December 23, 2024

วิกฤตโรคเบาหวานคุกคามโลก! ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากกว่า 537 ล้านคนทั่วโลก และสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) ได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคนภายในปี 2573 คน และโรคเบาหวานมีส่วนทำให้เสียชีวิตสูงถึง 6.7 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 5 วินาที ประเทศไทยก็เผชิญวิกฤตเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยสูงถึง 5.3 ล้านคนภายในปี 2583 และที่น่าตกใจคือเกือบครึ่งยังไม่ได้รับการวินิจฉัย โรคเบาหวานไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและโรคไต แต่ยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึงปีละ 47,596 ล้านบาทต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคเบาหวานและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โครงการ Affordability Project ภายใต้การดำเนินงานของ Novo Nordisk จึงเป็นหนึ่งในความพยายามที่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจและยกระดับการเข้าถึงระบบสุขภาพให้ดีขึ้น

นายเอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดูแลสุขภาพผู้คนทั่วโลกมาตลอดระยะเวลา 100 ปี โดยเฉพาะโรคเบาหวาน รวมถึงโรคอ้วน และโรค NCDs อื่นๆ โดยมุ่งขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในปัจจุบันและในอนาคตด้วยนวัตกรรมการรักษาและการป้องกันแบบบูรณาการ สำหรับประเทศไทย โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย ได้ริเริ่มโครงการ Affordability Project โดยร่วมมือกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ดีอย่างเท่าเทียม ทั้งในการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยได้อย่างทั่วถึง และการนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการดูแลโรคเบาหวานมาถ่ายทอดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องให้สามารถดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข

โครงการ Affordability Project มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565 – 2568 โดยปัจจุบันได้บรรลุเป้าหมายไปมากกว่า 70% ตามที่กำหนดไว้ใน 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

1) จำนวนผู้ได้รับการตรวจคัดกรองทั้งหมด 53,000 คน ใน 13 เขตสุขภาพ ครอบคลุมพื้นที่ 21 จังหวัด โดยปัจจุบันโครงการฯ ได้ตรวจคัดกรองโรคเบาหวานได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

2) จำนวนบุคลากรทางการแพทย์และผู้เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งหมด 7,000 คน โดยได้จัดฝึกอบรมสำเร็จไปกว่า 85% ครอบคลุมโรงพยาบาล 2,212 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงได้จัดเวิร์กช็อปภาคปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการรักษาโรคเบาหวาน  

3) จำนวนผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานและอยู่ในการควบคุมดูแลระดับน้ำตาลอย่างเข้มข้นจำนวน 7,000 คน ในเฟสแรกมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,500 คน และสามารถลดระดับ HbA1C (ตัวชี้วัดระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย) ได้ถึง 70% โดย 21.5% บรรลุเป้าหมายของตนเอง และโครงการฯ จะเริ่มเฟสที่สองสำหรับผู้ป่วยอีก 2,500 คนเป็นลำดับต่อไป จากผลลัพธ์ของโครงการได้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยที่เข้มข้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการ Affordability Project บรรลุเป้าหมายในระยะยาว จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนและการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าว ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจคัดกรองและเข้าถึงการรักษาเท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาพบว่า การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ทำให้ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคไตวาย หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาวลงอย่างมาก

นอกจากนี้ โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย ยังสนับสนุนกิจกรรมร่วมกับภาครัฐเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานมาอย่างต่อเนื่อง และในโอกาสวันเฉลิมฉลองวันเบาหวานโลก ในปี 2567 (World Diabetes Day 2024)  โนโว นอร์ดิสค์ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับโรคเบาหวาน ร่วมกับสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ภาคีเครือข่าย และกรุงเทพมหานคร ในงานปั่นจักรยานและวิ่งมาราธอน "Bangkok Ride and Run 2024 สุขกาย สุขใจ โลกสดใจ ใส่ใจเบาหวาน" ในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

สัมผัสชีวิตเหนือระดับบนชายฝั่งอันดามันที่สวยงามกับ Veyla Natai Residences โครงการวิลล่าหรูริมหาดในบรรยากาศที่เงียบสงบ อันเป็นอัญมณีที่ซ่อนอยู่ของหาดนาใต้ จังหวัดพังงาโครงการ อยู่ห่างจากสนามบินภูเก็ตเพียง 30 นาที ในพื้นที่ขนาด 5.8 ไร่ พร้อมชายหาดที่ทอดยาวถึง 110 เมตร วิลล่าทั้ง 15 หลังถูกออกแบบให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ สะท้อนกลิ่นอายท้องถิ่นอย่างมีเอกลักษณ์และประณีต พื้นที่กว้างขวางและสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย พร้อมบริการจากทีมงานมืออาชีพที่เอาใจใส่และอบอุ่น

ที่นี่ คุณจะได้ดื่มด่ำกับทะเลอันดามันอันกว้างไกล พักผ่อนท่ามกลางสวนสวยและสระว่ายน้ำส่วนตัว ใช้เวลาช่วงบ่ายในการพักผ่อนริมสระหรือสวนสวยซึ่งตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ชื่นชมภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ชวนหลงใหล พร้อมจิบเครื่องดื่มแก้วโปรด และสิ้นสุดวันด้วยบทเพลงกล่อมที่นุ่มนวลจากเสียงคลื่น

คุณยังสามารถออกไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจในพังงาและภูเก็ตได้อย่างง่ายดาย มีกิจกรรมหลากหลายให้เข้าร่วมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

Veyla Natai Residences เป็น "บ้านริมทะเล" ซึ่งจะทำให้ทุกวินาทีของคุณเป็นช่วงเวลาที่มีค่าและความหมาย

Veyla Natai Residences เป็นตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหาบ้านพักตากอากาศ ที่อยู่อาศัยถาวร หรือแม้กระทั่งโอกาสการลงทุนซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

ทำไม Veyla Natai Residences ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวิลล่าริมทะเล?

เงียบสงบใกล้ชิดธรรมชาติ: โครงการนี้ให้คุณได้สัมผัสชีวิตริมทะเลล้อมรอบด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบสวยงามและเป็นส่วนตัว ด้วยวิลล่าเพียง 15 หลัง

การออกแบบอันยอดเยี่ยม: Veyla Natai Residences ได้รับรางวัล International Architecture Awards (IAA) ในปี 2020 ด้วยการออกแบบที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมภายนอกและการตกแต่งภายในเข้ากับบรรยากาศชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างลงตัว โดยนำลวดลายเอกลักษณ์ตามวิถีท้องถิ่นมาใช้และด้วยโมโนโครมาติคดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากผืนทรายหาดนาใต้

ทำเลสะดวกสบาย: ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในพังงาและภูเก็ต คุณจะได้สัมผัสกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะปีนเขา เดินป่า ล่องเรือยอร์ช ดำน้ำ และเล่นกอล์ฟ ทั้งยังมีร้านอาหารชั้นนำและไนท์ไลฟ์ที่อยู่ไม่ไกล ทำให้คุณได้ใช้ชีวิตที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

การลงทุนอย่างมั่นคง: การถือครองกรรมสิทธิ์แบบสมบูรณ์ (Freehold) ช่วยให้คุณบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างยืดหยุ่น ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง หรือขายและปล่อยเช่าได้ตามต้องการ

ศักยภาพการปล่อยเช่า: ด้วยความร่วมมือกับ Elite Havens บริษัทบริหารจัดการและให้เช่าวิลล่าหรูระดับโลกที่มีประสบการณ์ยาวนาน ทำให้คุณมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ และรับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าในระยะยาว

Veyla Natai Residences ตั้งอยู่ใกล้สถานที่จัดเทศกาลดนตรีและการแข่งขันกอล์ฟที่มีชื่อเสียง ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ยังอยู่ไม่ไกลจากโลเคชั่นยอดนิยมสำหรับการถ่ายทำโฆษณาและโปรเจกต์จากทีมงานนานาชาติ ทำให้โครงการมีมูลค่าและความน่าสนใจเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนซึ่งมองหาผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต

พบกับโครงการ Veyla Natai Residences และข้อเสนอพิเศษที่งาน “Soul of Veyla”

ร่วมงาน “Soul of Veyla” ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2567 ณ Jim Thompson Art Center ให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศและรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมค้นพบเหตุผลที่ทำให้ Veyla Natai Residences เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการอยู่อาศัย พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในงาน:

-ทริปสุดพิเศษ: 3 วัน 2 คืน สำหรับคุณ ณ โครงการ Veyla Natai Residences

-ส่วนลดจาก Boundary แบรนด์นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ:รับส่วนลด 10% สำหรับการออกแบบภายใน จากแบรนด์ระดับโลกของ Boundary เช่น Ligne Roset, Knoll และ Eggersmann เมื่อซื้อวิลล่าของเรา

-โปรแกรมการเช่าสุดพิเศษ: รับประกันผลตอบแทน 4% ต่อปี สำหรับ 2 ปีแรก หากคุณเลือกปล่อยเช่าหลังจากซื้อวิลล่า (ยกเว้นกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ)

พบกันในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2567 ณ Jim Thompson Art Center (หอศิลป์บ้านจิมทอมป์สัน) ซอยเกษมสันต์ 2 ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1  สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 065 221 9944 อย่าพลาดโอกาสดี ๆ ที่จะได้มาสัมผัสกับ Veyla Natai Residences และรับข้อเสนอสุดพิเศษนี้!

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดตัวฟีเจอร์บนแอป "ttb smart shop” ผู้ช่วยบริหารจัดการร้านค้าแบบครบวงจร ควงคู่มากับ “ปังปัง” ผู้ช่วยแสนฉลาด ด้วยสโลแกนใหม่ “รับไว รู้ลึก ธุรกิจปังปัง” พร้อมนำพาธุรกิจของผู้ประกอบการร้านค้าเอสเอ็มอีให้พุ่งทะยาน พิชิตทุกเป้าหมาย แบบปังปัง และนับเป็นธนาคารแรกที่นำ Big Data มาใช้ทำ Analytic Report

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีและการชำระเงินแบบดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ต้องเตรียมพร้อมบริการเพื่อให้ทันกับความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า โดยจากการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ พบว่าในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา e-Payment เติบโตขึ้นถึง 18 เท่า โดยในปี 2023 การทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเมื่อเทียบกับปี 2020 เพิ่มขึ้นกว่า 200%  มีจำนวน QR Scan ทั้งประเทศกว่า 300 ล้านรายการต่อเดือน คิดเป็นมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท สิ่งนี้เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยมีแนวโน้มการเข้าใกล้ Cashless Society มากขึ้นเรื่อย ๆ

ทีทีบีมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะร้านค้าเอสเอ็มอี ให้สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเป็น Cashless Society ผ่านการพัฒนาฟีเจอร์ในแอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ttb smart shop มาพร้อมกับคุณสมบัติที่จะช่วยให้การทำธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นไปอย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น เงินเข้าบัญชีทันที / Dashboard แสดงข้อมูลยอดขายเรียลไทม์ พร้อมรายงานวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งในปีนี้แอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ttb smart shop มีมูลค่าของธุรกรรมเติบโตขึ้น 89% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Consumer Goods และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีมูลค่าเติบโตขึ้น 62% และ 100% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ทีทีบีนับเป็นธนาคารแรกที่นำ Big Data มาใช้ทำ Analytic Report ให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเพื่อต่อยอดวางแผนลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งธนาคารยังคงพัฒนาโซลูชันอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในเชิงลึกมากขึ้น ด้วยเป้าหมายที่อยากเป็นมากกว่าแอปพลิเคชันรับเงิน ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยบริหารจัดการร้านค้าแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้การทำธุรกิจของผู้ประกอบการร้านค้าเอสเอ็มอี เป็นไปอย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและมีประสิทธิภาพสูงสุด 

 

นางกนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของแอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ttb smart shop ล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่มาพร้อมมังกรสีน้ำเงินมงคล “ปังปัง” ผู้ช่วยแสนฉลาด ที่จะพาธุรกิจให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า พิชิตทุกเป้าหมาย แบบปังปัง เป็นการสร้างการจดจำให้แอป ttb smart shop ได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสอดรับกับ Tagline ใหม่ “รับไว รู้ลึก ธุรกิจปังปัง” และตอกย้ำจุดเด่นของโซลูชัน ได้แก่

  • รับเงินไว เงินเข้าบัญชีทันที: เจ้าของธุรกิจจะได้รับเงินเข้าบัญชี เมื่อลูกค้าสแกนชำระเงินสำเร็จ พร้อมมีบริการแจ้งเตือนเงินเข้าแบบ Real-time และสามารถนำเงินไปใช้ได้เลย ไม่ต้องรอสิ้นวัน
  • รู้ลึก ต่อยอดได้ทันที: มี Dashboard แสดงข้อมูลเรียลไทม์ รายงานการขายครบทุกมิติ และรายงานวิเคราะห์เชิงลึก Analytic Report ให้เจ้าของธุรกิจนำไปวางแผนและต่อยอดธุรกิจได้ตามต้องการ
  • ธุรกิจปังปัง จัดการง่ายทุกสาขา: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีหลายสาขา เพราะแอป ttb smart shop สามารถช่วยบริหารจัดการได้ทุกสาขาครบจบในแอปเดียว เห็นยอดรับเงินชัดเจนแยกรายสาขา และจัดการเพิ่ม-ลดสิทธิ์ให้พนักงานก็สามารถทำได้ไม่จำกัด

“ฟีเจอร์ใหม่ของแอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ttb smart shop ที่มาพร้อมมังกรสีน้ำเงินมงคล “ปังปัง” ผู้ช่วยแสนฉลาด ถูกพัฒนาขึ้นมาจากความเข้าใจความต้องการในการใช้งานของเจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเพื่อช่วยในการวางแผน และต่อยอดธุรกิจ โดยไม่เพิ่มภาระด้านต้นทุนการดำเนินงาน เพราะถ้าหากต้องลงทุนระบบ CRM แบบบริษัทใหญ่ ๆ ก็จะต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยหลังจากนี้ทีมงานยังคงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมให้กับแอปจัดการร้านค้า ttb smart shop อย่างต่อเนื่อง” นางกนกพร กล่าว

นอกจากการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่แล้ว ยังได้เชิญตัวแทนผู้ประกอบการจาก 3 องค์กร ได้แก่ คุณณัฐธิดา เตชวรประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักบัญชี บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน), คุณสรรเสริญ เกียรติเวชสุนทร กรรมการผู้จัดการ คลินิกทันตกรรม COSDENT, คุณปุยฝ้าย เจ้าของแบรนด์น้ำพริก “ปุยแสบปาก” มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความประทับใจของการใช้บริการ แอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ttb smart shop อีกด้วย

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนิติบุคคลที่สนใจสมัครใช้แอป ttb smart shop ทีทีบี ก็มีแคมเปญพิเศษรับเงินคืนสูงสุด 5,000 บาท เพียงสะสมยอดรับชำระเงินผ่านแอป ttb smart shop ทุก ๆ 10,000 บาท รับเงินคืน 100 บาท  สิ้นสุดระยะเวลาแคมเปญ 31 ม.ค. 2568

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจแอปพลิเคชันระบบจัดการร้านค้า ttb smart shop สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจ หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี  โทร. 0 2643 7000 วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 08:00 - 20:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดธนาคาร

กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมมือกับ The 1 ผู้นำ Digital Lifestyle และ Loyalty Platform อันดับ 1 ของไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล เปิดตัว The 1 EXPAT โปรแกรมสมาชิกบน The 1 APP ที่จะสร้างประสบการณ์การช้อปเหนือระดับสำหรับชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย (Expats) โดยมอบสิทธิพิเศษและประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งสร้าง Expat Community Hub ในไทย มาพร้อมกับความสะดวกสบายสูงสุดโดยผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน (Online-to-offline) เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า Expats โดยเฉพาะ

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าว “กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในแง่ของกำลังซื้อ ข้อมูลจาก The 1 พบว่า ในปี 2023 กว่า 65% ของกลุ่ม Skilled Expats ในไทยมีการใช้จ่ายในกลุ่มเซ็นทรัล  โดยมียอดการใช้จ่ายสูงกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 2.5 เท่า และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ชัดว่ากลุ่มลูกค้า Expats มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของหน่วยธุรกิจต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นที่มาของการเปิดตัว The 1 EXPAT โปรแกรมสมาชิกที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปเพื่อกลุ่มลูกค้า Expats โดยเฉพาะ ทั้งนี้ กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเป็น Shopping Destination ที่ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่ม Expats มาอย่างยาวนาน ครอบคลุมในทุกๆ ด้านของการใช้ชีวิต อีกทั้ง ความร่วมมือในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ Customer-centric ของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในปี 2024 ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของกลุ่มลูกค้า Expats ซึ่งเป็นหนึ่งใน Key focus และมุ่งหวังที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับ Expat Community ในประเทศไทย”

เดินหน้าสู่ Expat Community Hub ชั้นนำของไทย

ด้วยวิสัยทัศน์ของ The 1 EXPAT ที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การมอบสิทธิประโยชน์ แต่ยังพร้อมที่จะเป็นหนึ่งใน Expat Community Hub (ศูนย์กลางชุมชนของชาวต่างชาติ) ชั้นนำในประเทศไทย The 1 EXPAT มาพร้อมกับกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสำหรับสมาชิกคนสำคัญและการเฉลิมฉลองในเทศกาลนานาชาติต่างๆ ตลอดทั้งปี พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปอย่างเต็มรูปแบบและร่วมฉลองไปกับโอกาสพิเศษสำหรับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมงาน Pre-Sale ล่วงหน้า โปรโมชันพิเศษต่างๆ หรือ เพลิดเพลินกับประสบการณ์การช้อปพิเศษเพื่อลูกค้ากลุ่ม Expats โดยเฉพาะ

สิทธิประโยชน์ในการช้อปที่เหนือระดับ ภายใต้ความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัล

The 1 EXPAT สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า Expats ได้อย่างครอบคลุม ด้วยความหลากหลายของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล โดยมอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกได้เพลิดเพลินตลอดทั้งปี นอกจากที่ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันแล้ว สมาชิกยังได้รับสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากแบรนด์ชั้นนำภายในกลุ่มเซ็นทรัล เช่น TOPS, Supersports, PowerBuy, B2S, CMG, Centara Hotels & Resorts, Thai Watsadu, goWow, BnB Home และ Auto1 ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้ The 1 EXPAT ยังมีแผนขยายความร่วมมือกับโรงพยาบาล สายการบิน ศูนย์สุขภาพ โรงแรม และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อีกด้วย

ด้วยการผนึกกำลังทั้งกลุ่มเซ็นทรัล The 1 EXPAT พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นโปรแกรมสมาชิกชั้นนำของประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปที่สมบูรณ์แบบและสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มลูกค้า Expats พร้อมก้าวไปสู่การเป็น Expat Community Hub ชั้นนำได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ The 1 ลอยัลตี้แพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนสมาชิกมากกว่า 21 ล้านราย ครอบคลุมมากกว่า 30% ของประชากรไทยทั้งประเทศ โดย The 1 มุ่งมอบประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร เพื่อมอบที่สุดแห่งความคุ้มค่าและความสะดวกสบายสูงสุดให้กับสมาชิกผ่านพันธมิตรใน Ecosystem ที่แข็งแกร่งกว่า 3,000 ราย และจุดบริการกว่า 32,000 แห่งทั่วประเทศ

นายกวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ The 1 กล่าวว่า "ในฐานะ Digital Lifestyle และ Loyalty Platform อันดับหนึ่งของไทย The 1 มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับสมาชิก รวมไปถึงกลุ่ม Expats ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกกลุ่มสมาชิกสำคัญ เราได้ออกแบบประสบการณ์ให้ตรงความต้องการและสะดวกสบายสำหรับสมาชิกกลุ่มนี้อย่างแท้จริง โดยในปัจจุบัน เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ The 1 EXPAT สมาชิกจะได้รับความสะดวกสบายมากมายผ่าน The 1 APP อาทิ การเช็กและแลกคะแนน เช็กโปรไฟล์ และเข้าถึงสิทธิพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่ม Expats โดยเฉพาะ และจากนี้ไป เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดร่วมกับ The 1 EXPAT เพื่อยกระดับสิทธิประโยชน์และบริการที่ตรงใจยิ่งขึ้น"

เข้าร่วมกับ The 1 EXPAT

เมื่อเข้าร่วม The 1 EXPAT สมาชิกสามารถสะสมคะแนน The 1 จากการซื้อสินค้าจากแบรนด์และร้านค้าภายใต้กลุ่มเซ็นทรัลและเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังสามารถรับความสะดวกสบายสูงสุดบน The 1 APP อาทิ แลกคะแนนเป็นคูปองแทนเงินสด ดีลสุดพิเศษจากแบรนด์ต่างๆ และบริการที่หลากหลายประเภท รวมถึงการเข้าใช้บริการในโรงแรม สถานบันเทิง โปรแกรมเสริมความงาม และอื่นๆ นอกจากนี้ สมาชิกยังสามารถเช็กยอดคะแนน เข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ จัดการโปรไฟล์ และดูข้อเสนอพิเศษที่คัดสรรสำหรับสมาชิก และอื่นๆ อีกมากมาย

วิธีการเป็นสมาชิก The 1 EXPAT

  1. ดาวน์โหลด The 1 APP
  2. ลงทะเบียน สร้างบัญชีโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทยและข้อมูลจากหนังสือเดินทาง
  3. ยืนยันข้อมูล โดยแสดงภาพหนังสือเดินทางและวีซ่า หรือใบอนุญาตทำงาน ที่เคาน์เตอร์บริการลูกค้าของห้างเซ็นทรัลหรือโรบินสัน
  4. สแกน QR Code ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า
  5. รับคูปองส่วนลด 5% ซึ่งใช้ได้เพียงครั้งเดียว ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์
  6. เข้าร่วมโปรแกรม The 1 EXPAT ภายหลังการลงทะเบียนประมาณ 2 สัปดาห์

 

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office สร้างความแข็งแกร่งใน The Ecosystem for All เดินหน้าพัฒนาธุรกิจ พร้อมเผยกลยุทธ์พลิกโฉม Community Mall Landscape ทั่วกรุงเทพฯ ด้วยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ “Market Place” (มาร์เก็ตเพลส) เจาะย่านเมืองเติบโต ที่อยู่อาศัยพุ่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าได้เพิ่มขึ้น โดยทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท ในปี 5 พัฒนาและปรับโฉมโครงการรวม 15 สาขา บนโลเคชั่นศักยภาพสูง อาทิ มาร์เก็ตเพลส เจ อเวนิว, มาร์เก็ตเพลส ลา วิลล่า, มาร์เก็ตเพลส นางลิ้นจี่, มาร์เก็ตเพลส พหลโยธิน, มาร์เก็ตเพลส กรุงเทพกรีฑา, มาร์เก็ตเพลส ประชาอุทิศ, มาร์เก็ตเพลส เกษตร-นวมินทร์ เป็นต้น พร้อมเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “Market Place เทพรักษ์” ด้วยโมเดล Community Mall ผนวกกับ Urban Fresh Market เจาะใจกลางย่านเทพรักษ์-วัชรพล โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ในเดือนมกราคม 2568 รับเทศกาลตรุษจีนยิ่งใหญ่อีกด้วย

นายวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ Chief Operating Officer & Head of Community Mall Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ในยุคที่ลูกค้ามีความต้องการที่ Fragmented มากขึ้นในแต่ละย่าน ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ถือเป็นธุรกิจหนึ่งที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ในเชิงลึกได้มากขึ้น สามารถนำเสนอร้านค้าบริการต่างๆ ที่ทันสมัย สดใหม่ และเข้าถึงชีวิตประจำวันทุกวันได้ ทั้งนี้เรามีแผนลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทใน 5 ปี เพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงการทั้งหมด 15 โครงการที่เรามีอยู่ในพอร์ตตอนนี้ ในปี 2568 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่คือ “Market Place เทพรักษ์” และเตรียมปรับโฉมอีก 5 โครงการ และมีแผนขยายต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป จะขยายอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งของ Ecosystem ให้เซ็นทรัลพัฒนา และนำเอาความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพื้นที่และมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอยู่เสมอ มาช่วยพัฒนาสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกแห่ง”

ปีที่แล้ว เราได้เปิดตัวโครงการใหม่ ‘มาร์เช่ ทองหล่อ’ มิกซ์ยูสใจกลางทองหล่อ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี สำหรับ ปีนี้เราได้ทำ Rebranding ครั้งยิ่งใหญ่ โดยโฟกัสการพัฒนา Market Place ให้เป็น Core Brand ที่มีความแข็งแกร่ง การปรับภาพลักษณ์ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยผนวก Community Mall เข้ากับ Urban Fresh Market มอบทั้งความสะดวกสบาย สินค้าและบริการมีความหลากหลายมากขึ้น เป็นพื้นที่ของทุกคนในครอบครัวที่มาใช้เวลาได้ทุกวัน ทั้งวัน”

นางสาวสุรางค์ จิรัฐิติกาลโชติ Executive Project Director บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “มาร์เก็ตเพลส เทพรักษ์ จะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ใหญ่ที่สุด ใหม่ที่สุด ทันสมัยที่สุด เป็นศูนย์กลางของย่านเทพรักษ์

  • ทำเลดีที่สุด ตั้งอยู่ถูกทิศและถูกตำแหน่งของถนนเทพรักษ์ เป็นทำเลที่ผู้คนจะต้องผ่านเวลาขับรถกลับบ้านมาจากในเมือง
  • ย่านที่อยู่อาศัยเติบโตสูง ด้วยโอกาสทางธุรกิจและความต้องการของคนในย่านจากโซนหมู่บ้านต่างๆ ปัจจุบัน โครงการที่อยู่อาศัยมีจำนวนกว่า 174,000 ยูนิต มีอัตราการเพิ่มจำนวน 4% ต่อปี และมีจำนวนประชากรเกือบ 400,000 คน เจาะกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มครอบครัว ลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ และต้องการความสะดวก
  • ครบครันและดีที่สุดในย่าน ประกอบด้วย พื้นที่ Community Mall ขนาด 5,800 ตร.ม. จำนวน 60 ร้านค้าและพื้นที่ Urban Fresh Market สะอาดทันสมัย ขนาด 1,500 ตร.ม. กว่า 300 ร้านค้า
  • Food Destination ร้านอาหารหลากหลายตั้งแต่ ร้านแนวเทรนดี้ ร้านอาหารครอบครัว ร้านนั่งชิล หลังเลิกงาน และ ตื่นตาตื่นใจไปกับร้านแนว street food ชื่อดัง
  • Urban Fresh Market ตลาดสดรุ่นใหม่ ใส่ใจคุณภาพ สะอาดปลอดภัย เพลิดเพลินกับการจับจ่าย ทั้งของสด อาหารทะเล อาหารออแกนิก และวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลก และมีร้านหลากหลายทั้ง Ready to Eat, Grab & Go, Take Home
  • Family & Co-creation space พื้นที่ผ่อนคลายและทำกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว, Kid playground และ พื้นที่ Pet-Friendly พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นได้
  • Health & Beauty: ครบครันกับร้านค้าและบริการด้านสุขภาพและความงาม
  • พื้นที่จัดงาน Events ทั้ง Tourism Event, Food Fair และ Health Fair เป็นต้น
  • ขนทัพแบรนด์และร้านค้าครบครัน ทั้ง Tops Supermarket ร้านอาหารดัง Street Food มากมาย อาทิ ร้านราดหน้ายอดผัก จากสาขาศาลเจ้าพ่อเสือ, กุ๊กขี้เมา จากบรรทัดทอง, เช็งซิมอี๊, หมูทอดเจ๊จง, เสือเบิร์นไฟ, ซั่งไห่ (ซาลาเปาและข้าวมันไก่), ผักบ้านต่าย ผักออร์แกนิก, ราดหน้าเฮียอ้วน เยาวราช, ผัดไทยรสชา, กงสี ทีบาร์, ร้านชาวเลซีฟู้ดส์ และร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ รวมถึงกลุ่มร้านบริการ เช่น AUTO 1 ศูนย์บริการรถยนต์ออโต้วัน ในเครือเซ็นทรัล และ PETClub ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าพรีเมียม สำหรับสัตว์เลี้ยงและบริการต่างๆ ครบวงจร
  • ดีไซน์ใหม่ด้วยตัวอาคาร Low-Rise ในบรรยากาศร่มรื่น Tropical Style พร้อมด้วยพื้นที่สำหรับ ทุกคนในครอบครัว, พื้นที่ Pet Friendly, และที่จอดรถสะดวกสบายกว่า 200 คัน
  • เดินทางสะดวก โดยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เวลาเพียง 5 นาทีจากถนนพหลโยธิน และใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีจากถนนวิภาวดี ใช้ทางด่วนฉลองรัช หรือเส้นทางถนนวัชรพล หรือโดยสารรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ใช้เวลาเพียง 7 นาทีจากสถานีสายหยุด
  • เปิดตัวงาน Grand Opening โครงการ Market Place เทพรักษ์ ในเดือนมกราคม ปี 2568 และHighlights พิเศษมากมาย ทั้งในเรื่องสีสันวันเปิดตัวที่จะนำความสุข สนุกมาสู่ชุมชน ในบรรยากาศต้อนรับเทศกาลตรุษจีนยิ่งใหญ่ ครบทั้งจับจ่าย-ไหว้-กิน-เที่ยว

เซ็นทรัลพัฒนา ชูกลยุทธ์ Life Connecting Hub พลิกโฉม Community Mall Landscape ได้แก่

1. Future-Fluent Development: สร้างสรรค์ “คอมมูนิตี้” ที่ตอบโจทย์กิจกรรมของคนทุกกลุ่มทุกวัย เพื่อเป็น Centre of the Neighbourhood อีกทั้งยังพัฒนา New Model ผสมผสาน Community Mall เข้ากับ Urban Fresh Market

2. Neighbourhood-Centric: ตอบโจทย์ Fragmented Demand ในแต่ละย่านที่แตกต่างกัน ให้ครบและลึกยิ่งขึ้น

  • “ทุกความสะดวกสบาย” ด้วย Flexible Hours, และตอบโจทย์ Everyday Lifestyle ของทั้งลูกค้าชาวไทย และลูกค้า Expat ร้านค้า ร้านอาหารหลากหลาย ทั้งแบบ Dine-in, Grab & Go, Take Home มีร้านให้ Hang out นัดสังสรรค์หลังเลิกงาน
  • โมเดลใหม่ Urban Fresh Market ที่ทันสมัย มีไลฟ์สไตล์ มีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัย
  • จัดงาน Event ที่ engage ชุมชน เช่น เปิดพื้นที่ outdoor / weekend market ให้ร้านค้าชุมชน พื้นที่จัดกิจกรรม Happening Events ต่างๆ กิจกรรมสำหรับ Pet-friendly community

3. Sustainable Community: ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในย่าน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการมุ่งสู่องค์กร Net Zero 2050 ของเซ็นทรัลพัฒนา

  • Green Community Mall Development เน้นการใช้ Green Material ใส่ใจเรื่อง Energy Saving ใช้ Solar Cell และ ใช้หลอดไฟแบบ LED
  • เป็น Hub ที่ส่งเสริม Sustainable Lifestyle ส่งเสริมให้ลูกค้าแยกขยะ – จับมือกับหน่วยงานต่างๆ กับกทม. / ร้านค้าจัดการ Food Waste / มี EV Charger Station เป็นต้น

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมดำเนินกลยุทธ์ The Ecosystem for All เป็นระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อเติบโตไปกับทุกฝ่ายควบคู่ไปกับการเป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจและประเทศ โดยปี 2567 เซ็นทรัลพัฒนาจะมีโครงการศูนย์การค้า 42 โครงการ, คอมมูนิตี้ มอลล์ 15 โครงการ, ที่อยู่อาศัย 43 โครงการ, โรงแรม 10 โครงการ, และออฟฟิศ 10 โครงการ

ติดตามความเคลื่อนไหวเซ็นทรัลพัฒนา คลิก https://www.centralpattana.co.th/th/shopping/shopping-update/lifestyle-activities

นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เยี่ยมชมโครงการ JW Marriott Gold Coast Resort and Spa โรงแรมระดับ 5 ดาว ในกลุ่มบริษัท KS Group โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ KS Group และคณะผู้บริหารโรงแรม ให้การต้อนรับ ณ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ทั้งนี้ EXIM BANK ให้การสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวให้แก่กลุ่มบริษัท KS Group เพื่อปรับปรุงและยกระดับธุรกิจเป็น JW Marriott แห่งแรกในออสเตรเลีย เป็นไปตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายของ EXIM BANK ในการสนับสนุนธุรกิจบริการของไทยสู่ตลาดโลก

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก กลับมาอีกครั้งกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในแคมเปญ HONOR x Shopee 11.11 เอาใจสายช้อปให้คุณได้เป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตคุณภาพเยี่ยมในราคาคุ้มที่สุด ตั้งแต่วันที่ 11 - 15 พฤศจิกายน 2567 พร้อมมอบส่วนลดและข้อเสนอที่ทุกคนไม่ควรพลาด!

พบกับดีลพิเศษในช่วงแคมเปญนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตจาก HONOR Official Store รับทันที โค้ดส่วนลดสูงสุดถึง 500 บาท และ โค้ดส่วนลดจาก Shopee สูงสุดถึง 2,000 บาท เพื่อให้ทุกคนได้ช้อปสินค้าที่ถูกใจในราคาดีที่สุด โดยมีสินค้ายอดนิยมร่วมรายการ อาทิ

  • HONOR Pad X8a แท็บเล็ตอเนกประสงค์เหมาะสำหรับใช้งานประจำวันทั้งด้านความบันเทิงและการเรียนรู้ ราคาเพียง 4,999 บาท*
  • HONOR X6b สมาร์ตโฟนราคาคุ้มค่า พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ราคาเพียง 3,999 บาท*
  • HONOR 200 Lite สมาร์ตโฟนดีไซน์สวย ฟังก์ชันครบครัน ให้คุณสนุกได้ทุกวัน ราคาเพียง 7,999 บาท*

พิเศษยิ่งกว่า! เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ รับข้อเสนอพิเศษ จัดส่งฟรี! ทั่วประเทศ และทางเลือกการผ่อนชำระแบบสบาย ๆ ผ่าน SPayLater 0% นานสูงสุด 5 เดือน สามารถช้อปได้ที่ Shopee: https://bit.ly/3YPRrwp

ผู้สนใจผลิตภัณฑ์ของ HONOR สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

ที่งาน Singapore FinTech Festival 2024  บริษัทผู้นำระบบบริการชำระเงินผ่าน QR ของญี่ปุ่น PayPay (เพย์เพย์) ประกาศความร่วมมือกับ Alipay+ (อาลีเพย์พลัส) แพลตฟอร์มการชำระเงิน และบริการดิจิทัลระดับสากลที่เชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับธุรกิจ ภายใต้ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล (Ant International) โดยการทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรรวมถึง PayPay เพื่อรองรับการชำระเงินที่หน้าร้านค้าให้ครอบคลุมขึ้นถึงกว่าสามล้านร้านค้าในญี่ปุ่นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในการชำระเงินผ่านอีวอลเล็ทจากประเทศของตนเอง อีกทั้งมอบความปลอดภัย และเปิดโอกาสให้ธุรกิจร้านค้าในญี่ปุ่นได้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชำระเงินระดับโลก

ความร่วมมือในครั้งนี้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินเพื่อซื้อสินค้า หรือบริการผ่านเครื่อข่ายของ Alipay+ เพียงสแกนคิวอาร์โค้ดของ PayPay ที่ร้านค้าที่รับชำระทั่วญี่ปุ่น รวมถึงร้านที่อาจไม่ได้มีสัญลักษณ์ของ Alipay+ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ โปรโมชั่นพิเศษในช่วงเทศกาลแห่งการเดินทางท่องเที่ยว อาทิ คริสต์มาส และปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง โดย Alipay+ ร่วมกับ PayPay มีแผนจัดโปรโมชั่นระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2024 – 10 มกราคม 2025

โดยนักท่องเที่ยวที่ใช้งานแอปชำระเงิน  Alipay, AlipayHK, GCash, Kakao Pay, Toss Pay, Touch 'n Go, และ TrueMoney จะได้รับส่วนลด 10%  (สูงสุด 1,000 เยนญี่ปุ่น หรือ 50 หยวนจีน) แอป Tinaba จะได้รับส่วนลดเงินคืน 10% (สูงสุด 20 ยูโร) โดยผู้ใช้งานสามารถรับสิทธิได้ 1 สิทธิระหว่างช่วงเวลาที่จัดกิจกรรม

เครือข่ายพันธมิตรของ Alipay+ ที่รองรับการชำระเงินในญี่ปุ่นผ่านช่องทางอีวอลเล็ทหรือแอปจากธนาคาร ปัจจุบันมีอยู่ 16 รายได้แก่ Alipay (จีน), AlipayHK (ฮ่องกง), MPay (มาเก๊า), Kakao Pay, Naver Pay และ Toss จากเกาหลีใต้, OCBC Digital, Changi Pay และ EZ-Link จากสิงคโปร์, Touch ‘n Go eWallet และ MyPB by Public Bank Berhad จากมาเลเซีย, GCash และ HelloMoney จากฟิลิปปินส์, TrueMoney จากไทย, Hipay จากมองโกเลีย, และ Tinaba จากอิตาลี

ตอบโจทย์ความต้องการการท่องเที่ยวเชิงลึกเพื่อเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นอย่างไร้ข้อจำกัด

ข้อมูลจาก World Economic Forum จัดอันดับให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่นักเดินทางทั่วโลกต้องการมาเยือน ซึ่งการที่นักท่องเที่ยวมีเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ร้านค้าที่รู้จักปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการจากการท่องเที่ยวดังกล่าวได้รับผลประโยชน์

นอกเหนือจาก โตเกียว โอซาก้า และเกียวโต นักท่องเที่ยวในปัจจุบันเริ่มหันมาให้ความสนใจท่องเที่ยวในเมืองที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพื่อเข้าถึงประสบการณ์แบบท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยนักท่องเที่ยวเหล่านี้ต้องการช่องทางในการชำระเงินที่สะดวกไม่ต่างไปจากการชำระเงินที่ประเทศของตนเอง Alipay+ จึงได้ขยายเครือข่ายร้านค้าที่รองรับการชำระเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว

วิธีการชำระเงินที่มีความครบครันหรือ All-in-one payment มีผลต่อพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค เห็นได้จากการที่นักท่องเที่ยวเริ่มนิยมใช้แอปชำระเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ มากขึ้นกว่าการช้อปปิ้งตามห้าง  โดยมีจำนวนผู้ใช้จ่ายผ่านแอปชำระเงินจากประเทศของตนเองเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเกือบเท่าตัว ในช่วงเดือน 1 มกราคม – 31 ตุลาคม 2024 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อีกทั้งจำนวนครั้งการใช้จ่ายผ่านแอปพันธมิตรของ Alipay+ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว โดยอาหาร เครื่องดื่ม และการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง คือประเภทของการใช้จ่ายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากการช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า

ปลดล็อคโอกาสให้ร้านค้าท้องถิ่นก้าวสู่ความเป็นสากล

Alipay+ เชื่อมต่อกว่า 3 ล้านร้านค้าในญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ SME จำนวนมากผ่านความร่วมมือกับ PayPay โดยธุรกิจและร้านค้าเหล่านี้มีครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ตั้งแต่ ร้านขนมที่เป็นที่นิยม ร้านขายของอนิเมะ  ไปจนถึงเกสท์เฮ้าใกล้ภูเขาไฟฟูจิ  ซึ่งการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ทำให้การชำระเงินของนักท่องเที่ยวในร้านค้าท้องถิ่นทำได้ง่ายขึ้น จึงอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันร้านค้าท้องถิ่นต่างก็ได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวที่เข้ามาผลักดันเศรษฐกิจระดับภูมิภาค โดยจำนวนการชำระเงินผ่านแอปพันธมิตรของ Alipay+ ที่ร้านค้าภายใต้เครือข่ายของ PayPay เพิ่มขึ้นถึง 50% ในเดือนตุลาคม 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเติบโตดังกล่าวไม่รวมการใช้จ่ายในโตเกียว

พันธมิตรอีวอลเล็ท และร้านค้าจำนวนมากต่างร่วมกับ Alipay+ ทำการตลาดเพื่อดึดดูงนักท่องเที่ยว โดยกว่า 20 แบรนด์ได้มีการจัดทำแคมเปญส่วนลดสำหรับพันธมิตรอีวอลเล็ทของ Alipay+ ที่ร้านค้ามากกว่า 300,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น รวมถึงร้านค้าที่สนามบิน ห้างสรรพสินค้า ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมี่ยม

เพื่อสนับสนุนโอกาสในการเติบโตให้แก่ธุรกิจท้องถิ่น Alipay+ เดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการขยายเครือข่ายพันธมิตรชำระเงินซึ่งปัจจุบันรองรับแล้วกว่า 90 ล้านร้านค้า ใน 66 ประเทศทั่วโลก เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานกว่า 1.6 พันล้านคน ผ่าน 35 พันธมิตรผู้ให้บริการชำระเงินผ่านมือถือ รวมถึงผู้ให้บริการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด ได้แก่ SGQR จากสิงคโปร์, PayNet จากมาเลเซีย, ZeroPay จากเกาหลีใต้, LankaPay จากศรีลังกา และ KHQR จากกัมพูชาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม SME

คุณมาซาโยชิ ยานะเสะ, Division Head, Finance Business Strategy Division, PayPay Corporation กล่าวว่า “PayPay มุ่งมั่นในการสร้างอีโคซิสเต็มส์ระบบชำระเงินที่เชื่อมต่อเพื่อสนับสนุนธุรกิจร้านค้าระดับท้องถิ่นให้ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวของนักเดินทางทั่วโลกที่มาเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยระบบชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัยเพื่อเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยว เป้าหมายในการทำงานร่วมกับ Alipay+ ในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นผ่านการรองรับการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลของธุรกิจในทุกขนาดทั้งในเมืองใหญ่ที่เป็นที่รู้จักในหมูนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ไปจนถึงเมืองที่กำลังเริ่มได้รับความนิยม”

คุณดักลาส ฟีกิน, ประธาน, แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ความสะดวกในการชำระเงินผ่าน คิวอาร์โค้ด นั้นเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อการชำระเงินระหว่างการท่องเที่ยว อีกทั้งการทำงานร่วมกับ PayPay ยังเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาครวมให้เติบโดจากการสร้างช่องทางที่อำนวยความสะดวกให้การรับชำระเงินของผู้ค้าทั่วญี่ปุ่นให้สามารถรับการชำระเงินจากนักเดินทางจากทั่วโลกเพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งบนเครือข่ายของ Alipay+ เพื่อนักเดินทางจะสามารถชำระเงินผ่านอีวอลเล็ทจากประเทศของตนเองด้วยการสแกน คิวอาร์โค้ดของ PayPay ที่ร้านค้าที่รับชำระ”

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) และ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำเสนอ กรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/5 (+) และ กรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/10 (+) ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ช่วยส่งต่อความมั่นคงทางการเงิน ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงิน พร้อมดูแลตนเองและคนที่คุณรัก

นางสาวดมิศา พิศิษฐวานิช ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดลูกค้ารายย่อย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงศรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงชีวิต โดยคำนึงถึงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตและการวางแผนทางการเงินอย่างรอบด้าน เราตระหนักดีว่าลูกค้าจำนวนมากมองหาเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินและชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการวางแผนเพื่อความมั่นคงในระยะยาวทั้งสำหรับตนเองและครอบครัว กรุงศรีได้จับมือกับอลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เพื่อร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์ “กรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/5 (+)” และ “กรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/10 (+)” ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการวางแผนเก็บเงินเพื่อการศึกษาสำหรับบุตร วางแผนการเงินเพื่อความมั่นคงก่อนวัยเกษียณ วางแผนเก็บเงินเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนแบบมีเงินปันผล โดยสามารถเลือกจ่ายเบี้ยฯทั้งแบบระยะสั้น 5 ปี หรือระยะยาว 10 ปี นอกจากนี้ยังให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเสียชีวิต ด้วยความคุ้มครองสูงถึง 140% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และคุ้มครองเพิ่มเติมจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุถึง 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงช่วยดูแลด้านการเงิน แต่ยังช่วยเสริมความอุ่นใจในทุกมิติของชีวิต

นาย ชยา ควรคิด รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารทางธนาคาร และทางขายตรงธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต มุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารในทุกช่วงชีวิต โดยเฉพาะการวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต ผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ที่เราร่วมพัฒนากับกรุงศรี ไม่เพียงแต่ช่วยบริหารความเสี่ยงทางการเงิน แต่ยังมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น โดยคำนึงถึงความต้องการทั้งด้านการศึกษาของบุตรและการเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ ซึ่งถือเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับลูกค้าและครอบครัวได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้าในระยะยาว รับประกันภัยตั้งแต่อายุ 1 เดือน 1 วัน ถึงอายุ 70 ปี  ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดีสำหรับลูกค้าทุกวัย เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าวัยทำงานที่มองหาความมั่นคงในรูปแบบประกันชีวิต

 “กรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/5 (+) และ 20/10 (+)” เป็นแบบประกันสะสมทรัพย์ที่ให้ความคุ้มครองยาว 20 ปี  สามารถเลือกจ่ายเบี้ยระยะสั้นเพียง 5 ปี หรือ 10 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น เพียง 8,000 บาท เมื่อครบกำหนดสัญญา มอบเงินก้อน 120% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย* เพื่อใช้เป็นต้นทุนต่อยอดธุรกิจ เตรียมตัวก่อนเกษียณ หรือ เป็นทุนการศึกษาให้กับบุตร พร้อมโอกาสรับเงินปันผลรายปีตั้งแต่สิ้นปีที่ 2-20 และเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต นอกจากนี้ยังให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเสียชีวิต ด้วยความคุ้มครองสูงถึง 140% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย** และคุ้มครองเพิ่มเติมจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุถึง 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย พิเศษ มอบความคุ้มครองให้กับผู้ชำระเบี้ยฯ ของสัญญาหลักหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับผู้ชำระเบี้ยฯ*** คนที่คุณรัก (ผู้เอาประกันภัย) ยังคงมีอนาคตที่สดใสที่ยังได้รับความคุ้มครองเหมือนเดิมโดยไม่ต้องกังวลค่าเบี้ยประกันภัยที่ยังชำระไม่ครบเพราะบริษัทฯ ดูแลให้

สำหรับเงื่อนไขการรับประกันภัยสมัครได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน 1 วัน ถึงอายุ 70 ปี เบี้ยฯเริ่มต้น 8,000 บาทต่อปี สามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ได้ทั้งแบบรายปี / ราย 6 เดือน / ราย 3 เดือน / รายเดือน แบบประกันกรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/5 (+) และ แบบประกันกรุงศรีประกันสะสมทรัพย์ เพื่อคุณและคนที่คุณรัก 20/10 (+) เปิดขายผ่านช่องทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชันพิเศษผ่อน 0% นานถึง 10 เดือนด้วยบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/personal/bancassurance/saving-insurance/savings-insurance 

ดีไซน์มาตรฐานการอยู่อาศัยบนแนวคิด Well-Living Mastery เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เพียง 71 ยูนิต เปิดพรีเซลครั้งแรก 23-24 พย.นี้ ราคา 19-25 ล้านบาท

X

Right Click

No right click