December 05, 2025

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดงานประกาศรางวัล MSME Provincial Champion Awards 2025 ครั้งที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการ MSME ทั่วประเทศที่สร้างผลงานโดดเด่นและเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจ

งานประกาศรางวัลครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Triple S: Strong Strategy, Standardized, Smart area based เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง มาตรฐานที่เป็นเลิศ และการดำเนินงานที่ชาญฉลาดในแต่ละพื้นที่ โดยมีนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ประธานกรรมการบริหาร สสว. ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี และนายณัฐรัชต์ ชูชัยแสงรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเข้าร่วมพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐด้านการส่งเสริม SME และต้นแบบผู้ประกอบการ SME จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วมพิธี

สสว. มุ่งมั่นสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ SME

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล กล่าวว่า “สสว. ตระหนักว่าการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ต้องอาศัยการสนับสนุนที่เป็นระบบและครบวงจร โดย สสว. มุ่งมั่นในการจัดทำมาตรการทั้งการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาผู้ประกอบการเชิงลึก การส่งเสริมการตลาด ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการลดอุปสรรคทางกฎหมาย และการเชื่อมโยงเครือข่ายผ่านหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจ SME”

ด้านนางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า “การประกาศรางวัล  MSME Provincial Champion Awards 2025 สะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินนโยบายส่งเสริม SMEs ตามแนวทางที่ได้วางไว้ และเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการที่สามารถสร้างผลงานโดดเด่นและเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ตามกรอบของ Thailand Quality Awards”

รางวัลเพื่อผู้ประกอบการดีเด่นทั่วประเทศ

รางวัล MSME Provincial Champion Awards 2025 จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อให้ครอบคลุมและเหมาะสมกับผู้ประกอบการในทุกภาคส่วน ได้แก่:

  • รางวัลสุดยอด MSME จังหวัด มอบให้ผู้ประกอบการที่มีการบริหารจัดการอย่างมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ จังหวัดละ 1 ราย รวม 77 จังหวัด
  • รางวัลสุดยอด MSME รายภาคธุรกิจ ครอบคลุมภาคการผลิต บริการ และภาคธุรกิจการเกษตร
  • รางวัล MSME ยอดเยี่ยมด้านการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยรางวัลด้านการจัดการอย่างยั่งยืนและด้านการจัดการนวัตกรรม

นอกจากนี้ สสว. ได้มอบรางวัลพิเศษในการเชื่อมโยงตลาด ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้กับ SME ที่มีความโดดเด่นจากผู้ประกอบการทั้งหมด 4 ราย ได้แก่ (1) บริษัท ริน อินเตอร์ฟู้ด จำกัด (2) บริษัท คลังทรัพย์รุ่งเรืองเจริญ จำกัด (3) วิสาหกิจชุมชนกล้วยหอมลพบุรี (4) บริษัท ข้าวใหม่ปลามัน อัมพวา จำกัด อีกทั้งบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด มอบประกันภัย SME ยิ้มได้ ลูกจ้างยิ้มด้วย มูลค่าทุนประกัน 1,000,000 บาท

ต้นแบบแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

นายฐิติพงศ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผู้ได้รับรางวัลในวันนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าด้วยความมุ่งมั่น การสนับสนุนที่เหมาะสม และโอกาสที่เปิดกว้าง SME ไทยสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน รางวัลนี้จึงเป็นมากกว่าการให้เกียรติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความพยายามและแรงบันดาลใจที่จะส่งต่อพลังให้ผู้ประกอบการไทยทุกคน”

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Urban Renaissance Agency (UR) รัฐวิสาหกิจด้านการพัฒนาเมืองของญี่ปุ่น ได้ร่วมกันจัดงานฟอรั่มภายใต้หัวข้อ ‘Urban Resilience’ (ความสามารถในการรับมือ ปรับตัว และฟื้นตัว จากความท้าทายต่าง ๆ ของเมือง) ขึ้นในกรุงเทพมหานครฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองในประเทศไทย

งานฟอรั่มในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกของความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งสองหลังจากได้ลงนามใน MOU ร่วมกันไปในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฟอรั่มในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้โดยเฉพาะในเรื่องของของการพัฒนาเมืองและวิธีแก้ไข โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาเมืองจากหลายภาคส่วนจากทั้งสองประเทศเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน มหาวิทยาลัย เป็นต้น

ภายในงาน ตัวแทนจากองค์กรต่าง ๆ เช่น กทม. กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism ; MLIT) จากทางฝั่งญี่ปุ่น บริษัท ICONSIAM บริษัท Tokyu Corporation รวมถึงศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญจาก The University of Tokyo ได้ขึ้นให้ข้อมูลต่าง ๆ อันข้องเกี่ยวกับธีมของงาน ‘Urban Resilience’ เช่น แนวคิดและตัวอย่างการแก้ไขปัญหาการพัฒนาเมืองในประเทศไทย เป็นต้น

อีกทั้ง จุฬาฯ และ UR จะมีการทำวิจัยร่วมกัน โดยจะเริ่มต้นจากหัวข้อเรื่อง ‘ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอและราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯและเมืองหลักในแต่ละภูมิภาค’ โดยอาศัยองค์ความรู้และประสบการณ์การพัฒนาเมืองจากญี่ปุ่นของ UR ร่วมกับศักยภาพด้านการวิจัยและการพัฒนาพื้นที่สาธารณะและการวางผังเมืองของจุฬาฯ เพื่อหวังจะเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาการพัฒนาเมืองในไทยต่อไป

ภารกิจการขยายงานในต่างประเทศของ UR

การเพิ่มและรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเศรษฐกิจใหม่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อการเติบโตของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเพื่อการสนับสนุนการลงทุนของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในต่างประเทศ จึงมีการประกาศใช้ ‘กฎหมายว่าด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ’ (กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการเข้าร่วมของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในโครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะในต่างประเทศ) ขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม 2018

Urban Renaissance Agency หรือ UR จึงดำเนินตามกฎหมาย เริ่มกิจกรรมในต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง ไม่ว่าจะเป็น การช่วยวางแผนงาน มาสเตอร์แพลน ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค รวมไปถึงช่วยให้บริษัทเอกชนสัญชาติญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนได้อย่างราบรื่นผ่านวิธีการการจับคู่พาร์ทเนอร์ธุรกิจ

Urban Renaissance Agency (UR) สำนักงานกรุงเทพฯ ได้จัดตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2024 และ ณ ปัจจุบันมีสำนักงานตั้งอยู่ตามที่อยู่ด้านล่าง

ภายใต้เวทีการประกวดนวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยระดับประเทศ (OIC InsurTech Award 2025)

ฤดูร้อนนี้ ใต้แสงสปอตไลต์ของงานประมูลวิงล็อก (Wing Lok) ฮ่องกง งานประติมากรรมภูตน้อยสีเขียวมินต์ถูกประมูลที่ 1.08 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 138,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ทำลายสถิติการประมูลของเล่นยอดนิยมต้นฉบับของจีน ทันใดนั้น ผู้คนก็พบว่า ตัวละครของเล่นต้นฉบับจีน “ลาบูบู้ (Labubu)” นี้ ได้ก้าวเข้าสู่หอศิลป์ระดับโลกแล้ว “ปีศาจน้อย” ผู้มีฟันแหลมเก้าซี่และใบหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์ กำลังส่งอิทธิพลต่อตลาดการบริโภควัฒนธรรมระดับโลกอย่างคาดไม่ถึง

ตั้งแต่มีการเข้าคิวซื้อลาบูบู้ในลาสเวกัสตั้งแต่ตีสาม ไปจนถึงกระแสการถ่ายรูปเช็กอินหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในปารีส จากยอดการชมวิดีโอกว่า 5.8 พันล้านครั้งในหัวข้อที่เกี่ยวข้องบน TikTok ไปจนถึงเปิดร้านค้าโดยตรงในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก “ภูตน้อย” ที่ถือกำเนิดจากบริษัทของเล่นยอดนิยมของจีนรายนี้ กำลังบอกเล่าเรื่องราวใหม่ของการโกอินเตอร์ของของเล่นต้นฉบับจีนผ่านสุนทรียะแบบ “ความน่ารักแบบแปลกตา”  และการหลอมรวมทางวัฒนธรรม

“ภูตน้อย” บุกตลาดทั่วโลก: นิเวศวัฒนธรรมเฉพาะตัวทะยานสู่สากล

เดือนมีนาคม ปี 2025 เมื่อคอลเลกชันใหม่ "Monster Carnival" ของลาบูบู้ (Labubu) อาร์ตทอยยอดนิยมภายใต้แบรนด์บริษัทของเล่นจีน Pop Mart เปิดตัว ผู้บริโภคในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ยืนต่อคิวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นตั้งแต่ตีสาม ส่วนร้านขายที่ลอนดอนต้องจำกัดจำนวนผู้บริโภคที่เข้าร้านเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเกิดการแย่งชิงกันซื้ออย่างโกลาหล

เดือนเมษายน ปีเดียวกัน ร้าน Pop Mart แห่งใหม่ในย่านธุรกิจหลักลาเดฟองส์ ปารีส เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการ ก่อนเปิดร้านเป็นทางการ ผู้คนนับร้อยก็เรียงแถวรอคอย บล็อกเกอร์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งโพสต์วิดีโอบนแพลตฟอร์มโซเชียล บันทึกเล่าบรรยากาศความนิยมร้อนแรงนี้ว่า "เดาดูสิว่า ตอนฉันมาถึงสิบโมงเช้า เจอคิวยาวแค่ไหน? เหลือเชื่อจริงๆ คนเยอะมากจนแทบไม่เห็นพื้น!"

กระแสความนิยมที่ข้ามทวีปนี้จุดกระแส #Labubu บน TikTok สู่ยอดการเล่นสะสม 5.8 พันล้านครั้ง โดยมีเนื้อหาคอนเทนต์จากผู้ใช้งาน (UGC) สูงถึง 83%  เว็บไซต์ นิตยสารไทม์ (Time) รายงานว่า การค้นหาบริษัทแม่ "Pop Mart" บนแพลตฟอร์มโซเชียลต่างประเทศ จะปรากฏวิดีโอเปิดกล่องสุ่มมากกว่าหมื่นรายการ

รายงานการเงินไตรมาสแรก ปี 2025 ของ Pop Mart เปิดเผยว่า​‌รายได้จากต่างประเทศพุ่งพรวด 475% - 480%‌ ​เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว สาขาร้านมีครอบคลุมกว่า​‌ 30 ประเทศและเขตพื้นที่‌ ตลาดทุนร้อนระอุด้วยมูลค่าตลาด Pop Mart ​‌ที่ทะลุ 3 แสนล้านเหรียญฮ่องกง‌ สวี เจี๋ย นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยซ์แบงก์​ชี้​ว่า "​‌IP การ์ตูนที่พิชิตทั้ง​วัฒนธรรมเอเชีย​และ​ดาราตะวันตก​ได้นั้น​‌หายากยิ่ง

ลูซี ชิตโตวา มัณฑนากรจากลอนดอน แสดงความเห็นว่า ‌"แม้หน้าตาจะประหลาดและไม่สวย แต่กลับมีความอบอุ่น จนใคร ๆ ก็อินไปกับมันได้"‌ การออกแบบสไตล์ ‌"น่ารักแต่แปลกตา" ตอบโจทย์อารมณ์ Gen Z อย่างแม่นยำ ซึ่งรูปลักษณ์ไม่สมบูรณ์แบบนี้ ถูกตีความโดยวัยรุ่นว่าเป็นการ ‌"ต่อต้านมาตรฐานสังคมแบบเบา ๆ" ผลการสำรวจตลาดเผยว่า  ผู้บริโภควัย 18-35 ปี‌ จำนวน ‌65% มองว่า ตัวละครเหล่านี้เป็นตัวแทนเพื่อนทางใจ

ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร้าน Pop Mart สาขาแรกเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มีคนเข้า​‌คิวยาวเหยียดตลอดทั้งคืน​‌เพื่อซื้อสินค้า ส่วนที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ​‌ลาบูบู้ ในชุดผ้าไหมไทย‌ ได้ปรับ​งานศิลปะพื้นเมือง​ให้เป็น​สัญลักษณ์แฟชั่น​ ขณะที่ปารีส ฝรั่งเศส ลาบูบู้ แบบ​‌สไตล์อิมเพรสชันนิสม์‌​ ก็สร้างกระแสนิยมในวงการศิลปะท้องถิ่น​

ธนิญา ผู้บริโภคชาวไทยให้ความเห็นว่า ‌"เป็นคนชอบงานศิลปะ ยิ่งเมื่อศิลปะไม่ใช่แค่ภาพวาด แต่มาในรูปแบบ​ของเล่นของสะสมที่พกพาไปได้ ถ่ายรูปตามที่ต่าง ๆ​ ได้ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพิ่มความสุขให้มากยิ่งขึ้น"‌ ด้วยการออกแบบที่​‌ปรับเข้ากับท้องถิ่น‌​ Pop Mart ปรับ IP จีนให้เป็น​‌สัญลักษณ์วัฒนธรรมที่สัมผัสได้‌​ ไม่เพียงสร้าง​‌ปรากฏการณ์ 'วางจำหน่ายปุ๊บ ขายหมดปั๊บ'‌​ แต่ยังนับเป็น​‌แบบอย่างที่  IP จีนเข้ากระแสโลกาภิวัตน์ ‌​ โดยเผยแพร่ความนิยมทางวัฒนธรรมอย่างนุ่มนวล‌​

การโปรโมตโดยดาราระดับโลกอย่าง​‌อาสาสมัครยิ่งสร้างอิทธิพลมหาศาลกับลาบูบู้ เช่น​‌ เดวิด เบ็คแฮม‌​ นักฟุตบอลอังกฤษโพสต์​‌ลาบูบู้ ของขวัญจากลูกสาว ‌​ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่วนการแชร์รูปลาบูบู้โดย​‌ลิซ่า สมาชิกจากวง BLACKPINK‌​ ก็จุดกระแส​‌คลั่งไคล้ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้‌​ ที่สำคัญกว่านั้น การออกแบบโดย​‌ปล่อยให้ผู้บริโภคต่อยอดได้อย่างอิสระ กระตุ้นให้เกิด​‌ชุมชนรีครีเอต‌​คึกคัก ตั้งแต่​‌ปรับชุดแต่งกาย‌​ ไปจนถึง​‌ตกแต่งฟันแหลมด้วยเพชร‌​ กลายเป็น​‌ระบบนิเวศทางวัฒนธรรม‌​ที่ไม่ซ้ำใคร

อย่างที่หวัง หนิง ผู้ก่อตั้ง Pop Mart ​กล่าวไว้ ‌"เยาวชนนับไม่ถ้วนกำลังใช้ ลาบูบู้บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาเอง"‌

เบื้องหลังของ “ภูตน้อย” คือ Made in China ​: ห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่มั่นคง

เมื่อผู้บริโภคทั่วโลกตื่นเต้น​กับการได้เป็นเจ้าของลาบูบู้ ​‌ภูติตัวน้อย​ สัญลักษณ์แห่งความสุข‌​เหล่านี้ กำลัง​‌พุ่งฉิวออกจากสายพานผลิต‌​ใน​‌โรงงานอัจฉริยะเมืองตงกว่าน ของจีน ​‌มุ่งหน้าสู่ทุกมุมโลก‌​​อย่างไม่หยุดยั้ง

เมืองตงกว่าน มณฑลกวางตุ้ง ‌ ตั้งอยู่ริมฝั่ง‌ทะเล ทางตะวันออกเฉียงใต้‌ของจีน ห่างจากเมืองเซินเจิ้นเพียง ‌70 กว่ากิโลเมตร‌ ยามดึก ที่โรงงานผลิตของเล่นเขตสือไผ เมืองตงกว่าน ​‌ยังสว่างไสวราวกับกลางวัน‌​  ในโรงงานอัจฉริยะ​‌ แขนกลหุ่นยนต์​เคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ‌​เพื่อ​‌ฉีดเรซิ่นเหลวเข้าบล็อกพิมพ์‌ โครงร่างของลาบูบู้ สินค้ากล่องสุ่ม‌​กำลังถือกำเนิดขึ้น​

เมืองตงกว่าน ซึ่งเคยรับจ้างผลิต​‌ของเล่นไลเซนส์‌​ให้กับ Disney และ Marvel มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันได้พัฒนาสู่วงจรอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบที่ครอบคลุม​‌การออกแบบวิจัย ผลิตแม่พิมพ์ ประกอบชิ้นงาน‌​ จนเกิดเป็น​‌กลุ่มอุตสาหกรรมของเล่น‌​แบบครบวงจร เมืองที่เคยโด่งดังจากงานรับจ้างผลิต ​‌ปัจจุบันกำลังตอกธง​ 'ตงกว่าน เมด'​‌​ ลงในตลาดของเล่นของสะสมโลกด้วยอัตราความเร็ว​‌ในการผลิตชั่วโมงละ 800 ตัว

ข้อมูลแสดงว่า ตั้งแต่ปี ‌2020 เป็นต้นมา โรงงานรับจ้างผลิตและพันธมิตรกว่า 30 แห่งในตงกว่าน‌​ ได้จัดส่งสินค้าป้อนร้าน Pop Mart อย่างต่อเนื่อง ร่วมกันสร้าง​‌โครงข่ายการผลิตลาบูบู้ที่มั่นคง ในโรงงานอัจฉริยะผลิตของเล่นของสะสมแห่งหนึ่งของตงกว่าน  ลาบูบู้เปลี่ยนจากแบบร่างดิจิทัลสู่โมเดลทางกายภาพ ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ และ‌ระบบจำลองพารามิเตอร์ฉีดพลาสติกด้วย AI‌ “จากการปฏิรูปสู่ความเป็นดิจิทัล เรา​ลดเวลาพัฒนาบล็อกพิมพ์​จาก 15 วัน เหลือเพียง 3 วัน ขณะเดียวกัน อัตราส่วนผลิตภัณฑ์ดีเพิ่มเป็น 98.7%” ผู้รับผิดชอบบริษัทกล่าวว่า กำลังเร่งผลิตตาม​‌คำสั่งซื้ออย่างเร่งด่วน ซึ่งลาบูบู้ชุดนี้จะส่งออกไปยังกว่า 30 ประเทศผ่านท่าเรือเซินเจิ้น ภายในเวลา 48 ชั่วโมง

ของเล่นลาบูบู้จำนวนมากกำลังเดินทางจากโรงงานผลิตของเล่นในตงกว่าน ไปถึงมือผู้ชื่นชอบของเล่นของสะสมทั่วโลก ขับเคลื่อนด้วยกระแสความนิยมร้อนแรงของอุตสาหกรรมของเล่นของสะสม เมืองตงกว่านซึ่งเป็น "เมืองของเล่นของสะสมแห่งจีน" กำลังเร่งพัฒนาจาก "ฐานรับจ้างผลิต" ไปสู่ "ฐานแบรนด์เนม" และค่อย ๆ มีชื่อเสียงขึ้นในอุตสาหกรรมของเล่นของสะสะสมโลก

เมืองตงกว่างในทุกวันนี้ ก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตของเล่นของสะสมที่สำคัญของโลก  โดยผลิตของเล่นไลเซนส์จากอนิเมะ กว่า 25% ของโลก และของเล่นของสะสมกว่า 85% ของจีน ผลสำรวจแสดงว่า เมืองตงกว่านมีวิสาหกิจผลิตของเล่นกว่า 4,000 ราย เป็นวิสาหกิจต้นน้ำและปลายน้ำเกือบ 1,500 ราย ซึ่งได้สร้างระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมที่สามารถจัดหาปัจจัยการผลิตทั้งหมดได้ภายในรัศมี 1 กิโลเมตร แบรนด์ต้นฉบับ (Original IP) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้นิยมของเล่นของสะสม อาทิ ToyCity และ Laura ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่นี่

พลวัตของห่วงโซ่อุตสาหกรรมยังแผ่ขยายไปสู่พื้นที่ที่กว้างขึ้น บริษัทซั่วเฟิงผลิตภัณฑ์อุปโภคประจำวันแห่งเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ซึ่งเดิมมีโรงงานผลิตชุดนอนที่หยุดดำเนินการมานาน ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยกระแสความนิยมของตุ๊กตา "ลาบูบู้"

ชิว จุนจุน ผู้จัดการทั่วไป กล่าวอย่างขบขันว่า "เมื่อก่อนไม่ชอบแนวนี้เลย แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันน่ารักมาก" เมื่อเห็นตุ๊กตาตัวนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เขาตระหนักถึงช่องว่างทางการตลาด นั่นคือการผลิตเสื้อผ้าแต่งตัวให้แก่ผู้สะสมตุ๊กตา ปลายเดือนพฤษภาคม โรงงานของเขาเริ่มผลิตชุดเดรสให้ภูตน้อยตัวนี้ โดยผลิตเสื้อผ้าได้มากกว่า 80 รูปแบบในเวลาไม่ถึง 20 วัน สร้างรายได้ราว 170,000 หยวน ชิว จุนจุน คาดการณ์ว่ายอดขายรายเดือนอาจแตะระดับล้านหยวนได้เมื่อคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี โรงงานอย่างซั่วเฟิงนั้นกระจายตัวหนาแน่นดั่งหมู่ดวงดาว

ในเดือนมีนาคม 2025 กระทรวงพาณิชย์จีนผลักดันโมเดลใหม่ "IP + การบริโภค" ขณะที่เมืองตงกว่านออกมาตรการเฉพาะทาง โดยจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการบูรณาการ "ของเล่นของสะสม + มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม"  และ "ของเล่นของสะสม + การท่องเที่ยว"  ส่วนเมืองสือไผลงทุนปีละ 10 ล้านหยวน เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมของเล่นของสะสมที่ใหญ่ที่สุดในจีน ตั้งแต่สายพานผลิตอัจฉริยะเมืองตงกว่าน จนถึงโรงงานที่เกี่ยวข้องของมณฑลเจียงซูกับเจ้อเจียง ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง กำลังเสริมรากฐานให้กับการส่งออกของเล่นของสะสมของจีน

แบรนด์จีนก้าวไกลสู่โลก : การแสวงหาสิ่งที่ดีงาม ไม่มีพรมแดนขวางกั้น

กระแสความนิยมของ "ลาบูบู้" ได้แก้อคติที่ว่า "สินค้าจีนถูกแต่ไม่ดี" อย่างสิ้นเชิง นิตยสาร The Economist ของอังกฤษชี้ให้เห็นว่า ในอดีต สินค้า ‘Made in China’ ที่ผู้บริโภคตะวันตกซื้อส่วนใหญ่ผลิตผ่านระบบ OEM แต่ในปัจจุบัน ผู้ค้าปลีกออนไลน์อย่าง Shein , Temu และแบรนด์อย่าง Pop Mart กำลังพลิกความเชื่อดังกล่าว

ความสำเร็จของ IP จีน สะท้อนการยกระดับทั้งความมั่นใจทางวัฒนธรรมและระบบอุตสาหกรรมของจีน ตั้งแต่เกม “ตำนานสีดำ : หงอคง” ที่มียอดผู้เล่นพร้อมกันเกิน ‌1.04 ล้านคน‌ ภายในชั่วโมงแรกของการเปิดตัว ไปจนถึงภาพยนตร์เรื่อง ‌"นาจา 2 (Ne Zha 2)‌"  ที่ติดท็อป 5‌ ในการสร้างรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศมากที่สุดในโลก เปเรรา  ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา ‌iMpact‌ จากสิงคโปร์ให้ความเห็นว่า “ความสำเร็จของลาบูบู้ พิสูจน์ว่า แบรนด์จีนสามารถชนะใจผู้บริโภคโลกด้วยอารมณ์ร่วมสากล”

เบื้องหลังอิทธิพลดังกล่าว คือ การสนับสนุนที่มั่นคงจากระบบนิเวศอุตสาหกรรมของจีน รายงาน ‌"การพัฒนาอุตสาหกรรมของเล่นของสะสมและอนิเมะของจีน (2024)"‌ โดยสภาสังคมศาสตร์จีนชี้ว่า มูลค่าอุตสาหกรรมของเล่นของสะสมจีนคาดว่าจะพุ่งถึง ‌1.101 แสนล้านหยวน‌ ภายในปี 2026 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละเกิน 20%‌ ผลงานโกอินเตอร์ของแบรนด์ของเล่นชั้นนำของจีนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นอกจาก POP MART ‌แล้ว ยังมี ‌TOP TOY  แบรนด์ของเล่นของสะสมจีนที่เปิดสาขาเกิน 280 แห่ง‌แล้วในทั่วโลก และส่งออกสินค้ามูลค่ารวม ‌47 ล้านหยวน‌ ผ่าน 53 รอบการขนส่งในปี 2024

ส่วนยอดการขายของ 52 TOYS อีกแบรนด์ของเล่นของสะสมจีนเติบโต 300%‌ ในตลาดไทย และ ‌220%‌ ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2024 นายหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า การที่ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมจีนอย่างของเล่นของสะสมได้รับความนิยมในทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า การแสวงหาสิ่งที่ดีงามไม่มีพรมแดนขวางกั้น

กระแสการขยายตลาดสู่ต่างประเทศนี้ ได้ก้าวข้ามขอบเขตของเล่นของสะสมไปแล้วอย่างชัดเจน จากสตอกโฮล์มถึงซิดนีย์‌ รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อจีนพบเห็นได้ทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร้านชา ‌MiXueได้แซงหน้า‌แมคโดนัลด์‌ ในฐานะแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขามากที่สุดในโลก กำลังขยายสาขาในทวีปอเมริกาใต้อย่างรวดเร็ว

โจชัว คูรันซิก นักวิชาการจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ‌"TikTok อาจมีบทบาทในการเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อจีน"‌ แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้‌เกิน 1 พันล้านคน‌ โดยประมาณ‌ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ใช้ชาวสหรัฐฯ‌นี้ มีคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ ‌"ลาบูบู้ (Labubu)" แชร์กันอย่างต่อเนื่อง คูรันซิกระบุว่า การส่งออกทางวัฒนธรรมสามารถ ‌"ปรับปรุงภาพลักษณ์จีน และพิสูจน์ศักยภาพของบริษัทจีนในการผลิตสินค้าและบริการที่มีเสน่ห์ดึงดูดชาวโลก"

ณ POP MART ซิตี้ พาร์ค‌ ในกรุงปักกิ่ง มัรยัม อัลฮัมมาดี ‌เด็กหญิงชาวกาตาร์วัย 11 ขวบ  กำลังโพสท่าถ่ายรูปกับรูปปั้น ‌"ลาบูบู้" ขนาดใหญ่

เธอกล่าวว่า ‌"เพื่อนๆ ทุกคนชอบลาบูบู้ พอรู้ว่ามาจากจีน หนูเฝ้ารอคอยที่จะได้มาเห็นลาบูบู้หลากหลายแบบในจีน!"‌

ลาบูบู้กำลังดึงดูดเยาวชนทั่วโลกให้สนใจจีนมากขึ้น

“ลาบูบู้” สะพานใหม่เชื่อมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน-ไทย

ในประเทศไทย “ลาบูบู้” ของเล่นของสะสมที่วางจำหน่ายในร้าน POP MART กำลังสร้างกระแสนิยมร้อนแรง นับเป็นของเล่นอาร์ตทอยจีน “ตัวท็อป” ในไทยอย่างแท้จริง มีบุคคลสำคัญและดาราดังระดับท็อปของไทยหลายคนเป็น ‌“แฟนคลับ” ถ่ายภาพอวดตุ๊กตาตัวโปรดของตน จนทำให้เกิดกระแสนิยมซื้อตาม ส่งผลให้สินค้าในร้านค้าปลีก‌ขาดตลาด‌ ส่วนราคาออนไลน์ก็ถูกปั่นขึ้นสูงจน‌ทะลุเพดานถึงหลายเท่าของราคาปกติ‌ ในโอกาสที่ไทย-จีนยกเว้นวีซ่ากัน มีชาวไทยจำนวนมาก‌บินตรงไปประเทศจีนเพื่อซื้อ‌ลาบูบู้ด้วย

ศิริพร แผลงจันทึก‌ Country General Manager บริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดไทยคลั่งไคล้ ‌“ลาบูบู้”‌ อย่างมาก โดยสินค้ารุ่นใหม่ขายหมดในวันเดียว‌ ยอดขายติดอันดับ ‌1 จากสาขากว่า 30 ประเทศทั่วโลก‌ กระทั่งในเวียดนามและมาเลเซียก็ยังเห็นคนไทย ‌ยืนต่อแถวรอซื้อ‌เป็นประจำ

วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ‌ เนืองแน่นไปด้วยผู้คน แฟนคลับชาวไทยในเสื้อยืดลาย “ลาบูบู้” โห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดีเมื่อ “‌มาสคอตลาบูบู้” ปรากฏโฉม ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดพิธีต้อนรับอย่างอบอุ่น และมอบตำแหน่ง ‌ "Amazing Thailand Experience Explorer" ให้แก่มาสคอตลาบูบู้ เพื่อเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน

“ลาบูบู้” จะเที่ยวชม‌สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ชูจุดเด่นของไทยอย่างลึกซึ้ง ผ่านแนวคิด POPMART LABUBU X TAT IGNITE THAILAND โดย‌นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช‌ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ของไทย ระบุว่าการจัดพิธีต้อนรับร่วมกับ Pop Mart เป็น ‌“โอกาสอันดี” ซึ่งลาบูบู้จะ‌สวมชุดไทย‌ เดินชมแหล่งท่องเที่ยว ลิ้มรสอาหารไทย และเรียนรู้มารยาททางวัฒนธรรม ‌เพื่อสร้างความทรงจำอันล้ำค่า‌ พร้อมกับเชิญชวนเพื่อนชาวจีนร่วมตามรอยลาบูบู้มาเที่ยวประเทศไทย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ ‌Pop Mart ก้าวเข้าสู่ตลาดไทยในเดือนพฤษภาคม 2023‌ ความกระตือรือร้นสูงของผู้บริโภคชาวไทย‌ผลักดันให้ ‌Pop Mart ขยายสาขาอย่างเร่งด่วนในไทย‌ ปัจจุบันเปิดร้านค้าออฟไลน์แล้ว ‌5 สาขา‌

เฉิน เสี่ยวหยุน รองประธานกลุ่ม Pop Mart International ระบุว่า ลาบูบู้‌ ไม่เพียงกระตุ้นให้คนไทยอยากเรียนรู้เกี่ยวกับจีนมากขึ้น‌ แต่ยังส่งเสริมให้ผู้บริโภคจีน ‌สนใจวัฒนธรรมไทยเพิ่มขึ้นด้วย‌  หวังว่า ตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นสะพานเชื่อมวัยรุ่นทั้งสองประเทศ


เขียนโดย: หวัน ซือเฉิง

แปลโดย: หานซี

ตรวจแก้โดย: รพีพรรณ วงษ์กรวรเวช

นายแพทย์ภูริทัต แสงทองพานิชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาองค์กรและพัฒนาศักยภาพชุมชน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาล กทม. กับบริการที่เข้าถึงง่าย และทั่วถึงทุกมุมเมือง เพื่อหวังมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยการจัดบริการด้านสาธารณสุขที่เข้าถึงได้ง่ายและครอบคลุมทุกพื้นที่ของเมือง

นายแพทย์ภูริทัต กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร เดินหน้ายกระดับระบบบริการสาธารณสุข “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” ตอบโจทย์ประชาชนในยุคดิจิทัล โดยบูรณาการทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และบริการสุขภาพรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยี การแพทย์เคลื่อนที่ และการดูแลต่อเนื่องในชุมชน เพื่อเพิ่มความครอบคลุมและความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เน้นการลดระยะเวลารอคอยการรักษา ตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว และส่งเสริมให้คนเมืองใส่ใจในเรื่องสุขภาพตั้งแต่ต้น ในโอกาสนี้ นายแพทย์ภูริทัต ได้นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการ พร้อมอธิบายถึงองค์ประกอบหลักของโมเดล ที่ผสมผสานบริการทางไกล การแพทย์เคลื่อนที่ การดูแลต่อเนื่องที่บ้าน และการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์–อัมพาต เพื่อสร้างความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิผลของระบบสุขภาพ และยังให้ข้อมูลโครงการต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

โครงสร้างดิจิทัลและแพทย์ออนไลน์ เปิดบริการ “รพ.ออนไลน์ กับ หมอกทม.” รองรับการพบแพทย์ทางไกล นัดหมายรับยา และติดตามอาการ เชื่อมต่อข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบัน โรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ให้บริการ Telemedicine ครบทุกแห่ง ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอ กทม.” และ UMSC โดยมีอัตราการตอบรับบริการภายใน 15 นาที มากกว่า 99% และมีผู้รับบริการเฉลี่ยกว่า 200,000 รายต่อปี กรุงเทพมหานครยังตั้งใจพัฒนาระบบต่อเนื่องเพื่อให้บริการ UMSC ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่

รถมอเตอร์ไซค์กู้ชีพฉุกเฉิน Motolance รถจักรยานยนต์พร้อมชุดช่วยชีวิตเบื้องต้น เข้าถึงผู้ป่วยได้รวดเร็วในพื้นที่จราจรหนาแน่น พร้อมเชื่อมต่อสื่อสารกับศูนย์สั่งการแบบเรียลไทม์ เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน มีโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ ดำเนินการให้บริการ Motolance โดยมีจุดจอดรถประจำโรงพยาบาลและนอกพื้นที่รวมทั้งหมด 40 คัน และสามารถเข้าถึงเหตุฉุกเฉินได้โดยเฉลี่ยภายใน 5 นาทีสำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถ Motolance เป็น 100 คันภายในปี 2569 พร้อมขยายจุดจอดครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

จุดบริการใกล้บ้านและคลินิกออนไลน์ บริการคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น เชื่อมต่อแพทย์ออนไลน์ และส่งต่อผู้ป่วยตามความรุนแรง พร้อมเปิด ศูนย์เทคโนสุขภาพดี (Health Tech Center) เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลและเสริมระบบบริการปฐมภูมิในชุมชน ปัจจุบันมีศูนย์เทคโนสุขภาพดีให้บริการแล้ว 7 แห่ง ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลกลาง สำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าขยายศูนย์เทคโนสุขภาพดีเพิ่มอีก 3 โซน ได้แก่ โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลสิรินธร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้านได้มากขึ้นและทั่วถึงยิ่งขึ้น

บริการเยี่ยมบ้านและออนไลน์ ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่และติดตามอาการผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอล พร้อมระบบ BMA Home Ward ที่เชื่อมต่อการดูแลจากโรงพยาบาล–ศูนย์บริการ–อาสาสมัครสาธารณสุข โดยใช้ Telemedicine และ CCTV ภายใต้การยินยอมของผู้ป่วยและญาติ มีฐานข้อมูลกลางที่ UMSC รองรับการติดตามและเชื่อมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยประคับประคอง พัฒนาแผนดูแลเฉพาะบุคคล ครอบคลุมด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ผ่านคลินิกผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเปิดบริการ คลินิกผู้สูงอายุครบวงจร ครอบคลุม 11 โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง และคลินิกชุมชนอบอุ่น 8 แห่ง พร้อมเปิด ศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลแบบประคับประคอง สำหรับอนาคต มีแผนขยายบริการคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรให้ครอบคลุมทุกคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลต่อเนื่องและครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม

โครงการคัดกรองและส่งเสริมสุขภาพ เดินหน้าโครงการ “ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน” เพื่อขยายการเข้าถึงการตรวจสุขภาพเชิงรุก–เชิงรับ คัดกรองโรคเรื้อรัง และส่งเสริมสุขภาพร่วมกับศูนย์บริการ โรงพยาบาล ชุมชน และภาคเอกชน พร้อมกิจกรรม “วิ่งล้อมเมือง” เพื่อกระตุ้นการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครวางแผนดำเนินการตรวจสุขภาพประจำปีตามสิทธิประโยชน์ของประชาชนร่วมกับ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพฯ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมวิ่งล้อมเมืองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานเขต โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขต เพื่อให้ประชาชนในทุกพื้นที่เข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม

นายแพทย์ภูริทัต กล่าวอีกว่า การพัฒนาการจัดบริการสุขภาพนี้ สะท้อนเจตนารมณ์ของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างระบบที่มีมาตรฐาน ทันสมัย และใกล้ชิดกับประชาชน เพื่อให้ทุกคนในกรุงเทพฯ เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงจริง โครงการ “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครยอมรับว่าการพัฒนาระบบดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังคงต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ขณะที่การให้บริการทางไกลและการแพทย์เคลื่อนที่ ยังคงต้องอาศัยความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ ประชาชนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานดิจิทัล อาจยังประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการออนไลน์ ที่สำคัญคือความยั่งยืนทางการเงิน เนื่องจากการขับเคลื่อนโครงการในระยะยาวจำเป็นต้องมีงบประมาณและการสนับสนุนที่เพียงพอ เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง แต่กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าพัฒนาระบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งปรับปรุงจุดอ่อนและเสริมจุดแข็ง เพื่อให้ประชาชนในทุกมุมเมืองได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ทันสมัย และครอบคลุมอย่างแท้จริง

บริษัท อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี่ จำกัด บริษัทการตลาดชั้นนำระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเชี่ยวชาญด้านการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจีน ประกาศเปิดสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยข้อมูลเชิงลึกจากรายงาน S.E.A of Change | Thailand Edition ที่ทำร่วมกับ iResearch เผยกลุ่มผู้ใช้สื่อจีนซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่เติบโตรวดเร็ว ใช้จ่ายสูง และมีส่วนเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เป็นอีกกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลและมีกำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศไทย 47% ของกลุ่มดังกล่าวใช้จ่ายไปกับผลิตภัณฑ์พรีเมียมกว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 231,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับ 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการสำรวจ

นางสาวชาร์ลีน รี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี่ (EternityX) กล่าวว่า กลุ่มผู้ใช้สื่อจีนไม่ได้หมายถึงคนสัญชาติจีนเท่านั้น แต่หมายถึงทุกคนที่ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของจีนอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ในประเทศไทย ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้กลายเป็น "Aspiration Trailblazers" หรือ “ผู้บุกเบิกไลฟ์สไตล์” ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เน้นการมีประสบการณ์ และเทรนด์โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากกับผู้บริโภคกลุ่มนี้

"การเปิดสำนักงาน EternityX ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของ EnternityX ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะบริษัทการตลาดชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจีนทั่วโลก ทำให้เรามีความพร้อมในการทำงานร่วมกับแบรนด์ไทย ช่วยปลดล็อกโอกาส และสร้างการเติบโตใหม่ให้กับแบรนด์ ผ่านการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำและกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดทางวัฒนธรรม" นางสาวรี กล่าว

นายเดอริค วอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ Global อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ กล่าวเสริมว่า "กลุ่มผู้ใช้สื่อจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรม เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี EternityX มุ่งสร้างเส้นทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้ โดยเชื่อมโยงแบรนด์กับชุมชนที่ทรงอิทธิพลเหล่านี้"

นายวอง ร่วมกับ นายไซมอน จง หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ Global และ นางสาวเซลิน เฉิน รองผู้จัดการทั่วไป ประเทศจีน อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ ได้ร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญจากรายงาน "S.E.A of Change | Thailand Edition: The Rise of Chinese Media Users Redefining Modern Living and Consumer Power” หรือ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งการเปลี่ยนแปลง: การเติบโตของผู้ใช้สื่อจีนที่กำลังนิยามชีวิตสมัยใหม่และอำนาจของผู้บริโภค" ซึ่งชี้ว่า ไทยมีอัตราการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลจีนสูงที่สุดในภูมิภาค โดย 78% ของผู้ใช้สื่อจีนในไทยเลือกใช้แอปพลิเคชันจีนเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ 70% ในสิงคโปร์ และ 71% ในมาเลเซีย นับเป็นการรวมตัวทางดิจิทัลบนแพลตฟอร์มจีนที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค

การศึกษายังพบว่า 47% ของผู้ใช้สื่อจีนในไทยมีกำลังซื้อโดดเด่น ใช้จ่ายมากกว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 231,000 บาทต่อคนต่อปีไปกับสินค้าพรีเมียม เมื่อเทียบกับ 42% ที่สิงคโปร์ และ 43% ที่มาเลเซีย นอกจากนี้ 36% นิยมช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและการไลฟ์สดอย่างมาก ขณะที่ 14% ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงต่อวันบนแพลตฟอร์มสื่อดิจิทัล ซึ่งมากที่สุดใน 3 ประเทศ ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากโซเชียลมีเดีย KOLs และแคมเปญการตลาดจากแบรนด์เป็นหลัก

ในแง่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่าประเภทสินค้าที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ดัชนี 139) เครื่องสำอาง (ดัชนี 117) และเครื่องใช้ไฟฟ้า (ดัชนี 109) ขณะที่ 45% ใช้บริการผ่าน WeChat Pay กำลังการใช้จ่ายนี้ได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนจำนวนมากของจีนทั้งจากบริษัทสัญชาติจีนและไต้หวันในปี 2567 ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.1% สร้างงานมากกว่า 30,000 ตำแหน่ง รวมถึงสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของผู้ซื้อชาวจีนที่มีถึง 10.8% และจำนวนนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยไทยที่เพิ่มขึ้น 455% ในช่วงปี 2556 – 2566 ที่ผ่านมา

การศึกษาดังกล่าวแนะ 4 กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายข้างต้น คือ กลยุทธ์การตลาดที่เน้นประสบการณ์ที่ยกระดับไลฟ์สไตล์และสถานะทางสังคม กลยุทธ์การขยายอิทธิพลทางสังคมผ่าน KOLs รวมถึงการบอกต่อจากกลุ่มเพื่อน กลยุทธ์การวางตำแหน่งเป็นผู้นำเทรนด์ และ กลยุทธ์ความเป็นเลิศด้านการค้าข้ามพรมแดนพร้อมศักยภาพในการบูรณาการความเป็นนานาชาติ สิ่งสำคัญคือวิธีการชำระเงิน เนื่องจาก 54% ของผู้บริโภคพิจารณาซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่รองรับการชำระเงินของจีน โดย 11% ปฏิเสธการซื้อทันทีเมื่อไม่มีตัวเลือกดังกล่าว นอกจากนี้ การศึกษาด้านรูปแบบการบริโภคสื่อยังพบว่าผู้บริโภคนิยมคอนเทนต์รีวิวและแนะนำสินค้า รวมทั้งการใช้ภาษาจีนตัวย่อในโปรโมชันสามารถกระตุ้นความตั้งใจซื้อได้ทันทีถึง 43% สะท้อนถึงความซับซ้อนในการเข้าถึงแพลตฟอร์มจีนอย่าง WeChat (วีแชท), Douyin (โต่วหยิน), และ Xiaohongshu (เสี่ยวหงซู) กับดิจิทัล อีโคซิสเต็มต่าง ๆ ของจีน

แบรนด์ในประเทศไทยที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดนี้ควรผสานไลฟ์สไตล์กับวัฒนธรรมของผู้บริโภค สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนร่วมกับ KOLs และไลฟ์สตรีมเมอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นการซื้อ พร้อมสร้างช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและรองรับการชำระเงินของจีน นอกจากนี้ การออกแบบโปรโมชันที่ผสมผสานความคุ้นเคยทางคุณค่า วัฒนธรรม และการเร่งเร้า ขณะที่เน้นสื่อสารความเป็นของแท้ ความยั่งยืน และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ด้วยข้อความสองภาษาและมีภาษาจีนด้วย จะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว นายวอง กล่าวแนะนำ

"นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์ในประเทศไทยที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้ใช้สื่อจีนที่มีกำลังซื้อ และมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมอย่างมาก" นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ตัวแทน บริษัท อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว "สำนักงาน EternityX ในประเทศไทยจะมีบทบาท ในการช่วยทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนและผู้ใช้สื่อจีนที่อาศัยอยู่ในประทศไทย ผ่านทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจเชิงลึกด้านกลยุทธ์สื่อจีน วัฒนธรรมจีน และพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมทั้งมีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคทั้งไทยและจีนอย่างครบถ้วน”

สำนักงาน EternityX ในประเทศไทยให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ ซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI โซลูชันที่มีความอัจฉริยะทางวัฒนธรรมพร้อมกลยุทธ์เนื้อหาที่สร้างจากข้อมูลจริง การเปิดการค้าข้ามพรมแดนด้วยระบบโลจิสติกส์และการชำระเงินแบบบูรณาการ ตลอดจนการขยายอิทธิพลในการสร้างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ KOL ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจีน EternityX รับมือกับความท้าทายที่มีลักษณะเฉพาะตัวของกลุ่มผู้บริโภคนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเชิงลึกทางวัฒนธรรมและดิจิทัล เทคโนโลยี รวมทั้ง AI ที่พัฒนาขึ้นเองพร้อมความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายถึง 96% รูปแบบการตลาดข้ามพรมแดนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว การบริการแบบบูรณาการครบวงจร ไม่ต้องติดต่อกับผู้ให้บริการหลายราย และความสามารถด้านการสร้างเนื้อหาภาษาจีนตัวย่อระดับเจ้าของภาษา พร้อมการบูรณาการแพลตฟอร์มด้วยความเข้าใจ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริงกับผู้บริโภคและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อทันที

ดร.ชนะ ภูมี ประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ 9 หน่วยงานพันธมิตรด้านบริหารจัดการน้ำของประเทศ เชื่อมโยงทุกภาคส่วน นำร่องในพื้นที่ยุทธศาสตร์ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และชุมชนเมือง เยี่ยมชมการทำงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำ (Water War Room) ภาคตะวันออก ณ สำนักงานชลประทานที่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชาราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมถอดบทเรียนมาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านน้ำ เช่น จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น เพื่อร่วมกันวางแผน บริหารจัดการ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำให้เพียงพอรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการของชุมชนได้อย่างสมดุลและยั่งยืน

“ศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก ต้นแบบความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน มีเป้าหมายหลักในการติดตาม รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์น้ำ รวมถึงประสานความร่วมมือ เพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผยแพร่ข้อมูล และมาตรการแก้ไขปัญหาให้ทุกภาคส่วนรับทราบอย่างต่อเนื่องและทันเหตุการณ์”

“นับเป็นเวทีแห่งความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ และลดผลกระทบจากปัญหาน้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม” ดร.ชนะ กล่าว

บทเรียนจากศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก สามารถนำไปขยายผล

ในพื้นที่อุตสาหกรรมอื่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำให้สมดุลทั้งภาคอุตสาหกรรมและชุมชน โดยสถาบันน้ำ ฯ  ส.อ.ท. เป็นตัวเชื่อมความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนงานบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม และมีผลสำเร็จอย่างชัดเจน

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดกิจกรรมการเสวนาภายใต้โครงการส่งเสริมให้ความรู้ด้านการประกันภัย และการฉ้อฉลประกันภัย ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และประชาชนเชิงรุก ในชื่อ “เตือน Insurance Alert” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรม ณ เวลา โฮเต็ล แอนด์ คอนเวนชั่น ห้องเวลาดี 1 จังหวัดราชบุรี ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายวริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีให้การต้อนรับและได้กล่าวขอบคุณที่สำนักงาน คปภ. เลือกจังหวัดราชบุรีเป็นพื้นที่เป้าหมายในการ ให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ผู้ประกอบการ SMEs อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหาร  ความเสี่ยงภัยต่อการประกอบธุรกิจ

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า “สำนักงาน คปภ. มีภารกิจหนึ่งที่สำคัญคือ การส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งสำนักงานมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ด้านประกันภัยให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs” ที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคค้าส่งค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยวและบริการ และภาคการขนส่ง นอกจากนี้สำนักงาน คปภ. ยังสนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับสภาพ เศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนผู้ประกอบการในแต่ละจังหวัดได้ ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ SMEs การประกันภัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการบริหารความเสี่ยงสำหรับการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยสายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. โดย นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการว่า “โครงการส่งเสริมให้ความรู้ด้านการประกันภัย ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีแนวคิดริเริ่มมาจากสถานการณ์น้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งในขณะนั้น ได้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เพื่อพยุงอัตราเบี้ยประกันภัยให้เหมาะสมและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ในขณะนั้นซึ่งสำนักงาน คปภ. เข้าร่วมเป็นหนึ่งในอนุกรรมการกฎหมาย ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านกฎหมายจากภาคเอกชน และได้รับการร้องขอและคำแนะนำจากท่านอนุกรรมการที่เป็นผู้แทนสภาอุตสาหกรรมให้ สำนักงาน คปภ. จัดอบรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการประกันภัย การตีความเงื่อนไขสัญญาประกันภัยต่าง ๆ ที่เคยเกิดปัญหาข้อโต้แย้งกันบ่อยครั้ง และเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ด้านการประกันภัยที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม จะได้ใช้การประกันภัยบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ทัดเทียมกับผู้ประกอบขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมและความเข้าใจบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี จึงได้มีการจัดโครงการนี้เกิดขึ้น โดยสายกฎหมายและคดี ดำเนินการอย่างต่อเนื่องกันมาทุกปี เพื่อให้ความรู้ เรื่องการประกันภัยกับธุรกิจ SMEs และเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยกับทางผู้ประกอบการ SMEs และนอกจากนั้น ยังมีการขยายฐานการเข้าถึงไปยังมหาวิทยาลัย และโรงเรียนมัธยมในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยดังกล่าวกับเยาวชนอีกด้วย” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าววัตถุประสงค์เพื่อ การส่งเสริมและสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วน ว่าการประกันภัยมีความจำเป็นใน การดำเนินชีวิตของทุกท่าน เนื่องจากทุกวันนี้มีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต ในรูปแบบต่างๆ มากมาย

ซึ่งการบริหารจัดการความเสี่ยงรูปแบบหนึ่งก็คือ การโอนความเสี่ยงในรูปแบบของการประกันภัย แม้การทำประกันภัยไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงหรืออุบัติเหตุหายไป แต่การประกันภัยจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือนร้อนด้านการเงิน หากมีความเสียหายเกิดขึ้น แก่ชีวิต ทรัพย์สิน การสูญเสียรายได้ระหว่างธุรกิจหยุดชะงัก หรือเมื่อมีกรณีละเมิด เป็นเหตุให้ต้องรับผิดตามกฎหมายแก่บุคคลภายนอก จึงมีการประกันภัยที่หลากหลาย เพื่อรองรับความเสี่ยงภัยที่แตกต่างกัน ซึ่งความรู้ ความเข้าใจถึงเงื่อนไข ความคุ้มครอง ข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยประเภทต่างๆ จึงมีความจำเป็น ที่จะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของบุคคล หรือธุรกิจของตนได้

ภายในงานมีการเสวนาให้ความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ ในหัวข้อ “การประกันภัยสำหรับธุรกิจ SMEs” ที่เกี่ยวกับหลักการประกันภัย ประเภทการประกันภัยที่จำเป็นต่อธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจด้วยการประกันภัย หลักการที่จำเป็นในการพิจารณาทำประกันภัย รวมถึงกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “การฉ้อฉลประกันภัย” ที่เกี่ยวกับรูปแบบการฉ้อฉลประกันภัยซึ่งมีความหลากหลาย เช่น การฉ้อฉลทางอิเล็กทรอนิกส์ การชักชวนให้กระทำความผิด การหลอกหลวงที่มาในรูปแบบการประกันภัย ฯลฯ ทั้งจากตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย ผู้ประเมินวินาศภัย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ระบบธุรกิจประกันภัย เศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง โดยมีผู้ประกอบการและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงานเสวนาเป็นจำนวนมาก เช่น ผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิต และผู้แทนจากสมาคมประกันวินาศภัย เป็นต้น

X

Right Click

No right click