December 22, 2024

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มุ่งเน้นเสริมทักษะการเพิ่มการบริการมูลค่าสูง (High Value Added  Services) ในทุกหลักสูตร โดยเฉพาะสาขาการโรงแรมที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 หวังเตรียมความพร้อมนักศึกษาสู่การเป็นบุคลากรคุณภาพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรมระดับสูง รองรับตลาดนักท่องเที่ยว “กลุ่มไฮเอนด์” ที่มีกำลังซื้อสูง สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยในปัจจุบัน

ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า การขาดแคลนบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการโรงแรม ประกอบกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารท่องเที่ยวทรงอิทธิพลในสหรัฐอเมริกาอย่าง Travel + Leisure ให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแห่งปี 2568 (Destination of the Year 2025) ส่งผลให้ปีนี้มีผู้สนใจสมัครเข้าศึกษาในคณะฯ เพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยสาขาการโรงแรมได้รับความนิยมอันดับ 1 ตามด้วยสาขาการท่องเที่ยวและศิลปะการประกอบอาหาร สำหรับรูปแบบการท่องเที่ยวในปัจจุบันมีแนวโน้มเป็นการท่องเที่ยวแบบอิสระและกลุ่มเล็ก โดยนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นกลุ่มหลัก และมีการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวสเปน ส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวมีความต้องการไกด์ภาษาสเปนเพิ่มขึ้น ทางคณะฯเล็งเห็นโอกาสนี้ จึงได้เปิดหลักสูตรอบรมมัคคุเทศก์ทั่วไป (ต่างประเทศ) สำหรับบุคคลทั่วไประยะเวลา 6 เดือน โดยปัจจุบันดำเนินการเป็นรุ่นที่ 2 และได้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้เข้าอบรมและนักศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อสร้างความเข้าใจในวิชาชีพมัคคุเทศก์อย่างกว้างขวาง

ในปีการศึกษา 2567 ได้ปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรในระดับปริญญาตรีจากเดิมมี 2 สาขาวิชา ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวและธุรกิจอีเวนต์ และ 2. การโรงแรมและธุรกิจอาหาร เป็น 3 สาขาวิชา โดยเพิ่มสาขาวิชาศิลปะการประกอบอาหาร เป็นสาขาใหม่ล่าสุด ทั้งนี้ ทุกสาขาวิชาได้เพิ่มแนวคิดการเพิ่มการบริการมูลค่าสูง (High Value Added  Services) เข้าไปในหลักสูตร ทั้งนี้นักศึกษาแต่ละหลักสูตรมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยนักศึกษาสาขาการท่องเที่ยวจะเข้าใจกระบวนการจัดการและระบบการทำงาน นักศึกษาสาขาการโรงแรมจะมีความเชี่ยวชาญด้านงานบริการ และนักศึกษาสาขาอาหารจะมีความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบอาหาร ดังนั้นทางคณะฯ จึงเน้นส่งเสริมให้นักศึกษาทั้ง 3 หลักสูตรได้ฝึกปฏิบัติงานร่วมกันในพื้นที่จริง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาทักษะให้ครอบคลุมทุกด้าน

ดร.ยุวรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการพัฒนาหลักสูตรการท่องเที่ยว จะมุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของคณาจารย์ที่มีประสบการณ์ด้านมัคคุเทศก์และความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม พร้อมเสริมการให้บริการมูลค่าสูงสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวชุมชน ผ่านความร่วมมือกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยล่าสุดได้รับเกียรติจากททท.สำนักงานนครนายก ในฐานะสถาบันการศึกษาเพียงแห่งเดียวที่ได้รับเชิญให้ร่วมทดสอบและให้คำแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยว อีกทั้งยังร่วมมือกับ ททท. สำนักงานจันทบุรี ในการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงชุมชนบางสระเก้า ผู้ผลิตเสื่อกกจันทบูร กับชุมชนหนองบัว หรือชุมชนขนมแปลก ผ่านการท่องเที่ยวทางน้ำ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชุมชน

ในส่วนของหลักสูตรศิลปะการประกอบอาหารนั้น ปัจจุบันตลาดแรงงานมีความต้องการบุคลากรด้านการทำอาหารสูง ทางคณะฯจึงได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญและเชฟมืออาชีพมาถ่ายทอดความรู้ พร้อมผนวกแนวคิดการสร้างมูลค่าเพิ่มและการบริการที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence)  เข้ามามีบทบาทในทุกสายอาชีพ แต่งานด้านการบริการยังคงต้องอาศัยทักษะความเข้าใจมนุษย์เป็นสำคัญ สำหรับจุดเด่นของคณะฯ คือ การมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีชื่อเสียงระดับสากล เพื่อเพิ่มโอกาสในการฝึกงานและการประกอบอาชีพในอนาคต

นอกจากนี้ทางคณะฯ ยังได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ หลังจากได้รับเชิญให้เป็นผู้ฝึกสอนมารยาทบนโต๊ะอาหาร (Table Manners) ให้แก่ทีมงานผู้ผลิตซีรีส์ "สืบสันดาน" ของ Netflix ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจในการบริการจัดเลี้ยง ลูกค้า VIP และผู้บริหารระดับสูง จากบริษัทต่างๆ อาทิ จูเลียส แบร์ ,สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น  

“เรายังได้พัฒนาความร่วมมือกับโรงแรมระดับ 5 ดาว โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับโรงแรมแมริออท พร้อมส่งนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ Fast Track จำนวน 4 คน ซึ่งโครงการนี้ได้คัดเลือกนักศึกษาตามความสมัครใจและความพร้อม โดยนักศึกษาจะต้องเรียนภาคทฤษฎีอย่างเข้มข้น 3 ปี และปฏิบัติงานจริง 1 ปี และเป็นการฝึกงานแบบ CWIE  (Cooperative and Work Integrated Education)  ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานในทุกแผนก และยังมีความร่วมมือกับโรงแรมระดับ 5 ดาวอื่น ๆ อาทิ โรงแรมเซ็นทารา และโรงแรมบันยันทรี ซึ่งมีมาตรฐานการบริการระดับสากล เพื่อเพิ่มโอกาสการในการฝึกงานในโรงแรมระดับนานาชาติให้แก่นักศึกษาในอนาคต”ดร.ยุวรี กล่าวในตอนท้าย         

ยกระดับการดำเนินงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างการเติบโตในยุคดิจิทัล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ “Triple P” ระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) มุ่งเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และกำไร เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ด้วยงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท พร้อมรุกบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการพัฒนากระบวนการทำงานและทรัพยากรบุคคลรองรับการเติบโตระดับสากล ทั้งนี้ กลยุทธ์ “Triple P” มุ่งตอบโจทย์การเติบโตอย่างอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยสร้างความสมดุลระหว่างโอกาสทางธุรกิจ ผลการดำเนินงานที่แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง และการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำของ EGCO Group

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า ในยุคของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน EGCO Group ได้ทบทวนและปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่

  • Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้น ด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
  • Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าใน ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 8 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท 
  • Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

“EGCO Group เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ “Triple P” จะตอบโจทย์การเติบโตขององค์กรอย่างอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการสร้างความสมดุลระหว่างโอกาสทางธุรกิจ ผลการดำเนินงานที่แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง และการบรรลุเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon)” ดร.จิราพร กล่าว

สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 ECGO Group เดินหน้าลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท การเติบโตทางธุรกิจในปีหน้าจะมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากโครงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ การรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ในสหรัฐอเมริกา และจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย จ.ระยอง การรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin ในไต้หวัน การรับรู้รายได้จากการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนและการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ APEX ในสหรัฐอเมริกา การเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสปิดดีลโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในรูปแบบ M&A ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ทันที

 

ดร.จิราพร ยังกล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนของปี 2567 ว่า “ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,604 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,463 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 7,014 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,518 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ และกลุ่มโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ EGCO Group ยังสามารถผลักดันโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ให้มีความก้าวหน้าตามเป้าหมาย โดยเฉพาะ Yunlin ที่ติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) และกังหันลม (Wind Turbine Generators - WTGs) ครบ 80 ต้น เรียบร้อยแล้ว และได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 68 ต้น คิดเป็นกำลังผลิต544 เมกะวัตต์ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 640 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้” 

“Run For the Healthy World” อนุรักษ์มรดกไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สมาคมสถาปนิกสยามฯ พร้อมด้วย ทีทีเอฟ ประกาศเดินหน้าจัดงานสถาปนิก’68 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 37 ภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” ตอกย้ำสถาปัตยกรรมมีความสำคัญในทุกเรื่องราวจากอดีตจนถึงปัจจุบันและนำไปสู่อนาคต ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมเสวนามากมาย รวมถึงจัดแสดงนวัตกรรมเพื่อการออกแบบ-ก่อสร้างครบวงจร จากผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 1,000 ราย ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดผู้ร่วมชมงานมากถึง 325,000 คน

นายอเส สุขยางค์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงการจัดงานสถาปนิก ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 37 ปัจจุบันถือเป็นงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยงานสถาปนิก’68 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานทางวิชาชีพสถาปัตยกรรมและกิจกรรมของสมาคมฯ รวมถึงเป็นสื่อกลางในการจัดแสดงการออกแบบ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับงานสถาปัตยกรรม ตลอดจนส่งเสริมวิชาชีพทางสถาปัตยกรรมแก่สมาชิก นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป

“งานสถาปนิก’68 ในปีนี้เป็นการต่อยอดการจัดงานสถาปนิกครั้งที่ผ่านมา ที่นำเสนอนิทรรศการเนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี สมาคมฯ โดยในปีนี้มาพร้อมกับแนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ใช้ช่วงเวลานี้ในการระลึกถึงการเดินทางของสถาปัตยกรรมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีการเดินทางผ่านเรื่องราวและส่งต่อมายังปัจจุบันได้อย่างไร และที่ผ่านมาสถาปนิกได้ร่วมงานกับหลากหลายวิชาชีพ จากทั่วทุกภูมิภาค เราจะได้สำรวจและทบทวนถึงทิศทางที่สถาปัตยกรรมไทยได้ก้าวเดินผ่านมาหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานเทคนิคและวัฒนธรรมจากอดีต การปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและความต้องการของสังคมในแต่ละยุค รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เคยเป็นและสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเรามีเส้นทางและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและตัวตนของสถาปนิกอย่างไรเพื่อมองอนาคตไปด้วยกัน”

อย่างไรก็ตาม การจัดงานสถาปนิก’68 นอกจากวัตถุประสงค์ของการเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกในแวดวงสถาปัตยกรรม ผ่านงานแสดงนิทรรศการ การประชุมสัมมนา การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ที่มีบทบาทส่งเสริมวิชาชีพสถาปัตยกรรม การพัฒนาองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรม มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม รวมถึงยังสามารถสะท้อนศิลปวัฒนธรรม และมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งยังเป็นสื่อกลางในการจัดแสดงงานออกแบบ วัสดุก่อสร้าง การให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เทคโนโลยี นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ รวบรวมผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำของไทยและต่างประเทศ มาจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันที่ใหญ่มากถึง 75,000 ตร.ม.แล้ว ทั้งนี้ จากความน่าสนใจของการจัดแสดงนิทรรศการ กิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และสินค้าบริการที่ครบวงจร คาดว่างานสถาปนิก’68 จะได้ผลตอบรับที่ดีมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 325,000 คน

นายธันว์ ศรีจันทร์ ประธานจัดงานสถาปนิก’68 กล่าวถึงภาพรวมกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในงานสถาปนิก’68 แบ่งเป็น 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนนิทรรศการหลัก ส่วนนิทรรศการวิชาการ ส่วนนิทรรศการวิชาชีพ ส่วนพื้นที่กิจกรรมและบริการ และส่วนงานสัมมนาวิชาการ โดยส่วนนิทรรศการหลัก จะประกอบไปด้วย 7 โซนจัดแสดงเริ่มจากโซนแรก นิทรรศการ “ทบทวน ทิศทาง” การนำเสนอแนวคิดการทบทวนคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมในอดีต หาข้อมูล วิเคราะห์ และนำมาออกแบบใหม่อีกครั้ง โดยผ่านการตีความของสถาปนิก อาจารย์ นักศึกษาจากโรงเรียนออกแบบรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการเชื่อมช่วงเวลาจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นตัวอย่างการตีความจากอดีตสู่อนาคต ต่อด้วยโซนที่สอง "ชิ้นแรก ชิ้นล่า : From the First Piece to the Latest" พื้นที่นำเสนอผลงาน 2 ชิ้นประกอบไปด้วย ผลงานการออกแบบชิ้นแรก ที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง และผลงานการออกแบบชิ้นล่าสุดที่แสดงถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าของผลงานในปัจจุบัน และโซนที่สาม ภาพเก่าเล่าเรื่อง - The Documentary เป็นการนำเสนอภาพถ่ายเก่าของสมาคมฯ ที่บันทึกกิจกรรมและเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ จากอดีตมาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบของนิทรรศการ

โซนที่สี่ เรื่องเล่า 3 รุ่น ความสัมพันธ์ของคน 3 วัย ที่จะมาสะท้อนแนวทาง ต่อยอด ส่งต่อ ผ่านการทำงานร่วมกัน “บทสนทนา พร้อมภาพประกอบของคน 3 วัย หลากหลายสายงาน” มาถึงโซนที่ห้า นิทรรศการสมาคมมัณฑนากร  แห่งประเทศไทย : TIDA และโซนที่หก นิทรรศการและพื้นที่สัมมนาวิชาการ “TALA : ไทยไท” ปิดท้ายกับโซนที่เจ็ด นิทรรศการ สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย : TUDA ซึ่งในแต่ละโซนมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย อาทิ การเปิดให้คำแนะนำ คำปรึกษาด้านงานสถาปัตยกรรม การเปิดรับสมาชิก การให้ร่วมสนุกลุ้นรับรางวัล และจุดจำหน่ายสินค้าของสมาคมฯ เป็นต้น

ประธานจัดงานสถาปนิก’68 กล่าวอีกว่า นอกจากนิทรรศการหลักจากทาง 4 องค์กรวิชาชีพสถาปนิก ได้แก่ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย, สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย, สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย ยังมีนิทรรศการวิชาการ ซึ่งเป็นนิทรรศการประกวดแบบเชิงแนวความคิด (ASA Experimental Design Competition) การแสดงผลงานการประกวดแบบในระดับนานาชาติที่เปิดให้สมาชิกสมาคมฯ สถาปนิก นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมส่งผลงานแสดงแนวคิดในการออกแบบภายใต้ธีมงาน “FUTURE NOSTALGIA IN ARCHITECTURE”

ส่วนของนิทรรศการวิชาชีพ ประกอบด้วย นิทรรศการอาษาอนุรักษ์ นำเสนอผลงานที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2568 นิทรรศการผลงานนักศึกษาโดยสถาบันการศึกษา โครงการประกวดวิทยานิพนธ์ทางสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2568 (TOY ARCH) นิทรรศการงานประกวดแบบภาครัฐและองค์กรอื่นๆ นำเสนอผลงานออกแบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและเมือง เป็นต้น

ในส่วนงานพื้นที่กิจกรรมและบริการ จะประกอบด้วย ACT+ASA Shop พื้นที่จำหน่ายหนังสือและของที่ระลึกสมาคม ACT+ASA Club พื้นที่พบปะ จุดพักผ่อนประจำของชาวอาษา มุมสถาปนิกอาสา พื้นที่บริการให้คำปรึกษา เรื่อง แบบบ้าน จากสถาปนิกอาสา และ ASA Night ในรูปแบบใหม่ กิจกรรมสังสรรค์พบปะตามประเพณีของเหล่าสมาชิกอาษาทุกรุ่น ทุกสมัย ทุกสถาบัน

สุดท้ายในส่วนของงานสัมมนา วิชาการ ประกอบด้วย ASA Forum & Professional Seminar ซึ่งในครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความรู้จากรุ่นสู่รุ่น โดยแบ่งเป็นส่วน International Forum 3 Gen ซึ่งจะเป็นงานบรรยายของสถาปนิกต่างชาติที่มีภูมิหลังและผลงานที่แสดงลักษณะของแต่ละยุคอย่างชัดเจน ขณะที่งานสัมมนา Professional Seminar จะเป็นงานที่เชิญผู้เชี่ยวชาญในไทยของแต่ละสาขาวิชาที่มีประโยชน์แก่การประกอบวิชาชีพของสถาปนิกในปัจจุบัน โดยงานครั้งนี้จะมีความพิเศษ สำหรับกิจกรรมสัมมนาที่มาในรูปแบบการทำ Workshop หรือสอนการใช้งานโปรแกรม Computer สำหรับงานออกแบบต่างๆ ทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเน้นให้ผู้เข้าฟังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและสามารถนำไปใช้ได้จริงด้วย

นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวถึงผลการจัดงาน “สถาปนิก’67” และเป้าหมายการจัดงาน “สถาปนิก’68” ว่าการจัดงานมีการเติบโตขึ้นจากงานที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความท้าทายที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน

งาน “สถาปนิก’68” มีเป้าหมายที่จะยกระดับการจัดงานให้มีศักยภาพมากกว่าเดิมในทุกมิติ โดยการจัดงานครั้งที่ผ่านมา (งานสถาปนิก’67) มีพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมด 27,968.37 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 4.58% จากงานสถาปนิก’66 และหากประเมิณสถานการณ์การขาย ณ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567) มียอดจองพื้นที่จัดแสดงสินค้าเเล้วกว่า 16,236.67 ตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน 11.39% สะท้อนถึงการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมด้านก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางบวก

ในส่วนของจำนวนผู้แสดงสินค้า ณ ปัจจุบัน มีจำนวนผู้ประกอบการไทย เพิ่มขึ้น 6.35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยที่มีต่องานสถาปนิก ขณะที่จำนวนผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก และนโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยของผู้จัดงาน

สำหรับผู้แสดงสินค้าชั้นนำที่ยืนยันเข้าร่วมงานแล้ว อาทิ SCG, MAKITA, JORAKAY, TOSTEM, VG, TOA, กลุ่ม PANTAMITR, กลุ่ม CONNEXT, S-ONE, BOONTHAVORN, BLACK & DECKER, DOS, CRISTINA, EDL, TAK+WG เป็นต้น และมีผู้แสดงสินค้ารายใหม่ที่เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นหลายราย อาทิ NIPPON PAINT, FAMELINE, MELATONE, SAINT-GOBAIN, FELTECH, TOPMIX, M KUCHE, INOL GROUP เป็นต้น

ไฮไลท์ภายในงานนอกจากพื้นที่ของสมาคมฯ แล้ว ยังมีผู้แสดงสินค้าที่ใช้พื้นที่ Thematic Pavilion มากที่สุดตั้งแต่เคยจัดแสดงมา ถึง 6 พื้นที่ ได้แก่ 1. S-ONE ร่วมกับสถาปนิกจาก Looklen Architect 2. NIPPON PAINT ร่วมกับสถาปนิกจาก pbm 3. VANACHAI ร่วมกับสถาปนิกจาก FLAT12X 4. VG ร่วมกับสถาปนิกจาก ativich / studio 5. WOODDEN ร่วมกับสถาปนิกจาก POAR 6. FAMELINE ร่วมกับสถาปนิกจาก Architects & Associates และทางด้านผู้จัดงานยังมีการเปิดพื้นที่โซนใหม่ “Lobby Zone” เป็นครั้งเเรก เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้แสดงสินค้ามากขึ้น

ในด้านผู้ชมงาน ทางบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนของผู้ชมงานที่อยู่ในกลุ่ม Professional ให้มากยิ่งขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก (Professional) อาทิ สถาปนิก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วิศวกร และผู้รับเหมาก่อสร้าง ในงานสถาปนิกที่ผ่านมา มีสัดส่วนอยู่ที่ 55% ขณะที่กลุ่ม Home Owners-End Users อยู่ที่ 45% โดยประมาณการสัดส่วนในกลุ่มผู้ชมงาน Professional จะเติบโตขึ้นเป็น 60% ในงานสถาปนิก’68

“เรายังคงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำเสนองานที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการได้เจอกลุ่มเป้าหมายหลักให้มากที่สุด เพื่อเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเครือข่ายทางธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างในภูมิภาคนี้”นายศุภแมน กล่าว

งาน “สถาปนิก’68” มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ArchitectExpo.com และ Facebook Page: ASA Expo

บาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย (Bartercard Thailand) ผู้นำแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแบบไร้เงินสด นำโดย นางสาวเรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับการจัดงานมหกรรมการช้อปปิ้งไร้เงินสดส่งท้ายปีมังกร "The 77th Bartercard Trade Show" ณ Glass House ชั้น 3 ห้าง Bravo Bkk พระราม 9 เมื่อเร็ว ๆ นี้

งานครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากสมาชิก Bartercard โดยมีนักธุรกิจและผู้ประกอบการร่วมออกบูธแสดงสินค้าและบริการกว่า 140 บูธ อีกทั้งมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน สร้างปรากฏการณ์การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแบบไร้เงินสดผ่าน Bartercard Mobile App มูลค่ารวมกว่า 12 ล้านเทรดบาท ภายในระยะเวลาเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

สำหรับการจัดงาน Trade Show โดย Bartercard Thailand ในทุก ๆ จะจัดขึ้นปีละ 3 ครั้ง เปรียบเสมือนการขอบคุณที่สมาชิกเชื่อมั่นในระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของ Bartercard ที่ช่วยให้ธุรกิจประหยัดเงินสด เพิ่มยอดขาย และขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สมาชิกสามารถนำสินค้าหรือบริการมาแลกเปลี่ยนกันผ่าน Bartercard Mobile App ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้เงินสด เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ ลดต้นทุน และสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบัน งาน Trade Show ครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกและ Bartercard รวมถึงระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะ สร้างเครือข่าย และแลกเปลี่ยนแนวทางธุรกิจเพื่อต่อยอดและขยายฐานลูกค้า นอกจากนี้ ภายในงานยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับสมาชิก Bartercard โดยเฉพาะจากธนาคารยูโอบี (มหาชน) อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจงาน Bartercard Trade Show ครั้งต่อไป หรือกิจกรรมอื่น ๆ รวมถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Bartercard สามารถสอบรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-024-1000 และ Facebook: Bartercard Thailand หรือ เว็บไซต์ https://www.bartercard.co.th 

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เตรียมเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G ภายใต้คอนเซปต์ ถึก ทน คุ้ม – ท้าชนทุกสถานการณ์” โดยทั้งสองรุ่นยกระดับความทนทานของสมาร์ตโฟน ด้วยนวัตกรรมโครงสร้างกันกระแทกและกระจกนิรภัยเสริมแกร่ง พร้อมการรับรองระดับพรีเมียม 5 ดาว จาก SGS ที่สามารถทนต่อการตกกระแทกสูงสุด 1.5 เมตร และได้รับมาตรฐาน IP64 ป้องกันฝุ่นและน้ำกระเซ็น เสริมประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานเต็มพิกัดด้วยแบตเตอรี่ความจุสูง ผสานเทคโนโลยี HONOR Super Charge 35W ชาร์จเร็วทันใจ ตลอดจนมอบประสบการณ์การถ่ายภาพบนมือถือที่สวย คมชัด ด้วย AI Camera อัจฉริยะ พร้อมฟีเจอร์ AI Motion Sensing Capture เพื่อการถ่ายภาพที่เหนือระดับในทุกสถานการณ์

HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G ถือเป็นครั้งแรกในซีรีส์สมาร์ตโฟนเริ่มต้นที่ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ทุกความท้าทายในชีวิตประจำวัน ด้วยคุณสมบัติที่คุ้มค่าในราคาจับต้องได้ โดยจะเปิดตัวและประกาศราคาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 พร้อมข้อเสนอและโปรโมชันพิเศษอีกมากมาย

HONOR X7c สมาร์ตโฟนที่ผสมผสานความหรูหราและความแกร่งได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยแบตเตอรี่ความจุ 6,000mAh ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน มาพร้อมเทคโนโลยีป้องกันแรงกระแทกขั้นสูง ด้วยกระจกนิรภัยเสริมความแข็งแรงและโครงสร้างกันกระแทกสี่มุมที่ใช้วัสดุ Non-Newtonian Fluid ช่วยลดแรงกระแทกได้ถึง 50% มอบความมั่นใจในทุกการใช้งาน เสริมด้วยกล้อง AI ความละเอียด 108MP ที่เก็บทุกช็อตได้คมชัดทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นภาพวิวหรือโมเมนต์สำคัญ พร้อมหน่วยความจำขนาดใหญ่ 8+256GB จัดเก็บทุกไฟล์สำคัญและความทรงจำได้แบบจุใจ ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่มองหาสมาร์ตโฟนที่ครบครันทั้งดีไซน์ คุณภาพ และความคุ้มค่าในเครื่องเดียว

HONOR 200 Smart 5G สมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นที่พร้อมพาทุกคนก้าวสู่โลก 5G ได้อย่างไร้ขีดจำกัด มาพร้อมชิปเซ็ตเร็วแรง ด้วย Snapdragon 4 Gen 2 โดดเด่นด้วยแบตเตอรี่สุดอึด 5,200mAh ใช้งานได้เต็มวันไม่มีสะดุดพร้อมหน่วยความจำขนาดใหญ่ 8GB+256GB จัดเก็บทุกไฟล์และแอปพลิเคชันได้แบบสบายๆ เพิ่มความมั่นใจด้วยความสามารถกันน้ำระดับ IP64 และโครงสร้างทนทานรอบด้านที่รองรับการตกกระแทกสูงถึง 1.5 เมตร ไม่ว่าจะใช้งานในชีวิตประจำวันหรือเผชิญสถานการณ์สุดท้าทายก็เอาอยู่อีกทั้งยังมาพร้อมกล้อง AI ความละเอียด 50MP เก็บภาพสวยคมชัดทุกมุมมอง HONOR 200 Smart 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มค่าและความทนทานในทุกการใช้งาน

ห้ามพลาด! เตรียมสัมผัสกับความแข็งแกร่งทนทานและความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ HONOR X7c และ HONOR 200 Smart 5G เริ่มวางจำหน่ายสินค้าที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป พร้อมรับโปรโมชันของแถมสุดพรีเมียม ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.honor.com/th/ หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

แกร็บ ประเทศไทย รุกตลาดเรียกรถผ่านแอปฯ ผ่านกลยุทธ์ Social Marketing ดันบริการ GrabDriveYourCar เต็มสูบ รับดีมานด์พุ่ง 50% ในช่วงเทศกาล ชูจุดเด่นคนขับมืออาชีพมาตรฐานสูง มาถึงไวในเวลา 15 นาที ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 350 บาท พร้อมประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองทั้งผู้โดยสารและยานพาหนะด้วยวงเงินสูงสุดถึง 5 ล้านบาท ผุดแคมเปญพิเศษ “โปรเด็ด (เพื่อ) นักดื่ม” ส่งหนังโฆษณาปลุกจิตสำนึกรณรงค์ดื่มไม่ขับ พ่วงผนึกพันธมิตรผับ-บาร์และสถานบันเทิงให้ส่วนลดนักดื่มในช่วงเทศกาล พร้อมจัดคอร์สอบรมออนไลน์ให้คนขับหวังสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม

นางสาวเมธินี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงปลายปีถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและมีการจัดงานเทศกาลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากผู้คนจะออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นแล้ว ก็ยังมีการนัดพบปะสังสรรค์และจัดงานเลี้ยงฉลองกันบ่อยครั้งด้วย ส่งผลให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้มียอดผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรวมถึง GrabDriveYourCar หรือบริการคนขับรถยนต์ส่วนตัวมืออาชีพ ที่แกร็บเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 โดยได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ใช้บริการในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืนหรือสายดื่มที่เป็นเจ้าของรถยนต์แต่ไม่ต้องการขับรถเองเมื่อไปปาร์ตี้สังสรรค์เพื่อหลีกเลี่ยงการเมาไม่ขับ รองลงมาคือกลุ่มผู้ใช้บริการที่ไม่สะดวกขับรถด้วยตัวเองในโอกาสต่างๆ จึงต้องการคนขับที่ไว้ใจได้ช่วยขับรถให้ เช่น ไปรับ-ส่งคนในครอบครัวเพื่อไปทำธุระหรือโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจที่มีประชุมนัดหมายสำคัญหรือเลี่ยงขับรถเองในช่วงเวลากลางคืน เป็นต้น”

“โดยปกติแล้ว บริการ GrabDriveYourCar จะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงปลายปีถึงต้นปี (พฤศจิกายน - มกราคม) ซึ่งสะท้อนผ่านยอดเรียกใช้บริการที่สูงขึ้นกว่าช่วงปกติถึง 50%[1] ดังนั้น ในปีนี้ แกร็บจึงได้รุกทำตลาดบริการคนขับรถมืออาชีพอย่างจริงจัง โดยใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อสังคมหรือ Social Marketing ผ่านการทำแคมเปญพิเศษที่ชื่อ ‘โปรเด็ด (เพื่อ) นักดื่ม’ พร้อมส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดพิเศษเพื่อร่วมรณรงค์ด้านความปลอดภัยและกระตุ้นจิตสำนึกให้กับผู้ใช้บริการสายดื่ม โดยนำอินไซต์จริงที่สะท้อนวิธีคิดและพฤติกรรมของนักดื่ม รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้กระทำ คนรอบข้างและสังคมโดยรวม มาเป็นจุดขายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความรับผิดชอบร่วมกัน โดยแฝงมุขตลกเพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย พร้อมผนึกพันธมิตรกับสถานบันเทิงต่างๆ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม”

จุดเด่นของบริการ GrabDriveYourCar คือ

  • มีฐานคนขับมืออาชีพพร้อมให้บริการ โดยคนขับแกร็บที่จะสามารถให้บริการ GrabDriveYourCar ได้ต้องผ่านระบบคัดกรองที่เข้มข้น ตั้งแต่การตรวจประวัติอาชญากรรมย้อนหลัง การทำแบบทดสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์เพื่อประเมินทักษะด้านการขับรถ ทัศนคติ มาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงความสามารถในการจัดการและรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งคนขับกลุ่มนี้สามารถขับรถยนต์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ซีดาน รถ SUV รถกระบะ รถตู้ ไปจนถึงซุปเปอร์คาร์
  • มาไวทันใจ โดยผู้ใช้บริการจะใช้เวลารอคนขับเฉลี่ยเพียง 15 นาทีหลังจากระบบได้จัดสรรคนขับแล้ว
  • ราคาเข้าถึงได้ โดยแกร็บได้ปรับราคาเริ่มต้นเพียง 350 บาทต่อเที่ยว[2]
  • อุ่นใจ โดยแกร็บได้ทำประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางในทุกเที่ยว ซึ่งคุ้มครองทั้งผู้ใช้บริการและยานพาหนะ ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อเที่ยว

“ภายใต้แคมเปญนี้ แกร็บยังได้มอบส่วนลดบริการ GrabDriveYourCar 30% (สูงสุด 200 บาท) สำหรับผู้ใช้บริการใหม่ เพียงใส่รหัส DRIVE30 ตั้งแต่วันนี้จนถึงช่วงสิ้นปี พร้อมกันนี้ ยังได้ผนึกความร่วมมือกับคอมมูนิตี้มอลล์ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงทั่วกรุงเทพฯ อาทิ theCOMMONS Groove @ centralwOrld ร้าน Brick Bar ร้าน Molly ร้าน Mulligans Irish Bar ร้าน Waterside Karaoke และร้าน 12Plato Brewing เป็นต้น เพื่อผลักดันให้คน "ดื่มไม่ขับ เรียก GrabDriveYourCar ขับให้" ให้ทุกคนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยนอกจากนี้ เรายังได้จัดคอร์สอบรมออนไลน์สำหรับคนขับแกร็บที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงโทษภัยของการดื่มแล้วขับ พร้อมให้บริการด้วยความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย” นางสาวเมธิณี ปิดท้าย

รับชมภาพยนตร์โฆษณาชุดพิเศษได้ที่

รู้หรือไม่:

  • ช่วงเวลาที่มีคนเรียกใช้บริการคนขับส่วนตัวมากที่สุด คือ เวลา 00 - 4.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการปาร์ตี้มากที่สุด
  • บริการ GrabDriveYourCar มีให้บริการแค่ในประเทศไทยเท่านั้น
  • ย่านยอดนิยมสำหรับการใช้บริการ GrabDriveYourCar สูงสุด 3 อันดับแรกในกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านทองหล่อ-เอกมัย ย่านอโศก และย่านรัชดา
  • รู้ไหม? ดื่มไวน์ 3 แก้ว หรือวิสกี้ 2 แก้ว หรือเบียร์ 2 ขวดเล็ก ก็ทำให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร หากดื่มเท่านี้ แนะนำให้เรียก GrabDriveYourCar ได้เลย
  • เมาแล้วขับ โดนปรับหนักแน่! ค่าปรับเริ่มต้นของการเมาแล้วขับ คือ 5,000 บาท เทียบเท่ากับการใช้บริการ GrabDriveYourCar ถึง 14 ครั้ง (เมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้น)

[1] หมายเหตุ: เปรียบเทียบยอดใช้บริการ GrabDriveYouCar เฉลี่ยต่อเดือนระหว่างช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงมกราคม 2567 กับช่วงอื่นๆ ของปี

[2] เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด และอัตราค่าบริการเป็นไปตามระยะทางที่ใช้บริการตามที่ปรากฏบนหน้าแอปพลิเคชัน

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำด้านบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Insurer โดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร คว้ารางวัลใหญ่ระดับนานาชาติ 3 ปีซ้อน จาก Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards 2024 ในสาขา Top Community Centric Companies in Asia ซึ่งรางวัลดังกล่าวถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือสังคม และใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดมา ซึ่งสอดคล้องเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

โดยรางวัล Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards เป็นรางวัลที่มุ่งเน้น ในการเชิดชูเกียรติแก่บุคคล และองค์กร ที่ดำเนินธุรกิจ และมีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาคเอเชีย 

ทั้งนี้สำหรับท่านที่สนใจโครงการ และกิจกรรมเพื่อสังคม ของบริษัทฯ สามารถติดตามได้ที่ www.krungthai-axa.co.th หรือ https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers 

กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2567) โดยมีผลกำไรจากธุรกิจใหม่ 2,347 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11  (จากเดิมร้อยละ 10) นับรวมผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 4,638 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 (จากเดิมร้อยละ 5) สำหรับช่วงไตรมาสที่ 3 ระหว่างเดือน ก.ค.-ก.ย. ของปีนี้ มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงไตรมาส 3 สะท้อนถึงการดำเนินงานที่มีการเติบโตในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย สำหรับธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ที่ทำผลงานโดดเด่น คือ ฮ่องกง, จีน รวมทั้ง ประเทศไทย ในขณะที่ ไต้หวัน ยังคงรักษาการเติบโตที่คงที่

นายอนิล วัธวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล เปิดเผยว่า “เราสามารถทำผลงานได้เป็นที่น่าพึงพอใจในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ในส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากกลยุทธ์ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายที่มีส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโตของผลกำไรใหม่แล้วนั้น ธุรกิจจากตลาดสำคัญๆในหลายภูมิภาค อาทิ จีน, อาเซียน และ แอฟริกา ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้ เราจะรักษาอัตราการเติบโตของผลกำไรธุรกิจใหม่เฉลี่ยที่ร้อยละ 9-13”

สำหรับ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในตลาดของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียลที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 7,688 ล้านบาท นับตั้งแต่ ม.ค. - 30 ก.ย. 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ไตรมาส 3 อยู่ที่ 2,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จาก 2,021 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา การเติบโตและทำผลงานที่โดดเด่นในส่วนของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ในช่วงไตรมาส 3ที่ผ่านมาทำให้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย อยู่ใน 5 อันดับแรกของธุรกิจประกันชีวิต ตอกย้ำถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ

นอกจากนั้น พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังมีความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยการมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารมูลค่า 213 พันล้านบาท สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางการเงิน และความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อเรา

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “การที่พรูเด็นเชียล ประเทศไทย สามารถทำผลงานในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมนั้น ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทฯ ผ่านพันธมิตรแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งล้วนแต่เป็นธนาคารชั้นนำของประเทศไทย ประกอบด้วย ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี), ธนาคารยูโอบี และ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, ช่องทางตัวแทน, ช่องทางการขายผ่านทางโทรศัพท์ รวมถึงช่องทางดิจิทัล รวมถึงความมุ่งมั่นของเราที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแผนประกันชีวิต สุขภาพ การออม หรือ การลงทุน ที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและความผันแปรทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าอย่างทันท่วงที เราหวังว่าภายในสิ้นปีนี้ บริษัทฯจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเป็นผู้นำตลาดในส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ของธุรกิจประกันชีวิตต่อไป”

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งประกันชีวิต สุขภาพ การออม การลงทุน และบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกช่วงชีวิตในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยเชื่อว่าชีวิตที่มีกันและกัน ทุกวันยิ่งดีกว่าเดิม และเรายังมุ่งมั่นที่จะทำให้ประกันเข้าถึงคนไทยทุกคน รวมถึงกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม www.prudential.co.th 

X

Right Click

No right click