

“มื้อนี้ K เลย” กับบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย จัดเต็มให้สายบุฟเฟต์ได้อร่อยคุ้มจุใจกับโปร “ปักหมุดกิน ฟินบุฟเฟ่ต์” รวม 36 ร้านบุฟเฟ่ต์ชื่อดังหลากสไตล์ไว้ให้เลือกอิ่มอร่อย ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี และนานาชาติ รับส่วนลดและเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 28%* ตั้งแต่ 1 กันยายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568
พกบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยแล้วไป “ปักหมุดกิน ฟินบุฟเฟ่ต์” มีทั้งความอร่อยและได้โปรคุ้มให้มื้อนี้ K เลย ได้ที่ 1) เจริญรุ่งเรือง 2) มานีมีหม้อ 3) Best Beef 4) Dookki Topokki 5) Dream Premium Korean BBQ Buffet 6) Dream Premium Korean Shabu 7) Ebisu Shabu 8) FuFu Taiwanese Shabu 9) Great Harbour 10) Gyu-ya 11) IN THE MIDDLE BY KAIZEN 12) Kagonoya 13) KATEI SHABU 14) KIN 15) KINGKONG BUFFET 16) Kouen 17) Masaru Shabu & Sushi Buffet 18) Mongkok Sukiyaki 19) Neta Grill 20) Nikuya 21) Oishi Buffet 22) Oishi Eaterium 23) Oishi Grand 24) Oranjii - Japanese Yakiniku & Shabu 25) OSHINEI 26) Seiniku Ten 27) Shabu Chain 28) Shabushi 29) Shibuya Shabu 30) Shizen Shabu 31) Shizen Yakiniku 32) Sloth Sukiyaki 33) Sukishi 34) Tora Yakiniku X Café 35) WASHI International Buffet 36) You&I Premium Suki Buffet
*ศึกษารายละเอียด ข้อจำกัด เงื่อนไขเพิ่มเติมที่ www.kasikornbank.com/k_buffet ใช้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
ปัจจุบัน โรคไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ระบาดมากในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะจากยุงลายซึ่งเป็นพาหะสำคัญ จากการสำรวจพบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนนิคมมักกะสัน ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่โดยรอบโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เนื่องจากมีกิจกรรมกลางวันในพื้นที่จำกัดและมีแหล่งน้ำขังจำนวนมาก
มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับ บริษัท วีพี มอสคีโต คอนโทรล จำกัด ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ไบโอเจนท์ ผู้นำนวัตกรรมกำจัดยุงระดับโลก มอบเครื่องกำจัดยุง BG-Mosquitaire Co2 รวมถึงสื่อการสอนเรื่องวัฏจักรชีวิตของยุงและประเภทของยุง ให้กับศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนนิคมมักกะสัน ผ่านโครงการ “เด็ก-เด็ก ปลอดยุง” ประจำปี 2568 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการตระหนักถึงอันตรายจากยุง โดยมุ่งหวังให้เกิดการป้องกันโรคและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

คุณนภัส เปาโรหิตย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ในฐานะโรงพยาบาล เรามุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ควบคู่ไปกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยทำสิ่งที่เราถนัดที่สุด คือการบริบาลทางการแพทย์ และเริ่มจากการดูแลชุมชนใกล้ชิด ทางโรงพยาบาลฯ จึงได้สานต่อโครงการ “เด็ก-เด็ก ปลอดยุง” เป็นปีที่ 2 เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนและป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างองค์กรกับชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม โดยเฉพาะการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับเยาวชน ในฐานะกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต”
ทั้งนี้ เครื่องกำจัดยุง BG-Mosquitaire Co2 เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักวิจัยด้านกีฏวิทยาทั่วโลกมานานกว่า 16 ปี ทำงานโดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะเลียนแบบลมหายใจมนุษย์เป็นตัวล่อ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้วยกลิ่นเหงื่อเทียม และใช้หลักการนำพาความร้อนและปล่อยทิศทางลมเพื่อล่อและดักจับยุงได้หลากหลายสายพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการเมื่อปี 2567 สามารถดักจับยุงได้กว่า 150,000 ตัว เฉลี่ยเดือนละ 30,000 ตัว และอัตราเด็ก ๆ ในชุมชนที่ป่วยด้วยโรคที่มียุงเป็นพาหะลดลงจนเหลือ 0% โดยตลอด 5 เดือน (สิงหาคม - ธันวาคม 2567) พบว่าส่วนใหญ่เป็นยุงรำคาญ ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้สมองอักเสบ รองลงมาเป็นยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออก และ ยุงก้นปล่อง ตามลำดับ โดยเครื่องกำจัดยุงนี้ ได้รับการจดสิทธิบัตรในเรื่องการช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากการใช้สารเคมี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
บมจ. กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต เดินหน้าส่งมอบความห่วงใย ผ่านการจัดกิจกรรม “คาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทย” โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดน่าน ด้วยบริการตรวจสุขภาพพื้นฐานให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงลูกค้าของบริษัทฯ จากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งได้มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หลังจากได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากพายุวิภา ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัด โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 22 - 24 สิงหาคม 2568 ณ ห้างโลตัส จังหวัดน่าน

ทั้งนี้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสุขภาพที่ดี คือรากฐานของชีวิตที่มั่นคง จึงมุ่งมั่น ทุ่มเท มอบความห่วงใย และสุขภาพที่ดีให้คนไทย ผ่านโครงการดังกล่าว นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเคียงข้างคนไทย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น และส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียม สอดคล้องกับนโยบายบริษัทฯ ที่พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

สำหรับรายละเอียดของคาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทย ประจำเดือนกันยายน 2568 ท่านสามารถดูรายละเอียดเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/caravan-health-check-2025 หรือ โทร 1159
ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา
จากมื้ออาหาร…สู่กำลังใจ เพื่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำเจตนารมณ์ “เคียงข้างสังคมไทยในทุกวิกฤต” ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์ จัดกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” นำอาหารคุณภาพมาตรฐานสากล สะอาด ปลอดภัย และรสชาติอร่อย ในราคาพิเศษมาจัดจำหน่ายภายในงาน เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่ ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา

กิจกรรมจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 กันยายน 2568 เวลา 08.00–15.00 น. ณ โรงอาหาร โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ ร่วมส่งต่อ “พลังแห่งการให้” เพื่อสนับสนุนภารกิจสำคัญของทีมแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายแพทย์ชวศักดิ์ กนกกันฑพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา ร่วมเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารและจิตอาสาซีพีเอฟ

นายแพทย์ชวศักดิ์ กนกกันฑพงษ์ กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและความพิการให้ผู้ป่วยจำนวนมาก จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที ความร่วมแรงร่วมใจในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการรักษาและลดการสูญเสียได้จริง
”กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงพลังของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับชุมชนท้องถิ่น ที่ช่วยเสริมสร้างระบบสาธารณสุขให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในนามจังหวัดขอชื่นชมและขอบคุณซีพีเอฟ ที่เล็งเห็นความสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่“ รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา กล่าว

ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ส่งต่อความห่วงใยผ่านกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้" อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสนับสนุนโรงพยาบาลรามาธิบดีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ การช่วยเหลือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าหลังเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงการซ่อมแซมโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึง “หัวใจแห่งการแบ่งปัน” ของซีพีเอฟ ที่พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน
ออเนอร์ (HONOR) สร้างสถิติยอดขายใหม่อีกครั้ง หลังจากสมาร์ตโฟนจอพับเรือธงรุ่นล่าสุด HONOR Magic V5 กวาดยอดพรีออเดอร์ทะยานสูงกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า HONOR Magic V3 ภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันของการเปิดจองระหว่างวันที่ 20 – 29 สิงหาคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและกระแสตอบรับที่ร้อนแรงจากทั้งผู้บริโภคและสื่อมวลชน
ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำสถานะของ HONOR ในฐานะผู้นำสมาร์ตโฟนจอพับ ด้วยนวัตกรรมที่ผสาน AI
เจเนอเรชันใหม่ เข้ากับ ดีไซน์ที่บางที่สุดในโลก พร้อมเทคโนโลยีระดับเรือธงที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความทนทาน และประสบการณ์การใช้งานอัจฉริยะ ส่งผลให้ HONOR Magic V5 กลายเป็นสมาร์ตโฟนจอพับที่ถูกจับตามากที่สุดแห่งปี และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแท้จริง
HONOR ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและความไว้วางใจจากลูกค้าทุกท่าน ความสำเร็จในครั้งนี้คือแรงบันดาลใจสำคัญที่ผลักดันให้เราเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างสรรค์สมาร์ตโฟนที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและนวัตกรรมล้ำสมัย พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ ตลอดจนจะยังคงมุ่งมั่นส่งมอบคุณค่าใหม่ ๆ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ในทุกมิติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับทุกท่านอีกครั้ง ผ่านกิจกรรมและแคมเปญพิเศษที่เราตั้งใจเตรียมไว้ในอนาคตอันใกล้นี้
HONOR Magic V5 สร้างนิยามใหม่ให้กับสมาร์ตโฟนจอพับ ด้วยดีไซน์บางเฉียบและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ สี Ivory White บางเพียง 8.8 มม. น้ำหนักเพียง 217 กรัม ส่วนสี Dawn Gold และ Reddish Brown บางเพียง 9 มม. น้ำหนัก 222 กรัม มอบสัมผัสหรูหรา คล่องตัว และสะดวกสบายทุกการใช้งาน
ถึงแม้จะบางเบา แต่ยังคงความแข็งแกร่งด้วยมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58 และ IP59 ที่พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ เสริมพลังด้วยแบตเตอรี่ HONOR Silicon-Carbon รุ่นใหม่ ที่บางเพียง 2.59 มม. แต่ให้ความจุสูงถึง 5,820mAh ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน รองรับทั้งการชาร์จแบบมีสาย HONOR SuperCharge 66W และการชาร์จไร้สาย HONOR SuperCharge 50W (เมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่รองรับ) สามารถชาร์จเต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 43 นาที หรือชาร์จได้ถึง 50% ภายใน 16 นาที มอบความสะดวกและยืดหยุ่น ให้ผู้ใช้เติมพลังงานได้อย่างรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา
ผสาน Advance AI และ Google Gemini ผู้ช่วยอัจฉริยะในตัวเครื่อง ช่วยวางแผน จัดการงาน และสร้างสรรค์ไอเดียได้ทันที เพียงพูดคุยหรือใช้ Tap Tap เปิด Gemini ได้สะดวก พร้อมรองรับ Multi-Flex Mode ใช้งานหลายหน้าจอพร้อมกันสูงสุด 3 หน้าจอ เพิ่มประสิทธิภาพแบบไร้ขีดจำกัด รวมถึงฟีเจอร์ระดับโปรครบครัน ทั้งแปลภาษาเรียลไทม์, แปลข้อความ/เอกสาร, สร้างเนื้อหา และบันทึก/สรุปการประชุมอัตโนมัติ

HONOR Magic V5 (16GB+512GB) วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ มาพร้อม 3 เฉดสีพรีเมียมสุดหรู ได้แก่ สีทองอรุณ (Dawn Gold), สีน้ำตาลแดง (Reddish Brown) และสีขาวงาช้าง (Ivory White) ในราคา 57,990 บาท
พิเศษ! รับสิทธิ์โปรโมชัน Early Bird ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2568 โดย ช่องทางออฟไลน์ รับประกันตัวเครื่องนาน 2 ปี พร้อมส่วนลดเพิ่ม 5,000 บาท เมื่อใช้สิทธิ์เก่าแลกใหม่ (เฉพาะร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ) ช่องทางออนไลน์ รับประกันตัวเครื่องนาน 2 ปี และรับฟรี HONOR Magic Pen มูลค่า 2,999 บาท รวมถึงพิเศษเฉพาะเมื่อซื้อ HONOR Magic V5 ที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา แถมฟรี HONOR Choice foldable Bluetooth Keyboard มูลค่า 2,499 บาท สามารถจับจองเป็นเจ้าของ HONOR Magic V5 ได้แล้ววันนี้ หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Shopee: https://th.shp.ee/ecpyigf และ Lazada: https://s.lazada.co.th/a.cKtxF ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) จัดงานมหกรรมวิจัยและนวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ “RMUTT EXPO 2025” ภายใต้แนวคิด “RMUTT NEXT พลิกโฉมงานวิจัย สร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยมี ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด ณ หอประชุมราชมงคล มทร.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งมั่นยกระดับผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์จริง สอดคล้องกับนโยบาย “สร้างปัญญา เปิดโอกาส สร้างอนาคต” และตอบรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เปิดเผยว่า ภายในงานจะเต็มไปด้วยกิจกรรมและการแสดงผลงานที่สะท้อนศักยภาพของนักวิจัย บุคลากร และนักศึกษา อาทิ นิทรรศการ “งานวิจัยพร้อมขาย” (Ready to Launch) ที่คัดสรรผลงานวิจัยคุณภาพ ทั้งที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติและจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว นอกจากนี้ยังมีการนำผลงานวิจัยที่ร่วมพัฒนากับชุมชนมาจัดแสดงในรูปแบบตลาดชุมชน สะท้อนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและท้องถิ่น อีกทั้งยังเปิดเวทีให้อาจารย์และนักศึกษาได้เข้าประกวดผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ในเวที “RMUTT Innovation and Invention Awards 2025” เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวเสริมว่า งานครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน จากทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมกว่า 400 ผลงาน โดยใช้หลักการ NUDIV (Novelty–Uniqueness–Differentiation–Innovation–Value) เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งผลงานที่จัดแสดงครอบคลุมตั้งแต่งานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ งานวิจัยพร้อมขาย ไปจนถึงงานวิจัยจากชุมชน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพร้อมของมหาวิทยาลัยในการก้าวสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยนวัตกรรม” ที่ผลิตนักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

รศ.ดร.เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มทร.ธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า วันแรกของการจัดงานในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมการเสวนาในหัวข้อ “กลยุทธ์พลิกโฉมงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์” และการบรรยายพิเศษเรื่อง “Storytelling for Research Pitching” เพื่อเสริมทักษะในการนำเสนองานวิจัยแก่แหล่งทุนได้อย่างน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ส่วนวันที่ 30 สิงหาคม 2568 จะมีเวทีเสวนาพิเศษหัวข้อ “Inspiring Innovation: งานวิจัยไทยในมุมมองระดับสากล” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยพิธีมอบโล่และเกียรติบัตรแก่ผลงานที่ได้รับรางวัล

การจัดงาน “RMUTT EXPO 2025” จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และชุมชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม และที่สำคัญยังเป็นโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักว่า งานวิจัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็น “พลังขับเคลื่อน” ที่จะนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย วศธร พลไพศาล ผู้บริหารเครือเฮอริเทจ (ขวา) ขึ้นรับรางวัล Prime Minister’s Export Award 2025 ประเภทรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) กับ จตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ซ้าย) ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับผู้ประกอบการด้านการส่งออกสินค้าและบริการระดับประเทศ รางวัลนี้สะท้อนถึงความสำเร็จในการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้นำเข้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศ

พิธีมอบรางวัลจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เครือเฮอริเทจแสดงความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ และยืนยันความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของไทย และยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอาหารเพื่อสุขภาพของภูมิภาค
โลแลน (Lolane) เดินหน้าบุกตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมกลุ่มคนรุ่นใหม่ เปิดตัว “โลแลน เนทูร่า แฮร์ ไวตามิน บูสเตอร์ ทรีตเมนต์” นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสวยทันใจ ใช้เวลาเพียง 5 วินาที ก็สัมผัสได้ถึงผมที่นุ่มลื่น เงางาม และมีสุขภาพดี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “นุ่มลื่นทันที! ผมสวยตอนนี้เลย”

ทรีตเมนต์ โลแลน เนทูร่า เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมอันดับ 1 ที่ครองใจผู้หญิงไทยจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “ทรีตเมนต์กระปุกสีเขียวในตำนาน” ในปัจจุบันสูตรคลาสสิคมีจำหน่าย 3 SKU และในปี 2568 ทางแบรนด์ได้เปิดตัวทรีทเมนท์สูตรใหม่ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการทำเคมีกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นทำสี ดัด หรือยืดผม ที่มักประสบปัญหาผมแห้งเสีย แตกปลาย และผู้ที่มีปัญหาโคนผมมัน ปลายผมแห้ง โดย 2 Segment นี้ มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น จากปัจจัยการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่ง 2 สูตรใหม่มีนวัตกรรม Vitamin Drip เติมเต็มวิตามินสำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ วิตามิน B5, Biotin, วิตามิน E และวิตามิน C ที่ช่วยฟื้นฟูผมเสียได้ในเวลาเพียง 5 วินาที เสริมทัพด้วย Plant-Based Keratin โปรตีนจากพืชโมเลกุลขนาดเล็กที่ซึมเข้าสู่เส้นผมได้อย่างอย่างล้ำลึก ปกป้องผมเสียจากความร้อนและสารเคมี พร้อม Moisturizing Complex และ Inulin จากธรรมชาติ 100% ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่นให้ผมดูสุขภาพดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ ให้ผมเงางามโดยไม่มันเร็ว

ล่าสุด โลแลน เนทูร่า เปิดตัวพรีเซนเตอร์ คุณญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร สะท้อนภาพลักษณ์ผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความทันสมัย และมีผมยาวสวย สุขภาพดี พร้อมวางแผนการตลาดด้วยการทุ่มงบกระจายสื่อหน้ากว้าง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เพื่อปรับภาพลักษณ์แบรนด์ และสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้า Gen Z อีกทั้งได้จัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ เมื่อวันที่ 16 และ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งที่สยาม สแควร์ และอาคารสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โดยในกิจกรรมยังมีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ พร้อมคูปองส่วนลด 20% สำหรับซื้อสินค้าทางออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้จริง โลแลน เนทูร่า แฮร์ ไวตามิน บูสเตอร์ ทรีตเมนต์ พร้อมวางจำหน่ายในขนาด 25 กรัม 250 กรัม และ 500 กรัม ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านบิวตี้สโตร์ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป

การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ก้าวสำคัญของโลแลนที่ต้องการเดินหน้าเจาะตลาด Gen Z และกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่ทั้งทันสมัย สะดวก และเห็นผลทันใจ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ผู้นำด้านการดูแลเส้นผม ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างแท้จริง
ในยุคที่ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคม ล่าสุดตัวเลขจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่า ธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้นำ AI มาใช้แล้วกว่า 17% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายใน 1–2 ปีข้างหน้า
คำถามสำคัญคือ “AI เป็นโอกาสหรือความเสี่ยงต่อการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน?”
ประเด็นนี้ถูกสะท้อนโดย สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย หรือ “กู๋ แมธธ์” ผู้ก่อตั้ง Brand Matter Plan และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์ ที่มองว่า AI ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะทรงพลัง ก็ต่อเมื่อถูกใช้ร่วมกับความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

AI: เครื่องมือ ไม่ใช่สมองแทนมนุษย์
สุวิทย์อธิบายว่า การสร้างแบรนด์และการพัฒนาแบรนด์ต้องแยกให้ชัดเจน AI สามารถเข้ามามีบทบาทได้ทั้งสองส่วน แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีการใช้” ของมนุษย์
AI เปรียบเสมือนคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมองค์ความรู้เอาไว้ แต่คำตอบจาก AI ไม่ได้หมายความว่า “ดีที่สุด” ดังนั้น นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ต้องเข้าใจภาพรวมของ Branding ก่อน แล้วจึงใช้ AI เป็นตัวช่วยเสริม ไม่ใช่พึ่งพาแทนสมองของมนุษย์
“AI ไม่ได้ฉลาดกว่าคน เพียงแต่เข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่า สิ่งสำคัญคือคนที่ใช้ AI ต้องมีวิธีคิดและประสบการณ์เพื่อนำข้อมูลไปต่อยอด ไม่ใช่ลอกคำตอบมาใช้โดยตรง” สุวิทย์กล่าว
ความคิดสร้างสรรค์: จุดแข็งที่ AI แทนไม่ได้
แม้ AI จะถูกมองว่ามีศักยภาพในการแทนที่หลายอาชีพ แต่ในแวดวงการตลาดและ Branding สุวิทย์ยืนยันว่า AI ไม่สามารถแทนที่ “มนุษย์ผู้สร้างสรรค์” ได้ เพราะการสร้างแบรนด์ไม่ใช่สูตรสำเร็จเหมือนการ “ต้มมาม่า” แต่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึก ความเข้าใจตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัว
เขายกตัวอย่างว่า การตลาดยุคเก่าอาศัย 4P (Product, Price, Place, Promotion) แต่ปัจจุบันมี People เข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ ความหลากหลายของผู้บริโภคทำให้การเข้าใจ “ใจคน” เป็นสิ่งที่ AI ไม่อาจทำแทนได้
บทเรียนจากประสบการณ์จริง
จากการทำงานให้คำปรึกษาด้าน Branding มากกว่า 100 แบรนด์ สุวิทย์พบว่า ปัญหาของแต่ละแบรนด์ไม่มีสูตรสำเร็จแก้ได้เหมือนกัน บางครั้งต้นเหตุปัญหาไม่ได้มาจากสินค้า แต่อาจเกิดจากคู่แข่ง หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “บทเรียนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรง” ที่ AI ไม่สามารถสอนหรือวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้
“AI เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้ข้อมูล แต่ไม่สามารถวินิจฉัยและแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์แทนเราได้” เขาย้ำ

คนคือหัวใจของ Branding ในยุค AI
สุวิทย์ยังชี้ว่า การสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบันต้องผสมผสานความรู้และทักษะจากหลากหลายเจเนอเรชัน
หากแต่ละเจเนอเรชันสามารถเรียนรู้และใช้จุดแข็งของกันและกันได้ ก็จะช่วยผลักดันแบรนด์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
บทสรุป: AI คือผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ตัดสิน
ท้ายที่สุด สุวิทย์ย้ำว่า AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ผู้กำหนดกลยุทธ์ นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเป็นกุนซือ วิเคราะห์ตลาด และสร้างความแตกต่างให้แบรนด์อยู่เสมอ
“AI มีประโยชน์มหาศาล หากใช้เป็นคลังความรู้ แต่หากเชื่อโดยไม่กลั่นกรองก็อาจก่อโทษได้ สิ่งที่จะทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและยั่งยืน คือความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่นำ AI มาใช้เสริม ไม่ใช่แทนที่” สุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย