

กรมการท่องเที่ยวจัดกิจกรรมงานเสวนาวิชาการ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและปราศจากการค้ามนุษย์ (Building Safe Tourism: Stronger Together Against Trafficking) เพื่อมุ่งส่งเสริมบทบาทของภาคการท่องเที่ยวในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการค้ามนุษย์ สร้างความตระหนักรู้แก่ผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิด “ท่องเที่ยวปลอดภัย ห่างไกลการค้ามนุษย์ … รู้เท่าทัน สังเกตได้ ช่วยได้ ไม่เพิกเฉย” โดยมี นางณัฏฐิรา แพงคุณ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว เป็นประธานเปิดงานเสวนา และมีเครือข่ายภาคีทั้งหน่วยงานภาครัฐ สมาคมภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ ณ ห้องเมฆา บอลรูม โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า “กรมการท่องเที่ยวตระหนักดีว่าความปลอดภัยคือรากฐานสำคัญของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เรามุ่งหวังให้การดำเนินงานในครั้งนี้เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว และยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันกับตลาดโลก ภายใต้แนวคิด ‘Let’s Make Tourism Safe for All’ หรือ ‘ร่วมสร้างการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” โดย ‘คน’ ถือเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างแท้จริง ความยั่งยืนทางสังคมคือ การที่ทุกคนได้รับการเคารพ ในศักดิ์ศรี มีความเสมอภาค ความเท่าเทียม และความปลอดภัย หากเราสามารถสร้างระบบที่เอื้อต่อการป้องกันการค้ามนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมได้ ก็จะเป็นการวางรากฐานของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่เป็นด่านหน้าที่ใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด โดยการสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้การป้องกันและต่อต้านการค้ามนุษย์เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวัง การสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติ การรายงานเบาะแส หรือแม้แต่การออกแบบบริการที่โปร่งใส มีมาตรฐาน และเป็นธรรม”

โดยภายในงานเสวนาวิชาการ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและปราศจากการค้ามนุษย์ มีการบรรยายพิเศษ และการเสวนาวิชาการในประเด็นสำคัญ ได้แก่
นอกจากเวทีเสวนาแล้ว กรมการท่องเที่ยวยังมีบูธนิทรรศการข้อมูลข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและมาตรการต่าง ๆ พร้อม “หลักสูตรการอบรมการท่องเที่ยวปลอดภัยและปราศจากการค้ามนุษย์” เพื่อใช้เป็น เครื่องมือพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยได้จัดอบรมในพื้นที่นำร่อง 6 จังหวัด เพื่อขยายผลการดำเนินงาน และทดสอบรูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสูตรในระดับพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี อุดรธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต และสงขลา ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ถือเป็น พื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ที่มีความหลากหลายของนักท่องเที่ยว และรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นในการ สร้างต้นแบบการท่องเที่ยวปลอดภัย ทั้งในเชิงการป้องกัน การเฝ้าระวัง และการพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระดับประเทศต่อไป
หลังจากเดินทางร่วมกับผู้ประกอบการไทยมากว่า 28 ปี ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแบบไร้เงินสดอันดับ 1 ของประเทศไทย Bartercard ได้ประกาศก้าวสำคัญด้วยการพลิกโฉมใหม่สู่ "Barter Connect (บาร์เทอร์ คอนเนคท์)" ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นศูนย์กลางแห่งการเชื่อมต่อ (Connect) ที่ทรงพลังสำหรับเจ้าของธุรกิจทั่วประเทศ เพื่อยกระดับธุรกิจ แลกเปลี่ยนและเติบโตไปด้วยกัน พร้อมเปิดตัว Barter Connect Mobile App เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวและการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของ บาร์เทอร์ คอนเนคท์ ในการเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแบบไร้เงินสด ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพสำหรับเจ้าของธุรกิจมากที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายเงินสด ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจ ปัจจุบันมีสมาชิกเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่า 3,000 ธุรกิจทั่วประเทศ ทำให้ บาร์เทอร์ คอนเนคท์ เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างโอกาสทางธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด และได้ช่วยธุรกิจประหยัดเงินสดไปแล้วกว่า 19,500 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด "แลกสิ่งที่คุณมี เปลี่ยนเป็นสิ่งทีคุณต้องการ สร้างการเติบโตให้ธุรกิจคุณ"

นางสาวเรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บาร์เทอร์ คอนเนคท์ กล่าวว่า "การปรับโฉมแบรนด์ครั้งนี้ คือการเดินทางครั้งสำคัญของเราเพื่อตอบโจทย์โลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราเข้าใจดีว่าเจ้าของธุรกิจยุคใหม่ต้องการความคล่องตัว การขยายโอกาส และการรักษากระแสเงินสดไปพร้อมๆ กัน ชื่อใหม่ ‘บาร์เทอร์ คอนเนคท์’ สะท้อนถึงหัวใจของสิ่งที่เราทำ นั่นคือการ ‘เชื่อมต่อ’ ผู้ประกอบการกว่า 3,000 ธุรกิจเข้าด้วยกัน และการเปิดตัว Barter Connect Mobile App จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปลี่ยนวิธีการแลกเปลี่ยนให้ง่ายดายเสมือนช้อปปิ้งมอลล์ออนไลน์ในมือคุณ ช่วยให้สมาชิกของเราสามารถเปลี่ยนสินค้าคงคลังหรือบริการที่ยังว่างอยู่ให้เป็นรายได้ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้คือความมุ่งมั่นของเราที่จะเป็นเครื่องมือต่อยอดธุรกิจที่ทรงพลังให้แก่ SMEs ไทยอย่างแท้จริง"

นอกเหนือจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย บาร์เทอร์ คอนเนคท์ ยังคงรักษาจุดแข็งด้านการบริการที่ครบวงจร ด้วยการพัฒนา 5 เครื่องมือหลักเพื่อช่วยเจ้าของธุรกิจ
สำหรับ Barter Connect Mobile App ถูกพัฒนาขึ้นจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของเจ้าของธุรกิจ โดยมีฟีเจอร์หลักที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะ

• Powerful Search - ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ภายในไม่กี่คลิก เหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ที่คุ้นเคย • Pay Now - ระบบชำระเงินแบบ One-Click ด้วยเทรดบาท ประหยัดเวลาและเงินสด • Process Sale - สร้าง QR Code รับยอดขายได้ทันที ตอบสนองธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว • Deal Chat - แชทเรียลไทม์กับเจ้าของธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นก่อนการตัดสินใจ • Marketplace - ช้อปปิ้งมอลล์ออนไลน์ที่รวมทุกโอกาสทางธุรกิจไว้ในมือคุณ
"เราไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการ สร้างพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาว ด้วยแอปพลิเคชันใหม่นี้ เจ้าของธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายจากทรัพยากรที่มีอยู่ ขยายฐานลูกค้าใหม่ และที่สำคัญคือใช้เทรดบาทแทนเงินสด เพื่อรักษากระแสเงินสดไว้ใช้ในสิ่งสำคัญอื่นๆ" นางสาวเรวดี กล่าวเสริม
สำหรับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสใหม่ในการขยายธุรกิจ บาร์เทอร์ คอนเนคท์ พร้อมเป็นพันธมิตรที่เชื่อมต่อคุณสู่พันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เพื่อเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก บาร์เทอร์ คอนเนคท์ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.barterconnect.com หรือ Facebook : Barter Connect และโทร. 02-024-1000
ออเนอร์ (HONOR) เตรียมเปิดตัว HONOR Pad 10 แท็บเล็ตรุ่นใหม่ ที่ยกระดับประสบการณ์การใช้งานเทียบเท่าระดับ PC พร้อมพลัง AI อัจฉริยะรอบด้าน รองรับทั้งการทำงานและความบันเทิงครบจบในเครื่องเดียว ชูจุดขายด้วยฟีเจอร์ AI อัจฉริยะที่ช่วยเรื่องการทำงานอย่างครบครัน พร้อมปากกาและคีย์บอร์ด ช่วยให้ประหยัดเวลาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าจอใหญ่ 12.1 นิ้ว ความละเอียด 2.5K HONOR Eye Comfort Display ช่วยถนอมสายตาแม้ใช้งานต่อเนื่องยาวนาน เติมเต็มทุกการใช้งานด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต Snapdragon 7 Gen 3 และแบตเตอรี่ความจุ 10,100mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน มอบประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ควบคู่ความสะดวกสบายที่เหนือระดับ เตรียมเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 10 กันยายน 2568 พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษที่พลาดไม่ได้!
HONOR Pad 10 มาพร้อมขุมพลังและฟีเจอร์จัดเต็ม ตอบโจทย์การใช้งานรอบด้าน ทั้งการทำงาน การเรียน และความบันเทิงในทุกรูปแบบ ดีไซน์เรียบหรู บางเบา จับถนัดมือ พกพาสะดวก โดดเด่นด้วยหน้าจอพรีเมียมขนาดใหญ่ 12.1 นิ้ว ความละเอียด 2.5K HONOR Eye Comfort Display พร้อมอัตรารีเฟรชสูง 120Hz มอบภาพคมชัด ลื่นไหล และสบายตา เหมาะสำหรับใช้งานต่อเนื่องยาวนาน ด้วยเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพสายตาควบคู่กับประสบการณ์ภาพที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนดูโซเชียลมีเดีย อ่านเอกสารยาว ๆ หรือการเล่นเกมกราฟิกสวย ๆ ก็ทำได้อย่างราบรื่น ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon® 7 Gen 3 มอบประสิทธิภาพทรงพลังและการตอบสนองที่รวดเร็ว รองรับทั้งงานประจำวัน การทำงานแบบมัลติทาสก์ หรือความบันเทิงระดับหนักได้อย่างไม่มีสะดุด
ด้านพลังงาน HONOR Pad 10 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 10,100mAh ใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดทั้งวัน รองรับทั้งการชาร์จมีสาย 35W และการชาร์จไร้สาย 66W เติมพลังกลับมาใช้งานได้รวดเร็ว หมดกังวลเรื่องการรอชาร์จนาน ทำให้พร้อมใช้งานทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังเสริมประสบการณ์ด้วย AI Productivity Tools รองรับการใช้งานร่วมกับ Keyboard และ HONOR Choice Pencil ปากกาอัจฉริยะที่ช่วยให้การเขียน วาด และจดบันทึกเป็นไปอย่างลื่นไหลและแม่นยำระดับมืออาชีพ
ห้ามพลาด! เตรียมสัมผัสนวัตกรรมแท็บเล็ตที่ผสานดีไซน์หรูหรา ฟีเจอร์ล้ำสมัย และความคุ้มค่า คุ้มราคา กับ HONOR Pad 10 แท็บเล็ตอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวและราคาอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มและของแถมพิเศษมากมาย
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ เดินหน้าสานต่อโครงการ “เฮอริเทจ ปันน้ำใจ” เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยได้มอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ “ลัฟ” จำนวน 48,000 กล่อง รวมมูลค่ากว่า 130,000 บาท แก่โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กในพื้นที่อำเภอเมืองแพร่ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม
การส่งมอบครั้งนี้ มี นายสุภวัฒน์ ศุภศิริ นายกเทศมนตรีตำบลป่าแมต (แถวบนสุด คนที่ 4 จากซ้าย) พร้อมคณะผู้บริหารเทศบาลตำบลป่าแมต เป็นผู้รับมอบผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งต่อให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดทั้ง 3 แห่งของเทศบาลตำบลป่าแมต ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลป่าแมต ศูนย์เด็กเล็กเทศบาลป่าแมต และศูนย์เด็กเล็กบ้านน้ำโค้ง

นอกจากนี้ ยังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับโรงเรียนเทศบาลวัดหัวข่วง โดยมี นางทองมัน สิทธิกัน ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลวัดหัวข่วง (แถวบนสุด คนที่ 5 จากซ้าย) เป็นผู้รับมอบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างกำลังใจให้แก่เด็กนักเรียน ครู และบุคลากร ในช่วงฟื้นฟูหลังเหตุการณ์น้ำท่วม
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ตระหนักดีว่าการศึกษาคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคม การสนับสนุนด้านโภชนาการและการดูแลในช่วงเวลาวิกฤต จึงเป็นการช่วยให้เด็ก ๆ ครู และบุคลากรในสถานศึกษา สามารถกลับมาดำเนินการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ พร้อมก้าวผ่านผลกระทบจากน้ำท่วมไปด้วยกัน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเยาวชน
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมร้านอาหารในไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลงจาก ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้ตลาดอาหารและเครื่องดื่มในปี 2568 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 646,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 2.8%
ทว่าฟากฝั่งตลาดอาหารญี่ปุ่นกลับมีการเติบโตที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความเข้มข้นของการแข่งขันก็สูงขึ้นตามการขยายตัวของตลาดเช่นกัน การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดอาหารญี่ปุ่นทำให้ร้านอาหารต้องเร่งปรับตัว ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า ต้องเน้นวัตถุดิบคุณภาพสูงและประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นแท้ๆ รวมทั้งปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มากขึ้นด้วย

สำหรับ ‘KANORI Hand roll bar’ ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์แฮนด์โรลที่กำลังจะมีอายุครบ 2 ปี เปิดทำการมาแล้วทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาสุขุมวิท 49 โครงการ Yard 49, สาขาดิเอ็มควอเทียร์, สาขาเซ็นทรัล เอมบาสซี และสาขาไอคอนสยาม พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด 3 ผู้บริหาร บริษัท ไทยสากล เอสเตท จำกัด นายปณิธาน, นายปณิธิ และนางสาวปวิตรา กอบกุลสุวรรณ จึงเปิดสาขาที่ 5 ตามมาในปีนี้ โดยโลเคชันที่เลือกเปิด ยังคงปักหมุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

คอนเซ็ปต์และความพิเศษของ ‘KANORI Hand roll bar’ สาขาสยามพารากอน ถูกเนรมิตขึ้นภายใต้ธีม ‘Luxury Cozy’ ยังให้กลิ่นอายแบบโอมากาเสะสไตล์ พร้อมกับเพิ่มโซนที่นั่งแบบใหม่ ‘Semi-private’ ทั้งหมด 4 ห้อง เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีโซนหน้าเคาน์เตอร์บาร์เหมือนกับสาขาอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความรวดเร็วคล่องตัว และมีโซนหน้าร้านจัดโต๊ะที่นั่งแบบ Long Table ครั้งแรกของ Kanori เหมาะสำหรับกลุ่มเพื่อนที่มาหลายคน ได้ใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ต้องเร่งรีบ
นายปณิธิ กอบกุลสุวรรณ มองว่า เหตุผลที่ทำให้ ‘KANORI Hand roll bar’ เติบโตต่อเนื่อง มาจากหัวใจสำคัญที่สุดอย่างคุณภาพของอาหารและวัตถุดิบที่สดใหม่ รวมถึงความหลากหลายของรสชาติ ที่รับประทานได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ บวกกับบริการที่ดีและการออกแบบร้านที่เข้าถึงง่าย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ร้านได้รับการตอบรับที่ดี

‘KANORI Hand roll bar’ สาขาสยามพารากอนจะมีขนาดพื้นที่ 151 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดจากทั้งหมด 5 สาขา มาพร้อมกับเมนูเซ็ตพิเศษ THE FIFTH ทั้ง 5 เมนู ได้แก่ 1. Crispy Ikura ให้กลิ่นอายแบบสแกนดิเนเวียน เน้นอาหารทะเล ครีมและชีส 2. Spicy Crab มีเนื้อปูเป็นตัวชูโรง ให้ความรู้สึกสดชื่น มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย 3. Otoro Bomb เมนูพระเอกของเซ็ต 4. Shima Aji วัตถุดิบปลาชิมาอิจิ ครั้งแรกของ KANORI ที่ใช้วัตถุดิบนี้ เป็นครั้งแรก และ 5. Tempura สามารถเลือกวัตถุดิบได้ 2 อย่าง คือกุ้งลายเสือ และเอ็นกาวะ
“สำหรับสาขาสยามพารากอนตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 12,000,000 บาท/เดือน ฐานลูกค้าจะยังคงเป็นกลุ่มเดิม คือกลุ่ม Hi-end ซึ่งส่วนมากจะเป็นลูกค้าประจำไปรับประทานที่สาขาเดิมอยู่แล้ว ส่วนของสาขานี้คาดหวังว่า จะได้กลุ่มครอบครัวและกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย”

‘KANORI Hand roll bar’ สาขาสยามพารากอนจะตั้งอยู่บริเวณชั้น G ติดกับลานจอดรถโซนซูเปอร์คาร์ โดยกลยุทธ์ของแบรนด์ครึ่งปีหลังนี้ นางสาวปวิตรา กอบกุลสุวรรณ จะเฟ้นหาโลเคชันพร้อมกับคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น ส่วนเป้าหมายของปีนี้หลังจากเปิดทำการครบทั้ง 5 สาขา คาดว่า ‘KANORI Hand roll bar’ จะมีรายได้ทะลุเป้าที่ ‘350 ล้านบาท’ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ 300 ล้านบาท
“คนไทยยังให้คุณค่ากับอาหารญี่ปุ่น มองว่า ราคาสูงแต่จ่ายได้เพราะความพรีเมียมของอาหารและวัตถุดิบที่ส่งตรงจากญี่ปุ่น กระแส ‘Hand roll’ ตอนนี้กำลังมาแรง มีร้านเปิดใหม่เยอะมาก แต่ถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น KANORI Hand roll bar ก็ยังได้รับความนิยม มีทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่ให้ความสนใจมาทานอย่างต่อเนื่อง เราคือ First Mover ในตลาด เราเป็น Hand roll เจ้าแรกในไทย” ผู้บริหารกล่าวปิดท้าย
สำหรับใครที่สนใจอยากรับประทานแฮนด์โรลคุณภาพพรีเมียมในบรรยากาศโอมากาเสะ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Website: www.kanorihandroll.com, Facebook: Kanori, IG: kanorihandroll
LINE GIFT ผู้นำแพลตฟอร์มการส่งของขวัญออนไลน์ จับมือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ห้างสรรพสินค้าแห่งแรงบันดาลใจในทุกช่วงจังหวะของชีวิต ที่สุดแห่ง Gift Destination สำหรับลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ร่วมสร้างประสบการณ์ “การให้” ให้เหนือระดับยิ่งขึ้น ด้วยแคมเปญพิเศษที่รวมความพรีเมียมจากห้าง CENTRAL เข้ากับความสะดวกสบายของ LINE GIFT เพื่อให้ทุกการมอบของขวัญมีความหมาย และสร้างรอยยิ้มได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว
ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ผู้ใช้ LINE GIFT สามารถเลือกซื้อของขวัญในหมวด BEAUTY, FASHION และสินค้าแบรนด์ ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ จากห้าง CENTRAL ผ่าน LINE GIFT อย่างสะดวกสบาย โดยทุกท่านสามารถส่งต่อความพิเศษให้คนสำคัญของคุณ กับแคมเปญ LINE GIFT X CENTRAL ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2568 เพียงเปิดแอป LINE เข้าไปที่ LINE GIFT เลือกหมวด “CENTRAL DEPARTMENT STORE” พร้อมสั่งซื้อสินค้าที่ต้องการได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว

พิเศษ! ทุกๆ ออเดอร์ของขวัญ รับ LINE GIFT EXCLUSIVE ENVELOPE CARD ลาย SALLY สุดลิมิเต็ด พร้อมรับสิทธิพิเศษ CENTRAL GIFT VOUCHER มูลค่า 100 บาท (เมื่อช้อปครบ 3,000 บาทขึ้นไป) และสำหรับ 10 รายการแรก รับเพิ่มของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ CHAKO LAB BAOBAO 316 STAINLESS THERMOS CUP WITH SPOON มูลค่า 959 บาท ทันที
จิรัฏฐ์ วรรธนกรินธ์ หัวหน้าธุรกิจ LINE GIFT ในประเทศไทย กล่าวว่า “CENTRAL เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีของขวัญคุณภาพให้เลือกมากมาย ขณะที่ LINE GIFT ทำให้การส่งต่อสิ่งดีๆ เหล่านี้กลายเป็นเรื่องง่ายดาย ความร่วมมือครั้งนี้จึงสะท้อนถึงการผสานระหว่าง ‘ความครบครันของห้างเซ็นทรัลที่มีสินค้าชั้นนำให้เลือกหลากหลาย’ และ ‘ความสะดวก ง่ายดาย’ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถส่งมอบของขวัญที่มีความหมายได้ในทุกโอกาส ด้วยทุกความรู้สึกอย่างแท้จริง LINE GIFT มุ่งมั่นที่จะเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในการส่งของขวัญดิจิทัล เราจึงต้องการคัดสรรพันธมิตรที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของคุณภาพสินค้าและความไว้วางใจจากผู้บริโภค และ CENTRAL คือพันธมิตรที่ตอบโจทย์นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

ทัศก เทียมจรัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่าย BD, Digital Marketing และ Social Commerce กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ห้างเซ็นทรัลขอขอบคุณลูกค้า และ LINE GIFT ที่ยกให้เราเป็น TOP OF MIND ช้อปปิ้งเดสติเนชั่นในทุกๆ โอกาส โดยเฉพาะ Gift Destination แห่งการมอบของขวัญ เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกันในการสร้างความสุขให้ลูกค้า อย่าง LINE GIFT เพิ่มอีกหนึ่งบริการพิเศษที่นำเสนอหลากหลายแบรนด์ชั้นนำจากห้างเซ็นทรัล ส่งตรงถึงผู้รับด้วย LINE GIFT อย่างรวดเร็ว และน่าประทับใจด้วยบริการห่อของขวัญสุดพรีเมียมเสมือนช้อปที่ห้างฯ ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปครั้งสำคัญ ในการดูแลลูกค้าของเราที่มีอยู่ทั่วประเทศให้ของขวัญจากห้างเซ็นทรัลไปถึงมือผู้รับอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งในอนาคตเราได้เตรียมขยายความร่วมกับ LINE GIFT ในเฟสต่อไปตลอดทั้งปี”
แคมเปญ LINE GIFT X CENTRAL นี้ ไม่เพียงแต่เป็นอีกหนึ่งบริการสุดพิเศษที่มอบของขวัญได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทันสมัย หากยังชูจุดแข็งของห้างเซ็นทรัลที่คัดสรรของขวัญอย่างพิถีพิถันเหมาะกับในทุกๆ โอกาสตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาพิเศษที่มอบให้ตนเองหรือคนที่เรารัก อย่าง วันเกิด วันครบรอบ หรือ เทศกาลปีใหม่ คริสต์มาส หรือของขวัญแทนใจในทุกความสัมพันธ์ โดย CENTRAL ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 78 ปี ถือเป็นสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและการให้ที่ลูกค้าไว้วางใจและนึกถึงเป็นที่แรกเสมอ การจับมือร่วมกันครั้งนี้จึงผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองแบรนด์ ยกระดับประสบการณ์การให้ของขวัญที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
นายตุลย์ โรจน์เสรี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เข้ารับมอบโล่รางวัลเกียรติคุณ เนื่องในโอกาสครบรอบ 77 ปีของกองบังคับการปราบปรามจาก พลตำรวจตรี วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแสดงความขอบคุณในฐานะที่กรุงศรีให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและระบบการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการตรวจสอบและจัดการบัญชีม้า โดยการดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางการเงิน พิธีมอบโล่จัดขึ้น ณ อาคารที่ทำการกองบังคับการปราบปราม กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
