December 05, 2025

KBank Private Banking แนะนักลงทุนจับตา 3 สินทรัพย์เด่นที่จะนำพอร์ตลงทุนฝ่าวิกฤต และสร้างผลตอบแทนในช่วงหลังของปี 2568 ที่ตลาดลงทุนยังต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เพราะกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญเชิงนโยบาย สะท้อนผ่านการปรับท่าทีของธนาคารกลางหลัก ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยลงได้ อีกทั้งยังมีการส่งสัญญาณผ่อนคลายเพิ่มเติมในปีหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความตึงเครียดด้านการค้ากับจีนและพันธมิตรอื่น ๆ ได้แก่

ตราสารหนี้: สร้างรายได้ที่มั่นคงจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในปัจจุบันนี้ถือเป็น "โอกาสทอง" สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ เพื่อสร้างรายได้ และยังเป็นฐานที่แข็งแกร่งในการรับมือกับความผันผวนของตลาดโดยรวม อีกทั้งในอนาคตอันใกล้ที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ก็ยังเป็นผลดีต่อราคาตราสารหนี้ โดยนักลงทุนที่ถืออยู่สามารถทำกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นได้อีก โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อย่างกองทุน K-GDBOND ที่เน้นกระจายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก และกองทุน  K-AHY ที่เน้นกระจายลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

หุ้นเอเชีย: จีน อินเดีย เวียดนาม โอกาสสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ การทยอยสะสมหุ้นจีน ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ แม้เศรษฐกิจจีนจะยังเผชิญกับความท้าทาย อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนกำลังดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวในอนาคต ผลักดันการบริโภคในประเทศ และในระยะยาว จีนกำลังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นบริการ ดิจิทัล และเสริมระบบสวัสดิการเพื่อเพิ่มการบริโภคอย่างยั่งยืน โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นอย่าง กองทุน K-CHINA ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และประเทศอื่น ๆ (All China) ที่มีคุณภาพดี เติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และกลุ่มอุปโภคบริโภค เช่นเดียวกับหุ้นอินเดีย แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-INDIA ที่เน้นลงทุนในกลุ่มการบริโภคภายในประเทศ จากจำนวนประชากรกว่า 1.46 พันล้านคน รวมถึงอัตราการเติบโตของชนชั้นกลางก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนยังต่ำ รวมถึงหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ผ่านการลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ มีกระแสเงินสด และงบดุลที่แข็งแกร่ง เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มส่งออก และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์

สินทรัพย์นอกตลาด: ทางเลือกใหม่เพื่อผลตอบแทนที่เหนือกว่า อย่างกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง (Semi Liquid Private Asset Fund) ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องที่เป็นข้อจำกัดการลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดแบบดั้งเดิม ต้องถูกล็อคเงินลงทุนยาวนานถึง 7-10 ปี เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน สามารถขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาสหรือในช่วงเวลาที่กำหนด ผลิตภัณฑ์กองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งกองทุนหุ้นนอกผ่านการลงทุนในกองทุน K-GPEQ-UI เน้นลงทุนในธุรกิจนอกตลาดที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก เช่น การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยี กองทุนสินเชื่อนอกตลาดซึ่งเป็นการปล่อยกู้โดยตรงให้กับบริษัทเอกชน ผ่านการลงทุนในกองทุน K-GPC-UI และกองทุน MPCREDIT-UI เน้นลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถในการชำระหนี้สูง  กองทุนโครงสร้างพื้นฐานนอกตลาด ผ่านการลงทุนใน MPINFRA-UI เน้นลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานหลัก (core infrastructure assets) ที่อยู่ภายใต้การควบคุมอัตราโดยหน่วยงานกำกับดูแล หรือโดยสัญญาระยะยาวกับคู่สัญญาที่น่าเชื่อถือ เช่น รัฐบาลกลาง รัฐบาลถ้องถิ่น และบริษัทขนาดใหญ่  

นอกเหนือจาก 3 สินทรัพย์เด่น กลยุทธ์การลงทุนหลักสำคัญสำหรับครึ่งหลังปี 2568 คือ วางแกนหลัก (Core Portfoilo) ให้มั่นคง แล้วเสริมโอกาส (Satellite Portfolio) ตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ โดย KBank Private Banking ยังแนะนำให้พอร์ตการลงทุนหลักมีน้ำหนัก 50% ขึ้นไป โดยแนะนำให้ลงทุนใน “กองทุนผสมหลายสินทรัพย์ทั่วโลก” ที่มีผู้จัดการมืออาชีพคอยปรับพอร์ต เพื่อให้ความเสี่ยงกับโอกาสสมดุล โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนอย่าง K-ALLROADS Series หรือ K-WEALTH PLUS Series

ในโลกการลงทุนที่ไม่เหมือนเดิมทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และเทคโนโลยี ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว และคาดเดาไม่ได้ การสร้างพอร์ตการลงทุนที่จะตอบโจทย์ระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนไม่ควรลงทุนแค่หนึ่งสินทรัพย์ หนึ่งประเทศ หรือหนึ่งธีมการลงทุน วรจัดพอร์ตการลงทุนที่พร้อมรับทุกสถานการณ์

กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล แถลงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 68) รวมทั้งนำเสนอความคืบหน้าของแผนส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทฯ สำหรับผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรกนั้น พรูเด็นเชียล มีผลกำไรธุรกิจใหม่ (New Business Profit) เติบโตเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 1,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตามวิธีการคำนวณแบบ Traditional Embedded Value -TEV)  บริษัทฯ มีกระแสเงินสดส่วนเกินจากธุรกิจประกันชีวิตที่ยังมีผลบังคับ และธุรกิจการจัดการสินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 14% คิดเป็นมูลค่า 1,560ล้านดอลลาร์สหรัฐ

บริษัทฯ มีผลกำไรก่อนหักภาษีจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว เพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 1,644 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ มีกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วหลังจากหักภาษีเพิ่มขึ้น 7% เป็น 1,366 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งมีกำไรต่อหุ้นจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่49.3 เซนต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 12% มีมูลค่าหุ้นตาม TEV ของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ที่ 35.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 1,354 เซนต์ต่อหุ้นบริษัทฯ ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากรายงานอัตราส่วนกระแสเงินสดส่วนเกินอยู่ที่ 221% (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567: 234%)และส่วนเกินของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 16.2พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าอัตราความครอบคลุม 267%

นายอนิล วัธวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนการเติบโตแบบเลขสองหลักในตัวชี้วัดสำคัญต่าง ๆ ตามแนวทางที่เราได้ให้ไว้ตั้งแต่ต้นปี เราได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างเงินทุน ซึ่งเปิดโอกาสให้เราปรับแผนการบริหารเงินทุน และเพิ่มการคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและมุ่งสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว จากความคืบหน้าดังกล่าวผมมั่นใจว่า เราจะสามารถดำเนินตามแผนที่วางไว้ และรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องไว้ได้ตลอดครึ่งปีหลังรวมถึงในอนาคต และทำให้กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียลก้าวสู่เป้าหมายทางการเงินในปี 2570 ได้อย่างมั่นคง”

สำหรับความคืบหน้าของแผนส่งมอบคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นภายใต้โครงการซื้อหุ้นคืน บริษัทฯ ได้ซื้อคืนหุ้นจำนวน 72 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า711 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2568โดยคาดว่าจะดำเนินการตามแผนให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีแผนจะคืนรายได้สุทธิจากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกของ ICICI Prudential Asset Management Company Limited (‘IPAMC’)

ด้านการบริหารทุน บริษัทฯ มุ่งสู่แนวทางการคืนทุนรวมจากกระแสเงินสดที่สร้างได้ในแต่ละปี โดยวางแนวทางการเติบโตของเงินปันผลสามัญต่อหุ้นมากกว่า 10% ต่อปี สำหรับปี 2568-2570 และ โครงการซื้อหุ้นคืน เป็นมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2569 และ 600ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 โดยระหว่างปี 2567 -2570 บริษัทยังคงเดินหน้าแผนคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมทั้งการคืนทุนที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ จากเงินส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ในการดำเนินงาน

KOMEHYO (โคเมเฮียว) ศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมมือสองจากญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 78 ปี ประกาศเปิดสาขาใหม่ล่าสุด ที่เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เป็นสาขาที่ 7 ในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสินค้า Pre-loved Luxury ในไทย

มร.โทรุ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือสหพัฒน์และกลุ่ม KOMEHYO (โคเมเฮียว) ผู้นำด้านสินค้าแบรนด์เนมมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 78 ปี เปิดเผยว่า หลังจากที่ KOMEHYO เข้ามาในประเทศไทยแล้วถึง 6 สาขา ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และมองว่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองในไทยยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพราะสินค้าเหล่านี้มีคุณค่าทางจิตใจและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง จึงได้เปิดให้บริการสาขาที่ 7 ขึ้น ณ ชั้น 2 “เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว” ในวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา

KOMEHYO ให้บริการรับซื้อ – ขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นที่ผ่านการอบรมและมีความชำนาญในการคัดเลือกสินค้าคุณภาพ ภายใต้แนวคิด Relay Use’ ส่งต่อสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วไปให้บุคคลอื่นที่ยังต้องการ เพื่อนำไปใช้งานให้ได้ประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถเชื่อมั่นได้ในชื่อเสียงและคุณภาพตามแบบฉบับญี่ปุ่น

“สินค้าแบรนด์เนมมือสองไม่เพียงแค่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ยังมี “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะสามารถช่วยสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจได้ และตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองยังคงเติบโตได้ดีในไทย เนื่องจากเป็น Pre-loved Items ที่มีคุณค่าทางจิตใจกับลูกค้า ซึ่ง KOMEHYO ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งจุดแข็งของ KOMEHYO คือการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีมาตรฐาน ความน่าเชื่อถือ และความสามารถ ด้วยคอนเซ็ปต์ความสุขที่ส่งต่อได้ไม่รู้จบ ‘Spread Joy, Spark Happiness’ ทำให้การซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองได้รับการยกระดับเป็นการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งต่อสินค้าให้กับเจ้าของคนใหม่ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบริโภคที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย” มร. อิมาอิกล่าว 

KOMEHYO คาดว่า ในปีนี้ จะสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองได้เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะสาขาแห่งใหม่ที่เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ที่นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของคนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นสถานที่แหล่งนัดพบที่สำคัญของคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะแวะเวียนมาใช้บริการเป็นลูกค้าของ KOMEHYO สาขาใหม่นี้ โดยคาดว่าการเปิดสาขาใหม่นี้ จะช่วยทำให้ยอดขายเติบโตได้ตามแผน

ปัจจุบัน KOMEHYO มีสาขาให้บริการรวม 7 สาขา ได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล@เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา ชั้น 1, ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 ชั้น G, เจพาร์ค นิฮอนมูระ ศรีราชา ชั้น 2, ศูนย์การค้าเดอะ มอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ชั้น M, คิงสแควร์ คอมมูนิตี้ มอลล์ ชั้น 2   และเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ชั้น 2

ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมมือสอง จาก KOMEHYO สามารถมาเลือกช้อปสินค้าที่หน้าร้าน หรือเลือกชมสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ www.komehyo.co.th หรือทาง Facebook: Komehyo Thailand

งานแสดงสินค้า Thailand Electronics Circuit Asia (THECA) 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–22 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยได้รับการตอบรับจากทั้งภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศและนานาชาติ ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

งาน Thailand Electronics Circuit Asia (THECA) 2025 จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (THPCA) และ สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ฮ่องกง (HKPCA) โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานรวมทั้งสิ้น 6,769 ราย จาก 43 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นผู้เข้าชมภายในประเทศ 77% และผู้เข้าชมจากต่างประเทศ 23% ประเทศที่มีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุด ได้แก่ ประเทศไทย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา

ภายในงานมีผู้แสดงสินค้ากว่า 250 บริษัท ครอบคลุมเทคโนโลยีและโซลูชันตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมด้วยการสัมมนาวิชาการกว่า 46 หัวข้อ ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำจากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรม ร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในประเด็นสำคัญ อาทิ

  • BOI Forum: Thailand’s Opportunity in Semiconductors and Advanced Electronics
  • เทคโนโลยี PCB, PCBA และ EMS
  • มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม (ESG Standards)
  • ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
  • การพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ งาน THECA 2025 ยังได้จัดกิจกรรม Business Matching ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเจรจาธุรกิจมากถึง 505 รายการ เชื่อมโยงผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ซื้อจากหลายประเทศ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ และตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค

จากกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมในปีนี้ คณะผู้จัดงานประกาศกำหนดการจัดงาน THECA 2026 แล้วอย่างเป็นทางการ โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26–28 สิงหาคม 2569ไบเทค ฮอลล์ 98–99 กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิดใหม่ “Power 2 Motion” ที่จะเน้นย้ำเทคโนโลยีด้านพลังงาน ระบบเคลื่อนที่อัตโนมัติ และโซลูชันอิเล็กทรอนิกส์แห่งอนาคต

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมแสดงสินค้า หรือร่วมเป็นพันธมิตรในงาน THECA 2026 สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลแพ็กเกจพื้นที่แสดงสินค้าได้ที่: คุณสุรีรัตน์ อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. | โทร: 084-559-4441 หรือ คุณอาภาภรณ์  อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. | โทร: 089-699-4884 สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์: www.thailandelectronicscircuitasia.com

    สหรัฐ    

ธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจและตลาดแรงงานเสี่ยงชะลอตัวมากขึ้น ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแจ็กสัน โฮล ประธานเฟดส่งสัญญาณถึงโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะอันใกล้นี้จากความเสี่ยงต่อการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการค้าคาดว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อเพียงชั่วคราว ดังนั้น ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจและดุลความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป เฟดจึงอาจต้องปรับเปลี่ยนท่าทีด้านนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประธานเฟดจะมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น (Dovish) แต่ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนต่อการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยได้ในระยะถัดไป

ทั้งนี้ ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายตัว เช่น ตัวเลขการจ้างงาน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล ยังคงบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อการชะลอตัวที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกัน แม้ว่าเงินเฟ้อฝั่งอุปทานอาจขยับสูงขึ้นจากผลของนโยบายปรับขึ้นภาษีทางการค้า แต่อัตราเงินเฟ้อฝั่งอุปสงค์มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาพเศรษฐกิจโดยรวม จากประเด็นดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2-3 ครั้งในปีนี้

     ญี่ปุ่น     

ภาคบริการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่ภาคการผลิตและส่งออกยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต ในเดือนกรกฎาคม ยอดส่งออกหดตัวมากสุดในรอบ 4 ปีที่ -2.6% YoY ขณะเดียวกันจำนวนผู้ที่เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 4.4% YoY สู่ระดับ 3.4 ล้านคน ด้านกระทรวงการคลังเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในคำของบปี 2569-2570 ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณสำหรับพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวสู่ระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ที่2.6% ซึ่งส่งผลให้การตั้งงบชำระหนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 30 ล้านล้านเยน

ภาคบริการยังคงขยายตัวอย่างเข้มแข็งในไตรมาสสอง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังโตต่อเนื่อง รวมถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะหนุนให้ค่าจ้างปรับขึ้นได้ต่อ และช่วยประคับประคองการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตและส่งออกมีโอกาสหดตัวต่อเนื่องท่ามกลางอุปสรรคจากกำแพงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น สะท้อนจากยอดส่งออกของญี่ปุ่นที่หดตัวมากขึ้นในเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะถัดไป จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจ

 

    ไทย    

ภาคท่องเที่ยวไทยยังมีสัญญาณอ่อนแรง วิจัยกรุงศรีคาดนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้มีแนวโน้มลดลงเป็นปีแรกหลังฟื้นตัวจากโควิด ในเดือนกรกฎาคมมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 2.61 ล้านคน หดตัว -15.9% YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.24 แสนล้านบาท ลดลง -14.7% สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 19.3 ล้านคน ลดลง -6.4% YoY สร้างรายได้ 8.95 แสนล้านบาท ลดลง -4.2%

ภาคท่องเที่ยวของไทยยังเผชิญปัจจัยลบสำคัญจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าปีที่แล้วท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัย ในช่วง 7 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวจีนลดลง -34.9% YoY เหลือเพียง 2.62 ล้านคน หรือประมาณ 40% ของระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ขณะเดียวกันไทยยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเวียดนามที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาคท่องเที่ยวไทยในปีนี้ยังไม่สดใส ล่าสุดวิจัยกรุงศรีคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะลดลงเหลือ 34 ล้านคน จาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งถือเป็นการลดลงรายปีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2564 หลังการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ได้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2568 ของคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โดยมีนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในฐานะรองประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้แต่งตั้งนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ แทนนายวิทัย รัตนากร อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งได้ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ทั้งนี้ นายฉัตรชัย จะดำรงตำแหน่งอยู่ในระยะเวลาเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน (ถึงวันที่ 30 เมษายน 2570) เพื่อร่วมสานต่อยุทธศาสตร์ของสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นกลไกขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลต่อไป                 

กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ได้รับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) โดยปีนี้ กปว. ได้คะแนนรวม 91.69 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่าน” และที่สำคัญยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดด้วยการได้รับ 100 คะแนนเต็มในตัวชี้วัด “การเปิดเผยข้อมูล” “การใช้อำนาจ” รวมถึง“การป้องกันการทุจริต” โดยกองทุนประกันวินาศภัยได้คะแนนจากหัวข้อ การป้องกันการทุจริต 100 คะแนนเต็ม ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความจริงใจขององค์กรในการดำเนินงานอย่างมีคุณธรรมและความโปร่งใส

นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย เผยว่า ในปีงบประมาณ 2568 มีหน่วยงานภาครัฐประเภทกองทุนเข้าร่วมการประเมิน ITA ทั้งสิ้น 12 หน่วยงาน จากจำนวนหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ 8,327 แห่ง โดยผลการประเมินภาพรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 93.82 คะแนน ซึ่งแม้ว่าคะแนนของ กปว. จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย แต่การได้คะแนนเต็มในหมวดสำคัญถึง 3 ตัวชี้วัดถือเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและเป็นหลักฐานชัดเจนว่าองค์กรดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส รวมถึงมีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง และองค์กรจะยังคงยึดผลการประเมิน ITA เป็นแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานในอนาคต โดยมุ่งพัฒนาระบบงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เสริมสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอนการปฏิบัติ และขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการบริการประชาชน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้การให้บริการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

กปว. เริ่มเข้าร่วมการประเมิน ITA ตั้งแต่ปี 2566 โดยในปีแรกได้รับคะแนน 90.03 คะแนน และในปี 2567 ได้คะแนน 88.74 คะแนน ก่อนที่จะพัฒนาขึ้นจนได้รับคะแนน 91.69 คะแนน ในปี 2568 การนำข้อเสนอแนะจากการประเมินในแต่ละปีมาปรับปรุงการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการให้มีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความสำเร็จในปีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความตั้งใจของผู้บริหาร แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทุกระดับ

ในองค์กร ที่พร้อมปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน กปว. จะยังคงยกระดับมาตรการป้องกันการทุจริต และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรด้านคุณธรรม ผ่านการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน การประกาศเจตจำนงสุจริต และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เน้นความรับผิดชอบ เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมในบทบาทการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยพร้อมทั้งมีเสถียรภาพในระบบประกันภัย

ธนชาตประกันภัย ร่วมสนับสนุนกิจกรรม “ทีทีบี | ธนชาตประกันภัย พาร์ครัน 2025” ชวนวิ่งสู่เส้นชัยแห่งการให้...ไม่มีสิ้นสุด พร้อมมอบประกันภัยอุบัติเหตุฟรี ความคุ้มครองสูงสุด 200,000 บาท ดูแลความปลอดภัยนักวิ่ง ในวันที่ 14 ธันวาคม 2568 โดยรายได้จากการขายบัตรวิ่ง ไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ นำส่งต่อโรงพยาบาล 6 แห่ง สร้างโอกาสการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยเด็กทั่วประเทศ

นางวิชินี โอรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ธนชาตประกันภัยและทีทีบี ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่ร่วมกันส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้สานต่อความร่วมมือสู่การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม ภายใต้ “ทีทีบี | ธนชาตประกันภัย พาร์ครัน 2025” ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 14 ธันวาคม 2568 ภายใต้แนวคิด “Run for Change เส้นชัยแห่งการให้...ไม่มีสิ้นสุด” โดยมีเป้าหมายไม่เพียงสร้างสุขภาพที่ดี แต่เพื่อส่งต่อพลังแห่งการให้ สนับสนุนการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลท้องถิ่นทั่วประเทศ เพิ่มโอกาสรอดชีวิต และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน”

กิจกรรมครั้งนี้ ยังเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ตามนโยบาย “ประกันภัยเพื่อความยั่งยืน” ที่ธนชาตประกันภัยยึดมั่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญยิ่งของสังคมและอนาคตของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่นักวิ่งทุกคน บริษัทได้จัดมอบประกันภัยอุบัติเหตุฟรีในวันงานวันที่ 14 ธันวาคม 2568 โดยให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 20,000 บาท และความคุ้มครองชีวิตกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพสูงสุด 200,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของธนชาตประกันภัยในการดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของสุขภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ธนชาตประกันภัยยังขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็น “นักวิ่งใจบุญ” ภายใต้สังกัด #ธนชาตพร้อมวิ่ง โดยสามารถซื้อบัตรวิ่ง (ลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า) ผ่านเว็บไซต์ https://parkrun.ttbfoundation.org/ เลือกเมนู “ร่วมบริจาคกับเหล่าคนดัง” แล้วเลือกทีม “ธนชาตพร้อมวิ่ง” หรือคลิกที่ https://bit.ly/3H1311H รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายบัตร จะถูกส่งมอบโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ให้กับโรงพยาบาล 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา, โรงพยาบาลสระบุรี, โรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา, โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) จ.สมุทรสาคร, โรงพยาบาลราชบุรี และโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จ.สมุทรสงคราม รวมถึงสนับสนุนเด็ก ๆ ภายใต้มูลนิธิทีทีบี โครงการไฟ-ฟ้า เพื่อสร้างโอกาสด้านการรักษาพยาบาล และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้เยาวชนไทยอย่างเท่าเทียม

สำหรับเส้นทางวิ่งในปีนี้ จัดขึ้นพร้อมกันใน 4 สวนใจกลางกรุงเทพฯ ได้แก่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ, สวนจากภูผาสู่มหานที, สวนจตุจักร และสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) มีให้เลือกทั้งระยะ 10.5 กิโลเมตร, 5.2 กิโลเมตร และ 2.6 กิโลเมตร ภายใต้แนวคิด ให้ทุกก้าวของคุณ ไม่ได้จบแค่เส้นชัย แต่คือพลังแห่งการส่งต่อโอกาสให้น้อง ๆ มีชีวิตที่ดีขึ้น นางวิชินี กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click