

นายวิชัย กุลสมภพ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI และกรรมการผู้จัดการบริษัท คิงบริดจ์ ทาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า SPI ได้เข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรม “ปั่นด้วยรักและภักดี” ปั่นจักรยานครั้งประวัติศาสตร์ข้ามสะพานภูมิพล ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 ณ สวนสุขภาพลัดโพธิ์ ชุมชนคุ้งบางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยความตั้งใจที่อยากจะส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมย่านพระราม 3 และชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 13 หน่วยงาน ได้แก่ 1.องค์การบริหารส่วนตำบลทรงคนอง 2.องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) 3.ททท.สำนักงานฉะเชิงเทรา 4.อำเภอพระประแดง 5.สำนักงานมูลนิธิพระดาบส 6.หมวดบำรุงทางหลวงชนบท วงแหวนอุตสาหกรรม 7.โครงการชลประทานจังหวัดสมุทรปราการ (ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์) 8.ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์ 9.บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) 10.บริษัท คิงบริดจ์ ทาวเวอร์ จำกัด 11.บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) 12.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 13.บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด การสนับสนุนในครั้งนี้ สะท้อนถึงนโยบายองค์กรในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นฐานการดำเนินธุรกิจที่สำคัญของบริษัท โดยได้ให้การสนับสนุนพื้นที่อาคาร KingBridge Tower และลานจอดรถ เพื่อใช้เป็นจุดปล่อยตัวนักปั่นจักรยาน พร้อมสนับสนุนงบประมาณจำนวน 200,000 บาท และ ผลิตภัณฑ์ KingBridge มูลค่า 100,000 บาท รวมเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 300,000 บาท

การสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็น “องค์กรที่ดี เพื่อสังคมที่ดี” และการสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนและสังคมในการอนุรักษ์วิถีชีวิตท้องถิ่นในพื้นที่คลองและชุมชนริมน้ำ ซึ่งช่วยสร้างรายได้และความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นองค์กรผู้นำด้านการลงทุนและพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
พฤกษา ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาตลอด 32 ปี ด้วยจุดแข็งของผู้นำหนึ่งเดียวที่ผสานพลังจากธุรกิจในเครือ นำความเชี่ยวชาญด้านเฮลท์แคร์ และนวัตกรรมจากกลุ่มธุรกิจอินโน พรีคาสท์ เพื่อสร้างมาตรฐานการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ที่เหนือระดับในทุกมิติ ผ่านแนวคิด ‘LIFETIME WELL-LIVING อยู่ดี...ทั้งชีวิต’ พร้อมผนึกพันธมิตรชั้นนำที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ส่งมอบบ้านคุณภาพดีที่มั่นคงแข็งแรง รองรับสุขภาพกายและใจ บนสังคมความเป็นอยู่ที่ดี ตอกย้ำปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีไปตลอดทั้งชีวิต พร้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างแข็งแรง นำร่องกับ 3 โครงการแฟล็กชิปที่เปิดตัวแล้ว 1 โครงการในไตรมาส 3 และพร้อมเปิดตัวอีก 2 โครงการในไตรมาส 4 ปีนี้

นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพราะบ้าน คือ การลงทุนทั้งชีวิต พฤกษาจึงพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ตั้งแต่กระบวนการสร้าง เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ภายใต้ Brand Purpose ของพฤกษา คือการให้คุณค่ากับ Well-Living Standard ทั้งเรื่องคุณภาพ การดีไซน์ การบริการหลังการขาย การดูแลสุขภาพกายใจ และการสร้างคอมมูนิตี้ เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน เติบโตไปกับทุกช่วงจังหวะชีวิตของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด ‘LIFETIME WELL-LIVING อยู่ดี...ทั้งชีวิต’ ที่พัฒนามาด้วยความเข้าใจ และตั้งใจดูแลลูกค้าตั้งแต่เริ่มซื้อบ้าน ไปจนถึงเข้าอยู่อาศัย เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในระยะยาวของพฤกษา ที่ตั้งใจเป็นผู้สร้างการอยู่อาศัยที่ดี โดยดำเนินการผ่าน 3 แกนสำคัญที่เป็นรากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่

1) Well Home บ้านที่ดีและมีคุณภาพ ใส่ใจทุกตารางนิ้วของบ้าน ตั้งแต่โครงสร้างด่านแรกที่ต้องมั่นคงแข็งแรง เป็นบ้านที่อยู่ได้ตลอดชีวิต ซึ่งได้นำศักยภาพจากกลุ่มธุรกิจอินโน พรีคาสท์ บริษัทในเครือ ผู้ผลิตวัสดุโครงสร้างพรีคาสต์ด้วยเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว ที่มีมาตรฐาน มั่นคงแข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย รองรับแผ่นดินไหว และช่วยลดคาร์บอน ล็อกคุณภาพให้กับบ้านทุกหลัง ใส่ใจการดีไซน์ที่ทันสมัยแบบ Passive Home เชื่อมต่อทุกฟังก์ชันให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านได้อย่างลงตัว ผ่านการออกแบบพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์แต่ละเจน คัดสรรวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจากพันธมิตรชั้นนำ อาทิ ทีโอเอ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) เอสซีจี บลูสโคป คอตโต้ และโคห์เลอร์ เสริมนวัตกรรมการอยู่อาศัยยุคใหม่เทคโนโลยี Smart Home ที่ช่วยให้ทุกคนอยู่สบาย และประหยัดพลังงาน ทั้งยังใส่ใจกับบริการที่ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ระบบรักษาความปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลาง การดูแลโครงการ ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ใส่ใจและใกล้ชิดลูกบ้าน ด้วยบริการสอบถามความพึงพอใจ หลังเข้าอยู่ 2 เดือน เพื่อรับฟังความคิดเห็นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริการ Warranty Reminder แจ้งเตือนล่วงหน้า 1 เดือนก่อนหมดระยะเวลารับประกัน เพื่อให้ลูกบ้านไม่พลาดสิทธิ์สำคัญ และบริการตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือตลอดระยะเวลาที่อยู่อาศัยในโครงการ เพื่อเชื่อมทุกความสุข ความอุ่นใจ ให้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ที่บ้านทุกวัน

2) Well Care บริการที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ นำศักยภาพของพฤกษาในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวในไทยที่มีธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ออกแบบและส่งมอบบริการด้านสุขภาพ นับตั้งแต่วันแรกที่เป็นลูกบ้านพฤกษา และดูแลกันไปตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บริการดูแลสุขภาพที่สอดรับกับช่วงชีวิตและวิถีชีวิตเฉพาะบุคคล กิจกรรม Health to Home ดูแลตรวจสุขภายกายใจถึงที่บ้าน กิจกรรม Healthy Living Activity ส่งเสริมสุขภาพกายและใจที่ดี บริการปรึกษาแพทย์ออน์ไลน์ (Telemedicine) และสิทธิพิเศษด้านสุขภาพต่างๆ จากโรงพยาบาลในเครือ เพื่อให้ทุกครอบครัวได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดควบคู่ไปกับการมีสุขภาวะที่ดีแบบครบวงจร
3) Well Community การสร้างสรรค์สังคมและชุมชนที่ดี อบอุ่นและยิ้มได้ทุกวันในชุมชนที่ร่มรื่น ปลอดภัย และเต็มไปด้วยพลังแห่งการแบ่งปัน พฤกษาออกแบบกิจกรรมและเวิร์กช้อปสุดพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะของแต่ละครอบครัว ทั้ง Wellness Community Day กับกิจกรรมสุขภาพและอาหารดี ๆ ไปจนถึง Love Me Love My Pets ที่เปิดพื้นที่ให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้พบปะกันอย่างมีความสุข นี่คือการสร้าง “คอมมูนิตี้ที่ใช่” เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิต และความหมายของคำว่า “ครอบครัวพฤกษา” ให้สมบูรณ์...ตลอดทุกช่วงชีวิต
แนวคิด ‘LIFETIME WELL-LIVING อยู่ดี...ทั้งชีวิต’ จะถูกนำร่องผ่าน 3 โครงการแฟล็กชิป แชปเตอร์ เจริญกรุง-ริเวอร์ไซด์ คอนโดมิเนียม Low-Rise ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เปิดตัวแล้วในไตรมาส 3 เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89/1 บ้านเดี่ยวสไตล์พูลวิลล่า และ เดอะ ปาล์ม คอร์ทยาร์ด บางนา กม.8 บ้านหรูที่จะตอกย้ำนิยามใหม่ให้กับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้
พร้อมติดตามรับชมวีดีโอที่ถ่ายทอดนิยามใหม่ของบ้านที่ใช่ผ่านแนวคิด ‘LIFETIME WELL-LIVING อยู่ดี...ทั้งชีวิต’ ได้แล้ววันนี้
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ในประเทศยุทธศาสตร์ ในครึ่งปีแรก 2568 ทั้งขยายแหล่งก๊าซบาร์เน็ตต์และรุกโครงการ CCUS ในสหรัฐฯ เพิ่มการลงทุนในธุรกิจกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และเริ่มก้าวแรกกับการลงทุนในธุรกิจนิกเกิลในอินโดนิเซีย รวมทั้งยังคงเน้นลดต้นทุนทั้งองค์กร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ความคืบหน้าทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของบ้านปูในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างความสมดุลด้านพลังงานและขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ครึ่งปีแรกนี้ บ้านปูขยายการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ (Portfolio Optimization) หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน (Operations & Cost Excellence) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ความคืบหน้าที่โดดเด่นเห็นได้จาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ CCUS ธุรกิจ Renewables+ และธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ที่เรามองว่าเป็นภารกิจสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน”

สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลักในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ปริมาณการผลิตและขายรวมครึ่งแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่จากสภาวะราคาถ่านหินทั่วโลกอ่อนตัวอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จึงกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวม การมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างงานด้านวิศวกรรม การเงิน และดำเนินงาน (Value Efficiency Program) ที่เหมืองสำคัญในออสเตรเลียทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เหมืองในประเทศอื่น ๆ สามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดี สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี นอกจากนี้ยังได้เริ่มลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่พลังงานแห่งอนาคต เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยการเข้าถึงแหล่งนิกเกิลคุณภาพสูงตั้งแต่ต้นน้ำ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในครึ่งปีที่ผ่านมา ปริมาณการขายอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านปูอยู่ที่ 2.92 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เพิ่มขึ้นจาก 1.82 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เดินหน้าขยายพอร์ตจากการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ และได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการ East Texas ซึ่งจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570 นอกจากนั้นยังมีการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC เจ้าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจกลางน้ำในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ กำลังการผลิตรวมของ BKV จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 1P จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าในทุกประเทศมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจส่งผลให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 969 เมกะวัตต์เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ 66 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กำลังผลิตรวมของกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานคงที่ 3,935 เมกะวัตต์เทียบเท่า

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 1,130 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ตามสัดส่วนการลงทุน ที่ดำเนินการผ่านบ้านปู เน็กซ์ มีความคืบหน้าที่สำคัญในครึ่งปีแรก โดยในญี่ปุ่น โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เดือนมิถุนายน 2568 และในออสเตรเลีย มีการลงทุนในโครงการระบบกักเก็บพลังงานวูรีน (Wooreen Energy Storage System: WESS) กำลังการผลิตติดตั้ง 350 เมกะวัตต์ และความจุพลังงาน 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2570 ธุรกิจจัดการพลังงาน เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่ Net Zero ควบคู่กับความร่วมมือระดับนานาชาติผ่านเวทีนโยบายไทย-ญี่ปุ่น และการลงนาม MOU กับ Asuene ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการลดคาร์บอนในภาคธุรกิจ และยังได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนสำหรับองค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สำหรับธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading) ในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สามารถจำหน่ายไฟฟ้าจำนวนรวม 3,525 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยให้บริการลูกค้ารวม 1,956 ราย ซึ่งได้มีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อยกระดับความสามารถในการทำกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทฯ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com และ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
**คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2568 ที่ USD 1: THB 33.5307
ลาลามูฟ แพลตฟอร์มให้บริการขนส่งด่วนและบริการรับ-ส่งผู้โดยสารแบบออนดีมานด์ ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเส้นด้าย จัดกิจกรรม “ลาลามูฟ ส่งรักให้แม่” ตรวจสุขภาพฟรีสำหรับพาร์ทเนอร์คนขับผู้หญิง เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพาร์ทเนอร์คนขับลาลามูฟ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีบทบาทเป็นทั้งคุณแม่และพาร์ทเนอร์คนขับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Deliver Care” หนึ่งในโครงการ CSR ของลาลามูฟที่ต้องการสนับสนุนและช่วยขับเคลื่อนสังคมในทุกพื้นที่ที่ลาลามูฟให้บริการ
กิจกรรมตรวจสุขภาพในครั้งนี้ จัดขึ้นให้พาร์ทเนอร์คนขับลาลามูฟโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งการตรวจร่างกายและตรวจเช็คสุขภาพใจ อาทิ การตรวจร่างกายเบื้องต้น การประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิต การเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด และตรวจการทำงานของไตและตับ รวมถึงการประเมินสุขภาพจิตใจเบื้องต้น โดยมีทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากทางมูลนิธิเส้นด้ายให้คำแนะนำด้านสุขภาพ ตลอดจนแนวทางดูแลตนเองเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม

นายเบน ลิน กรรมการผู้จัดการ ลาลามูฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “พาร์ทเนอร์คนขับคือเสาหลักในการให้บริการของลาลามูฟ เราเชื่อว่าคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะในด้านสุขภาพ จะช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ สะท้อนแนวคิดที่เรายึดมั่นว่า "สุขภาพปลอดภัย มั่นใจทุกการให้บริการ" โดยปัจจุบัน พาร์ทเนอร์คนขับของลาลามูฟกว่า 20% เป็นผู้หญิง และเราเชื่อว่าในจำนวนนี้มีหลายคนที่เป็นคุณแม่ด้วย กิจกรรมตรวจสุขภาพในครั้งนี้จึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีของพาร์ทเนอร์คนขับ พร้อมให้คุณค่ากับทุกบทบาทที่พาร์ทเนอร์คนขับหญิงของเราต้องรับผิดชอบ ทั้งในฐานะคนทำงานและคุณแม่ควบคู่กันไป”
นายคริส โปตระนันทน์ ประธานที่ปรึกษา และผู้ก่อตั้งมูลนิธิเส้นด้าย กล่าวว่า “มูลนิธิเส้นด้ายมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพให้กับกลุ่มแรงงานอิสระโดยเฉพาะกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับที่ทำงานอย่างหนักแต่อาจจะยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การร่วมมือกับลาลามูฟในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญ ที่ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสร้างผลลัพธ์ในสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม และแสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนสามารถมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มแรงงานที่มีความสำคัญกลุ่มนี้ได้”

คุณมัทนา สุขเจริญ พาร์ทเนอร์คนขับจากลาลามูฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “โดยปกติจะต้องทำงานและทำหน้าที่แม่ไปพร้อมกัน จึงแทบไม่มีเวลาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากนัก ขอบคุณลาลามูฟที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าลาลามูฟไม่ได้มองเราเป็นเพียงพาร์ทเนอร์คนขับ แต่ยังให้ความสำคัญกับบทบาทความเป็นแม่ และพร้อมสนับสนุนเราทั้งในเรื่องงานและครอบครัว นอกจากนี้ การได้เป็นพาร์ทเนอร์กับลาลามูฟยังช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถจัดสรรเวลาเพื่อดูแลลูกและหารายได้เสริมเลี้ยงครอบครัวได้ควบคู่กันอย่างลงตัว ”
สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับลาลามูฟ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://lalamove.onelink.me/i4e0/mmamh5wr.
BAM เผยผลงานครึ่งแรกปี 2568 สร้างผลเรียกเก็บได้สูงถึง 10,154 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลเรียกเก็บ 7,493 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเท่ากับเติบโตถึง 36% ในขณะที่ผลเรียกเก็บไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้ 118% และมีกำไร 1,511 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 880 ล้านบาท เติบโตถึง 72% ชี้ปรับเกมรุกครึ่งหลังปีนี้ลุยธุรกิจเต็มสูบทั้งด้าน NPL/NPA ด้วยการเปลี่ยน Model “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาสู่ Model ธุรกิจใหม่ ในรูปแบบ “Opportunities for All” หวังดันผลเรียกเก็บทั้งปีเข้าเป้า 17,800 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 ว่า โดยภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างผลเรียกเก็บได้สูงถึง 10,154 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 7,493 ล้านบาท หรือโตถึง 36% ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มีผลเรียกเก็บ 6,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก ที่มีผลเรียกเก็บ 3,192 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 118% และมีกำไร 1,511 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 880 ล้านบาท ซึ่งผลงานทางด้าน NPL ยังใช้แนวทางที่ให้โอกาสลูกหนี้ในการได้หลักประกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงินของตน โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ด้วยกระบวนการ Recycling Machine ซึ่งมีเป้าหมายในการเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่ง BAM สามารถสร้างรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ NPL ลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งได้ข้อยุติถึง 2,800 ล้านบาท

ขณะที่การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA เดินหน้ากลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจ (NPA Partnership) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดย BAM มุ่งเน้นการคัดสรรและนำเสนอทรัพย์ NPA ขนาด Big Lots ให้พันธมิตรนำไปพัฒนาและเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า เพื่อพลิก “ทรัพย์ร้าง” ให้กลายเป็น “ทรัพย์สร้างกำไร” ต่อยอดเป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง ลดระยะเวลาการถือครอง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว โดย BAM สามารถสร้างยอดขายจากการจำหน่ายทรัพย์แปลงใหญ่ได้ถึง 1,450 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่ดินเปล่าจำนวน 50 แปลง ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่รวม 26-3-37.40 ไร่

ดร.รักษ์ฯ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ว่า BAM ยังคงเดินหน้าด้วย กลยุทธ์เชิงรุกทั้งด้าน NPL/NPA ด้วยแนวทาง Stronger Together โดยการเปลี่ยน Model “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาสู่ Model ธุรกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด “Opportunities for All” ที่ให้โอกาสลูกหนี้ NPL พลิกฟื้นกลับมาเป็นลูกหนี้ Reperforming Loan (RPL) ด้วยกลยุทธ์ TDR Factory และโครงการ FA Center รวมทั้งได้มีการหารือเบื้องต้นกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับแนวทางการกำหนดรหัสใหม่ให้กับลูกหนี้ผ่อนชำระดีต่อเนื่อง ซึ่ง BAM จะเดินหน้าประสานงานรวมถึงหาพันธมิตรธนาคารที่จะเข้ามาช่วยลูกหนี้กลุ่มนี้ของ BAM ขณะเดียวกัน BAM ยังมีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อเป็นการลดภาะหนี้ของสถาบันการเงิน และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อออกมาได้มากขึ้น ส่วนทางด้าน NPA ยังเดินหน้าความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่เป็น Developers ทั้งขนาด S M L ในรูปแบบ Model ที่ Developers จะเข้ามา flipping และขายให้กลุ่มลูกค้าของตนเอง

ดร.รักษ์ฯ ยังได้กล่าวถึงทิศทางตลาดบ้านมือสองว่ามีแนวโน้มดีขึ้น โดยเห็นสัญญาณจากสถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านมือสองมีสัดส่วนที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ นอกจากนี้ BAM เตรียมเปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” สำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง สามารถผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือผ่อนชำระกับสถาบันการเงินพันธมิตรที่ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ BAM ยืนหยัดได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังแปรเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับ BAM พร้อมนำไปสู่เป้าหมายผลเรียกเก็บตามที่ตั้งไว้ 17,800 ล้านบาท โดยปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแล 91,009 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 487,117 ล้านบาท และ NPA จำนวน 28,043 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 77,812 ล้านบาท
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดโครงการ “คาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทย” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอดเดือนสิงหาคม –กันยายน 2568 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงลูกค้าของบริษัทฯ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลชั้นนำในเครือข่าย โดยรายละเอียดวัน และสถานที่ จัดกิจกรรม มีดังนี้
เดือนสิงหาคม 2568
เดือนกันยายน 2568
สำหรับโครงการคาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทย ได้ให้บริการคนไทยทั่วประเทศแล้ว มากกว่า 600,000 ราย และโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่อยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ทั้งนี้สำหรับท่านที่สนใจเข้ารับบริการ สามารถดูรายละเอียดวัน และสถานที่ให้บริการคาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทยเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/caravan-health-check-2025 หรือ ติดต่อศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159
"เนื้อแท้" แบรนด์ร้านอาหารภายใต้บริษัท คอมพานี บี จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ลูกชิ้นเนื้อแท้" เข้าวางจำหน่ายในช่องทาง Modern Trade ที่ Makro และ Lotus's ผ่านโปรเจค “เจอแล้วต้องจัด Axtra Finds” ทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสรสชาติแห่งความตั้งใจที่แบรนด์ได้ทุ่มเทพัฒนามานานกว่า 2 ปี เป็นสูตรเฉพาะของร้านเนื้อแท้ พร้อมใช้ Nostalgia Marketing หรือกลยุทธ์ การตลาดที่ปลุกความทรงจำในอดีตมาเป็นหัวใจสำคัญในการสื่อสาร

คุณโต-วีรชน ศรัทธายิ่ง เจ้าของแบรนด์ "เนื้อแท้" กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของลูกชิ้นว่า “ลูกชิ้นสูตรพิเศษนี้เป็นเหมือนการสานต่อความตั้งใจ ที่อยากจะส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยแบบที่ชอบให้กับทุกคนพัฒนาสูตรนี้ขึ้นมาด้วยความทรงจำในวัยเด็กเมื่อครั้งได้กิน ลูกชิ้นยุค 90's ที่มีเนื้อสัมผัสแน่น เด้ง และรสชาติเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเชื่อว่ารสชาติแบบนี้จะช่วยปลุกความทรงจำเก่าๆ และสร้างความประทับใจใหม่ๆ ให้กับผู้ที่ได้ลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูงและเติบโตมาในยุค 90's โดยการนำ สินค้าเข้าวางจำหน่ายในช่องทาง Makro และ Lotus's ผ่านโปรเจค “เจอแล้วต้องจัดAxtra Finds” ทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มครัวเรือน และกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ได้สัมผัสกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของเนื้อแท้

เพื่อเป็นการตอกย้ำ คอนเซ็ปต์การเล่าเรื่องราวในยุค 90's แบรนด์ "เนื้อแท้" จึงได้ใช้กลยุทธ์ Nostalgia Marketing มาช่วยสื่อสารผ่านแคมเปญโฆษณาที่ชวนให้คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ โดยได้ชักชวนศิลปินชื่อดังอย่าง คุณแด๊ก Rock Rider (เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด) ซึ่งเคยร่วมงานกับคุณโตมาตั้งแต่อดีต มาร่วมแสดง เพื่อช่วยถ่ายทอดเรื่องราวและสร้างบรรยากาศ แห่งความทรงจำร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการเชิญ Influencer รุ่นใหม่อย่าง Bangkokciaga และ โคจอน รวมถึง บอ.บู๋ คอลัมนิสต์สายฟุตบอลชื่อดัง มาช่วยขยายการสื่อสารไปยังกลุ่มแฟนคลับและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งการร่วมงานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มมิติให้กับการเล่าเรื่องของแบรนด์ แต่ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าจากเดิมอีกด้วย

การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ Makro และ Lotus's ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ "เนื้อแท้" ที่จะผลักดันพอร์ตกลุ่มสินค้าประเภทพร้อมปรุง สู่ลูกค้ากลุ่มครัวเรือนมากขึ้น ด้วยเทรนด์อาหารพร้อมทานที่โตเฉลี่ย 3 - 4% ต่อปีจะเป็นแรงหนุนโดยตรงต่อสินค้ากลุ่มลูกชิ้นที่สามารถ ปรุงอาหารได้เร็ว ทานสะดวก โดยจากผลวิจัยด้านการตลาดพบว่าลูกชิ้นเนื้อคงยังเป็นที่ได้รับความนิยมรองลงมาจาก ลูกชิ้นหมูและลูกชิ้นปลา โดยมีสัดส่วนที่ 20% ของภาพรวม การเปิดตัว “ลูกชิ้นเนื้อแท้” จึงถือเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่ยังคงมองหาลูกชิ้นคุณภาพดี และสร้างความหลากหลายให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ซึ่งการพัฒนาสินค้านี้ จะช่วยทำให้ภาพรวม ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 ให้ไปถึงที่ระดับ 750 ล้านบาท ส่วนผลกำไรคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกิจจะมีการขยายตัวมากที่สุดคือสินค้ากลุ่ม ฟู้ดเซอร์วิส ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของแบรนด์ในปีนี
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ประเภท ASEAN Asset Class PLCs จากโครงการ ASEAN Corporate Governance Scorecard (ACGS) ประจำปี 2568 รางวัลนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อยกย่องและประกาศเกียรติคุณให้แก่บริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคอาเซียนที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
โดย กรุงเทพประกันชีวิต ได้รับรางวัลประเภท ASEAN Asset Class PLCs ซึ่งมอบให้กับบริษัทที่ได้คะแนนตั้งแต่ 97.50 คะแนนขึ้นไป ซึ่งเป็น 1 ใน 74 บริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับรางวัลดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ในการมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนรากฐานที่มั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียผ่านการดำเนินงานที่เป็นเลิศ เป็นธรรม โปร่งใส และมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
โครงการ ASEAN CG Scorecard เป็นโครงการซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อยกย่องและประกาศเกียรติคุณให้แก่บริษัทจดทะเบียนในอาเซียนที่ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งของบริษัทตลอดจนห่วงโซ่คุณค่า