บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ประกาศกลยุทธ์ใหม่ “Energy Symphonics” หรือ “เอเนอร์จี ซิมโฟนิกส์” ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมเผยผลประกอบการไตรมาส 3
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “‘Energy Symphonics’ สื่อถึงแนวทางผสานพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างโซลูชันพลังงานใหม่ที่ยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมไปกับการดูแลโลกของเรา เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้โจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อพลังงานที่มีใช้อย่างต่อเนื่อง ราคาสมเหตุสมผล และมีความยั่งยืน”
กลยุทธ์ใหม่ของบ้านปูสะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง ความเสมอภาคด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และความยั่งยืนด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กลยุทธ์ของบ้านปูเน้นรักษาสมดุลและตอบสามโจทย์ของพลังงาน (Energy Trilemma) ได้แก่ การส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง (Energy Security) การจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Energy Equity) และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการจัดหาพลังงาน (Energy Sustainability) โดยกลยุทธ์ใหม่มี 4 ภารกิจสำคัญ ดังนี้:
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 บ้านปูมีความคืบหน้าทางธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่
ในไตรมาสที่ 3 นี้ บ้านปูมีรายได้จากการขายรวม 1,339 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 46,597 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 379 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 13,204 ล้านบาท) และขาดทุนสุทธิจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 830 ล้านบาท) จากราคาตลาดของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงและการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการแข็งค่าของเงินสกุลบาทต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ
นายสินนท์กล่าวในตอนท้ายว่า “ไม่ว่าเราจะต้องประสบกับความท้าทายของตลาดพลังงานที่ผันผวน บ้านปูเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงการดูแลโลกใบนี้”
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com และ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
*หมายเหตุ: คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ที่ USD 1: THB 34.8065
แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้นำระดับโลกด้านการชำระเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ กำลังเร่งพัฒนาและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนมากกว่าล้านรายการต่อวัน สำหรับผู้ประกอบการในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการประมวลผลธุรกรรมข้ามพรมแดนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับ SMEs ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการชำระเงินข้ามประเทศที่รวดเร็วและทันทีได้ การใช้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ และยังสามารถตรวจจับและป้องกันการโกง เช่น การใช้เทคโนโลยี "Deepfake" ได้อีกด้วย หยาง เป็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าว
โมเดล FX ที่ปฏิบัติการโดย AI เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน
แอนท์ อินเตอร์เนชันแนลใช้เทคโนโลยี AI ในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไม่เพียงแค่รายวันหรือรายสัปดาห์ แต่ยังสามารถคาดการณ์ได้ในระดับรายชั่วโมง ด้วยโมเดล AI ขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โมเดลนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
โมเดล FX ที่ใช้ AI ตัวใหม่นี้สามารถรวมโมเดลหลายร้อยแบบเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ แต่การพึ่งพาโมเดลเดียวในการประมวลผลธุรกรรมหลายล้านรายการต่อวันอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ "เรามีมาตรการป้องกันโดยให้มนุษย์ตรวจสอบหาความคลาดเคลื่อนระหว่างโมเดลใหม่และโมเดลเก่า เราจะไม่เชื่อมั่นใน AI หากไม่ได้รับการตรวจสอบ เนื่องจากการตรวจสอบมีไว้เพื่อรักษาความแม่นยำ" นายหยางกล่าว
ระบบยืนยันตัวตน e-KYC ที่ปฏิบัติการโดย AI ต่อต้าน Deepfake
ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะเทคโนโลยี Deepfake กำลังก่อให้เกิดภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับสถาบันการเงิน เนื่องจากการปลอมแปลงที่ซับซ้อนเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตรวจจับได้ยากขึ้น เพื่อรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงได้พัฒนาเครื่องมือ e-KYC เพื่อต่อต้าน Deepfake โดยใช้เวลาในการพัฒนากว่า 2 ปี ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวมีอัตราความสำเร็จในการตรวจจับสูงกว่า 99% ตามที่นายหยางกล่าว
ความร่วมมือใหม่ที่เกิดขึ้นในงานสิงคโปร์ฟินเทคเฟสติวัล
ธนาคารโอซีบีซี และแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MoU) เมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อมุ่งสู่การทำธุรกรรมแบบทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมงระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ผ่านแพลตฟอร์ม Whale ของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยใช้ AI และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส
PayPay ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ประกาศขยายความร่วมมือกับ Alipay+ โซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนและเทคโนโลยีดิจิทัลของ แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่ขยายเครือข่ายผู้ประกอบการทั่วญี่ปุ่น และมอบบริการชำระเงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชอบผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในประเทศ
SITEM ผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทย และธุรกิจบำรุงรักษา Facility ครบวงจร ฉลองครบรอบ 30 ปีอย่างยิ่งใหญ่ในงาน " SITEM 30 YEARS ANNIVERSARY" ภายใต้แนวคิด SITEM Sustainability มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืน พร้อมประกาศแผนขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสานความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อเป็นองค์กรที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน
นายณัฐพล มณีเนตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซเท็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ SITEM เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์และธุรกิจไอทีของประเทศไทย บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบการบริหารจัดการ เทคโนโลยี และบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีมาตรฐานสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด SITEM Sustainability ที่ครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินงาน”
ธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตของ SITEM
SITEM ตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังกลุ่มที่มีศักยภาพสูง ได้แก่
บริษัทในเครือของ SITEM GROUP
นายณัฐพล กล่าวปิดท้ายว่า "SITEM ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและการสนับสนุนอย่างยาวนานตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา เราจะไม่หยุดยั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับการบริการและคุณภาพ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของท่าน"
ผู้ที่สนใจสินค้าหรือบริการของ SITEM สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.sitem.co.th , LINE OA: @sitem หรือ โทรฯ 02-591-5000 พร้อมติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทางเฟซบุ๊ก SITEM GROUP www.facebook.com/SITEMGROUP และ LinkedIn: https://th.linkedin.com/company/site-preparation-management-co-ltd
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตร Krungsri Boarding Card เมื่อจองโรงแรม หรือที่พักในญี่ปุ่นที่ https://www.agoda.com/ksboardingcard และชำระผ่านบัตร Krungsri Boarding Card ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 - 31 มกราคม 2568 รับส่วนลดทันที 10% ทั้งนี้ จะต้องเข้าพักในระหว่าง วันที่ 1 กันยายน 2567 - 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/cards/travel/boarding-card-discount-agoda
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
พฤกษา โฮลดิ้ง รายงานผลประกอบการช่วง 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 15,607 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ 753 ล้านบาท ยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จากการจัดการยอดหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการเงินลดลง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing Ratio) อยู่ที่ 0.36 เท่า ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่มั่นคง ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโต 21% ประกาศรุกตลาดที่อยู่อาศัยแบบเวลเนส เรสซิเดนซ์เต็มรูปแบบ
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH กล่าวถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้รวม 15,607 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบาง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถรักษากำไรขั้นต้นที่ 5,118 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 32.8% จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังซบเซา ในขณะเดียวกัน ธุรกิจเฮลท์แคร์ของพฤกษายังคงสร้างผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมฐานรายได้ของบริษัทฯ ในภาพรวม
สำหรับกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือน อยู่ที่ 753 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจหลักลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินลดลงจากการจัดการยอดหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยมี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing Ratio) อยู่ที่ 0.36 เท่า ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่มั่นคง
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ มียอดโอนอสังหาริมทรัพย์รวม 12,930 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการโอนคอนโดมิเนียมใหม่ จากโครงการ แชปเตอร์ วัน ออล รามอินทรา และได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวใหม่อย่าง โครงการเดอะ ปาล์ม บางนา-วงแหวน 2 และ โครงการการระดับซูเปอร์ลักชัวรี อย่างเดอะ ปาล์ม เรสซิเดนเซส วัชรพล นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินมูลค่า 2,413 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการร่วมกับบริษัทพันธมิตรในอนาคต
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเปิดโครงการใหม่รวม 8 โครงการ มูลค่า 10,085 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้ BTS สายสีเขียว ที่เปิดในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ (Real Demand) และกลุ่มนักลงทุน มีการจองแล้วกว่า 42% โดยคาดว่าทั้งปีจะเปิดโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการไฮไลท์ ได้แก่ เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ ซึ่งเป็นโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์เต็มรูปแบบ ในเซกเมนต์ซูเปอร์อัลตร้าลักชัวรี (Super Ultra luxury) โครงการแรกของพฤกษา ภายใต้แนวคิดผสานการดูแลสุขภาพ Well-Living Mastery อย่างลงตัวในทุกมิติ ซึ่งจะเริ่มเปิดพรีเซลล์ในช่วงปลายเดือน
พฤศจิกายนนี้ นับว่าในปีนี้พฤกษาได้รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นเรื่องของสุขภาพอย่างเต็มตัว โดยเปิดโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 50% จากมูลค่าโครงการเปิดใหม่ทั้งปี และในปีหน้า มีแผนจะพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มเฉพาะผู้สูงวัยที่เกษียณอายุด้วย
พร้อมกันนี้บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวม 5,000 ล้านบาท โดยมีโครงการพร้อมอยู่ในมือรวมมูลค่ากว่า 8,369 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีมูลค่าน้อยกว่า 7 ล้านบาทกว่า 82% ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนลงเหลือ 0.01% และสามารถเร่งโอนรับรู้เป็นรายได้ในสิ้นปีนี้ พร้อมกับได้จัดแคมเปญโปรโมชัน "Last Chance โอกาสสุดท้าย" โดยการนำบ้านในสต็อกมาปรับราคาช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ซื้อบ้านในราคาต้นทุนเดิม รวมถึงมอบเงื่อนไขดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ร่วมกับธนาคารพันธมิตรเพื่อส่งเสริมยอดจองในไตรมาสที่ 4 ด้วย
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ของพฤกษาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 9 เดือนแรกที่ 1,600 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรักษาคนไข้นอกเพิ่มขึ้น 25% และคนไข้ในเพิ่มขึ้น 22% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี บวกกลับค่าเสื่อมราคาและจัดจำหน่าย (EBITDA) 197 ล้านบาท สะท้อนความพยายามของกลุ่ม ในการเร่งผลักดันการขยายบริการด้านสุขภาพให้เข้าถึงผู้ป่วย และลูกค้าที่ซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ของพฤกษา ซึ่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยังได้ขยายบริการด้านศัลยกรรมและระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะยกระดับการรักษาและคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วย
“พฤกษา โฮลดิ้ง มุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่และสร้างความเชื่อมั่นท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ ด้วยการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น และการปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด เรามีความพร้อมที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจเฮลท์แคร์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่สำคัญในการเติบโตของพฤกษา เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทย และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้นำองค์กรจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป สำหรับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย บทบาทของเรามีความสำคัญยิ่งต่อกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่เพียงแค่สนับสนุนลูกค้าให้เดินหน้าสู่การลดคาร์บอน (decarbonisation) แต่ยังต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อให้องค์กรและพนักงานเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำด้วย
นางสาววาสินี ศิวะเกื้อ Country Function Head of Finance & Corporate Real Estate Services
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อไฟฟ้าในอาคารสำนักงาน เราจึงวางกลยุทธ์การลดคาร์บอนโดยเน้นการจัดการอาคารอย่างยั่งยืนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยสำหรับอาคารที่เราเป็นเจ้าของ อย่างอาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคาร และอาคารยูโอบี เพชรเกษม เราได้ติดตั้งระบบอาคารอัจฉริยะ รวมถึงระบบไฟฟ้าอัจฉริยะและเครื่องทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้ค่าความเข้มข้นการใช้พลังงาน (EUI) ในปีที่ผ่านมาลดลงมาอยู่ที่ 139.4 kWh/m2 และ 142.1 kWh/m2 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาคารพาณิชย์ทั่วโลกที่ประมาณ 160-170 kWh/m2 ต่อปี และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 219 kWh/m2 ต่อปี
ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้นนี้สอดคล้องกับข้อกำหนดสำหรับการรับรอง Green Mark Platinum ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมโดยหน่วยงานการก่อสร้างและอาคารของสิงคโปร์ และแน่นอนรวมถึงอาคารยูโอบี สาทร (ซึ่งเดิมชื่ออาคารสาทรและกูดวูด) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงด้วย
นอกจากนี้ เรานำแนวคิดความยั่งยืนมาผสมผสานในการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สาขาต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น สาขาแห่งใหม่ในระยองที่ออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีผิวภายนอกอาคารที่มีค่าการแผ่รังสีต่ำ (low emissivity) ซึ่งช่วยจัดการคุณภาพอากาศภายในสาขา ระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้อากาศสะอาด เย็นสบาย และประหยัดพลังงาน และขณะนี้ เราเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ณ อาคารยูโอบี เพชรเกษม และอาคารยูโอบี สาทร เมื่อโครงการติดตั้งในอาคารสำนักงานและสาขาที่เข้าร่วมโครงการเสร็จสมบูรณ์ เราจะสามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้เอง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าประมาณ 200 ตัน
เป้าหมายของเราคือให้อาคารสำนักงานและสาขาของยูโอบี รวมถึงการปรับปรุงอาคารต่างๆ ในประเทศไทย กลายเป็นต้นแบบสำหรับอาคารอื่นๆ ในอนาคต เพื่อเราจะได้มีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนของประเทศ”
เปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมในการจัดการขยะ
ควบคู่กับการลดคาร์บอนในอาคารสำนักงานและสาขา เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบของขยะที่มีในชีวิตประจำวันและความสำคัญของขยะต่อคุณภาพชีวิตในกรุงเทพฯ เราจึงเชิญชวนพนักงานระดมความคิดในการรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะที่สามารถปรับใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรือที่บ้าน
โดยนับตั้งแต่ปี 2564 เราได้เปิดตัวโครงการ Waste to Wonder เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะให้พนักงาน นับตั้งแต่การลดการใช้ การซ้ำ รวมไปถึง การคัดแยกขยะและการรีไซเคิล ในปีที่ผ่านมา พนักงานได้ร่วมกันรีไซเคิลขยะกว่า 78,000 กิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วยกระดาษ พลาสติก อลูมิเนียม แก้ว และขยะอาหาร
นอกจากนี้ เราติดตั้งเครื่องหมักปุ๋ยที่สามารถย่อยสลายขยะอินทรีย์ได้ถึง 20 กิโลกรัมต่อวันที่อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ และอาคารยูโอบี เพชรเกษม โดยปุ๋ยที่ได้จะนำไปใช้ในการจัดภูมิทัศน์ของธนาคารและมอบให้พนักงานที่ชอบทำสวน
ปีนี้ เราได้ยกระดับโครงการ Waste to Wonder ด้วยกิจกรรม Race to Zero Waste ให้พนักงานแต่ละชั้นร่วมแยกขยะอย่างถูกต้องและลดปริมาณขยะทั่วไปที่ถูกส่งไปยังหลุมฝังกลบ ความพยายามของเราเริ่มเห็นผล ตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นต่อชั้นต่อเดือนลดลงและอัตราการรีไซเคิลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการบริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ยูโอบี ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นองค์กรต้นแบบในการจัดการขยะในหมวดธนาคารโดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้เราเป็นเพียงธนาคารแห่งเดียวที่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ของกรุงเทพมหานครในการเป็น "องค์กรปลอดขยะ"
เราภูมิใจที่เห็นพนักงานมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความร่วมมือในกิจกรรมด้านความยั่งยืนต่างๆ ขององค์กร พนักงานหลายคนเล่าว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าตนเองสามารถจัดการขยะส่วนตัวและมีส่วนร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม ซึ่งเราเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกนำไปปรับใช้ในครอบครัวของพนักงานด้วย
เปลี่ยนยานพาหนะขององค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยานพาหนะถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร เราตั้งเป้าแทนที่ยานพาหนะทั้งหมดด้วยยานพาหนะไฟฟ้า (EVs) ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากยานพาหนะของธนาคารเกือบร้อยละ 70 แม้ว่าการเปลี่ยนยานพาหนะจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 1 และเพิ่มขึ้นในขอบเขต 2 จากการซื้อไฟฟ้า แต่เราคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงโดยรวมได้ถึงร้อยละ 9
การตัดสินใจนี้ไม่ได้มีเพียงเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวในประเทศไทย
แม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้าบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน แต่เราตระหนักดีว่าการลดคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลา ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นความจำเป็นทางธุรกิจด้วย เราขอเชิญชวนทุกบริษัทในประเทศไทยมาร่วมเดินไปกับเรา การเปิดรับแนวคิดลดคาร์บอนจะช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัท สังคม และโลกของเรา
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ครองอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน จาก Standard & Poor’s หรือ S&P สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้บริษัทฯ อยู่ที่ระดับ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของบริษัทฯ ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) (ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยที่ยังคงครองความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ด้วยเงินกองทุนและสินทรัพย์ที่มั่นคง มีความสามารถทางการแข่งขันด้วยผลประกอบการที่ดี รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ ถือเป็นหนึ่งในบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้มแข็งของประเทศไทย
กรุงเทพประกันชีวิตเผยผลดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2567 กวาดเบี้ยรับรวม 26,400 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ส่วนไตรมาส 3 ปี 67 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10,315 ล้านบาท มาจากเบี้ยรับปีแรก 1,550 ล้านบาท มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 614 ล้านบาท ประกาศสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมดูแลลูกค้าด้วยความคุ้มครองที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์และบริการที่เป็นเลิศ
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 10,315 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 1,550 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากช่องทางธนาคารที่มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกลดลง โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 614 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่วง 9 เดือนของปี 2567 จำนวน 26,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 2,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 313,594 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ร้อยละ 4 จากการลดลงของสินทรัพย์ลงทุนจากกรมธรรม์ที่ครบกำหนด ทั้งนี้ สินทรัพย์ลงทุนและรายการเทียบเท่าเงินสดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 95 ของสินทรัพย์รวม และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (CAR) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ร้อยละ 433 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่กฎหมายระบุไว้ที่ 140% อย่างมีนัยสำคัญ
นายโชน กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ To be the Most Caring Life Insurance Company เพื่อขับเคลื่อนองค์กรทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมเปิดตัวสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้านตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และยกระดับการให้ความคุ้มครองและการบริการแก่ผู้ถือกรมธรรม์ให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีตลอดอายุสัญญา
“บริษัทฯ ยังได้สร้างความผูกพันธ์กับผู้ถือกรมธรรม์ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจส่งมอบความคุ้มครองเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินมามากกว่า 20 ปี และ กิจกรรมคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 73 ปี BLA Feel Good Concert รวมไปถึงการพัฒนาบริการและบริการเสริมด้านสุขภาพ ‘BLA EveryCare’ ที่กรุงเทพประกันชีวิตให้มากกว่าความคาดหวังของผู้ถือกรมธรรม์ โดยมีการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง” นายโชนกล่าวในที่สุด
เตรียมพบกับ “Taiwan Healthcare Pavilion” โซนจัดแสดงเทคโนโลยีสุขภาพในงาน TAIWAN EXPO 2024 ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5 บูธหมายเลข 411 กลับมาอีกครั้งกับการจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมเกี่ยวกับ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยจากไต้หวัน พร้อมทั้งพบกับโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมชั้นนำที่จะมาเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพในอนาคต โดยผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในปีนี้ Taiwan Healthcare Pavilion จะนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยจากไต้หวันในหลายด้านของการดูแลสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การบริการทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ การแพทย์ทางไกล และ อุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยมีการจัดแสดงโซลูชันต่าง ๆ ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการนำเสนอ Smart Ward ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในโรงพยาบาล ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ทำให้ไต้หวันกลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน Smart Healthcare โดยมีนิทรรศการที่ผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วม สะท้อนให้เห็นถึงระบบ IoT ขั้นสูงซึ่งออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาล
นอกจากนี้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการจัดการประชุม Smart Healthcare Conference ระหว่างไต้หวันและไทย ประจำปี 2024 ณ ห้องประชุม 209 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้หัวข้อ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ESG และการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน” การประชุมนี้จะกล่าวถึงความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีต่อระบบการดูแลสุขภาพทั่วโลก โดยมีวิทยากรจากไต้หวันและไทยมาแบ่งปันมุมมองว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น การวินิจฉัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการแพทย์ทางไกล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน ซึ่งสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ทาง https://reurl.cc/nvOW2l
งานแสดงสินค้าในครั้งนี้มุ่งเน้นที่จะสาธิตให้ผู้เข้าชมเห็นว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ สามารถช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและการสาธิตการใช้งานจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังมีการแสดงนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพในทุกมิติ ตั้งแต่การให้บริการที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในโรงพยาบาลให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ Smart Ward จะเป็นพื้นที่ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญของไต้หวันในการผสานโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อยกระดับการติดตามผู้ป่วย ความรวดเร็วในการให้บริการ และการเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบ IoT นวัตกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไต้หวันในการพัฒนาการดูแลสุขภาพ ช่วยให้โรงพยาบาลมีระบบที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วยและเพิ่มความแม่นยำทางการแพทย์
ผู้ประกอบการและพันธมิตรทางธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชันและเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพอัจฉริยะจากไต้หวัน ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจและการบริการด้านสุขภาพ Taiwan Healthcare Pavilion ในงาน TAIWAN EXPO 2024 พร้อมเปิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรและร่วมมือทางธุรกิจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในวงการสุขภาพในอนาคต มาพบกันได้ตั้งแต่วันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5 บูธหมายเลข 411 ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://thai.taiwanexpoasean.com/en/exhibitor/show-area-data/Taiwan Healthcare Pavilion/list.html
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เดินหน้าขยายสาขาและช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ล่าสุดผนึกกำลังพันธมิตร TG ประกาศเปิด HONOR Experience Store แห่งใหม่ล่าสุด ณ ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน มุ่งสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ รวมถึงให้บริการลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์อัจฉริยะหลากหลายประเภท ครบทั้งสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมจัดโปรโมชันและมอบสิทธิพิเศษมากมายเอาใจลูกค้า โดยมี นายไมเคิล จิง ผู้อำนวยการ HONOR ประเทศไทย, นายอาบู เสียว ผู้จัดการฝ่ายค้าปลีก HONOR ประเทศไทย และนายพลภัทร์ สายบัวทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ออเนอร์ ประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตร บริษัท ทีจี เซลลูล่าร์เวิลด์ จำกัด โดย นายศิริ ถาวรสภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายจีรวัฒน์ ศิริวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขาย, นายภวัต ถาวรสภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด, นายกันตินันท์ ถาวรสภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม และ นายสมภพ กลับขัน ผู้ช่วยรองประธานฝ่ายบริหาร ร่วมเปิด HONOR Experience Store แห่งใหม่ อย่างเป็นทางการ
HONOR เปิดตัว HONOR Experience Store แห่งใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมจัดโปรโมชัน Grand Opening และสิทธิพิเศษมากมายในช่วงเปิดตัว
นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดพิเศษสำหรับสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริม รวมถึงของแถมสุดพิเศษเมื่อซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไข และกิจกรรมลุ้นรับของพรีเมียมต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ทั้งยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญจาก HONOR พร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการสาธิตฟังก์ชันการใช้งานหรือคำแนะนำในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การบริการที่แตกต่างและดีที่สุด
ผู้สนใจผลิตภัณฑ์ของ HONOR สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand