December 05, 2025

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย จัดกิจกรรม Road Safety Week “ปราจีนขับขี่ปลอดภัย สไตล์ Gen Z” ภายใต้ โครงการเยาวชนปลอดภัยกับการประกันภัยภาคบังคับ (Smart Education Smart Youth) ณ โรงเรียนศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการ ด้านกำกับธุรกิจประกันภัย สำนักงาน คปภ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. ผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันภัย เข้าร่วมในพิธีอย่างคับคั่ง โดยมี นางสาวจุฑามาศ บัวเผื่อน นายอำเภอศรีมหาโพธิ และนางนรีรัตน์ ย่างเล้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีมหาโพธิ ให้การต้อนรับ

นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ. กล่าวเปิดโครงการ โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า โครงการ “เยาวชนปลอดภัยกับการประกันภัยภาคบังคับ (Smart Education Smart Youth)” จัดขึ้นด้วยความตั้งใจของ สำนักงาน คปภ. ร่วมกับกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “สถานศึกษาและเยาวชนต้นแบบ” ภายใต้โครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ประกันภัยภาคบังคับ ทั้งนี้ ในปี 2568 สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ พร้อมวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และคัดเลือกสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี โรงเรียนปราจีนกัลยาณี โรงเรียนปราจิณราษฎร์อำรุง และโรงเรียนศรีมหาโพธิ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ “เสริมความรู้” เพื่อให้เยาวชนเข้าใจเรื่องประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย “สร้างสำนึก” ปลูกฝังความตระหนักในสิทธิ หน้าที่ และวินัยจราจร เพื่อความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และ “ส่งต่อความเป็นต้นแบบ” ผลักดันให้เกิดเยาวชนและสถานศึกษาต้นแบบที่สามารถขยายผลสู่ครอบครัว ชุมชน และพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดำเนินกิจกรรมครบแล้ว 4 แห่ง และในวันนี้ โรงเรียนศรีมหาโพธิได้รับเกียรติเป็นสถานศึกษาต้นแบบแห่งสุดท้าย ปิดท้ายการดำเนินโครงการประจำปี 2568 อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 5 แห่ง ล้วนเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ใน 3 อำเภอหลักของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์อยู่ในระดับสูง โดยผู้ประสบอุบัติเหตุส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15–24 ปี หรือกลุ่มเยาวชนโดยตรง ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม Road Safety Week เพื่อสร้างการรับรู้ด้าน ความปลอดภัยทางถนนและการประกันภัยภาคบังคับให้แก่นักเรียนในวัยเรียน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญของจังหวัด โดยจากข้อมูลสถิติการใช้รถจักรยานยนต์ของเยาวชนจากสถานศึกษาทั้ง 5 แห่งที่เข้าร่วม จำนวนทั้งสิ้น 500 คน พบว่า มีการจัดทำประกันภัย ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 137 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.4 ซึ่งสะท้อนว่า ส่วนใหญ่ยังขาดการจัดทำ พ.ร.บ. จึงเป็นโอกาสสำคัญที่โครงการฯ จะเข้าไปส่งเสริม สนับสนุน และรณรงค์ให้รถจักรยายนต์ที่ใช้ มีการจัดทำ พ.ร.บ. อย่างต่อเนื่องได้อย่างตรงจุดอย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบหลังเข้าร่วมกิจกรรม (Post-Test) เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 95 แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากิจกรรมครั้งนี้ มีประสิทธิผลสูง สามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจ และปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนน รวมถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้อย่างแท้จริง โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น ประกอบด้วย 4 ฐานความรู้ ได้แก่ ฐานการส่งเสริมการทำใบขับขี่และ พ.ร.บ. ฐานการทดลอง Blind-Spot, ฐานไขรหัส พ.ร.บ. และฐานการทดสอบหมวกนิรภัย โดยมีทีมวิทยากรจากสำนักงาน คปภ. สำนักงานขนส่งจังหวัด ตำรวจภูธรภาค 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาจากหน่วยงานภาครัฐ ทีมวิจัย TDRI และนักเรียนผู้ขับขี่จริง เพื่อเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงปฏิบัติ พร้อมนี้ได้มอบหมวกนิรภัยมาตรฐานให้กับนักเรียนที่มีการจัดทำ พ.ร.บ. รวม 137 ใบ

“โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งเสริมสร้างความรู้ แต่ยังวางรากฐานสู่มาตรการในระดับพื้นที่ อาทิ การสนับสนุนให้นักเรียนทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างถูกต้อง และการผลักดันให้เกิดถนนต้นแบบปลอดภัย ในเขตเทศบาลเมืองปราจีนบุรี ภายใต้มาตรการบังคับใช้หมวกนิรภัย 100% และการปรับปรุงจุดข้ามถนนที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งความปลอดภัยบนท้องถนนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนหนึ่ง หากแต่เป็นพันธกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่เป็นทั้งพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ความหวังของครอบครัว และอนาคตของประเทศชาติ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าโครงการฯ ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมครั้งเดียวจบ แต่ควรได้รับการขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน หากสามารถต่อยอดให้เยาวชนเหล่านี้เป็น “เยาวชนต้นแบบ” “สถานศึกษาต้นแบบ” และ “พื้นที่ต้นแบบ” ก็จะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุได้จริงและเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่จะขยายผลสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศต่อไป” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ. กล่าวในตอนท้าย

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด (คนที่ 5 จากซ้าย) จัดกิจกรรม "KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy ปีที่ 5" สนามสุดท้าย ภาคกลาง ณ สนามอัลไพน์ ฟุตบอล แคมป์ เทรนนิ่ง กรุงเทพ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีเยาวชนชายหญิงอายุระหว่าง 13-15 ปี เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 600 คน เพื่อคัดเลือกสุดยอดเยาวชนไทยที่มีทักษะในกีฬาฟุตบอล สำหรับเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท พร้อมรับกรมธรรม์ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง ทุนประกันรวมมูลค่ากว่า 5,000,000 บาท

ทั้งนี้ ภายในงานได้รับเกียรติจากคุณบุปผาวดี กล่าวแสดงความยินดีกับเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น 10 คน จากเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการกว่า 2,650 คน จาก 5 สนาม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย และรวมทั้งสิ้น กว่า 10,800 คน โดยในปีนี้ได้เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทแรก เป็นการแสดงทักษะความสามารถด้านฟุตบอลที่สนาม และประเภทที่สอง เป็นการส่งคลิปวีดีโอเพื่อแสดงทักษะความสามารถด้านฟุตบอล

สำหรับเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือก ภายใต้โครงการ "KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy" ซีซั่นที่ 5 ดังนี้

  1. นายวิภูสิทธิ์ ศรีจันทร์
  2. นาย ศิรวิชญ์ คงประเสริฐ
  3. นายธีรวัฒน์ ศรีหาบุตร
  4. นายพีรวัฒน์ ลอยจันทร์เเจ่ม
  5. นายพิภพภัทร จิตรงาม
  6. นายชินดนัย เวียงคำ
  7. เด็กชายปุณวัชร ภานุมาศ
  8. นายนฤเบศ กระสายสี
  9. นายถิรธนา คุปตะนาวิน
  10. เด็กชายสุรชัย เซมา

โครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ปีที่ 5” เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับทักษะนักฟุตบอลเยาวชนของไทยทั้งชายและหญิงสู่มาตรฐานระดับโลก และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย อีกทั้งยังสอดคล้องกับการเป็นพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และร่วมสร้างพลังกายพลังใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าทุกคนทำได้ “Know You Can”  บริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุน อยู่เคียงข้างความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย และมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะฟุตบอล เพื่อให้สามารถก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จ

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH และ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ BKIH ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 (เม.ย.-มิ.ย.) มีกำไรสุทธิ 978.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.5 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 9.19 บาท สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2568 บีเคไอ โฮลดิ้งส์ มีรายได้จากการประกันภัย 15,735.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,549.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.6 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 14.55 บาท

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2568 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 3.75บาท ในวันที่ 5 กันยายน 2568 และเมื่อรวมกับเงินปันผลไตรมาสที่ 1 เท่ากับจ่ายเงินปันผล 6 เดือนแรกของปี 2568 ให้แก่ผู้ถือหุ้น 7.50 บาทต่อหุ้น  

ในส่วนของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักของบีเคไอ โฮลดิ้งส์ (BKIH) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 (เม.ย.-มิ.ย.)  มีรายได้จากการประกันภัย 7,593.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 และมีค่าใช้จ่ายในการบริการประกันภัยสุทธิ 6,946.5 ล้านบาท ส่งผลให้มีผลการดำเนินงานการบริการประกันภัย 646.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้จากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 453.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 โดยเมื่อรวมรายได้อื่นและหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,117.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว มีกำไรสุทธิ 980.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.6 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 9.21 บาท

โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2568 มีรายได้จากการประกันภัย 15,735.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และมีรายได้จากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 893.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 โดยเมื่อรวมรายได้อื่นและหักค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแล้ว ทำให้กรุงเทพประกันภัยมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,782.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.8 และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว มีกำไรสำหรับงวด 1,544.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16.3 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 14.51 บาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เรียกบริษัทประกันภัยเข้าชี้แจง กรณีการใช้ปัจจัยระดับพฤติกรรมการขับขี่ ในการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หลังคำสั่งนายทะเบียนใช้บังคับมากกว่า 1 ปี พบส่วนใหญ่ยังมีการต่ออายุโดยใช้ระดับพฤติกรรมการขับขี่ที่ระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีส่วนลดเบี้ยประกันภัย แม้ว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่มีการเคลมหรือเป็นฝ่ายถูกในการเกิดเหตุ ย้ำผู้เอาประกันภัยควรได้รับสิทธิประโยชน์ส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่พึงได้

สำนักงาน คปภ. รายงานว่า ตามที่สำนักงาน คปภ. ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 47/2566 เรื่อง ให้ใช้ แบบ ข้อความ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2566 กำหนดให้บริษัทประกันภัยใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว โดยได้มีการกำหนดให้เป็นแบบ “ระบุชื่อผู้ขับขี่” สำหรับการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นลักษณะการใช้งานส่วนบุคคล ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการกำหนดให้ส่วนลดเพิ่มเติมสำหรับผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีเพิ่มเติมด้วย

ทั้งนี้ เป็นระยะเวลากว่า 1 ปี ที่คำสั่งนายทะเบียนได้มีผลใช้บังคับ สำนักงาน คปภ. จึงได้มีการตรวจสอบข้อมูลการรับประกันภัยจากระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (Insurance Bureau System) พบว่า มีบริษัทประกันภัยที่มีการใช้ระดับพฤติกรรมการขับขี่ในการรับประกันภัยจำนวน 13 บริษัท แต่ส่วนใหญ่ยังมีการต่ออายุโดยใช้ระดับพฤติกรรมการขับขี่ที่ระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีส่วนลดเบี้ยประกันภัย แม้ว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่มีการเคลมหรือเป็นฝ่ายถูกในการเกิดเหตุ โดยสำนักงาน คปภ. ได้มีการเรียกคณะกรรมการหรือผู้แทนบริษัทรายหนึ่งเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงสำหรับข้อมูลการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย แนวทางการรับประกันภัย อุปสรรคปัญหา และผลการรับประกันภัยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงแนวทางการสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยให้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่พึงได้ เนื่องจากผู้เอาประกันภัยอาจไม่ทราบว่าการระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรมธรรม์ประกันภัยจะมีสิทธิ์ได้รับอัตราส่วนลดตามระดับของผู้ขับขี่ที่มีการระบุชื่อไว้ด้วย แต่จะต้องยินยอมให้บริษัทตรวจสอบข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับขี่แต่ละราย หรือสามารถแสดงข้อมูลระดับพฤติกรรมการขับขี่ของตนเองให้แก่บริษัทก็ได้

ในการนี้ สำนักงาน คปภ. ได้มีการกำชับให้บริษัทต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนอย่างเคร่งครัด โดยควรแจ้งสิทธิประโยชน์ส่วนลดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ผู้ขับขี่อาจได้รับทราบอย่างครบถ้วน และต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อตรวจสอบระดับพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อนำไปสู่การได้รับข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ประกอบการพิจารณารับประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ทั้งนี้ บริษัทประกันภัยควรมีเอกสารหรือข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการข้างต้นของบริษัทเพื่อใช้เป็นหลักฐานกรณีมีข้อร้องเรียนหรือโต้แย้ง พร้อมกันนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เน้นย้ำให้บริษัทประกันภัยดำเนินการอย่างรวดเร็วและรอบคอบ โดยมิให้ผู้เอาประกันภัยเสียสิทธิในการได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปทั้งระบบ

“สำนักงาน คปภ. ขอให้ความมั่นใจว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลด้วยความเป็นกลาง รอบคอบ และเคร่งครัด โดยยึดประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นหลักสูงสุด หากตรวจพบว่าบริษัทประกันภัยรายใดดำเนินการไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาดเพื่อให้ระบบประกันภัยของประเทศยังคงมีเสถียรภาพ โปร่งใส และเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนในระยะยาว”

ยกทัพบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม กว่า 100 โครงการ ลดสูงสุด 40% พร้อมลุ้นรับบ้าน-คอนโด ฟรี! จัดเต็ม 3 วันเท่านั้น! 29-31 ส.ค.นี้ ที่ เพิร์ล แบงก์ค็อก

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เปิดเผยว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการขยายฐานผู้ป่วยตามเป้าหมายครอบคลุมทั้งในกลุ่ม LMV (สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) บังกลาเทศ จีน สหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา (Elective Cases) โรคต่าง ๆ ตามกำหนด ควบคู่การลงทุนยกระดับนวัตกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และได้มาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบคุณภาพการรักษาที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกว่า 1.1 ล้านคนต่อปี จาก 190 ประเทศทั่วโลก 

“คุณภาพและความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญที่สร้างความไว้วางใจและนำมาซึ่งการเติบโตในระยะยาว ความสำเร็จในการขยายฐานผู้ป่วย สะท้อนจากการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นของกลุ่มผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง โดยรายได้จากตลาดนี้เติบโต 23% จากไตรมาสก่อนหน้า (Q1/2568) โดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดิอาระเบีย (+54% QoQ), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (+46% QoQ), โอมาน (+28% QoQ) และกาตาร์ (+18% QoQ)”

พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังเดินหน้าลงทุนเพื่อรองรับปริมาณผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ภูเก็ต: อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ใช้งบลงทุนกว่า 4.3 พันล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในสิ้นปี 2570 ซึ่งจะสามารถรองรับผู้ป่วยต่างชาติทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว และกลุ่มที่เดินทางเข้ามารับการรักษาทั้งโรคทั่วไป, Wellness Tourism รวมถึงเป็นศูนย์ส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องการเข้ามารักษาโรคซับซ้อนในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Comprehensive Cancer Center ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ และดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2570

“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงเดินหน้าพัฒนาและลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เจาะตลาด wellness เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงเดินหน้าสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับหลายภาคส่วน ทั้งภาคประกัน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อมอบโซลูชันสุขภาพครบวงจร การผสานรวมนี้ทำให้บำรุงราษฎร์ก้าวไปไกลกว่าการรักษา แต่เป็นการส่งเสริมให้ผู้คนมีชีวิตที่แข็งแรง ยืนยาว และมีคุณภาพในทุกมิติ ตอบโจทย์เทรนด์การแพทย์แห่งอนาคตอย่างแท้จริง” ดร.อาทิรัตน์ กล่าว

บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2568 เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) จากการดำเนินงานหลักพุ่งขึ้นแตะ 41.6% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ของบริษัทฯ สะท้อนประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุนและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลสูง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 2 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 44% ของกำไรสุทธิต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 41% ในช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยระหว่างวันที่ 23 ก.ค. 2568 ถึง 1 ส.ค. 2568 ราคาหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% โดยมีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 52 ล้านหุ้น (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

โดยตลอด 45 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการแพทย์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันความสำเร็จจากรางวัลผู้นำระดับโลก 5 ปีซ้อน ด้วยการได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Newsweek ร่วมกับ Statista ให้เป็น โรงพยาบาลอันดับ 1 ของประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และเป็นโรงพยาบาลไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับ “โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ปี 2568” (World’s Best Hospitals 2025) 5 ปีซ้อน โดยในปีนี้ได้ขยับขึ้นสู่อันดับที่ 100 ของโลก จากอันดับที่ 130 ในปีที่ผ่านมา รวมถึงได้รับการจัดอันดับเป็น “โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในเอเชีย ประจำปี 2568” (Asia’s Top Private Hospitals 2025) และ “โรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2568” (Best Specialized Hospitals Asia Pacific 2025) ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในการดำเนินงานตามกลยุทธ์ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการแพทย์และสุขภาพระดับนานาชาติ

จัดจึ้งสมชื่อแบรนด์สุดๆ บาโนบากิ (BANOBAGI) มาสก์หน้าและสกินแคร์ที่คิดค้นและพัฒนาสูตรเพื่อผิวคนไทย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลบาโนบากิ ผู้นำด้านศัลยกรรมและความงามอันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลี โดยบริษัท บียอนด์ บิวตี้ เทรด จำกัด (Beyond Beauty Trade) จัดงาน BANOBAGI Built Bright Skin With B เปิดตัวพรีเซนเตอร์สุดฮอตคนล่าสุด บิวกิ้น  พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล หนุ่มหล่อหน้าใสที่ชวนทุกคนมาบิ้วผิวใส #โกลว์เรีย ไปด้วยกันทุกเจน ในคอนเซปต์ BANOBAGI is My EVERYDAY พร้อมเสิร์ฟกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ทำเอาแฟนๆ ฟินตั้งแต่ต้นจนจบ ณ ลานอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

บิวกิ้น  พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล พรีเซนเตอร์คนใหม่ของบาโนบากิ กล่าวว่า “ดีใจและเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวบาโนบากิ เพราะจริงๆ ผมเองก็ชอบดูแลผิวอยู่แล้ว และเคยใช้ผลิตภัณฑ์ของบาโนบากิมาก่อน สิ่งที่ชอบมากคือเขาเข้าใจผิวของคนไทยจริงๆ และที่สำคัญใช้ได้ทุกวันแบบไม่ต้องกังวล เวลาเราทำงานหนัก ผิวก็ยังดูสดใส ทำให้ผมมั่นใจขึ้นเยอะ จึงอยากชวนทุกคนมาลองบิ้วผิวใส #โกลว์เรีย ไปด้วยกัน แล้วเพื่อนๆ จะรู้ว่าการดูแลผิวไม่ใช่เรื่องยาก และทำให้เรามีความสุขกับทุกวันมากขึ้น”

ภายในงานเต็มไปด้วยโมเม้นท์สดใสและสนุกสนาน ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก คุณยศพร สุวรรณวิเชียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บียอนด์ บิวตี้ เทรด จำกัด ก่อนส่งต่อเวทีให้กับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลี ดร.โอ ชางฮยอน และ ดร.บัน แจยัง ที่มาบอกเล่าการเดบิวต์ผิวใสด้วย “Seoulution” สูตรเฉพาะของบาโนบากิที่ปรับสูตรมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ตอกย้ำภาพจำ MASK = BANOBAGI ตัวจริงเรื่องมาสก์บำรุงผิวแบบเต็มสิบ

อีกหนึ่งไฮไลต์สุดปังที่ทำเอาใจแฟนคลับบิวกิ้นละลายกันเป็นแถบคือ การเดบิวต์เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุด บิวกิ้น ที่ออร่าความหล่อและความหน้าใสพุ่งกระแทกตากันแบบเต็มๆ ซึ่งไม่เพียงร่วมแชร์ทริคดูแลผิวสไตล์คนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังบวกและความสดใส แต่ยังเสิร์ฟความฟินด้วยมินิคอนเสิร์ต และกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สร้างรอยยิ้ม เรียกเสียงกรี๊ด และแชร์โมเมนต์ประทับใจให้แฟนๆ แบบใกล้ชิดสุดๆ โดยมีดีเจนุ้ยรับหน้าที่พิธีกร เสริมรสชาติความสนุกให้งานวันนี้ ทั้งสวย จึ้ง ฟิน ฮ็อป ครบทุกความรู้สึก เหมือนผิวที่ได้รับการดูแลจากบาโนบากิ ที่พร้อมให้ทุกคนได้ #โกลว์เรีย กันได้ทุกเจน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการดูแลผิวสไตล์ BANOBAGI is My EVERYDAY ด้วยผลิตภัณฑ์บาโนบากิทุกสูตรได้แล้ววันนี้ ในทุกช่องทางจัดจำหน่าย อาทิ ร้านวัตสันทุกสาขา วัตสันออนไลน์, Konvy และช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ ได้แก่ BBT Cosmetics และ Banobagi

หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือกิจกรรมได้ที่ FB: Banobagi Thailand – Cosmetic, X: Banobagi Thailand – Cosmetic, IG: banobagithailand หรือทาง TikTok: @banobagithailand

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “TOGETHER IN CRISIS: Rising from Collapse with Great Leadership and Professional Responses” เมื่อวันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุม 0101 ชั้น 1 อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ กทพ.

งานสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์และแนวทางการบริหารจัดการเมื่อเกิดวิกฤติ ทั้งด้านวิศวกรรมโครงสร้างและการนำองค์กร โดยได้รับเกียรติจาก นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Leading through Crisis การรับมือกับภาวะวิกฤติของผู้นำองค์กร”  ในหัวข้อ “Lessons from the Past Earthquakes Affecting Structural Failure: บทเรียนจากวิกฤติแผ่นดินไหวที่ส่งผลต่อโครงสร้างทางพิเศษ” มีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากในและต่างประเทศร่วมแลกเปลี่ยน ประกอบด้วย

  • ศ. ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการก่อตั้งศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ และหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)

  • รศ. อเนก ศิริพานิชกร ที่ปรึกษาของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และผู้อำนวยการสำนักวิจัยและบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)

  • ดร.เอกรัฐ วิชชุเกรียงไกร ตำแหน่ง Deputy Director of Bangkok Office บริษัท Metropolitan Expressway จำกัด กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

  • Mr. Motohiko Nishibayashi ตำแหน่ง Senior Executive Expert บริษัท Hanshin Expressway จำกัด เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น

และดำเนินรายการโดย รศ. ดร.ภาณุวัฒน์ จ้อยกลัด อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.)

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ว่า “สำหรับวันนี้ กทพ. ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยต้องตระหนักคือ การอัปเดตมาตรฐานการออกแบบให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น รวมถึงการควบคุมมาตรฐานการก่อสร้างและการใช้อุปกรณ์ที่ช่วยลดผลกระทบจากแผ่นดินไหว ซึ่งถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ผมขอยืนยันว่า โครงสร้างของการทางพิเศษมีความปลอดภัย 100% แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ประมาท และจะมีการตรวจสอบเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าทางพิเศษของเรามีความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยสูงสุด”

กทพ. มุ่งหวังให้โครงการสัมมนาเชิงวิชาการนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในการพัฒนา “EXAT Smart Innovator” รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายในองค์กร เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านวิศวกรรม การบริหารจัดการวิกฤติ และนวัตกรรมสู่สากล

การสัมมนาวิชาการประจำปี ครั้งที่ 14 นี้ จึงไม่เพียงเป็นเวทีวิชาการสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ กทพ. ในการบูรณาการนวัตกรรม การบริหารจัดการความรู้   และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นในการใช้บริการทางพิเศษของประชาชน

ได้ยินเสียงเมาท์แว่วๆ มาว่า ช่วงนี้บิ๊กบอสวัตสัน ประเทศไทยอย่าง นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กำลังซุ่มเตรียมจัดงานใหญ่  ฉลองครบรอบ 29 ปีอย่างเป็นทางการ โดยเตรียมเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ไฟกระพริบไว้เพียบ อาทิ โชว์พิเศษสุดตระการตาจากเหล่าศิลปิน ดารา บิวตี้ไอคอนชื่อดังของเมืองไทย กิจกรรม Charity จำหน่ายตุ๊กตาตามปีนักษัตร อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ในงานครบรอบวัตสันที่สร้างความว้าวได้ทุกปี เพื่อร่วมสบทบทุนช่วยเหลือสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน ที่ทำต่อเนื่องมานานกว่า 19 ปี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวัตสัน ประเทศไทย ที่ต้องไปรอลุ้นพร้อมกันในงานเท่านั้น

ใครสนใจเตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปสนุกแบบจัดเต็มกันได้ ในวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ณ สุราลัย ฮอลล์ ไอคอนสยาม งานนี้บอกได้คำเดียวว่าแซ่บ! แน่นอน

แคมเปญพลิกโฉมความเข้าใจเรื่อง AI ที่สร้างมูลค่าสื่อรวมกว่า 43.8 ล้านบาท

X

Right Click

No right click