Roddonjai แพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองชั้นนำ โดยทีทีบีไดรฟ์ ประสบความสำเร็จก้าวสู่ปีที่ 2 กับพันธกิจในการยกระดับมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย ด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์ครบวงจร เดินหน้ารุกตลาด “รถบ้าน” ด้วยคอนเซ็ปต์ Sell Smooth, Good Price หรือ ขายง่าย ได้ราคา พร้อมเปิดตัวโฆษณาใหม่ โดยมี “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซนเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า จากแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของทีทีบี ที่มุ่งสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย ช่วงที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าแบบครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าคนมีรถ (Car Owners) สำหรับตลาดรถยนต์ธนาคารเล็งเห็นถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรผู้ขายรถยนต์มือสองที่มีการแข่งขันสูง และพฤติกรรมของผู้ซื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลมากขึ้น ทีทีบีจึงต้องการช่วยพันธมิตรกลุ่มนี้ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อรถ จึงนำจุดแข็งของธนาคารสร้างโมเดลธุรกิจและแพลตฟอร์ม Roddonjai เพื่อเชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน ด้วยมาตรฐานที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดรถยนต์มือสอง และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับพันธมิตร ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีรถยนต์ที่ผ่านการตรวจคุณภาพแล้ว ประกาศขายบน Roddonjai.com กว่า 65,000 คัน มีผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม 1.9 ล้านคนต่อเดือน ส่งผลให้สามารถขายรถยนต์ได้ถึง 38,000 คัน และมีลูกค้ามาใช้สินเชื่อรถยนต์ ทีทีบีไดรฟ์ ของธนาคารไปแล้วกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จที่ได้รับจากความร่วมมือกับพันธมิตรดีลเลอร์รถยนต์มือสอง ไม่เพียงยกระดับมาตรฐานให้กับตลาด แต่ยังช่วยสร้างธุรกิจที่โปร่งใสและตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง เพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
“วันนี้ Roddonjai เข้าสู่ปีที่ 2 และพร้อมที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้ขายอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “รถบ้าน” ซึ่งก็คือบุคคลทั่วไปที่มีความต้องการขายรถและประสบปัญหาในด้านการขายรถยนต์ด้วยตนเอง ซึ่งทีทีบีเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพและจุดแข็งของธนาคาร จะสามารถช่วยสร้างประสบการณ์การซื้อ-ขายรถบ้านบน Roddonjai ให้ดียิ่งขึ้นได้” นายปิติ กล่าวเสริม
ด้านนายชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์และทรานส์ฟอร์เมชัน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ในโอกาสที่ Roddonjai ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 จึงได้ต่อยอดความสำเร็จสู่การให้บริการแก่กลุ่มผู้ขาย “รถบ้าน” ซึ่งยังประสบปัญหาและอุปสรรคในการซื้อขายด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการถูกกดดันด้านราคา ช่องทางการขายที่จำกัด และการเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ที่ไม่สะดวก ซึ่งจากจำนวนผู้มีรถยนต์ในประเทศไทยกว่า 18 ล้านคัน และมีรถที่มีอายุใช้งานในระหว่าง 4-7 ปี ซึ่งมีโอกาสในการเปลี่ยนรถจำนวนเกือบ 11 ล้านคัน กลับมียอดจำหน่ายรถยนต์มือสองทั้งประเทศ 700,000 คัน ซึ่งหากเราสามารถสร้างบริการครบวงจร สร้างประสบการณ์การซื้อ-ขายรถบ้านบน Roddonjai ให้ดียิ่งขึ้นได้ จะช่วยเพิ่มการหมุนเวียนในตลาดรถยนต์มือสองมากยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายศักยภาพของตลาดรถยนต์มือสองให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
Roddonjai มีความตั้งใจในการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ขาย “รถบ้าน” ให้สามารถขายได้ง่ายและได้รับราคาที่ดี ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขายและผู้ซื้อรถบ้านในยุคดิจิทัลอย่างครบถ้วน ด้วยคอนเซ็ปต์ Sell Smooth, Good Price หรือ ขายง่าย ได้ราคา โดยโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรถบ้าน ด้วยบริการดังนี้
สำหรับปีที่ 2 ของ Roddonjai ยังได้ “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซนเตอร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวโฆษณาใหม่ในคอนเซ็ปต์ “อย่าให้ใครตีค่ารถคุณผิดๆ” ที่เปิดมุมมองใหม่ของการขายรถบ้าน และ Pain Point ต่าง ๆ ของผู้ขายรถบ้าน ที่มักถูกประเมินค่ารถต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อลงขายเอง มุ่งเน้นให้ผู้ขายเห็นถึงความสำคัญของการตั้งราคาที่เป็นธรรม ผ่านบริการของ Roddonjai ที่ให้ผู้ขายสามารถตั้งราคาขายได้เองตามมาตรฐานตลาดด้วย ttb bluebook
Roddonjai เปิดโปรโมชันพิเศษให้กับผู้ที่ประกาศขายรถบ้านตั้งแต่วันนี้ รับแพ็กเกจผู้ขาย 3 ต่อ เฉพาะ 1,000 ท่านแรกเท่านั้น!
ต่อที่ 1 แพ็กเกจประกาศขายมูลค่า 10,000 บาท ประกอบด้วย ตรวจสภาพรถยนต์ บริการผู้ช่วยลงขาย บริการถ่ายภาพรถ แพ็กเกจโฆษณาออนไลน์
ต่อที่ 2 รับบัตรของขวัญโลตัสมูลค่า 1,000 บาท เมื่อแนะนำให้รถที่ประกาศขายจัดสินเชื่อกับทีทีบีไดรฟ์
ต่อที่ 3 รับบัตรของขวัญโลตัสมูลค่า 3,000 บาท เมื่อซื้อรถอีกครั้งที่ Roddonjai.com และจัดสินเชื่อกับทีทีบีไดรฟ์
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถบ้านที่ Roddonjai พร้อมจัดสินเชื่อผ่านทีทีบีไดรฟ์ รับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.59% ต่อปี และรับฟรี! เครื่องดูดฝุ่นไร้สายขนาดพกพามูลค่า 1,590 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 31 มกราคม 2568 เกิดสัญญาเช่าซื้อภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Roddonjai ได้ที่ facebook.com/roddonjaiTH และ Line @Roddonjai หากสนใจซื้อรถคลิกได้ที่ https://www.roddonjai.com หรือสนใจขายรถคลิกได้ที่ https://www.roddonjai.com/seller/sellercenter
ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.92% -15.00% ต่อปี เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย จัดการสาธิตเสมือนจริง "LIVE - Cell Broadcast Service" และสร้างความเชื่อมั่นในการเตรียมพร้อมให้บริการแก่คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร และให้การต้อนรับนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะอนุกรรมาธิการ เข้าเยี่ยมชมและร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่จะเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และนำชมศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ใช้บริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นได้แสดงความพร้อมอีกขั้นในการเตรียมระบบ Cell Broadcast Service (CBS) เพื่อเปิดให้บริการในไทย และเปิดสาธิตเสมือนจริงแก่คณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานของ CBS ที่เราพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายให้ใช้งานได้ในไทย โดยระบบนี้สามารถแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐานสากล ส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงภัยได้พร้อมกันทันที ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนล่วงหน้า โดยได้พัฒนาระบบให้มีจุดเด่นสำคัญ คือ รองรับการแสดงผลได้ถึง 5 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย หรืออื่นๆ นอกจากนี้ยังมีทั้งการแจ้งเตือนด้วยสัญญาณเสียงและข้อความแบบ Pop up บนหน้าจอ พร้อมฟีเจอร์ Text to Speech ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้บกพร่องทางการมองเห็น ซึ่งจะช่วยให้การแจ้งเตือนภัยครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง"
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า "คณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Cell Broadcast เป็นอย่างมาก เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าหรือภัยพิบัติน้ำท่วม ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความสูญเสียได้อย่างมาก ซึ่งประเทศไทยได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของหลายประเทศที่ใช้ระบบนี้อยู่แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และมาเลเซีย โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปีหน้า"
ระบบ CBS ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
การพัฒนาระบบ CBS เป็นความร่วมมือระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกรมอุตุนิยมวิทยา โดยมีศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC (BNIC) พร้อมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้นำคณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ ชมศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยศูนย์นี้ใช้เป็นห้อง War room ในการบริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทรูและดีแทค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบ CBS ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การจัดทดสอบเสมือนจริงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการเตือนภัยของประเทศไทย ที่จะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในปี 2568
บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสการลงทุนบนโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย จึงได้จัดตั้งกองทุน K-THRE24A-UI ขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ชูจุดเด่นลงทุนผ่านกองทุนหลัก CG Capital Real Estate Partners Fund I, L.P. เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคการบริการ เช่น โรงแรม และ Branded Residence เป็นหลัก และเน้นพื้นที่ Key Tourist Destination ของไทย อาทิ ภูเก็ต กรุงเทพฯ กระบี่ และเกาะสมุย เป็นต้น เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งเดียว 11-25 พ.ย.นี้
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัยยังคงมีความน่าสนใจ โดยจากภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกในระยะยาว ประกอบกับทางภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว จึงมีการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อนักท่องเที่ยวและการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ การขยายสนามบิน การขยายสายรถไฟฟ้า และการขยายเส้นทางด่วนใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสการลงทุนบนโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ไทย จึงได้จัดตั้ง กองทุนเปิดเค Thailand Real Estate 24A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (K-THRE24A-UI) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยเปิดเสนอขายครั้งเดียวในระหว่างวันที่ 11 - 25 พฤศจิกายน 2567
นายวจนะกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-THRE24A-UI มีอายุโครงการประมาณ 9 ปี 5 เดือน เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ผ่านกองทุนหลัก CG Capital Real Estate Partners Fund I, L.P. ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality Assets) ในไทย และอาจลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 15% โดยตัวอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนลงทุน ได้แก่ Sukhumvit 16 Branded Residence ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ CG Capital กับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับ 5 ดาว และ The Standard Residences Phuket Bangtao ที่พักอาศัยบนพื้นที่บางเทา จังหวัดภูเก็ต จำนวน 188 ห้อง โดยโครงการมียอดจองและขายได้แล้ว 64% เป็นต้น (ที่มา : CG Capital ต.ค. 2567)
“ความน่าสนใจของกองทุน K-THRE24A-UI อยู่ที่ 1) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง กระจายตัวอยู่ใน Key Tourist Destination ของไทย ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต กรุงเทพฯ กระบี่ และเกาะสมุย 2) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคการบริการ เช่น โรงแรม และที่พักอาศัย Branded Residence ที่ตอบสนองความต้องการการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ๆ เช่น Workation, Second-Home Buyers และกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีในระยะ 10 ปีข้างหน้า 3) สรรหาโอกาสการลงทุนในโปรเจกต์ทุกรูปแบบ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์และสร้างการเติบโตในระยะยาว และ 4) กองทุนหลักบริหารจัดการโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาจากเครือเซ็นทรัล และผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เกาะสมุย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ทั้งนี้ CG Capital เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ของ Central Group จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนนอกเหนือขอบเขตการดำเนินงานของบริษัทอื่นๆ ภายใต้ Central Group” นายวจนะกล่าว
นายวจนะกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-THRE24A-UI เหมาะสำหรับลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่มีประสบการณ์การลงทุนใน Private Asset และต้องการขยายพอร์ตการลงทุนมายังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์ทั่วไป และเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นในระยะยาว ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหาร EXIM BANK พบปะหารือทวิภาคีกับองค์กรพันธมิตร ประกอบด้วยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งมองโกเลีย (DBM) ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และ UK Export Finance (UKEF) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมประจำปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าในเอเชีย ครั้งที่ 29 (Asian EXIM Banks Forum: AEBF) จัดโดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Eximbank) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ การเงิน การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของเอเชียและโลกโดยรวม ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2567
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหาร EXIM BANK พบปะหารือกับนายอัมกาลัน บัตตุลกา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งมองโกเลีย (DBM) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเสริมสร้างโอกาสในการขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในธุรกิจที่มองโกเลียมีศักยภาพ อาทิ พลังงานหมุนเวียนและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหาร EXIM BANK พบปะหารือกับนายวลาดิเมียร์ คาซเบคอฟ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มประเทศ BRICS ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เกี่ยวกับแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ภายใต้บทบาท วิสัยทัศน์ และพันธกิจของธนาคาร รวมทั้งตอกย้ำจุดยืนของ EXIM BANK ในฐานะ Green Development Bank ที่พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหาร EXIM BANK พบปะหารือกับนายโนบุมิตสึ ฮายาชิ ผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และผู้บริหาร JBIC เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเสริมสร้างโอกาสในการขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน การสนับสนุนธุรกิจสีเขียว โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหาร EXIM BANK พบปะหารือกับนายทิม รีด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UK Export Finance (UKEF) หน่วยงานของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่ดำเนินงานภายใต้กรมการค้ำประกันสินเชื่อ กระทรวงธุรกิจและการค้า สหราชอาณาจักร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOU) และหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน โครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร รวมถึงการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
ทั้งนี้ ปัจจุบัน AEBF มีสมาชิกจำนวน 10 ประเทศ ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตุรกี และไทย รวมทั้ง JBIC องค์กรการส่งออกแห่งประเทศออสเตรเลีย (EFA) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเวียดนาม (VDB) โดยมีธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นผู้สังเกตการณ์ถาวร และมีหน่วยงานเข้าร่วมสังเกตการณ์ 5 องค์กร ได้แก่ ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งมองโกเลีย (DBM) ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) UK Export Finance (UKEF) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าซาอุดีอาระเบีย (Saudi EXIM Bank)
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนโครงการประกวดคลิปวีดีโอ “Thailand Tomorrow คนรุ่นใหม่ทำความดีเพื่อสังคม” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กเเละเยาวชน มูลนิธิพุทธภูมิธรรม ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพและไอเดียสร้างสรรค์ ผ่านการสร้างสรรค์คลิปวีดีโอที่สะท้อนการทำความดีเพื่อสังคม
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมพิธีประกาศผลและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการประกวดครั้งนี้ ซึ่งมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 160,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธี
ภายในงานยังมีผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรต่าง ๆ ร่วมแสดงความยินดี ได้แก่ นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และอาจารย์วิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม โดยพิธีจัดขึ้น ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
บริษัท ทอปปังเอจ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง ไทย-ญี่ปุ่น ผู้ผลิตบัตรพลาสติก แบบฟอร์มธุรกิจ และจัดจำหน่ายสินค้าไอที เพื่อตอบสนองและสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตของผู้คนในโลกยุคใหม่ จัดงานใหญ่ “TOPPAN EDGE (THAILAND) Celebrating 40 Years of Innovation” มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Innovation and Futuristic” เพื่อเฉลิมฉลองการดำเนินธุรกิจครบรอบ 40 ปี และตอบแทนลูกค้าผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนบริษัทด้วยดีเสมอมา พร้อมเดินหน้ายกระดับสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ร่วมแสดงความยินดี ณ เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
นายวีรวัฒน์ อริยะวิริยานันท์ ประธานบริษัท ทอปปังเอจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ทอปปังเอจ ตอกย้ำผู้นำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยผลงานที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เป็นรายแรกในประเทศไทยที่ผลิตบัตรพลาสติกมาตรฐาน ISO โดยผลิตบัตรประชาชนให้กับกระทรวงมหาดไทย ผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้กับกระทรวงการคลัง และเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการทำพาสปอร์ตให้กับกระทรวงการต่างประเทศ เราไม่เพียงมุ่งเน้นความเจริญก้าวหน้าทางธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าทางสังคมผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ การจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กภายในบริษัทฯ การจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อช่วยเหลือพนักงาน รวมถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักคุณธรรมและจริยธรรม บริหารองค์กรอย่างโปร่งใส มีธรรมภิบาล”
“ตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ ทอปปังเอจ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้องค์กร ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น คณะผู้บริหาร พนักงาน และคู่ค้าทางธุรกิจ สำหรับทิศทางในอนาคต บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการให้ทันสมัย รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อตอบสนองและสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตของผู้คนในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาทิ e-Statement, e-Tax Invoice, Face Recognition Access Control, Plate Recognition Card Park ตลอดจนสินค้า และบริการอื่น ๆ พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัล ผ่านความร่วมมือกับเครือทอปปังกรุ๊ปทั่วโลก เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ควบคู่ไปกับการร่วมพัฒนาชุมชนที่เป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืน”
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยสีสัน ความประทับใจ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดี ร่วมเฉลิมฉลองในงานครบรอบ 40 ปีแห่งการก่อตั้งทอปปังเอจ พร้อมทั้งร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ผ่านสินค้านวัตกรรม และบริการของทอปปังเอจที่นำมาร่วมจัดแสดงภายในงาน สนุกกับหลากหลายกิจกรรมที่บริษัทฯ ตั้งใจมอบให้ทุกท่าน อาทิ Whack a Mole, Matching Game, 3D Catching พร้อมลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษกลับบ้านแทนคำขอบคุณ ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตจากศิลปินสุดฮอตอย่าง ซานิ (AF6) นิภาภรณ์ ฐิติธนการ และเจ-เจตริน วรรธนะสิน ที่มาร่วมสร้างความสุข ความสนุก และความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน
กรุงเทพประกันชีวิต โดย นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารระดับสูง จัดงานวันใส่ใจ กับ BLA ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ To be the Most Caring Life Insurance Company มุ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ และขับเคลื่อนองค์กรทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจ ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมเปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “ใส่ใจ” ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณา 2 เรื่อง เพื่อช่วยสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมได้ตระหนักคิด และเลือกสร้างความสุขให้ตนเองและคนรอบตัว โดยเห็นคุณค่าของการใส่ใจซึ่งกันและกัน โดยภายในงานยังมี ผู้บริหารตัวแทนระดับสูง และพันธมิตร เข้าร่วมงาน ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้
ปิดม่านอย่างเป็นทางการสำหรับการประกวด ‘Miss Golf Thailand 2024’ พร้อมกับสาวงามผู้ครองมงกุฎที่ครบเครื่องในทุกด้านทั้ง Swing Smart Smile อย่าง ภิมพญา อ่วมศรี หรือ ภิม สาวงามในวัย 28 ปี เป็นผู้คว้าตำแหน่งชนะเลิศ Miss Golf Thailand 2024 คนแรกของประเทศไทยไปครองได้สำเร็จ พร้อมรับ สายสะพายประจำตำแหน่ง โทรฟี่ ช่อดอกไม้เกียรติยศ อีกทั้งยังได้ที่พักอาศัยคอนโดมิเนียมสุดหรูจากชีวาทัย
โดยในค่ำคืนที่ทุกคนรอคอย ณ CDC Ballroom คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ สร้างสรรค์ผลงานอย่างยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง ทั้งเวที แสง สี เสียง โดย 32 สาวงามผู้เข้าประกวด Miss Golf Thailand 2024 เปิดตัว Openning Show ด้วยชุดกอล์ฟจากแบรนด์ Lamiu พร้อมแนะนำตัวพุ่งเข้าหาแสงเพื่อเรียกคะแนนกันอย่างสนุกสนาน ต่อด้วยการเปิดตัวนายชนะ วนิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กอล์ฟ สเฟียร์ จำกัด ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ Miss Golf Thailand พร้อมแนะนำคณะกรรมการตัดสิน และผู้สนับสนุนใจดีที่ร่วมเดินทางกันมาจนก่อให้เกิดงานในครั้งนี้ ต่อจากนั้นสาวงามเปลี่ยนลุคมาในชุดราตรี ที่นำเสนอถึงความสง่างาม อวดบุคลิกภาพและความมั่นใจของสาวงามผู้เข้าประกวด ต่อด้วยการประกาศรางวัลพิเศษ Miss Swing, Miss Superstar และ Miss Popular Vote ก่อนที่ คิม ธิติสรรค์ กู้ดเบิร์น พิธีกรประจำการประกวด จะประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย
ต่อจากนั้นสาวงามกลับมาอีกครั้งในชุดราตรี ก่อนที่จะลุ้นระทึกไปกับการประกาศผล 10 คนสุดท้าย และพักเบรกความตื่นเต้นไปพร้อมกับโชว์สุดพิเศษจาก แทน ลิปตา ที่ขนเพลงฮิตมาทำให้เวทีมีสีสันมากยิ่งขึ้น จากนั้นสาวงาม 10 คนสุดท้ายร่วมประชันความรู้ในการตอบคำถามในรอบคีย์เวิร์ด ซึ่งสาวงามผู้เข้าประกวดร่วมแสดงทัศนคติขับเคี่ยวกันอย่างสูสีทำเอาคณะกรรมการตัดสินหนักใจไปตาม ๆ กัน และพิธีกรทำการประกาศผลสาวงามผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย
ซึ่งสาวงามทั้ง 5 คนจะต้องมาประชันไหวพริบ และความสามารถด้วย Speech เพื่อคว้าคะแนนจากกรรมการ และวินาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อพิธีกรได้ประกาศชื่อของ Miss Golf Thailand 2024 มิสกอล์ฟคนแรกของเมืองไทย ได้แก่ ภิม ภิมพญา อ่วมศรี ซึ่งเธอจะได้รับมงกุฎประจำตำแหน่ง พร้อมสายสะพาย ช่อดอกไม้ ชุดเหล็ก Taylormade ที่พักอาศัยคอนโดมิเนียมสุดหรูจากชีวาทัย และรางวัลประจำตำแหน่งอีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 1,700,000 บาท
และตำแหน่งรองทั้ง 4 สาวงาม ได้แก่
“ปาย ธนิศา ปัญญาภู” คว้ารองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินสด สายสะพาย โทฟี่ ช่อดอกไม้ รางวัลมูลค่ารวม 670,000 บาท
“น้ำค้าง สุรัชวดี จักรกิจ” คว้ารองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินสด สายสะพาย โทฟี่ ช่อดอกไม้ รางวัลมูลค่ารวม 540,000 บาท
“นัท นฐภรณ์ วงศ์วรกันต์” คว้ารองชนะเลิศอันดับ 3 รับเงินสด สายสะพาย โทฟี่ ช่อดอกไม้ รางวัลมูลค่ารวม 75,000 บาท
“เดวี่ เทวิยาภา อุทธจันทร์” คว้ารองชนะเลิศอันดับ 4 รับเงินสด สายสะพาย โทฟี่ ช่อดอกไม้ รางวัลมูลค่ารวม 50,000 บาท
โดยสาวงามทั้ง 5 คน จะได้ร่วมทำงานกับองค์กร Miss Golf Thailand พร้อมเดินทางปฏิบัติภารกิจตลอดระยะเวลา 1 ปี สามารถติดตามความเคลื่อนไหว ประมวลภาพบรรยากาศการประกวดได้ที่ เฟสบุ๊ก Miss Golf Thailand