เอปสันเดินหน้าลุยตลาดการพิมพ์ส่วนบุคคล (Personal Printing Service) อย่างต่อเนื่อง หลังจากเอปสัน เปิดตัว เครื่องพิมพ์หมึกยูวีขนาดเดสก์ท็อป A4 รุ่นแรก SC-V1030 ไปแล้ว เอปสันเดินหน้ารุกตลาดงานพิมพ์ส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครื่องพิมพ์ผ้าขนาดเดสก์ท็อปรุ่นแรกของเอปสัน Epson SureColor SC-F1030 เหมาะกับงานออนดีมานด์ ที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาด สามารถพิมพ์ได้ทั้งผ้าเส้นใยธรมมชาติ และเส้นใยสังเคราะห์ ด้วยเทคโนโลยีหัวพิมพ์แบบใหม่ของเอปสัน PrecisionCore MicroTFP ให้งานพิมพ์คมชัด แม่นยำ และพิมพ์งานได้เร็วขึ้นถึง 135% ให้ผู้สวมใส่มั่นใจด้วยหมึก UltraChrome DG2 ผ่านการรับรองความปลอดภัยและปลอดสารพิษของ OEKO-TEX® ขนาดกะทัดรัด ออกแบบให้วางบนโต๊ะได้อย่างสะดวก เหมาะกับทุกสภาพแวดล้อมการทำงาน นอกจากนี้ Epson SureColor SC-V1030 ยังทำงานได้ทั้งการพิมพ์ DTG และ DFT จึงมีความยืดหยุ่นในการพิมพ์บนวัสดุที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์สำหรับร้านค้าที่ต้องการรองรับงานที่หลากหลาย และกลุ่มสตาร์ทอัพที่ต้องการเริ่มธุรกิจ รูปแบบ DIY เพื่อรองรับการพิมพ์งานส่วนบุคคลหรือองค์กรที่ต้องการปรับแต่งหรือออกแบบเองงานพิมพ์ของตัวเอง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จัดงาน “ติด BUFF การเงิน TALK SHOW” มุ่งเป็นเวทีที่ให้ความรู้คู่ความบันเทิงในเรื่องการเงิน มีเป้าหมายหลักที่จะทำให้เรื่องการเงินที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายและสนุกสนาน โดยมี ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานบริษัท(กลาง) ฮานส์ โจฮาน แพทริก แซนดิกรรมการอิสระ(ที่สามจากซ้าย) ริคาร์โด นิการ์นอร์ จารินโต กรรมการอิสระ(ที่สามจากขวา) ชง จิน โอ เลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MIBG(ที่สองจากขวา) และ อารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) (ที่สองจากซ้าย) ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังอย่าง จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร(ซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เจ้าของเพจ Money Buffalo และ คุณศรัญญู เพียรทำดี(ขวา) เจ้าของเพจ Buffalo Gags ที่มาร่วมให้ความรู้ด้านการเงินและความบันเทิง สร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นการลงทุนอย่างถูกต้องและยั่งยืน ณ โรงภาพยนตร์ EARTHLAB ชั้น 9 (SF World Cinema Central World) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆนี้
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เป็นหนึ่งในภาคเอกชนไทยที่เข้าร่วมในงานประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) โดยมีนายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมเป็นวิทยากรงานเสวนาในกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) การประชุมรัฐภาคีฯ หัวข้อ “Financing the Transition" นำเสนอในเรื่อง "Empowering SMEs and Sustainable Development through Green and Blue Financing" ซึ่งทีทีบีให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าตามเป้าหมาย Net-zero Commitment ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนที่สุดของโลกในปัจจุบัน ซึ่งทีทีบีตระหนักถึงบทบาทสำคัญและความรับผิดชอบ พร้อมนำความสามารถมาสร้างโซลูชันทางการเงินที่จะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เพราะบทบาทของธนาคารไม่ใช่การนำพาองค์กรไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยทีทีบีมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนในการดำเนินงานเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Economy) ผ่านการให้สินเชื่อ ให้คำปรึกษาลูกค้า และสนับสนุนบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่าน
ทีทีบีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกรอบ B+ESG ทุกกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตและยั่งยืน เพราะธุรกิจ (Business) หรือ B ต้องเติบโตอย่างแข็งแรง ทีทีบีจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทางการเงินที่ยั่งยืนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยนำกฎเกณฑ์ด้าน ESG มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งเน้นส่งเสริมด้าน ESG ให้กับลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคล เช่น สินเชื่อสีเขียว สินเชื่อสีฟ้า สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืน ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้สีฟ้า กองทุุนเพื่อการลงทุุนด้าน ESG และยังมีบริการให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาด้าน ESG ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ พร้อมมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้มีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG เพื่อให้ลูกค้ามีความรับผิดชอบและเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
ภายในงาน นายกมลพันธ์ ได้กล่าวถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านว่า “ธนาคารได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบจากกฎกติกาต่าง ๆ ที่จะบังคับใช้ในอนาคต เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM-Carbon Border Adjustment Mechanism) ประกอบกับการวิเคราะห์พอร์ทสินเชื่อของลูกค้าตามความเสี่ยงของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผน จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วม และสร้างเกราะป้องกันให้กับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น โดยทีทีบีจะจัดหาพันธมิตรด้านโซลูชันทางเทคนิคสำหรับการลดใช้พลังงาน การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น และในปี 2567 ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Green Transformation เพื่อช่วยสนับสนุนทางการเงินและส่งเสริมการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน
“จากการรวมปัจจัยด้าน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้คำปรึกษาและการอนุมัติสินเชื่อตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารเห็นถึงความสนใจในสินเชื่อ ESG ที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้า โดยตลอดเส้นทางการดำเนินธุรกิจของทีทีบีได้สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นและแก้ปัญหาให้ผู้คนอย่างแท้จริง ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงสังคมสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตอกย้ำความสำเร็จจากรางวัลด้านความยั่งยืนที่ธนาคารได้รับมาต่อเนื่อง สะท้อนชัดถึงการลงมือทำอย่างแท้จริงของธนาคารในการขับเคลื่อนสู่การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” นายกมลพันธ์ กล่าวสรุป
บ้านปู เน็กซ์ บริษัทลูกของบ้านปู ผู้ให้บริการ Net Zero Solutions ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับดูราเพาเวอร์* ผู้นำด้านระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบลิเธียมไอออนระดับโลกสำหรับการใช้งานด้านพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าเปิดโรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ อย่างเป็นทางการ ส่งเสริมการเดินทางและขนส่งด้วยพลังงานสะอาด และรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศไทย และเอเชียแปซิฟิก
โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ซึ่งนอกจากพร้อมสนับสนุนตลาดรถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ขยายอย่างรวดเร็วในภูมิภาคแล้ว ยังสอดรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยด้วย รวมถึงมีส่วนช่วยขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ ดำเนินกิจการภายใต้บริษัทร่วมทุน (JV) ระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ ผนึกความเชี่ยวชาญของสองบริษัททั้งองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเข้าใจตลาด เพื่อส่งมอบแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและตรงกับความต้องการในภูมิภาค โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะแบบกึ่งอัตโนมัติ (semi-automated intelligent production) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในโรงงานแบตเตอรี่ของดูราเพาเวอร์ สามารถส่งมอบแบตเตอรี่ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของรถบัสไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงรถขนส่งเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ด้วยการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา รองรับการชาร์จเร็ว และกักเก็บพลังงานได้ยาวนาน ทั้งยังมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด อาทิ UNECE No. 100 ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามมาตรฐานยุโรปในการอนุมัติยานยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งบนถนน หรือ IEC 62660 ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพสำหรับเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทุติยภูมิ (secondary lithium-ion cells) ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ แบตเตอรี่จากโรงงานดีพี เน็กซ์ ยังผ่านการทดสอบแบบเจาะทะลุ ซึ่งเป็นการทดสอบประสิทธิภาพความปลอดภัยของแบตเตอรี่
โรงงานแห่งนี้สามารถประกอบแบตเตอรี่ได้มากกว่า 15,000 ชุดต่อปีตามความต้องการของตลาด โดยมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตสูงสุดเป็น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาค โดยร้อยละ 80 ของแบตเตอรี่ที่ผลิตทั้งหมดจะถูกจำหน่ายในประเทศ ขณะที่อีกร้อยละ 20 จะถูกส่งออกไปยังตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา โรงงานนี้มีโซลูชันแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมทั้งลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) และลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภทในอุตสาหกรรมการเดินทางและขนส่ง ไม่ว่าจะเป็น
นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “เอเชียแปซิฟิกถือเป็นผู้นำในตลาดรถบัสไฟฟ้าระดับโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 44.74 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 เป็น 73.88 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2572** ซึ่งโรงงานแห่งนี้สอดรับกับทิศทางการเติบโตดังกล่าว และเป้าหมายของประเทศไทยที่มุ่งจะเพิ่มรถบัสและรถบรรทุกไฟฟ้าเป็น 33,000 คัน หรือ 40% ของยานยนต์ที่จดทะเบียนบนท้องถนนภายในปี 2573*** ทั้งยังสร้างโอกาสให้กับซัพพลายเออร์แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกด้วย โรงงานประกอบแบตเตอรี่แห่งนี้จึงไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบ้านปู เน็กซ์ สู่การเป็น Net-Zero Solutions Provider ให้กับองค์กรทั่วเอเชียแปซิฟิก แต่ยังจะช่วยส่งเสริมตลาดแรงงานไทยผ่านการจ้างงานในท้องถิ่นมากกว่า 300 ตำแหน่งตามเป้าหมายการผลิตในระยะยาว”
นายเคลวิน ลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดูราเพาเวอร์ กล่าวว่า “โรงงานดีพี เน็กซ์ จะขยายศักยภาพของดูราเพาเวอร์ในการนำเสนอโซลูชันแบตเตอรี่ชั้นนำให้กับลูกค้าทั่วโลก ซึ่งมีความพร้อมด้านกระบวนการผลิตและประกอบแบตเตอรี่ เสริมด้วยจุดเด่นด้านนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาใช้เพื่อส่งมอบแบตเตอรี่คุณภาพสูงตามความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนให้กับลูกค้าในประเทศไทย ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
บ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ ร่วมกันนำเสนอโซลูชันแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัยและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อทรานส์ฟอร์มธุรกิจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้คาร์บอน โดยโรงงานแห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยควบคู่ไปกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
*ดูราเพาเวอร์ เป็นบริษัทลูกของบ้านปู เน็กซ์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ 65.1%
**ที่มา: Asia Pacific Electric Bus Market Size & Share Analysis - Growth Trends & Forecasts (2024 - 2029)
***ที่มา: Industry Outlook 2024-2026: Electric Vehicle Industry
เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จัดกิจกรรมใหญ่เฉลิมฉลองส่งท้ายปีกับงาน “กีฬาสีประจำปี…Happy Carnival Day" เพื่อมอบแทนคำขอบคุณให้แก่ “พนักงาน” แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักดันองค์กรสู่ความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมอบแนวทางการดำเนินงานปี 2568 ด้วยการสานต่อแนวคิด “DEI” เพื่อตอกย้ำการให้ความสำคัญแก่บุคลากรในทุกมิติ ทั้งการสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และผลักดันการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับชั้น
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ และคณะผู้บริหารเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมมอบโล่รางวัล Lifetime Partner Awards ให้แก่พนักงานที่ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลงานอย่างยอดเยี่ยม เพื่อเป็นของขวัญแสดงความขอบคุณและเพื่อเป็นต้นแบบที่สำคัญในการสนับสนุนองค์กรให้เติบโต โดยมี นางสาวสายฝน คงจิตต์งาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและสนับสนุนองค์กร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมให้นโยบายการบริหารบุคลากรปี 2568 ด้วยการตอกย้ำแนวคิดการให้ความสำคัญกับบุคลากร ความแตกต่าง และความเท่าเทียม (DEI) เพื่อให้บุคลากรทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยปราศจากอคติ และมีเป้าหมายเดียวกันคือเกิดความเคารพในตนเอง มีความสุขและมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ส่งต่อไปยังเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมนอกองค์กร
สำหรับกิจกรรม “กีฬาสีประจำปี…Happy Carnival Day" ยังสนับสนุนให้พนักงานได้แสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทั้งการจัดขบวนพาเหรด การประกวดกองเชียร์ และการประกวดแต่งกายดีเด่นเพื่อชิงเงินรางวัล รวมถึงการแข่งขันกีฬาสร้างความสัมพันธ์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยปาร์ตี้และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง นนท์ - ธนนท์ จำเริญ ที่มาร่วมสร้างสีสันและความประทับใจให้แก่พนักงาน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์
บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา เดินหน้าพัฒนาศักยภาพตัวแทนประกันชีวิต หัวใจสำคัญของธุรกิจประกันชีวิต ตอกย้ำคุณภาพตัวแทนประกันชีวิตด้วยรางวัลระดับเอเชีย ประเภท “ตัวแทนประกันชีวิตรายใหม่แห่งปี” (Rookie Insurance Agency Leader of The Year) ในงาน 9th Asia Trusted Life Agents & Advisor Awards 2024 (Asia Insurance Review) เวทีประกวดระดับเอเชียของธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Asia Insurance Review และ Asia Advisers Network จากประเทศสิงคโปร์
นายวิรงค์ พัฒนะกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารตัวแทน บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า “อลิอันซ์ อยุธยา ยังคงให้ความสำคัญกับช่องทางตัวแทน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ผ่านมาของอลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัยรับรวมที่ 19,249 ล้านบาท ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรกเติบโตมากถึง 28% อยู่ที่ 4,580 ล้านบาท โดยมาจากช่องทางตัวแทน 1,542 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ช่องทางตัวแทนเป็นช่องทางที่สำคัญของธุรกิจประกันชีวิตที่ทำให้บริษัทเติบโต ด้วยกรมธรรม์ประกันชีวิตมีรายละเอียดที่แตกต่าง ซับซ้อน อาทิ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ Unit linked ประกันชีวิตควบการลงทุน จึงต้องอาศัยการสื่อสาร แนะนำจากตัวแทน รวมไปถึงการให้บริการหลังการขาย
ในปัจจุบันคนไทยมีประกันชีวิตไม่เกิน 40 % รวมไปถึงตัวแทนประกันชีวิตที่มีเพียงหลักแสนคนเท่านั้น ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับผู้ยังไม่มีประกันชีวิต โดยอาชีพตัวแทนประกันชีวิตยังถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งบริษัทมีการพัฒนาตัวแทนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้น บริษัทฯมี Agency Academy สอนพื้นฐานธุรกิจประกันชีวิต รายละเอียดของสินค้าแต่ละรูปแบบ รวมถึงเครื่องมือในการเสนอขาย ปิดยอด และบริการหลังการขาย หากใครสนใจอยากเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต ขอเพียงมีความตั้งใจ มุ่งมั่น โอกาสไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน
คุณธนินนัทธ์ อนันตจริยะพล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขาย บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ตัวแทนประกันชีวิตรุ่นใหม่ในวัย 34 ปี ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะดูแลลูกค้าทั้งในเรื่องสุขภาพและการเงิน ด้วยความตั้งใจนี้ทำให้ธนินนัทธ์ หรือมาร์ค ประสบความสำเร็จในธุรกิจประกันชีวิต ก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขาย พร้อมคว้าตำแหน่ง Rookie Insurance Agency Leader of The Year ในงาน 9th Asia Trusted Life Agents & Advisor Awards 2024 (Asia Insurance Review) จัดขึ้นที่ PARKROYAL COLLECTION, Marina Bay ประเทศสิงคโปร์
จุดเริ่มต้นในการเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต
เข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิตมาประมาณ 5 ปี โดยก่อนเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิตทำงานด้านหลักทรัพย์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนให้กับโบรคเกอร์ ประมาณ 7 ปี โดยมีความมุ่งมั่นตั้งใจด้านการเงินมาตั้งแต่เด็ก จุดที่ทำให้สนใจเข้ามาทำธุรกิจประกันชีวิต ศึกษาจากพฤติกรรมของนักลงทุนในหลักทรัพย์ใช้เงินที่จัดสรรมาลงทุนเพียง 10% ของทรัพย์สิน แต่ยังมองหาอีก 90% ที่จะนำไปลงทุนที่ต่างๆ จึงมองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปดูแลสินทรัพย์ให้กับลูกค้าได้ครอบคลุม
เป้าหมายในอาชีพตัวแทนประกันชีวิต
ในแต่ละช่วงชีวิตของทุกคน มักจะมีเหตุการณ์สำคัญไม่กี่เหตุการณ์ เช่น เรียนจบ แต่งงาน คลอดลูก เกษียณ ในแต่ละช่วงเกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ประกันชีวิตสามารถไปแทรกในทุกช่วงชีวิตได้ จึงอยากจะสร้างอิมแพคเรื่องประกันชีวิตให้กับทุกคน มีการตั้งเป้าหมายกรมธรรม์ในทีมงานให้ถึง 1 ล้านกรมธรรม์ ภายในปี 2030 รวมถึงการขยายทีมงานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
แนวคิดในการทำงาน ก้าวสู่ความสำเร็จ
ทุกครั้งที่ไปเจอลูกค้า สิ่งที่นำเสนอให้กับลูกค้าคือ การวางแผนการเงิน ก่อนที่จะขายผลิตภัณฑ์ใดๆให้ลูกค้า ต้องเข้าใจเป้าหมายของลูกค้า ซื้อเพื่ออะไร ได้อะไร ต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ตั้งแต่ซื้อ เคลม รวมถึงเยี่ยมลูกค้ากรณีเจ็บป่วย ทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้า จนเกิดเป็นความประทับใจและความเชื่อใจ รวมถึงทีมงาน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แนวคิดการทำงานของทีม เน้นการฟัง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้อย่างตรงเป้าหมาย
อลิอันซ์ อยุธยา แรงผลักดันสู่ความสำเร็จ
อลิอันซ์ อยุธยา มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างที่ปรึกษาด้านการเงิน จากการจัดกิจกรรมฝึกอบรม นำเสนอเนื้อหาที่จะพัฒนาตัวแทนได้เป็นอย่างดี แคมเปญการแข่งขัน เพื่อผลักดันการทำงานให้ไปถึงเป้าหมาย
เคล็ดลับความสำเร็จ คว้ารางวัล Rookie Insurance Agency Leader of the year 2024
เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับรางวัลนี้ ถือเป็นรางวัลของทีมงานทุกคน โดยได้เขียนเรื่องราวบอกเล่าการทำงานของทีม ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ประเภท Rookie Insurance agency Leader of the year 2024 จากผู้เข้าชิงจากหลายประเทศในเอเชีย เคล็ดลับความสำเร็จในครั้งนี้ การสร้างทีมงานที่เป็นตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาด้านการเงิน ไม่ได้มองแค่มุมทีมงานหรือลูกค้า แต่มองถึงภาพรวมทั้งหมด ทั้งบริษัท ทีมงานเบื้องหลัง ปลูกฝังทีมงานถึงความสำเร็จแบบองค์รวม สร้างแนวทางการทำงานให้คนในองค์กรทำงานในทิศทางเดียวกัน ทำกิจกรรมในทีม การตั้งเป้าหมายร่วมกัน เป้าหมายคือ การมีกรมธรรม์ในทีมงานให้ถึง 1 ล้านกรมธรรม์ ภายในปี 2030 รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคม จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงินกับคนที่ขาดแคลนการเงิน ขาดโอกาสการเข้าถึง คนที่มีหนี้สิน ทำมาอย่างสม่ำเสมอตลอด 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต
ธุรกิจประกันชีวิตเปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ เริ่มจากหว่านเมล็ด อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี กว่าจะออกผล สำหรับตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่สนใจเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต ต้องให้เวลากับการทำงาน เอาใจใส่ ทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ พัฒนาตัวเอง วางแผนการทำงาน ในช่วงเริ่มต้นให้เวลากับการขายให้มากประมาณ 90% เมื่อเริ่มเติบโต เริ่มวางแผนการสร้างทีม การบริหารงาน ปรับสัดส่วนการขายอยู่ที่ 30% มองภาพรวมกันทำงานแบบทีม ไม่ยึดติดการทำงานแบบเดิมๆ กล้าที่จะลองทำ
อาชีพตัวแทนประกันชีวิต เป็นอาชีพอิสระ อิสระทางความคิด ความก้าวหน้า การทำงาน ขอเพียงแค่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ให้เวลา พัฒนาความรู้ สั่งสมประสบการณ์ เพื่อไปสู่ความสำเร็จได้ตามความตั้งใจ และสิ่งสำคัญคือการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการดูแลลูกค้าหลังการขาย ช่วยให้ตัวแทนประกันชีวิตสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน
นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เป็นหนึ่งในสมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง ที่เข้าร่วมงาน “แถลงความพร้อมของอุตสาหกรรมและเปิดตัวกองทุน ThaiESG ปี 2567” จัดโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความพร้อมเสนอขายกองทุน ThaiESG ในช่วงเทศกาลลดหย่อนภาษีส่งท้ายปี และพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 2,694.34 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ต.ค. 67) โดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG เป็นกองทุนแรกของไทยที่มีเป้าหมายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก การันตีได้จากขนาดกองทุนที่ใหญ่ที่สุด และเป็นกองทุน ThaiESG ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด ในขณะที่กองทุน K-ESGSI-ThaiESG ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเช่นกัน ด้วยขนาดกองทุนใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ตราสารหนี้ นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนผสม ThaiESG เร็วๆ นี้ ที่เน้นลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาดจากการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล และ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครบวงจรผ่านเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านการแพทย์ ผสานกับบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากกัมพูชาในเฟสแรก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพในยุคดิจิทัลได้อย่างครบวงจร
นายไพบูลย์ เฟื่องฟูสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบัญชีและการเงิน เครือโรงพยาบาลพญาไท -เปาโล กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “โครงการ ‘ASEAN Privilege’ นี้มุ่งเน้นการให้บริการที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันระหว่างการแพทย์และการเงินเพื่อให้ผู้ใช้บริการในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด (Cashless) หรือบริการ Telemedicine ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพบริการทางการแพทย์ และเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพของผู้รับบริการ”
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญเพื่อสร้าง Connectivity เชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าอาเซียน และนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน โดยความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งขยายสิทธิประโยชน์ของลูกค้าและพัฒนาการให้บริการด้านสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยลูกค้าจะได้รับการบริการเฉพาะบุคคล (Personalized Service) ในโครงการ ‘ASEAN Privilege’ ซึ่งครอบคลุมการให้บริการในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ทั้งยังสามารถเข้าถึงระบบชำระเงินที่สะดวกสบายผ่านช่องทางออนไลน์และแอปพลิเคชันบนมือถือได้ทั้งในโรงพยาบาลและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในกระบวนการชำระค่ารักษาพยาบาล โดยในเฟสแรกจะให้บริการลูกค้าในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นลูกค้าของ Hattha Bank ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในกัมพูชาและเป็นสถาบันการเงินในเครือกรุงศรี ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการรักษาและรับคำปรึกษาทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพผ่านบริการ Telemedicine ข้ามประเทศในราคาที่เข้าถึงได้”
“ความร่วมมือนี้ครั้งนี้เป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง นำเสนอ Healthcare Solution ที่มีคุณค่าเพื่อประโยชน์ของลูกค้าในอาเซียน และด้วยความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกรุงศรีในอาเซียน เราเชื่อว่าจะสามารถส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ซึ่งความร่วมมือนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเดินหน้าสู่การขยายฐานลูกค้า พัฒนาโซลูชัน และสร้างอีโคซิสเต็มส์ที่แข็งแกร่งเพื่อลูกค้าของเราในอนาคต” นางสาวพัทธ์หทัย กุลจันทร์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจอาเซียน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม
ทั้งนี้ ในอนาคตกรุงศรียังมีแผนการขยายบริการทางการแพทย์ใหม่ๆ กับเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล รวมถึง สินค้าและบริการราคาพิเศษ การขยายสิทธิพิเศษให้เฉพาะลูกค้าในกลุ่มกรุงศรี เช่น บริการ ‘Tele Ambulance’ และสนับสนุนการพัฒนาบริการนวัตกรรมด้านสุขภาพในภูมิภาคอาเซียนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้ากรุงศรี
นพ. อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ กล่าวว่า “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล มีความตั้งใจในการยกระดับประสบการณ์การรักษาสำหรับผู้ป่วย และพัฒนาบริการที่ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้ชำนาญการและทีมสหสาขาวิชาชีพที่พร้อมทุ่มเทในการดูแลผู้ป่วย ภายใต้แนวคิด ‘Value Based Healthcare’ ซึ่งเน้นคุณค่าการรักษาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วยรายบุคคล ภายใต้คุณภาพมาตรฐานแบรนด์ ‘พญาไท’ ในระดับสากล”
“เรามีความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ป่วย และตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะต่อยอดไปสู่โครงการในอนาคต ที่ช่วยเชื่อมโยงบริการด้านการเงินและการแพทย์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมสำหรับผู้ป่วยในทุกกลุ่มโรค” นายไพบูลย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า
ในความร่วมมือนี้ เครือโรงพยาบาลฯ ได้พันธมิตรสำคัญอย่างอินไวเทรส (Invitrace) ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัล มาร่วมสนับสนุนความร่วมมือครั้งนี้ ระหว่างกรุงศรีและโรงพยาบาลพญาไทในด้าน Telemedicine โดยอินไวเทรสจะเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี (Tech-arm) ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรักษาสุขภาพ (Digital Health Transformation) ซึ่งสอดคล้องกับคุณค่าหลักของบริษัทในการขยายการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและเชื่อมต่อภูมิภาคต่าง ๆ ผ่านนวัตกรรมดิจิทัล
นายวิทยา ยาม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง) เป็นประธานในงานวันคล้ายวันก่อตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ครบรอบ 52 ปี โดยมี นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. ผู้บริหาร พนักงานและลูกจ้าง กทพ. ร่วมให้การต้อนรับ ณ หอประชุม 0101 ชั้น 1 อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ กทพ.
นายวิทยา ยาม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กทพ. เป็นหน่วยงานอันดับต้น ๆ ที่มีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน และช่วยแก้ไขปัญหาจราจรในภาพรวมของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่ง กทพ. มีการเติบโตอย่างเข้มแข็งมาจนครบ 52 ปีเต็ม สิ่งเหล่านี้เกิดจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร พนักงานและลูกจ้างของ กทพ. ทุกคน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กทพ. มีผลงานการพัฒนาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการให้บริการประชาชนไม่ว่าจะเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติด้วยบัตร Easy Pass รวมถึงการเปิดบริการ Application EXAT Portal และล่าสุดคือการพัฒนาโครงการสะสมคะแนน “EXAT REWARD” เพื่อยกระดับ การให้บริการบัตร Easy Pass เพิ่มความคุ้มค่าให้กับประชาชนในการใช้ทางพิเศษอีกด้วย
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 52 ปี กทพ. มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายขยายเส้นทางเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร และช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยปัจจุบัน กทพ. ได้เปิดให้บริการทางพิเศษรวม 8 สายทาง รวมระยะทาง 224.6 กิโลเมตร ประกอบด้วย ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษอุดรรัถยา ทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ ทางพิเศษกาญจนาภิเษก และทางพิเศษประจิมรัถยา และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 โครงการ คือ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 -ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร ที่จะเปิดให้บริการภายในปี 2568 และโครงการทางพิเศษสายฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ-ลำลูกกา) ที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2568 นอกจากนี้ กทพ. มีแผนการขยายเส้นทางทางพิเศษไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ที่จะเปิดให้บริการภายในปี 2568 และโครงการทางพิเศษสายฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ-ลำลูกกา) ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2568 รวมทั้งการทางพิเศษฯ ยังมีโครงการสำคัญในเขตเมืองที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการทางยกระระดับชั้นที่ 2 (ช่วงงามวงศ์วาน -พระราม 9) โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก และโครงการทางพิเศษสายศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และยังมีแผนการขยายเส้นทางทางพิเศษไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ ๑ (ช่วงกะทู้- ป่าตอง) และ ระยะที่ ๒ (ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้) รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี และโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง จังหวัดตราด
นอกจากภารกิจหลักในการสร้างทางพิเศษแล้ว กทพ. ยังให้ความสำคัญกับเยาวชน โดยได้สนับสนุนทุนการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 1,247 ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น 7,730,000 บาท อีกทั้ง มีส่วนร่วมในการส่งเสริม พัฒนาและสนับสนุนการแข่งขันกีฬาในระดับประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล
ในการพัฒนาด้านกีฬาให้เกิดความยั่งยืนโดยได้ให้การสนับสนุนสมาคมกีฬายิงเป้าบิน และสมาคมกีฬาเทคบอลแห่งประเทศไทย กทพ. ยังคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษไปแล้วกว่า 780 กิโลวัตต์ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 3.7 ล้านบาทต่อปีลดคาร์บอนไดออกไซด์ 412.87 tonCo2e (ตันคาร์บอนไดออกไซด์) ต่อปีหรือเทียบเท่าการปลูกต้นสัก 469,173 ต้น คิดเป็นพื้นที่ป่า 4,692 ไร่ และยังได้รับการรับรองโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก จากองค์การบริการการจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ปัจจุบัน กทพ. ได้เปลี่ยนหลอดไฟภายในอาคารสำนักงานเป็นชนิดประหยัดพลังงาน (LED) พื้นที่ปฏิบัติงาน และอาคารศูนย์ควบคุมทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี ทำให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 12.146 tonCo2 ต่อปี และยังร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ไทยในการเลือกใช้ปูนไฮดรอลิก
ในการก่อสร้างทางพิเศษ ตลอดจนจัดโครงการ EXAT POWER GREEN ภายใต้ชื่อกิจกรรม “EXAT รักษ์โลก” โดยเชิญชวนประชาชนผู้ใช้บริการทางพิเศษ เข้ากิจกรรมฯ ร่วมสร้างพื้นที่ สีเขียวด้วยการร่วมปลูกต้นไม้และร่วมเรียนรู้การอนุรักษ์ธรรมชาติลดปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก อีกด้วย “การทางพิเศษฯ จะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพในการให้บริการ โดยนำระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาจราจร และอำนวยความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ในเมืองและนอกเมือง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานการเดินทาง สร้างความสุขให้กับคนไทย ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 53 ด้วยคำจำกัดความว่า พัฒนาเส้นทาง สร้างแรงบันดาลใจ ก้าวไปสู่ Net Zero Society” นายสุรเชษฐ์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด