกลักษณ์เนื้อเซลลูลอยด์ที่มีความแข็งแกร่ง เงางามดุจไข่มุก เป็นเจ้าของ HONOR X7c ได้ในราคาคุ้มค่าเพียง 5,999 บาท และHONOR 200 Smart 5G ราคา 6,999 บาท จำหน่ายวันแรก 28 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
โดยจะมีโปรโมชัน Early Bird เมื่อซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 - 19 มกราคม 2568 รับฟรี HONOR Band 9 มูลค่า 1,699 บาท สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ HONOR X7c คลิกสั่งซื้อได้ที่ Shopee: http://bit.ly/3ZcxakH HONOR 200 Smart 5G คลิกสั่งซื้อได้ที่ Shopee https://bit.ly/3Za3Vz8 และ HONOR Experience Store ทุกสาขา
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.honor.com/th/ หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า ที่สมัครผลิตภัณฑ์กรุงศรีประกันมะเร็ง ตลอดชีพ รับประกันภัยโดย บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความคุ้มครองแบบจัดเต็ม คุ้มครองมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะรวมถึงมะเร็งผิวหนัง ด้วยเบี้ยประกันภัยคงที่ คุ้มครองสูงสุดถึง 1 ล้านบาท โดยลูกค้าจะต้องสมัครและชำระเบี้ยผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 - 31 ธันวาคม 2567 จะมีสิทธิ์ได้รับตุ๊กตาหมี Billy หรือ Bella 1 ตัวต่อกรมธรรม์ มูลค่า 350 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/cancer-plus
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
ห้าดาว (Five Star) ผู้นำแบรนด์ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ผู้สร้างความอร่อยแก่คนไทยมากว่า 40 ปี สร้างความประทับใจในวงการโฆษณาอีกครั้ง ด้วยการคว้า 5 รางวัลใหญ่ บนเวที AdPeople Awards & Symposium 2024 ซึ่งจัดโดย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) โดยมี นายอังคาร เหลืองนิมิตรมาศ รองผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เป็นผู้แทนรับมอบ ด้วยผลงานโฆษณาที่สะท้อนถึงความสร้างสรรค์และจุดยืนด้านความคุ้มค่าอันเป็นสิ่งที่แบรนด์ห้าดาวคำนึงถึงมาโดยตลอด รวมถึงการถ่ายทอดหนังโฆษณาที่มีหลากหลายอารมณ์ สร้างตื่นเต้นครองใจผู้ชมอย่างล้มหลาม
ปีนี้ ห้าดาว สามารถคว้ารางวัล Gold Award ในหมวด Creative Strategy และรางวัล Bronze Award ในหมวด Ad People from Real People จากผลงานแนวคิด Chicken That Connects Generation ขณะเดียวกันยังได้รับรางวัล Silver Award 2 รางวัล และ Bronze Award อีก 1 รางวัล ในหมวด Craft จาก 'โฆษณาที่คุ้มที่สุด' ภายใต้แนวคิดของงานในปีนี้คือ Creativity for Peoplekind ที่ให้ความสำคัญด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม
สำหรับผลงาน 'โฆษณาที่คุ้มที่สุด' แสดงถึงพลังความคิดสร้างสรรค์และจุดยืนของแบรนด์ได้อย่างลงตัว สร้างปรากฎการณ์ 4 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์ ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุก ชวนติดตาม น่าจดจำในทุกฉาก อาทิ ฉากหนีจากซอมบี้ด้วยเอฟเฟกต์ระดับหนังฟอร์มยักษ์ ฉากต่อสู้ในแบบ "300" และหนังหลอนแบบไทยๆ ที่สร้างความตื่นเต้นจนผู้ชมต้องดูจนจบ ควบคู่ไปกับการเน้นย้ำความโดดเด่นของห้าดาวในเรื่องปริมาณ รสชาติ ตลอดจนคุณภาพที่ดี เพื่อส่งเสริมผู้บริโภคทุกกลุ่มวัยเข้าถึงอาหารปลอดภัยในราคาที่เหมาะสม จึงทำให้แบรนด์ห้าดาวยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งมายาวนานกว่า 40 ปี และพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของคนไทยต่อไป
ห้าดาว ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ คุ้มค่าความอร่อย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการสื่อสารผ่านโฆษณาและแคมเปญที่สร้างแรงบันดาลใจในทุกย่างก้าว การคว้ารางวัลจากเวที AdPeople Awards 2024 ในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ห้าดาวยังคงเป็นร้านอาหารที่คนไทยไว้วางใจ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงพัฒนาการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ๆ เพื่อสร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ห้าดาว เป็นเจ้าแรกในการนำบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FSC® (Forest Stewardship Council) มาใช้ยกระดับกลยุทธ์ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและสากล
รับชมโฆษณา 'โฆษณาที่คุ้มที่สุด' ได้ที่ YouTube : Five Star Chicken Thailand และติดตามเรื่องราวดีๆ จากห้าดาวได้ที่ Official Website : fivestar.in.th รวมถึงช่องทาง Facebook : Five Star Chicken หรือ Social Media ทุกช่องทาง
ไม่ทันไรฤดูหนาวก็วนกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าสำหรับประเทศที่อากาศร้อนแทบจะทั้งปีอย่างประเทศไทย คนส่วนใหญ่ย่อมดีใจเมื่อถึงเวลาที่อุณหภูมิจะเย็นลงให้รู้สึกเย็นกายเย็นใจขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วอุณหภูมิอาจไม่เย็นอย่างที่หลายคนคาดหวัง (หรือบางครั้งก็ยังร้อนจนอยากถามว่าตกลงจะหนาวกี่โมง) แต่สำหรับคนบางกลุ่มในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในบริเวณภาคเหนือที่มักเจอกับความหนาวเย็นรุนแรงกว่าพื้นที่อื่น ฤดูหนาวอาจหมายถึงความหนาวเหน็บที่มากเกินทน และไม่ใช่ฤดูแห่งความสุขเหมือนกับคนอื่นๆ
เพื่อส่งต่อความอบอุ่นให้ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ยังยิ้มได้สำหรับผู้ขาดแคลนเสื้อกันหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ แอลจีจึงจัดแคมเปญอบอุ่นๆ อย่าง “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” ชวนกันมาบริจาคเสื้อกันหนาวสภาพดี พร้อมทำความสะอาดทั้งซักและอบผ้าด้วยบริการจากร้านสะดวกซัก LG Laundry Crew ให้ ก่อนนำเสื้อกันหนาวไปส่งมอบให้กับกลุ่มผู้ยากไร้ในพื้นที่ภาคเหนือผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิกระจกเงา โดยตั้งเป้าส่งต่อความอบอุ่นผ่านเสื้อกันหนาวจำนวน 1,000 ตัวในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมชวนให้ผู้บริจาคเขียนข้อความอบอุ่นหัวใจส่งต่อพลังบวกให้กับผู้ที่จะได้รับเสื้อกันหนาวตัวใหม่ ไม่เพียงเท่านี้ ความพิเศษอีกอย่างของแคมเปญนี้คือการจัดงานนิทรรศการศิลปะ LG x STUPIDNOOBMACC “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” ที่แอลจีชวน ‘STUPIDNOOBMACC’ ศิลปินเจ้าของคาแรกเตอร์แนวสตรีทอย่าง BABYBOY มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อสื่อถึงการส่งต่อความอบอุ่น และเชิญชวนมาเข้าร่วมแคมเปญบริจาคเสื้อกันหนาวในแบบที่สนุกและมีสีสันมากยิ่งขึ้น
แม็ก-อัศนัย อลันคีรี หรือ STUPIDNOOBMACC เล่าถึงการร่วมงานในแคมเปญนี้ว่า “สำหรับเรา ศิลปะเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการนำมาเป็นสื่อกลางในการชวนคนมาทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน เพราะศิลปะมีความดึงดูดบางอย่าง เหมือนเวลาที่เราเห็นภาพสวยๆ เราก็จะรู้สึกอยากเข้าไปดู อาจจะด้วยดีไซน์และสีสันที่ทำให้คนที่เห็นรู้สึกหลงใหล ชวนให้คนมาสนใจหรือเข้ามาดู ดังนั้น พอแอลจีชวนมาทำโปรเจกต์ร่วมกัน จึงยินดีมากๆ และหวังว่างานของเราน่าจะช่วยส่งต่อความอบอุ่นให้กับคนที่ต้องการมันจริงๆ ได้ ทั้งคนที่กำลังรอรับความอุ่นจากเสื้อกันหนาวอยู่ที่ภาคเหนือ และคนที่มาร่วมบริจาคเสื้อกันหนาวและดูงานที่นิทรรศการนี้ หวังว่าพวกเขาจะได้รับความอบอุ่นใจจากการให้กลับไปเช่นกัน”
สำหรับนิทรรศการ LG x STUPIDNOOBMACC “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” ประกอบด้วยผลงานภาพวาดสีอะคริลิกจำนวน 7 ภาพ และยังมีโมเดล Sculpture คาแรกเตอร์ BABYBOY HOME มาตั้งโชว์ภายในงานอีกด้วย
“ที่เลือกตัว BABYBOY HOME มาตั้งแสดงในงานนี้ เพราะคาแรกเตอร์นี้สื่อถึงการเป็นคนรักครอบครัวและความอบอุ่น เราตั้งชื่อคาแรกเตอร์นี้ว่า BABYBOY HOME เพราะอยากให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของ BABYBOY ที่จะเปิดรับทุกคนให้มาอยู่ใน ‘บ้าน’ หลังนี้ได้อย่างมีความสุข เราอยากให้นิทรรศการนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นในการส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กันและกัน โดยเฉพาะภาพวาด เราออกแบบจากโจทย์ของแคมเปญ “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” ของทางแอลจี เพื่อเชิญชวนให้ผู้คนมาบริจาคเสื้อกันหนาว เราจึงอยากสร้างให้คาแรกเตอร์แต่ละตัวมีมูฟเมนต์ที่ดึงดูดและเข้าถึงความรู้สึกของผู้รับและผู้ให้ โดยดึงสีแดง เทา ขาว ดำ ซึ่งเป็นสีของแอลจีมาใช้เป็นหลัก ผสมด้วยสีอื่นๆ เข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความสนุกและสดใส โดยชิ้นงานไฮไลต์ของนิทรรศการนี้คือรูป BABYBOY กำลังถือกล่องพัสดุ And You Will No Longer Be Cold ที่ภายในมีตุ๊กตาหมีกำลังถือผ้าพันคอกับถุงเท้า ทำท่าดีใจที่จะได้นำเสื้อผ้าเหล่านี้ไปส่งมอบให้กับคนที่กำลังรอรับอยู่ เราใช้หมีสีชมพูที่ดูสดใสตัวนี้เป็นตัวแทนความสุขของการแบ่งปัน ก็หวังว่าคนที่มาดูจะได้รับความรู้สึกนี้ และชอบผลงานนี้นะครับ” แม็ก-อัศนัย กล่าวทิ้งท้าย
นิทรรศการ LG x STUPIDNOOBMACC “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” จัดแสดงอยู่ที่บริเวณชั้น G อาคาร Tower 4 โครงการ One Bangkok ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 และสำหรับผู้ที่สนใจ สามารถนำเสื้อกันหนาวสภาพดีมาบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 ณ จุดให้บริการกล่องรับบริจาคของแอลจีได้ดังนี้
แคมเปญ “And You Will No Longer Be Cold #แล้วคุณจะไม่หนาวอีกต่อไป” เป็นแคมเปญต่อยอดจากโครงการ LG Eco Day ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2566 โดยแอลจีตั้งใจจะจัดกิจกรรมนี้ขึ้นทุกปีภายใต้ธีมที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายหลักคือการร่วมจุดประกายเรื่องความยั่งยืนในสังคม โดยใช้นวัตกรรมของแอลจีเป็นตัวช่วยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ตามสโลแกน “Life’s Good.” ของแอลจี
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ ภายใต้ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ปีงบประมาณ 2567 โดยมีการพัฒนาในเชิงลึก ร่วมให้คำแนะนำปรับปรุงกระบวนการผลิต/บริการ การบริหารจัดการ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของชุมชน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ให้น่าสนใจ เพื่อยกระดับด้วยการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลิตภาพ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนงานวิจัยต่างๆ ที่เข้าถึงตลาดสินค้ามูลค่าสูงได้ หวังช่วยยกระดับธุรกิจ รองรับการการขยายการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน และระดับประเทศต่อไป
โดยกิจกรรมดังกล่าว ได้ดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้เกิดการลงทุน ขยายกิจการหรือสามารถก่อตั้งธุรกิจในผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เมื่อเร็วๆ นี้ คณะ สสว. ได้ติดตามความคืบหน้า ของการพัฒนาธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และการบริการในเชิงท่องเที่ยว ณ สถานประกอบการ ที่มีการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มผลิตภาพ เพิ่มมูลค่าและโอกาสการเข้าถึงตลาดสินค้ามูลค่าสูงได้ ดังนี้
จังหวัดชลบุรี ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยมุ่งเน้นที่อาหารที่มีโภชนาการสูง ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในปัจจุบัน รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มผลผลิตการเกษตร ลดเวลาการดำเนินงานในระบบควบคุมวาล์วจ่ายน้ำ-จ่ายปุ๋ยอัตโนมัติ
จังหวัดระยอง ได้พัฒนา Application สำหรับจัดการการดำเนินงานในองค์กร-การวางแผนและติดตาม การผลิต การซ่อมบำรุง วัตถุดิบ คลังสินค้าการขาย การขนส่ง เป็นต้น และ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ของที่เหลือจากกวัสดุเหลือใช้
จังหวัดจันทบุรี ให้คำแนะนำและอบรมการสร้างเรื่องราวและการนำเสนอ (Storytelling) เพื่อยกระดับอัตลักษณ์ชุมชนท่องเที่ยว Blue zone การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อาหารสมุนไพร แพทย์แผนไทย สปา เป็นต้น
และจังหวัดฉะเชิงเทรา พัฒนาการจัดการในองค์กร และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในตรวจสอบและติดตามความชื้นในดินและ ธาตุอาหารพืชในดิน สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นเกษตรกร
ซึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีคุณภาพถือเป็นสัดส่วนที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจมากที่สุด และได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่หลากหลาย ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม อาทิ นวัตกรรมการปรับปรุงกระบวนการผลิต การยืดอายุผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหาร ลำดับต่อมาคือ ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ และการเพิ่มผลผลิต อาทิ เทคโนโลยี AR Application สำหรับการบริหารจัดการในองค์กร และ IoT สำหรับการเกษตร เป็นต้น
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรรม อันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ที่ยังคงเดินหน้าส่งเสริม พัฒนาสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชน รองรับขยายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อไป
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัลชนะเลิศในสาขากองทุนสำรองเลี้ยงชีพดีเด่น ประเภทกองทุนเดี่ยว (Single Fund) กลุ่มหน่วยงานเอกชน ขนาดกองทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท และรางวัล “นายจ้างส่งเสริมดีเด่น” ประจำปี 2567
นางนงลักษณ์ เอี่ยมโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหาร บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากโครงการประกวดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดีเด่น ประเภทกองทุนเดี่ยว (Single Fund) กลุ่มหน่วยงานเอกชน ขนาดกองทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท และ รับโล่รางวัลนายจ้างส่งเสริมดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งทั้ง 2 รางวัลอันทรงเกียรตินี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทิพยประกันภัย ในการสร้างสรรค์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมาตรฐานที่มุ่งหวังให้พนักงานมีความมั่นคงในอนาคต
กิฟฟารีน เปิดแผน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ปีที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 29 ของกิฟฟารีน บริษัทขายตรงแบรนด์สุขภาพและความงามสัญชาติไทย เปิดกระหึ่ม! Giffarine Flagship Store” (กิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์) สำนักงานธุรกิจสาขาภูเก็ต ใจกลางเมืองรับทัพลูกค้าคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ถือเป็นตลาดใหญ่ของกิฟฟารีน ลั่น! พร้อมลุยเต็มสูบ ทั้งขยายฐานลูกค้า-นักธุรกิจกิฟฟารีน และกิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์ ที่ปัจจุบันมีเปิดกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 102 แห่ง ตอกย้ำเป็นแบรนด์ MLM สัญชาติไทย ที่จริงใจ และพร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้แก่ผู้บริโภค
นายพงศ์พสุ อุณาพรหม รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เดือน 11 ที่ผ่านมา กิฟฟารีนได้เปิด “Giffarine Flagship Store” (กิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์) สำนักงานธุรกิจสาขาภูเก็ต ขนาดพื้นที่กว่า 1,173 ตารางเมตร บนถนนมนตรี บริเวณใกล้หอนาฬิกา ย่านธุรกิจใจกลางเมืองภูเก็ต อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มช่องทางขายในตลาดเมืองท่องเที่ยว และรองรับสมาชิกนักธุรกิจกิฟฟารีน รวมถึงกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน ที่ถือเป็นตลาดใหญ่ของเรา หลังพบว่าความต้องการสินค้าแบรนด์กิฟฟารีนของกลุ่มลูกค้าชาวจีนมีเพิ่มขึ้น หลังจากที่บริษัทฯ บุกขยายตลาดในประเทศจีนต่อเนื่องมาหลายปี
“การปักหมุดหมายใหม่ ด้วยการเปิด กิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์ สำนักงานธุรกิจสาขาภูเก็ต ครั้งนี้ นอกจากต้องการเพิ่มช่องทางขายในตลาดเมืองท่องเที่ยวแล้ว ยังต้องการปูพรมรับทัพนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ตด้วย ทั้งนี้ สาขาภูเก็ต นอกจากจะมีสินค้าครบครันในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย 3.กลุ่มเครื่องสำอางสีสัน เมคอัพ 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและสวัสดิการ 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีน และกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย ที่เป็น FC ของแบรนด์กิฟฟารีนได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความทันสมัยในเรื่องของการบริการด้วย โดยจะให้บริการทั้งระบบออฟไลน์ ออนไลน์ กับสมาชิกผู้บริโภคและนักธุรกิจกิฟฟารีน ซึ่งปัจจุบันกิฟฟารีน มีจำนวนนักธุรกิจกิฟฟารีนกระจายอยู่ทั่วประเทศมากถึง 8.9 แสนรหัส และคาดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 8,000-10,000 รหัส ขณะที่จำนวนสินค้ามีให้บริการมากกว่า 2,000 รายการ ใน 6 กลุ่มสินค้า โดยสินค้าที่ขายดียังเป็น 1.กลุ่มสกินแคร์ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 3.กลุ่มวีแกนโปรตีนและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร
ปัจจุบัน “กิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์” มีสาขาเปิดกระจายอยู่ในหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ 102 สาขา ปี 2568 มีแผนปรับปรุงสาขา และย้ายที่ทำการสาขาหาดใหญ่เป็นลำดับต่อไป เพื่อรองรับลูกค้าและนักธุรกิจกิฟฟารีน และตอกย้ำเป็นแบรนด์ MLM สัญชาติไทย ที่จริงใจ และพร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้แก่ผู้บริโภค
นายพงศ์พสุ กล่าวว่า ตลอด 28 ปี จากเดือนมี.ค.2539 - ม.ค.2567 กิฟฟารีนมีผลประกอบการรวมทะลุ 102,173 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมากๆ ซึ่งเป็นผลจากกิฟฟารีนมีความเข้าใจคนไทย ทั้งในเรื่องงานขาย และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามครบวงจร รวมถึงการปรับกระบวนทัพทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ใหม่ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายตัวจริงเรื่องซีรั่มของกิฟฟารีนด้วย
“การแข่งขันของธุรกิจขายตรงยังรุนแรงต่อเนื่องไม่มีแผ่ว ซึ่งนอกจากแข่งกันเองในธุรกิจขายตรงแล้ว ยังต้องแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกด้วย ทำให้การทำตลาดจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องทำการตลาดเชิงรุกรอบด้าน ในส่วนของกิฟฟารีน จะทำตลาดแบบเน้นความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมุ่งเน้นผลิตสินค้าที่ลูกค้าและผู้บริโภคต้องการมากที่สุดเป็นหลัก” นายพงศ์พสุ กล่าวทิ้งท้าย