YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ฉลองครบรอบ 5 ปี จัดกิจกรรมสุดเซอร์ไพรส์ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา YouTrip จัดงานวันเกิดให้กับน้องหมาพันธุ์ชิบะอินุสุดน่ารัก เรียกได้ว่าดึงดูดทุกสายตา ทั้งเหล่า Pet Lover และคนที่เดินผ่านไปมา ในธีมงานวันเกิดสีม่วงสุดอลังการใครเห็นเป็นต้องหยุดดูความน่ารักเกินต้าน พร้อมร่วมสแกน QR ที่พิมพ์บนลูกโป่งขนาดใหญ่ เพื่อฝากคำอวยพรให้เจ้าของวันเกิด ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีสต์วิลล์
อย่างไรก็ตาม การเฉลิมฉลองที่เริ่มต้นด้วยความอบอุ่นหัวใจ ได้แฝงกลยุทธ์การตลาดสุดสร้างสรรค์ของ YouTrip เบื้องหลังหน้าตาแสนน่ารัก ที่ดึงดูดผู้คนที่ผ่านมาให้สแกน QR ไปสู่หน้าแลนด์ดิ้ง เพจ ที่จัดทำขึ้นเพื่อเปิดตัวแคมเปญฉลองวันเกิดครบรอบ 5 ปีของ YouTrip แจกรางวัลมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท
YouTrip ยังเปิดพื้นที่ให้ลูกค้าได้ร่วมอวยพรวันเกิดครบรอบ 5 ปีแบบอบอุ่นสุดๆ ผ่านแสกน QR Code นั้น มีข้อความอวยพรวันเกิดจากผู้ใช้ YouTrip มากมาย ที่แชร์ประสบการณ์สุดประทับใจ และบอกเล่าว่า YouTrip ช่วยเติมเต็มการเดินทางของพวกเขาให้พิเศษขึ้นยังไงบ้างตลอด 5 ปีที่ผ่านมา YouTrip ไม่ได้แค่สร้างสีสันให้กับแคมเปญ แต่ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วม และเชื่อมต่อกับแบรนด์ได้อย่างสนุกสนานและน่าจดจำ
พร้อมแจกใหญ่มูลค่า 3 ล้านบาท YouTrip ฉลองครบรอบ 5 ปี รับสมัครนักเที่ยว ชวนลูกค้าแชร์โมเมนต์เกี่ยวกับ YouTrip บน TikTok, รับเงินคืน 5%, และ Top Spender 10 อันดับแรกรับตั๋วเครื่องบินฟรีลัดฟ้าไปญี่ปุ่น โดยประกาศให้ทราบบนเว็บไซต์ ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้
รับสมัครนักเที่ยวด้วย YouTrip โพสต์คลิป TikTok แชร์โมเมนต์เกี่ยวกับ YouTrip โดยผู้ชนะจะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัล YouTrip Travel Credits มูลค่าสูงสุด 60,000 บาทต่อสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวแนะนำการท่องเที่ยว รีวิวทริปสุดประทับใจ หรือจะครีเอทคอนเทนต์ท่องเที่ยวแบบไหนก็ได้ตามสไตล์คุณ หากต้องการเข้าร่วม บัญชีจะต้องตั้งค่าเป็นสาธารณะ ติดตามเพจโซเชียลมีเดียของ YouTrip Thailand (@youtripth) และแท็ก #YouTrip5thBD และ @youtripth ในโพสต์ ลุ้นเป็น 1 ใน 120 ผู้โชคดี ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ประกาศผลผู้โชคดี 30 คนทุกสัปดาห์
เฉลิมฉลองให้คนที่ชอบเที่ยวญี่ปุ่น และเป็นสายช้อปตัวจริง YouTrip แจกตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพฯ - โตเกียว มูลค่า 60,000 บาท รวม 20 รางวัล ให้กับ 10 นักช้อปตัวจริง! บินลัดฟ้าสู่โตเกียว เพียงแค่ใช้จ่ายผ่านบัตร YouTrip ที่ร้านค้าต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะสกุลเงินไหน ก็มีสิทธิ์ลุ้น ยิ่งช้อปมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก นับยอดใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2567 นี้เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นรับเงินคืน 5% สำหรับการใช้จ่ายระหว่างประเทศ (มียอดขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อรายการในสกุลเงินต่างประเทศ) สำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้
5 ปีแห่งความคุ้มค่า สะดวกสบาย และสิทธิประโยชน์มากมาย
นับตั้งแต่ปี 2562 YouTrip มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย คุ้มค่า และปลอดภัยให้กับนักเดินทางทั่วโลก ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง พร้อมสิทธิประโยชน์และข้อเสนอเงินคืนพิเศษมากมายจากพันธมิตรด้านการเดินทางและอีคอมเมิร์ซชั้นนำ YouTrip ได้กำหนดนิยามใหม่การชำระเงินข้ามพรมแดน ที่ง่าย สะดวก และคุ้มค่ากว่าที่เคย
ความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาบริการและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ได้รับการยอมรับจากหลากหลายสถาบันระดับโลก YouTrip ภูมิใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย อาทิเช่น
YouTrip ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจให้เราเป็นเพื่อนร่วมทาง เราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับคุณ
ติดตามทุกความพิเศษเกี่ยวกับแคมเปญได้ ที่นี่! YouTrip ฉลองครบรอบ 5 ปี จัดหนักแคมเปญท่องเที่ยวสิ้นปีนี้ – Blog – YouTrip Thailand (https://www.you.co/th/blog/birthday/)
นายพิชัย ชุณหวชิร(กลาง) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและร่วมเสวนา ในงาน Thailand Outlook : Where Policy Meets Progress จัดโดย บมจ. หลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นครั้งแรกที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคลจากทั่วประเทศ ได้พบกับท่านรองนายกและรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ มาตรการเศรษฐกิจ พร้อมส่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมี อารภัฏ สังขรัตน์(ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ เมย์สุ่น หว่อง(ขวา) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสถาบัน ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” นำโดยนางนภัสจิรา อิงคโรจน์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส สายงาน กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน มอบเงินสนับสนุนการจัดกิจกรรม “หนาวนี้ทำดีเพื่อพ่อ 2568” ต่อเนื่องปีที่ 3 จำนวน 100,000 บาท ให้แก่พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ประธานจัดกิจกรรมฯ ในการจัดกิจกรรมส่งมอบผ้าห่ม เครื่องกันหนาว รวมถึงบริการด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารที่ประสบกับอากาศที่หนาวเย็น ในพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี และอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการเป็นองค์กรที่มุ่งเคียงข้างชุมชนไทย โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ร่วมกับสำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมกับจังหวัดภูเก็ต จัดการทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ที่จังหวัดภูเก็ต มุ่งยกระดับความปลอดภัยในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งทรูในฐานะผู้รับผิดชอบการแจ้งเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Center: CBC เตรียมเดินหน้าเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Entity: CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร (end-to-end) เพื่อเตรียมความพร้อมอีกขั้นก่อนเปิดให้บริการจริง
จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติจังหวัดภูเก็ต ในปี 2566 ระบุว่าภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมสูงถึง 11.3 ล้านคน โดยเป็นชาวต่างชาติ 8.4 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.9 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 388,017 ล้านบาท นับเป็นจังหวัดอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานครเท่านั้น นอกจากนี้ ความโดดเด่นของภูเก็ตยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เมื่อเว็บไซต์ Bounce จัดอันดับให้เป็น "เกาะท่องเที่ยวที่ดีที่สุด" (The Best Island Destinations) ของโลกในปีนี้ ด้วยความสำคัญดังกล่าว ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงร่วมกับ กสทช. ดีอี ปภ. กำหนดภูเก็ตเป็นพื้นที่ทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน CBS เพื่อเตรียมยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนเมืองไข่มุกแห่งอันดามัน และเพิ่มศักยภาพความมั่นใจในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ในการทดสอบเสมือนจริงที่ภูเก็ตว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่นภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ในการทดสอบเสมือนจริงระบบ CBS ที่ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย การทดสอบครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการทดสอบเสมือนจริงครั้งแรกในไทยจากทรู คอร์ปอเรชั่นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
“ภูเก็ตถูกเลือกเป็นจังหวัดที่ 2 ที่จัดทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ Cell Broadcast Service (CBS) ซึ่งการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดให้บริการจริงจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในระบบความปลอดภัยให้กับชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน โดยเฉพาะการรับมือกับภัยธรรมชาติทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นคลื่นสูง พายุ หรือสึนามิ ระบบสามารถส่งการแจ้งเตือนแบบทันท่วงทีไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน พร้อมรองรับการแสดงผลได้ทุกภาษา ทั้งในรูปแบบข้อความ Pop-up และเสียงแจ้งเตือน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Text to Speech พิเศษสำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลการเตือนภัยได้อย่างทั่วถึง” นายจักรกฤษณ์ กล่าว
ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) สามารถออกแบบเตือนภัยได้ทุกภาษาที่ตรงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวของภูเก็ต นอกจากนี้ ทรูยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ หรือ Business and Network Intelligence Center: BNIC เพื่อเป็น War Room บริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
ระบบ CBS ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นนำมาทดสอบใช้งานมีจุดเด่นสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
สำหรับการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือกับผู้ใช้งานจริง หรือ "LIVE – Cell Broadcast Service" ที่ภูเก็ต นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทัดเทียมนานาประเทศ โดยเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กสทช. ดีอี และ ปภ. ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยทรูในฐานะ Cell Broadcast Center หรือ CBC จะเตรียมเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่เป็น Cell Broadcast Entity หรือ CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร เพื่อความพร้อมก่อนเปิดให้บริการต่อไป
บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) เปิดตัว METTRIQ (เมททริก) แพลตฟอร์มบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะแบบครบวงจรแพลตฟอร์มแรกของไทย ที่ช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยและบริหารจัดการการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละอาคาร ตอบโจทย์ ESG ทั้งในภาครัฐและเอกชน ผลักดันประเทศไทยสู่ Smart Sustainable City อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) กล่าวว่า การผลักดันประเทศไทยสู่ Smart City เป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายปี แต่กลับพัฒนาได้ช้ากว่าที่วางแผนไว้ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี ที่มักจะมีเทคโนโลยีแต่ไม่มีฐานข้อมูล หากอ้างอิงข้อมูลจาก IMD Smart City Index 2024 ที่สำรวจ 142 เมืองทั่วโลก เพื่อจัดอันดับเมือง Smart City โดยสำรวจทั้งหมด 5 มิติสำคัญ ได้แก่ Health & Safety, Mobility, Activities, Opportunities และ Governance พบว่ากรุงเทพฯ นั้นตกจากอันดับ 78 ในปี 2563 มาอยู่ที่อันดับ 88 ในปี 2566 และในปีนี้เราขยับกลับขึ้นมาเพียงเล็กน้อย คือ อยู่ที่อันดับ 84 ในขณะที่ในระดับเอเชียเราอยู่ในอันดับที่ 22 ซึ่งหากเทียบกับสิงคโปร์เพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรา พบว่า สิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 5 ของโลก และอันดับ 1 ในเอเชีย โดยทั้ง 5 มิตินั้นจะเน้นที่การสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนใน 2 แกนหลัก คือ โครงสร้างเมือง (City Structure) นำโดยภาครัฐ และเทคโนโลยี (Technology) ที่ผลักดันโดยภาคเอกชน โดยเฉพาะในมิติของ Health & Safety นั้น เป็นมิติที่เห็นความต่างได้ชัดระหว่างสิงคโปร์กับไทย ในส่วนของโครงสร้างเมืองนั้นจะเห็นได้ว่าคนสิงคโปร์ให้คะแนนเฉลี่ยเรื่อง ‘มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) และความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ไม่ใช่ปัญหา’ สูงถึง 64.9 และ 80.4 คะแนน ตามลำดับ ขณะที่คนไทยให้คะแนนเฉลี่ยเรื่อง ‘มลพิษทางอากาศและความปลอดภัยสาธารณะไม่ใช่ปัญหา’ เพียง 32.9 และ 50 คะแนน เท่านั้น สำหรับในส่วนเทคโนโลยี ทั้งคนสิงคโปร์และไทยให้คะแนนประเมินเรื่อง ‘การติดตั้งกล้อง CCTV ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย’ สูงถึง 80.8 และ 75.1 ตามลำดับ ขณะที่ คนสิงคโปร์ให้คะแนนเรื่อง ‘การรายงานออนไลน์ช่วยให้การซ่อมบำรุงของเมืองรวดเร็วขึ้น’ ที่ 70.2 และคนไทยให้คะแนนที่ 60.2
นายขยล กล่าวต่อว่า จากรายงานข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศและความปลอดภัยสาธารณะสามารถที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ หากเทียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีจำนวนกล้องวงจรปิดประมาณ 65,167 ตัว ขณะที่สิงคโปร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไทยหลายเท่ามีกล้องวงจรปิด 109,072 ตัว จากกรณีศึกษา สิงคโปร์มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ใกล้ชิดกันมาก มีการใช้กล้อง CCTV และใช้เทคโนโลยี IoT ทั้งในส่วนของโครงสร้างเมืองและภายในอาคารทำให้การตอบโต้สถานการณ์ต่าง ๆ มีประสิทธิภาพสูงและเร็วขึ้นกว่า 60% ลดการพึ่งพาแรงงาน 15% ประหยัดเวลาในการรายงานได้ถึง 40%
“ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่เมทเธียร์คิดวันนี้ คือ เราจะช่วยแต่ละอาคารในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ (Big Data) เพื่อนำมาต่อยอดกับ AI และ IoT เพื่อพัฒนาเรื่องการยกระดับการรักษาความปลอดภัย (Security) และการบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงาน (Sustainable Energy Management) ให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้อย่างไร นี่จึงเป็นที่มาของการพัฒนา METTRIQ (เมททริก)แพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะแบบครบวงจรแพลตฟอร์มแรกของไทยที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยจนถึงรายใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG ให้เข้าถึงแพลตฟอร์มเปิดที่ทันสมัยในการบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืน” นายขยล กล่าว
METTRIQ (Metthier Reformative IQ) เป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นมาจากเทคโนโลยี AI และ IoT เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงผลในรูปแบบ Digital Twin และ 3D Visualization เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาการบริหารจัดการอาคารอย่างยั่งยืนในอนาคต METTRIQ ถือเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะครบวงจรแพลตฟอร์มแรกในประเทศไทยที่รวม 12 ฟีเจอร์ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ได้แก่ ระบบ CCTV, ระบบควบคุมการเข้า-ออกอัตโนมัติ (Access Control), ระบบบริหารจัดการผู้มาติดต่อ (Visitor Management), การตรวจจับโลหะ (Metal Detector), การตรวจวัดคุณภาพอากาศ (Air Quality), ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟ (Lighting System), ระบบปรับสภาวะอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และการหมุนเวียนของอากาศภายในอาคาร (HVAC System), ระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm), ระบบควบคุมบันไดเลื่อนและลิฟท์ (Escalator & Lift), ระบบระบายอากาศ (Air Flow System), ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้า (Electricity), และระบบการบริหารจัดการน้ำ (Water System) นอกจากนี้ ยังมีผู้ช่วย AI คอยแนะนำวิธีใช้พลังงานอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ให้แก่ผู้ใช้อีกด้วย
“หากประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็น Smart City ในอนาคตอันใกล้ ทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันทำให้เกิดเป็นรูปธรรม METTRIQ เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เราพัฒนาขึ้นมา เพื่อ connect the dots และพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแต่ละอาคาร ยกระดับความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯของแต่ละอาคารได้ จากหนึ่งอาคาร เพิ่มเป็นหลายพัน หลายหมื่น หลายแสนอาคาร จนท้ายที่สุดสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ของประเทศและช่วยให้ประเทศไทยขยับเข้าใกล้สังคม Smart Sustainable City ที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็วยิ่งขึ้นและยั่งยืน” นายขยลกล่าว
บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) เป็นผู้ให้บริการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะแบบครบวงจร (Smart Facility Management) ที่ให้บริการดูแลอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุม 7 ประเภท ได้แก่ ที่พักอาศัย, โรงพยาบาล, โรงเรียน, ห้างสรรพสินค้า, อาคารสำนักงาน , หน่วยงานภาครัฐ และพื้นที่อุตสาหกรรมกรรมขนาดใหญ่ ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคตรายแรกของไทย ในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่เข้าถึงการบริการด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับการบริหารงานให้แก่ลูกค้าธุรกิจมีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น ด้วย “บริการจัดส่งหนังสือค้ำประกัน” (LG Delivery) นับเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียว ที่ริเริ่มบริการจัดส่งหนังสือค้ำประกัน ส่งตรงไปยังลูกค้าทั่วประเทศ ภายใน 2 วันทำการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ในทุกสถานการณ์
นางกนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภายใต้การบริหารจัดการธุรกิจในปัจจุบัน การใช้บริการหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee หรือ LG) ซึ่งออกโดยธนาคารเพื่อค้ำประกันในการทำธุรกิจร่วมกับคู่ค้านับว่ามีความสำคัญต่อเจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะการออกหนังสือค้ำประกันให้แก่ลูกค้าเพื่อใช้ในการยื่นประมูลงาน หรือติดต่อทำสัญญาต่าง ๆ ซึ่งรูปแบบเดิมในการขอรับบริการออกหนังสือค้ำประกัน ลูกค้าธุรกิจต้องเดินทางเข้ามาที่ธนาคารถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่การมายื่นใบคำขอใช้หนังสือค้ำประกัน (LG Application) ก่อน 1 ครั้ง และมารับต้นฉบับหนังสือค้ำประกันด้วยตนเองอีก 1 ครั้ง ส่งผลให้ลูกค้าเสียเวลาทั้งการเดินทางและการรอรับบริการที่สาขา
ทีทีบีจึงพัฒนารูปแบบการยื่นขอและรับหนังสือค้ำประกัน ในรูปแบบบริการจัดส่งทั่วประเทศ ผ่านบริการจัดส่งหนังสือค้ำประกัน LG Delivery เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าธุรกิจ ช่วยลดต้นทุนการเดินทาง ประหยัดเวลายิ่งขึ้น ซึ่งทีทีบีถือเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวที่ให้บริการจัดส่งหนังสือค้ำประกัน ส่งตรงไปยังลูกค้าทั่วประเทศภายใน 2 วันทำการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังสามารถยื่นขอหนังสือค้ำประกันได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้ง เพียงแจ้งความประสงค์ให้ธนาคารจัดส่งเอกสารหนังสือค้ำประกันไปยังบริษัทตามข้อมูลที่ให้ไว้กับทางธนาคาร ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาธนาคารเพื่อยื่นคำขอและรับต้นฉบับหนังสือค้ำประกัน
ทีทีบีมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ เดินหน้าพัฒนาบริการและดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนธุรกิจพร้อมก้าวผ่านความท้าทายต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน
ลูกค้าธุรกิจที่สนใจบริการจัดส่งหนังสือค้ำประกัน (LG Delivery) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจ หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี โทร. 0 2643 7000 วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 08:00 - 20:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดธนาคาร
กรุงเทพประกันชีวิตเดินหน้าเจาะกลุ่มแม่และเด็ก ถ่ายทอดความใส่ใจผ่านผลิตภัณฑ์ “กรุงเทพ สมาร์ทคิดส์” ที่คิดมาอย่างรอบด้านเพื่อความอุ่นใจของครอบครัว จนสามารถคว้ารางวัล Best Insurance for Kids and Family ประเภท Editor’s Choice จากเวที Amarin Baby & Kids Awards 2024 มาได้สำเร็จ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ เตรียมพบกับผลิตภัณฑ์เพื่อเด็กและครอบครัวอีกมากพร้อมกิจกรรมและโปรโมชันโดนใจในงาน Amarin Baby & Kids Fair 2024 ระหว่าง 28 พ.ย. ถึง 1 ธ.ค.นี้ ที่ ไบเทค บางนา
นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายกลยุทธ์การตลาดและการบริหารจัดการลูกค้า บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงเทพประกันชีวิตรู้สึกยินดีที่ “กรุงเทพ สมาร์ทคิดส์” ประสบความสำเร็จอีกครั้งกับรางวัลผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์เพื่อเด็กและครอบครัว “Best Insurance for Kids and Family” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่ได้รับจากเวที Amarin Baby & Kids Awards ตอกย้ำความสำเร็จของการพัฒนาแบบประกันที่ตอบโจทย์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากปณิธานของแบรนด์ที่มุ่งมั่นเรื่องความใส่ใจ และเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ผ่านการทำวิจัยอย่างสม่ำเสมอทำให้ได้อินไซต์และสามารถพัฒนาแบบประกันที่ครบเครื่อง ตอบโจทย์ทั้งคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลลูก
“กรุงเทพ สมาร์ทคิดส์” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้พ่อแม่วางแผนอนาคตให้กับลูกโดยเฉพาะเป้าหมายทางการศึกษาในทุกระดับชั้น สามารถเลือกตามระยะเวลาคุ้มครองที่ต้องการ 15 ปี 18 ปี และ 21 ปี มีจุดเด่นที่ให้มากกว่าการออม คือ 1) คุ้มครองผู้ชำระเบี้ย 2) ครอบคลุมค่ารักษาจากอุบัติเหตุ 3) คุ้มครองโรคร้ายแรง เด็ก 4 โรค และ 4) ความคุ้มครองชีวิต โดยมีเบี้ยประกันคงที่เริ่มต้นเพียง 200 บาทต่อเดือน สามารถสมัครได้ตั้งแต่แรกเกิด – อายุ 14 ปี
“เราเชื่อว่า เมื่อเราใส่ใจลูกค้าได้ดีและตรงตามความต้องการ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเรา และให้โอกาสเราได้ดูแลลูกค้าตลอดไป กรุงเทพประกันชีวิตขอขอบคุณ Amarin Baby & Kids ที่ได้มอบรางวัล The Best Insurance for Kids and Family Award ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจสำหรับทีมงานทุกคน และเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบครัวคนไทยต่อไป” นางสาวอรนาฎกล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า
คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ สามารถพบกับแผนความคุ้มครองที่คัดสรรมาด้วยความใส่ใจ ตอบโจทย์ความต้องการทุกครอบครัวจากกรุงเทพประกันชีวิตได้ในงาน Amarin Baby & Kids Fair 2024 ได้ในระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม ศกนี้ ที่ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 103-104 บูท CS5 ระหว่าง 10.00 – 20.00 น. พบกับกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้ของลูกน้อย การวางแผนเตรียมพร้อมด้านสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล และเตรียมเงินออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกรัก พร้อมให้คำปรึกษาวางแผนการเงินกับคุณพ่อคุณแม่ตามเป้าหมายที่ต้องการ พิเศษในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 13:30 น. ร่วมฟังเสวนาห้องเรียนพ่อแม่ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกและการส่งเสริมทักษะสมอง EF สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษภายในงาน และโปรโมชันอื่น ๆ อีกมากมายศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bangkoklife.com/th/promotion
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) และสื่อมวลชน เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านประกันภัยสู่ประชาชน “CEO X PRESS” ประจำปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท ภารกิจของสำนักงาน คปภ. รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสำนักงาน คปภ. และสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้อง ThreeSixty Jazz Lounge ชั้น 32 โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ
เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2568 สำนักงาน คปภ. ประมาณการว่า ภาพรวมธุรกิจประกันภัย (ม.ค.-ธ.ค.2568) จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 980,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ม.ค.-ธ.ค.2567) และคาดว่าในปี 2569 เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงทั้งระบบน่าจะแตะที่ 1,000,000 ล้านบาท ในภาพรวมธุรกิจ ประกันภัยสุขภาพมีความโดดเด่นที่สุด สำนักงาน คปภ. ประมาณการว่า สิ้นปี 2567 ประกันภัยสุขภาพจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงที่ 100,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ทั้งนี้ ภาคธุรกิจประกันภัยยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายและปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีทิศทางที่ปรับสูงขึ้นแต่ยังต้องมีความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท รวมทั้งสงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและอำนาจซื้อของประชาชน ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ประชาชนเริ่มชะลอการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน โดยภาคธุรกิจต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทประกันภัยไปตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัย มีการดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในเรื่องของการบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 นี้ สะท้อนให้เห็นงบการเงินที่แท้จริงว่า บริษัทประกันภัยมีกำไรในแต่ละปีมากน้อยเพียงใด มีการกระจายรายได้ และค่าใช้จ่ายออกไปอย่างไร มีการจัดกลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์ เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นภาพงบการเงินได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักงาน คปภ. มองว่าเรื่องความมั่นคงกับงบการเงินที่ได้มาตรฐานต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกัน
อีกประเด็นที่อยู่ในกระแสข่าวและสื่อมวลชนเกี่ยวกับการยื่นคำทวงหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัยในกรณีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่สิ้นสุดการยื่นคำทวงหนี้ไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 พบว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำร้องเข้ามาประมาณ 250,000 ราย และมีมูลหนี้ที่ต้องชำระประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยกองทุนฯ มีรายได้จากเงินสมทบปีละประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับกองทุนประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิด โดยกองทุนฯ ได้พยายามหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม เช่น การกู้ยืมเงิน และอยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเข้ามาช่วยวิเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการการชำระหนี้ของกองทุนฯ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประเด็นถัดมาที่อยากจะสื่อสารกับสื่อมวลชนไปยังสาธารณชนคือ ทิศทางการทำประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยส่วนใหญ่บริษัทประกันภัยจะยื่นขออนุมัติกรมธรรม์แต่ละฉบับ ซึ่งสำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะอนุมัติให้โดยเร็ว แต่บริษัทประกันภัยที่ยื่นขออนุมัติต้องมีการดำเนินการควบคุมความเสี่ยงเพื่อให้สำนักงาน คปภ. มั่นใจว่ามีการบริหารจัดการ ตั้งแต่กระบวนการการเสนอขาย การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การบริหารความเสี่ยง และการจัดการเรื่องร้องเรียน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในการบริหารจัดการประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ประเด็นต่อมาที่อยากจะสื่อสารไปถึงประชาชน คือ กรณีบริษัทหรือตัวแทนนายหน้าขายประกันภัยต่างชาติ ที่มีการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งบริษัทต่างชาติเหล่านี้ ไม่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย แต่หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนด้านประกันภัยจากบริษัทเหล่านี้ ทางสำนักงาน คปภ. ก็มีมาตรการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อตำรวจกองปราบปรามไปหลายคดีแล้ว ดังนั้น จึงอยากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยจากบริษัทหรือตัวแทนนายหน้าขายประกันภัยต่างชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย ประเด็นสุดท้ายคือเรื่อง การประกันภัยสุขภาพ ซึ่งในขณะนี้เบี้ยประกันภัยสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น และค่ารักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการประกันภัยสุขภาพได้ยาก สำนักงาน คปภ. จึงได้หารือเร่งด่วนกับภาคธุรกิจเพื่อหาแนวทางควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้เหมาะสม และต้องไม่กระทบต่อสิทธิของผู้เอาประกันภัย โดยอาจมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) หากผู้เอาประกันภัยมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย แต่ละรายในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัย ซึ่งสำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม เนื่องจากเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยสุขภาพได้อย่างแท้จริงภายใต้เบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมและเหมาะสม