

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่องข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจจากฐานข้อมูลของบริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ไตรมาส 1/2568 พบลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ ขณะที่อานิสงส์จากการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน หรือ Stage 1 มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา ย้ำการแก้ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่งที่เปิดเผยสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเอ็นพีแอลที่ขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่หากเจาะลึกฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า แม้ทิศทางหนี้ที่มีปัญหา (Stage 2 และ Stage 3) จะทรงตัวจากช่วงปลายปี 2567 แต่ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีนับจากมีการเปิดประเทศหลังโควิด นอกจากนี้ ลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยในกลุ่ม Super Micro เอ็นพีแอลมีสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ตามมาด้วยกลุ่ม Micro ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ 9.75% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะอยู่ที่ 6.51% และ 1.37% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา

นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูลคุณภาพหนี้จำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในและต่างประเทศ เช่น ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ในระดับสูงที่สุด และส่วนที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่าคุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่าง ๆ ข้างต้น มีโอกาสถดถอยลงอีกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลจากการจัดกลุ่มบัญชีสินเชื่อธุรกิจใหม่ตามลักษณะพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย สถานะปกติ (Good) เริ่มไม่ปกติ (Newly Impaired) ดีสลับแย่ (On-Off) และ มีปัญหารุนแรง (Distressed) พบว่า 95% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจ ยังจัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกติ แต่จุดที่น่าสนใจคือ สัดส่วนจำนวนบัญชีที่จัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกตินี้เริ่มทยอยลดลงในช่วงหลังโควิด ขณะที่ กลุ่มดีสลับแย่และกลุ่มที่มีปัญหารุนแรง เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ภาพดังกล่าว สะท้อนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจหลายระลอกที่กระทบความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจไทย โดยธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งมีสัดส่วนของบัญชีสินเชื่อกลุ่มสถานะปกติลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะมีส่วนช่วยชะลอการไหลลงไปสู่ชั้นหนี้เสีย แต่การปรับโครงสร้างหนี้ จะ ‘มีประสิทธิผลที่สุด’ ในการช่วยฟื้นธุรกิจ ก็ต่อเมื่อเข้าไปดูแลตั้งแต่ธุรกิจ ‘เริ่ม’ มีสัญญาณการค้างชำระ ไม่ใช่เข้าไปดูแลหลังจากที่กลายเป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว เพราะโอกาสการฟื้นตัวของหนี้เอ็นพีแอลกลับมาสู่การจัดชั้นที่ดีขึ้น (ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปีหลังจากปรับโครงสร้างหนี้) จะมีไม่ถึง 10%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทางการไทยควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ อันถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน เป็นต้น
นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น ลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้หนี้ต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง
เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย “THE COLLECTIVE One Bangkok” (เดอะ คอลเล็กทีฟ วัน แบงค็อก) โคเวิร์กกิ้งสเปซระดับลักชัวรีแห่งแรกในไทย ตั้งอยู่ภายในโครงการ One Bangkok โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ
THE COLLECTIVE เป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดจาก JustCo (จัสโค) ผู้นำด้านการให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับภูมิภาคเอเชีย พร้อมยกระดับนิยามของการทำงานยุคใหม่ ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ประสบการณ์การใช้งานที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน และบริการระดับโลกที่ออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจที่มุ่งมั่นเติบโตอย่างมีวิสัยทัศน์
การเปิดตัวครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ JustCo ในการขยายพอร์ตแบรนด์ระดับพรีเมียมสู่ตลาดประเทศไทย พร้อมเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาพื้นที่ทำงานที่ผสมผสานความหรูหรา ความยืดหยุ่น และการให้บริการในระดับสูงสุด
THE COLLECTIVE One Bangkok พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับ One Bangkok โดยเป็นสาขาที่ 3 ในพอร์ตโฟลิโอของ THE COLLECTIVE หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงในโตเกียวและไทเป และถือเป็นพื้นที่ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซแห่งที่ 6 ในเครือ JustCo ที่เปิดให้บริการในกรุงเทพฯ

มร.คง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JustCo เปิดเผยว่า การมองหาพื้นที่ทำงานใหม่ขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับ “คุณภาพของพื้นที่ทำงาน” มากกว่า “ราคา” ทำให้ในช่วงหลายปีมานี้ โคเวิร์กกิ้งสเปซ (Coworking Space) เป็นที่นิยมอย่างมาก และเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด องค์กรต่างๆ เริ่มมองหาสภาพแวดล้อมการทำงานระดับเกรด A ในที่ตั้งใจกลางย่านธุรกิจ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพมาร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร และเพื่อรองรับการทำงานในรูปแบบไฮบริด ซึ่ง THE COLLECTIVE One Bangkok ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ และพร้อมเป็นสถานที่เชื่อมต่อโอกาสให้กับทุกองค์กรเพื่อนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างมีศักยภาพ”

พื้นที่ที่ให้บริการของ THE COLLECTIVE One Bangkok มีขนาด 2,670 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนชั้น 28 ของทาวเวอร์ 4 โครงการ One Bangkok ที่ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับแพลตตินัมและมุ่งสู่การรับรองมาตรฐานอาคาร WELL เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน WiredScore และ SmartScore for Neighborhoods ยืนยันถึงการให้บริการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ดีที่สุด รวมถึงระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะเหนือระดับ รองรับการดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบ อีกทั้งทำเลยังโดดเด่นตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนถนนวิทยุ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่สำคัญ เช่น โรงแรมหรู, สถานเอกอัครราชทูต, ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร และสวนสาธารณะ ทำให้ THE COLLECTIVE One Bangkok มีจุดแข็งที่โดดเด่นในการให้บริการและอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและบุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการจัดการรับรองแขกบุคคลสำคัญ, การจัดการประชุม, หรือการเข้าพบบุคลากรคนสำคัญ
พื้นที่ของสาขาเปิดให้บริการรองรับองค์กรขนาดเล็กถึงกลาง บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทข้ามชาติ บริษัทเทคโนโลยี หรือสตาร์ทอัพ และฝ่ายบริหารขององค์กรธุรกิจ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ประกอบด้วย ออฟฟิศส่วนตัวพร้อมใช้, ออฟฟิศสำหรับองค์กร, Hot Desk, เลานจ์รับรองแขก, ห้องประชุมอัจฉริยะ, ห้องโทรศัพท์เก็บเสียง, โซนเงียบสงบ, โซนพักผ่อน, พื้นที่จัดอีเวนต์, และแพนทรี ซึ่งตอบโจทย์สำหรับการทำงานในรูปแบบไฮบริด และเหมาะสำหรับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ เพื่อดึงดูดคนเก่งมาร่วมงาน และตอบโจทย์เรื่องความยืดหยุ่นในการทำงานอีกด้วย

นอกจากทำเลที่โดดเด่น THE COLLECTIVE One Bangkok ยังเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซที่ถูกตกแต่งอย่างมีระดับที่ผสมผสานความเป็นไทย ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดงแห่งแรกของประเทศไทย ที่มาของชื่อ ‘ถนนวิทยุ’ หรือ Wireless Road ผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัยและรายละเอียดที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ทุกองค์ประกอบได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อส่งเสริมทั้งประสิทธิภาพและความรื่นรมย์ในการทำงาน
สิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้ใช้บริการจะได้รับ:
ตั้งแต่การออกแบบภายในไปจนถึงการให้บริการ ทุกองค์ประกอบได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อยกระดับทั้งประสิทธิภาพการบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า THE COLLECTIVE พร้อมที่จะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับพื้นที่ทำงานสมัยใหม่ในประเทศไทย

ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับภูมิภาคของ JustCo สมาชิกของ THE COLLECTIVE สามารถเข้าใช้บริการพื้นที่ของ THE COLLECTIVE ได้ทั้งที่ไทเปและโตเกียว และยังสามารถใช้บริการพื้นที่ JustCo สาขาใดก็ได้ในกรุงเทพฯ และอีกกว่า 50+ สาขาทั่วโลก เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับธุรกิจในเครือข่ายของ JustCo ที่มีสาขาอยู่ทั่วเอเชียแปซิฟิค ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อโอกาสและความสำเร็จทางธุรกิจได้แบบไร้ขีดจำกัด

"THE COLLECTIVE One Bangkok ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ทำงานธรรมดา แต่เป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนไอเดีย การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และการขับเคลื่อนความสำเร็จในระดับสากล ซึ่งการเปิดสาขาแห่งใหม่ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความเป็นเลิศ และยกระดับมาตรฐานของการให้บริการพื้นที่ทำงานระดับโลก” มร.คง วัน ซิง กล่าวเพิ่มเติม
ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จับมือ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Signature Wellness Experience” เพื่อมอบประสบการณ์ดูแลสุขภาพแนวใหม่ให้แก่ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “ที่ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต เรามุ่งมั่นในการส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืนในทุกช่วงชีวิต การร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ในครั้งนี้ เป็นการมอบประสบการณ์ดูแลสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืนให้กับลูกค้ากลุ่ม High Net Worth ซึ่งเป็นการคัดสรรกิจกรรมที่ออกแบบเฉพาะบุคคล (Personalized) เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่เหมาะกับลูกค้าแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ”

ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ และ Chief Science Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวเสริม “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ มีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ในการคัดสรรโปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ลูกค้า ภายใต้แนวคิด ‘Protect today, Preserve tomorrow’ โดยเราเชื่อมั่นว่าการดูแลสุขภาพ ควรได้รับการออกแบบให้เหมาะสมต่อความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ”

ทั้งนี้ ภายในงานลูกค้าจะได้เปิดประสบการณ์พิเศษในการดูแลสุขภาพ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ การจัดระเบียบโมเลกุลน้ำในร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดีด้วย Crystal Singing Bowls ที่ได้รับเกียรติจาก คุณทิปปี้-สุพรทิพย์ ช่วงรังษี มาเชิญคลื่นเสียงบำบัด พร้อมรับฟังความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ โดย ผศ.นพ. พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ แบรนด์แอมบาสเดอร์อาวุโสของศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ นอกจากนี้ลูกค้ายังได้รับบริการดูแลสุขภาพจากโปรแกรมสุดพิเศษ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูพลังงาน ฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย และสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับร่างกายอย่างครบวงจร
หมายเหตุ: ลูกค้า High Net Worth หมายถึง ลูกค้าที่มีการชำระค่าเบี้ยประกันภัยปีต่อเป็นจำนวนเงินมากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ แสดงความชื่นชมและขอบคุณเหล่าทหารกองทัพไทยผู้กล้าหาญ ส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ รสช็อกโกแลต จำนวน 300 ลัง รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนเหล่าทหารกล้าที่ปฏิบัติหน้าที่จากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ณ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
การบริจาคในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันและเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งปัจจุบันได้อุทิศตนในการรักษาอธิปไตยและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดต่างๆที่ได้รับผลกระทบ โดยผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ มีวิตามินอี ใยอาหาร และแคลเซียมสูง ปราศจากแลคโตสและกลูเตน ไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง หอม อร่อย ดื่มง่ายได้ทุกเพศทุกวัย
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ร่วมมือกับพันธมิตรเครือข่าย ดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ “เฮอริเทจ ปันน้ำใจ” เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดน่าน โดยมอบผลิตภัณฑ์จากเครือเฮอริเทจ และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ให้แก่ มูลนิธิเพชรเกษมน่าน เพื่อนำไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยในพื้นที่โรงเรียน และหมู่บ้านในตำบลวังผา จังหวัดน่าน และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคเหนือ
การส่งมอบในครั้งนี้ประกอบด้วยสิ่งของบรรเทาทุกข์ อาทิ เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ลัฟ จำนวน 20 ลัง รวมถึงผลไม้อบแห้ง จำนวน 54 กิโลกรัม และข้าวหอมมะลิ จำนวน 200 ถุง จากพันธมิตรเครือข่าย สิ่งของทั้งหมดได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่และผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความลำบากและเสริมสร้างกำลังใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
การดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมยืนหยัดเคียงข้างยามที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ที่ประสบภัยได้รับการเยียวยา ฟื้นฟูโดยเร็ว
ถ้าสมาร์ตโฟนสามารถอำนวยความสะดวกคุณได้มากกว่าที่คิด…ชีวิตจะง่ายขึ้นแค่ไหน? ในยุคที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงาน การมีสมาร์ตโฟนที่ “ฉลาดจริง ช่วยคุณได้จริง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป HONOR Magic V5 มาเพื่อตอบโจทย์นี้อย่างแท้จริง ด้วยการผนึกพลังระหว่าง HONOR AI ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้ใช้ กับ Google Gemini สุดล้ำแห่งวงการ AI ทำให้ทุกการใช้งานไม่เพียงแค่ตอบสนอง แต่คาดเดาและช่วยเหลือได้อย่างเหนือชั้น

HONOR Magic V5 ไม่ได้เป็นเพียงสมาร์ตโฟนพับได้บางที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังมาพร้อม Google Gemini ผู้ช่วย AI อัจฉริยะที่ติดตั้งมาในเครื่อง ช่วยให้ผู้ใช้งานทำงาน วางแผน และจัดการชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าคุณจะกำลังร่างเอกสาร คิดไอเดียใหม่ ๆ หรือจัดตารางเวลาที่แน่นสุด ๆ เพียงพูดคุยกับ Gemini ก็สามารถเสริมทั้งความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานได้ทันที
เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง HONOR ได้พัฒนา “Tap Tap” วิธีโต้ตอบใหม่ที่ผู้ใช้เพียงแตะด้านหลังเครื่อง 2 ครั้ง ก็สามารถเปิด Gemini ได้ทันที โดยไม่ต้องกดปุ่มหรือเข้าแอปใด ๆ ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานผ่านการอัปเดต OTA ในอนาคต ทำให้คุณเข้าถึงผู้ช่วย AI ได้รวดเร็วทุกที่ทุกเวลา
Gemini บน HONOR Magic V5 รองรับการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การโต้ตอบผ่านหน้าต่างลอย (Overlay), การวิเคราะห์บริบทบนหน้าจอ, การสร้างภาพด้วย AI (Image Generation), การเชื่อมต่อกับแอปอื่น ๆและ Gemini Live (สำหรับผู้ใช้อายุ 18 ปีขึ้นไป และเฉพาะบางประเทศ/ภาษา), Gemini Assistant ผู้ช่วย AI อัจฉริยะที่พร้อมตอบคำถามและให้คำแนะนำในทุกสถานการณ์, Gemini Live Screenshare การแชร์หน้าจอแบบเรียลไทม์เพื่อขอความช่วยเหลือหรือทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และ Gemini Live Video การสนทนาผ่านวิดีโอสดกับ AI เพื่อโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น Multi-Flex Mode บน HONOR Magic V5 ยังทำงานร่วมกับ Gemini ได้อย่างไร้รอยต่อ รองรับการทำงานหลายหน้าจอพร้อมกันสูงสุด 3 หน้าจอ เช่น ระหว่างอ่านบันทึกการประชุม คุณสามารถลากคำศัพท์หรือรูปภาพที่ไม่เข้าใจไปยัง Gemini เพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติมได้ทันทีโดยไม่ต้องสลับแอป ทำให้ทุกงานลื่นไหลและครบข้อมูลในมุมมองเดียว HONOR Magic V5 จึงไม่ใช่แค่สมาร์ตโฟน แต่เป็นคู่หูอัจฉริยะที่พร้อมก้าวไปกับคุณในทุกสถานการณ์

ไม่ใช่แค่ Gemini เท่านั้น HONOR Magic V5 ยังมาพร้อม Advance AI อัจฉริยะเฉพาะตัว ที่ออกแบบมาเพื่อเข้าใจผู้ใช้ในทุกมิติ ทั้งภาษา วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมฟีเจอร์ระดับโปรที่ยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้เหนือกว่าที่เคย
ผู้ช่วยอัจฉริยะยกระดับการสื่อสารและการทำงานของคุณให้ล้ำไปอีกขั้น
โลกการทำงานและการสื่อสารกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว HONOR Magic V5 มาพร้อม Advance AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่ทำให้ทุกการสื่อสาร การแปลภาษา และการจัดการข้อมูลเป็นเรื่องง่าย และทันสมัยยิ่งขึ้น
ไม่ว่าคุณจะโทรศัพท์หรือประชุมออนไลน์กับเพื่อนร่วมงานจากต่างประเทศ ฟีเจอร์นี้จะแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ทำให้เข้าใจทุกคำพูดอย่างแม่นยำและตอบสนองได้ทันที ไม่พลาดทุกไอเดียสำคัญ รองรับแล้วกว่า 50 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทย

HONOR Magic V5 มาพร้อม Advance AI Translate ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ทำให้การสื่อสารข้ามภาษาเป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และแม่นยำ เพียงหันหน้าจอเข้าหากันและเริ่มพูด ระบบจะแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ฟังเป็นธรรมชาติ เข้าใจง่าย ทำให้การสนทนาระหว่างผู้พูดสองภาษาลื่นไหลเหมือนพูดภาษาเดียวกัน โดยมี 3 โหมดการใช้งานสุดล้ำ อาทิ Advance AI Translation Interpreter การแปลพร้อมกัน เหมาะสำหรับสนทนาสองคนที่นั่งใกล้กัน Advance AI Translation Face to Face แปลแบบเผชิญหน้า เหมาะสำหรับผู้สนทนาที่นั่งคนละฝั่ง Advance AI Subtitles แสดงซับไตเติลทันใจและแม่นยำ ทำให้ทุกการประชุมหรือบทสนทนาเข้าใจง่าย
ไม่เพียงแต่ข้อความทั่วไป แต่ Advance AI Translate ยังสามารถแปล รูปภาพ เอกสารสำคัญ หรือแม้แต่สัญลักษณ์ต่างประเทศ รองรับหลายภาษา ช่วยให้การทำงานข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วกว่าเดิม

HONOR Magic V5 มาพร้อม Advance AI Writing Tools พัฒนาร่วมกับ Google Gemini ให้ผู้ใช้สร้างเนื้อหาตามต้องการได้ทันที ผ่านการป้อนข้อความหรือคำสั่ง ฟีเจอร์รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ อาทิ Smart Creation สร้างสรรค์เนื้อหาอัตโนมัติ Polishing and Rewriting ปรับปรุงหรือเขียนใหม่ให้เนื้อหาไหลลื่นCorrection ตรวจสอบและแก้ไขข้อความ Advance AI Check Spelling and Grammar ตรวจแกรมม่าและไวยากรณ์หลายภาษา และ Advance AI Rewrite Style ช่วยปรับแต่งพารากราฟหรือบทความให้เป็นสไตล์ใหม่แบบแอดวานซ์ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานด้านการเขียนได้ รวดเร็ว สร้างสรรค์ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบจดบันทึกของ HONOR ทำงานร่วมกับ Advance AI Recorder พร้อมเครื่องมือเสริมที่ช่วยให้ทุกข้อมูลพร้อมใช้งานทันทีอย่าง Advance AI Summary สรุปเนื้อหาสำคัญจากข้อความหรือเสียงที่ถอดออกมา ให้เห็นเฉพาะจุดที่สำคัญจริง ๆ Advance AI Format จัดระเบียบเอกสารให้เป็นระเบียบและอ่านง่าย และ Advance AI Minutes แปลงเสียงพูดเป็นข้อความและสร้างรายงานการประชุมอัตโนมัติ โดยรองรับการใช้งาน มากถึง 20 ภาษา รวมถึงภาษาไทย ช่วยให้การจดบันทึกและจัดการข้อมูลเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ
HONOR Magic V5 ไม่ใช่แค่สมาร์ตโฟนพับได้บางที่สุดในโลก แต่ยังเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่พร้อมทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นทุกด้าน ด้วยพลังจาก Advance AI ที่เข้าใจวิถีชีวิตของคุณ และ Google Gemini เทคโนโลยี AI ชั้นนำ ทุกงานไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแปลเอกสาร การติดต่อธุรกิจ ไปจนถึงการระดมไอเดียต่างๆ

ก้าวสู่อนาคตที่ AI ทำให้ทุกวันชาญฉลาดและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้…คุณพร้อมหรือยังที่จะให้ HONOR Magic V5 เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณ?
ห้ามพลาด! สัมผัสประสบการณ์ พับของจริง ที่สุดของความบาง กับ HONOR Magic V5 พร้อมกัน ในวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป รับชมบรรยากาศการเปิดตัวแบบสด ๆ ได้ทาง Facebook Page และ YouTube HONOR Thailand ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
พฤกษา โฮลดิ้ง รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก ปี 2568 ทำรายได้ 6,944 ล้านบาท ยืนหยัดสร้างการเติบโตท่ามกลางภาวะตลาดท้าทาย ด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อน 2 ธุรกิจหลัก อสังหาริมทรัพย์และเฮลท์แคร์ ควบคู่การขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และยังคงรักษาสถานะทางการเงินมั่นคง ด้วยอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.32 เท่า สะท้อนการบริหารจัดการทางการเงินที่ดีในอุตสาหกรรม พร้อมวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ใช้กว่า 9,100 ล้านบาท
นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ ทำรายได้ 6,944 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 34.5% จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไว้ในระดับต่ำได้ดีที่ 0.32 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ใช้กว่า 9,100 ล้านบาท สำหรับทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง เดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ “The Strategic Rebound” เสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการปรับโครงสร้างพอร์ต การผสานพลังธุรกิจในเครือ และการต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ ดังนี้

1) RESHAPING PORTFOLIO – ปรับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบน รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต พร้อมชูโครงการในทำเลศักยภาพและมีดีไซน์ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
2) WINNING THE CORE – BUSINESS SYNERGY ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ แกนแรก Cost Leadership ยกระดับการก่อสร้างแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรายเดียวที่ครอบคลุมครบทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ แกนที่สอง Quality Excellence ความเป็นเลิศด้านคุณภาพ บริการครบวงจรเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และแกนสุดท้าย Well Living at Home การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตแบบครบวงจร พร้อมมุ่งขยายสู่ตลาดใหม่ในภาคก่อสร้าง ทั้ง B2C ผ่านแบรนด์ “แพลนท์เนอรี่” รับสร้างบ้านกลุ่มกลาง-บน ด้วยนวัตกรรม Inno-Tech และการรับประกันโครงสร้าง 20 ปี และ B2B ผ่านแบรนด์ “ไอเอชซี” (หรืออินโน โฮม คอนสตรัคชั่น) รับสร้างโครงการอสังหาฯ โรงแรม อพาร์ตเมนต์ หอพัก และโฮมออฟฟิศ ด้วยจุดแข็งบริการจุดเดียวครบวงจร ควบคุมต้นทุน และมีพันธมิตรด้านการก่อสร้างครบครัน พร้อมธุรกิจพรีคาสท์ ขยายผลิตภัณฑ์ เสาและคานพรีคาสท์ จาก “อินโน พรีคาสท์”
เดินหน้ารุกช่องทางการขายใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายเอเจนต์ ในส่วนของธุรกิจเฮลท์แคร์ได้เตรียมจัดทำแคมเปญการตลาดร่วมกับพันธมิตรเครือข่าย (Affiliate) เพื่อเจาะตลาดผู้ป่วยต่างชาติด้วยแพ็คเกจราคาที่แข่งขันได้ รวมถึงขยายฐานลูกค้าพรีเมียมผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายที่ปรึกษาทางการเงินและประกันชีวิตระดับโลก MDRT และการสร้างความร่วมมือกับองค์กรและสหภาพแรงงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ยังเสริมศักยภาพองค์กรผ่านการต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ด้วยโปรแกรม “พฤกษา พาส” (Pruksa Pass) โซลูชันเช่าซื้อยืดหยุ่น “เช่าก่อน ซื้อทีหลัง” โดยเงินค่าเช่าบางส่วนสามารถนำไปเป็นเงินดาวน์เมื่อซื้อบ้านจริงและมีการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ผ่านแบรนด์ “ไอเพลิน” (iPlearn) ธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้ผลตอบแทนค่าเช่า 6–8% ต่อปี ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้
3) STRATEGIC BRANDING MOVE ยกระดับภาพลักษณ์และการสื่อสารแบรนด์ เพื่อสะท้อนคุณค่าของการใช้ชีวิต “LIFETIME WELL-LIVING: อยู่ดี...ทั้งชีวิต” ตอกย้ำปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีไปตลอดชีวิต
4) PEOPLE – STRUCTURE TRANSFORMATION พัฒนาโครงสร้างองค์กรและศักยภาพบุคลากร Work Life Well-Lived มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และเสริมความพร้อมสู่การแข่งขันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 กลุ่มเรียลเอสเตท ทำยอดขาย 5,400 ล้านบาท มีรายได้ 5,172 ล้านบาท เปิดตัว 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ถึงคอนโดมิเนียม โดยมุ่งยกระดับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมชูจุดเด่นด้านคุณภาพวัสดุ ดีไซน์เพื่อสุขภาวะ และทำเลศักยภาพสูง ประสบความสำเร็จอย่างสูง จากการเปิดจองโครงการ “แชปเตอร์ เจริญกรุง–ริเวอร์ไซด์” คอนโดมิเนียม Low-Rise ที่เป็น Rare Item บนที่ดิน Freehold ผืนท้าย ๆ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถทำยอดขายไปได้ถึง 733 ล้านบาท หรือ คิดเป็น Take Up Rate ที่ 51.3% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งปิดการขายโครงการเก่า และใช้กลยุทธ์การแบ่งโซน (Zoning Strategy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขายด้วย
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง มีแผนเปิดโครงการใหม่รวม 12 โครงการ เป็นแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการ มูลค่า 1,130 ล้านบาท มุ่งเปิดโครงการที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน อาทิ บ้านเดี่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89/1 ที่สุดของทำเลทอง บนถนนสุขุมวิท โดดเด่นด้วยการออกแบบระดับเวิลด์คลาสโดย A49 พูลวิลล่าจำนวนจำกัดเพียง 26 ยูนิต พร้อมศักยภาพการเติบโตของมูลค่าในระยะยาว ซึ่งเป็นโครงการ Partnership กับ CapitaLand และ โครงการเดอะปาล์ม คอร์ทยาร์ด บางนา กม.8 เพียง 70 ยูนิต ด้วยการจัดผังบ้านแบบคอร์ทยาร์ด วัสดุประหยัดพลังงาน รองรับทุกวัยด้วย Universal Design ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ

พร้อมเตรียมจัดงานอีเวนต์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Pruksa D Day Sale” ครั้งแรก และครั้งเดียว ซึ่งเป็นงานที่รวมที่สุดของข้อเสนอแห่งปี สำหรับบ้าน-คอนโด-ทาวน์โฮม ทุกแบรนด์และทุกเซกเมนต์ในเครือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี คอนโดติดรถไฟฟ้า ทาวน์โฮมทำเลเมือง จองเริ่มต้นเพียง 499 บาท ฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า-ประปา ค่าส่วนกลางสูงสุดถึง 5 ปี เลือกของแถมได้กว่า 50 รายการ ยูนิตพิเศษในงานลดสูงสุดถึง 35% รวมส่วนลดกว่า 431 ล้านบาท พร้อมรับดอกเบี้ยพิเศษ รับ I-phone16 128 GB 1 เครื่อง ทุกหลัง (100 หลังแรก) พร้อมลุ้นรางวัลบ้านและคอนโด และ Gift Voucher ทองคำ มูลค่า 50,000–200,000 บาท โดยกำหนดจัดงานในวันที่ 29 - 31 สิงหาคมนี้ ที่อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก
นายแพทย์ นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรกของกลุ่มวิมุต ทำรายได้ครึ่งปีแรก 1,044 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อน สามารถทำกำไร EBITDA พุ่งขึ้นเป็น 88 ล้านบาท (จาก 23 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2567) การเติบโตนี้เกิดจากจำนวนผู้ป่วยนอก (OPD) ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับจำนวนผู้ป่วยใน (IPD) ที่ได้รับแรงหนุนจากการเปิดศูนย์สุขภาพปอดแห่งใหม่ของวิมุต ซึ่งได้นำนวัตกรรม EBUS (Endobronchial Ultrasound) มาใช้ เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคปอดได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และลดความจำเป็นในการผ่าตัด ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นหลังปรับการรับผู้ป่วยอุบัติเหตุ และขยายบริการด้านสุขภาพ Health-to-Home ร่วมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของพฤกษา นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนพัฒนาโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่งต่อเนื่อง ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต ออร์โธปิดิกส์ ทองหล่อ ที่ลงทุนร่วมกับ CapitaLand และ โรงพยาบาลวิมุต สุขุมวิท ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ เพื่อตอบรับวิถีชีวิตเชิงสุขภาพของคนเมือง

ด้านแผนดำเนินงานครึ่งปีหลังของกลุ่มวิมุต มุ่งยกระดับศักยภาพศูนย์หัวใจและหลอดเลือด (Cardiology) และศูนย์กระดูกและข้อ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคโอเชียเนีย ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร CosMediTour ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอำนวยความสะดวกทางการแพทย์แก่คนไข้ต่างชาติ พร้อมเจาะตลาดผู้ป่วยพรีเมียมผ่านเครือข่ายพันธมิตรประกันภัย นายหน้า และดึงดูดด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (Magnet Doctors) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ทั้งยังจะเพิ่มอัตราเติบโตของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการผ่านการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ (COE) เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร ผู้เอาประกัน และชาวต่างชาติ และเดินหน้าสร้างความร่วมมือด้านสุขภาพกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือพฤกษา เพื่อพัฒนาโครงการที่ผสานสุขภาพกับการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ