

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง”
กรุงศรีปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ สะท้อนถึงความห่วงใยและความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม
อัตราดอกเบี้ยใหม่ดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX) เดินหน้ายกระดับการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ด้วยการเปิดให้บริการ “Cross-Border Inward Remittance Sponsor Bank Model” อย่างเต็มรูปแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากต่างประเทศเข้าสู่บัญชีธนาคารในประเทศไทยผ่านระบบ PromptPay โดยมีจุดแข็งอยู่ที่ความรวดเร็ว ความปลอดภัย และการรองรับวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งผู้ใช้รายบุคคลและภาคธุรกิจ
บริการนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากระบบ PromptPay ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของระบบการชำระเงินในประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากธนาคารและประชาชนทั่วประเทศ โดยการนำไปประยุกต์ใช้กับการรับเงินจากต่างประเทศผ่านผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ (Money Transfer Operator – MTO) ที่มีความเชื่อมโยงกับธนาคารผู้สนับสนุน (Sponsoring Bank) ในประเทศไทย โดยคำสั่งโอนจะถูกส่งผ่านเข้าสู่ระบบของ National ITMX และส่งต่อไปยังธนาคารปลายทาง (Receiving Bank) เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีผู้รับแบบ Near Real-time ซึ่งถือเป็นการลดระยะเวลาในการรอเงินจากต่างประเทศจากเดิมที่ต้องใช้เวลา 3–5 วันทำการ ให้ Near Real-time ภายในวันเดียว
ในระยะแรก บริการนี้สามารถรองรับการโอนเงินปลายทางผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทยจำนวน 9 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย (CITI) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารออมสิน (GSB) ซึ่งล้วนเป็นเครือข่ายธนาคารหลักที่ครอบคลุมผู้ใช้งานทั่วประเทศ และมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทย จุดแข็งของบริการนี้ยังอยู่ที่การดำเนินงานภายใต้กรอบข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย โดยเชื่อมโยงผ่านธนาคารที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจในความปลอดภัยและความถูกต้องของธุรกรรม นอกจากนี้ บริการยังรองรับการโอนเงินสูงสุดต่อรายการถึง 500,000 บาท ซึ่งเพียงพอสำหรับทั้งการส่งเงินกลับบ้าน การสนับสนุนครอบครัว หรือการชำระค่าสินค้าในการค้าระหว่างประเทศ
บริการ Cross-Border Inward Remittance Sponsor Bank Model เหมาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานไทยในต่างประเทศที่ต้องการส่งเงินกลับมาให้ครอบครัว ผู้ที่มีญาติพำนักอยู่ต่างแดน และผู้ประกอบการส่งออกที่ต้องการรับชำระเงินค่าสินค้าจากลูกค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีการรองรับวัตถุประสงค์ของการโอนเงินที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เช่น การโอนเพื่อสนับสนุนครอบครัว (Family Support) การโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศ (Thai Worker Remittance) และการรับเงินค่าสินค้าจากการค้าระหว่างประเทศ (Trade Goods)
จุดเด่นของบริการ Cross-Border Inward Remittance Sponsor Bank Model ได้แก่
ด้วยโครงสร้างระบบที่แข็งแกร่ง มีมาตรฐานการเชื่อมต่อในระดับสากล และความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน National ITMX เชื่อมั่นว่าบริการนี้จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้ก้าวไกลอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำนักงานพาณิชย์นิวซีแลนด์ (New Zealand Trade and Enterprise – NZTE) เปิดตัวแคมเปญ “Made With Care New Zealand” พร้อมเนรมิตคาราวาน Fruit Truck ใจกลางกรุงเทพฯ นำเสนอผลไม้สดคุณภาพเยี่ยมจากนิวซีแลนด์ เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่ผู้บริโภคชาวไทย สะท้อนความมุ่งมั่นของนิวซีแลนด์ในการส่งมอบอาหารและผลไม้ที่ปลอดภัย มีคุณภาพสูง และคำนึงถึงการผลิตอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ทอดด์ แมคเคลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและการลงทุนของนิวซีแลนด์ ที่ได้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย ฯพณฯ โจนาธาน คิง เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย, ซูซี่ ฟิวเทรลล์ ทูตพาณิชย์นิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย, ชัดเจน ตันตาคม, ผู้จัดการประเทศไทย สำนักงานพาณิชย์นิวซีแลนด์ พร้อมผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และพันธมิตรการค้า โดยมี CPAxtra, Tops, Big C, Gourmet Market, ซิตี้ เฟรช ฟรุ๊ต, วัชมนฟู้ด, นวธัญ เวิลด์ ฟรุ๊ต และ วี.เอส.เอ็ม. ฟรุทส์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผลผลิตจากนิวซีแลนด์ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ที่ ลิโด้ คอนเนค สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

“ผมขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันผลไม้จากนิวซีแลนด์ให้เข้าถึงผู้บริโภคไทยอย่างกว้างขวาง” ฯพณฯ ทอดด์ แมคเคลย์ กล่าว “ในปีที่ผ่านมา เราส่งออกผลผลิตสดมายังประเทศไทยรวมมูลค่ากว่า 97 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ หรือประมาณ 1.9 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจของผู้บริโภคชาวไทยที่เลือกบริโภคผลิตผลที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมาจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้”

นิวซีแลนด์ยังคงตอกย้ำบทบาทผู้นำระดับโลกด้านการปลูกผลไม้คุณภาพสูง ที่ได้รับการคุ้มครองในรูปแบบแบรนด์และทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Varieties) พร้อมพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบความหลากหลายของรสชาติและประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
“Made with Care New Zealand” Fruit Truck ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความใส่ใจจากเกษตรกรชาวนิวซีแลนด์สู่ผู้บริโภคชาวไทย ผ่านผลไม้สดระดับพรีเมียมที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ อาทิ

- Envy™ แอปเปิ้ลที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความหวาน กรอบ หอม อร่อย สีสวย
- Jazz™ แอปเปิ้ลแจ๊ส เหมาะกับเป็นของว่างสำหรับทุกคนในครอบครัว รสหวานอมเปรี้ยว อร่อย เต็มพลังความสดชื่น
- Dazzle™ สายพันธุ์ใหม่ล่าสุด สีแดงสดสะดุดตา รสหวานฉ่ำ เนื้อกรอบคล้ายแตงโมรับประทานเปล่าๆ ก็อร่อย หรือจะใส่ในสลัด สมูทตี้ หรือเมนูเบเกอรี่ก็ดีไม่แพ้กัน
- Rockit™ – แอปเปิ้ลร็อคกิต มินิขนาดพอดีคำ สายพันธุ์พิเศษจากนิวซีแลนด์ ขนาดเล็กพอดีมือ เหมาะสำหรับเป็นของว่างเพื่อสุขภาพระหว่างวัน ทั้งกรอบ หวานฉ่ำ อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์
- Tarzi มีลักษณะผลมีสีแดงสด เนื้อกรอบ รสชาติหวานฉ่ำ มีกลิ่นหอมที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว

ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ คาราวานผลไม้ Made With Care New Zealand จะเดินทางไปยังหลากหลายจุดสำคัญทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ Lido Connect สยามสแควร์, Makro รามอินทรา, ตลาดกลางคืน มศว. ประสานมิตร, CentralWorld, Gateway เอกมัย, Skywalk แจ้งวัฒนะ และ Lotus’s สุขาภิบาล มอบโอกาสให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองผลไม้สดจากนิวซีแลนด์อย่างใกล้ชิด
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย รุก ขยายตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) ต่อเนื่อง มอบแคมเปญสุดพิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมรังสรรค์เอกสิทธิ์เหนือระดับสำหรับสมาชิก PRULegacy ด้วยสิทธิพิเศษแบบองค์รวม ตอบโจทย์ทุกมิติทั้ง การวางแผนการเงิน สุขภาพ และไลฟ์สไตล์
นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานลูกค้าและการตลาด บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ในช่วงครึ่งปีหลัง พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังคงเดินเกมรุกตลาดกับลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างหลักประกันที่แข็งแกร่งทั้งด้านสุขภาพและความมั่นคงทางการเงินแก่ลูกค้า ภายใต้เจตนารมณ์ “For Every Life, For Every Future: ชีวิตมีกัน…ทุกวันดีกว่า” โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) ที่ต้องการผู้ให้คำปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญสามารถดูแลวางแผนทางการเงินได้อย่างรอบด้าน สอดคล้องกับแนวคิดของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งและการส่งต่อคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยั่งยืน”

ในไตรมาสที่ 3 เรายังให้ความสำคัญกับการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าHigh Net Worth ด้วยการจัดแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อแบบประกันที่เข้าร่วมแคมเปญ และชำระเบี้ยประกันภัยปีแรก ตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงลูกค้าเดิมที่มีกรมธรรม์ของพรูเด็นเชียลฯ สามารถซื้อแบบประกันที่เข้าร่วมแคมเปญตั้งแต่ 5 แสนบาทขึ้นไป และมีเบี้ยประกันรายปีรวมครบ 1 ล้านบาท จะได้รับของสมนาคุณพิเศษ
นอกจากนี้ พรูเด็นเชียลฯ ยังเพิ่มสิทธิพิเศษแก่ลูกค้า High Net Worth ที่เป็นสมาชิก PRULegacyซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ ได้แก่ สิทธิพิเศษการใช้บริการเลาจน์ภายในสนามบิน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน –31 ธันวาคม 2568 โดยสมาชิกPRULegacy+ พร้อมผู้ติดตามหนึ่งท่าน สามารถเข้า First Class Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินนานาชาติ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต อุดรธานี หาดใหญ่ หรือเข้าExecutive Lounge หรือ Finest Business Class Lounge ในจังหวัดอื่นๆ ได้ 2 ครั้ง สำหรับลูกค้าPRULegacy สามารถเข้าExecutive Lounge หรือ Finest Business Class Lounge ได้ 1ครั้ง พร้อมผู้ติดตาม 1 ท่าน และสิทธิพิเศษรับบัตรชมภาพยนตร์ Major Cineplex 2 ที่นั่ง (จำกัด 1 สิทธิ์ /2 ที่นั่ง) ซึ่งสมาชิก PRULegacyและ PRULegacy+ สามารถแลกรับสิทธิพิเศษได้ที่บริการ PRUServicesบนแอปพลิเคชัน LINE : @PrudentialThailand

“PRULegacy” แบ่งสิทธิประโยชน์ออกเป็น 2 สถานะ คือ สถานะสมาชิก “PRULegacy” ที่มีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีตั้งแต่1,000,000 บาทขึ้นไป และ สถานะสมาชิก “PRULegacy+” ที่มีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีตั้งแต่10,000,000 บาทขึ้นไป ซึ่งครอบคลุมเอกสิทธิ์พิเศษ อาทิ บริการจัดทำร่างพินัยกรรม หรือ บริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนภาษี ที่สำนักงานกฎหมาย Chandler Mori Hamada Limited (CMH), บัตร E-Voucher สำหรับรับประทานอาหารที่ร้านอาหารมิชลินที่ร่วมรายการ อาทิChef’s Table, Mezzaluna และNawa Thai Cuisine มูลค่า 2,000บาท, แพ็กเกจตรวจสุขภาพฟรี ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 สาขาทั่วประเทศ, ส่วนลด 15% และการอัปเกรดห้องพัก พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ Chiva-Som Hua-Hin, ส่วนลดสำหรับบัตรโดยสารBangkok Airways เส้นทางภายในประเทศและต่างประเทศ, บริการลีมูซีนรับ – ส่ง สนามบินใน 9 จังหวัด (กรุงเทพฯ กระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และอุบลราชธานี), บริการนวดตัวด้วยน้ำมันหอมระเหย (Aromatherapy Oil Massage) ที่Let’s Relax Spa เป็นต้น
นอกจากสิทธิประโยชน์ต่างๆแล้ว สมาชิก “PRULegacy” ยังได้รับบริการที่ปรึกษาด้านการเงิน การลงทุน และการวางแผนภาษี จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่พร้อมออกแบบแผนการบริหารความมั่งคั่งให้เหมาะกับเป้าหมายเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง โดยผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.prudential.co.th/corp/prudential-th/th/privilege-programmes/prulegacy
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผู้จัดงานหลัก ผนึกกำลัง สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ผู้ร่วมจัดงาน และคณะกรรมการอำนวยการทั้งภาครัฐและเอกชน แถลงข่าวการจัดงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 วันที่ 9-13 กันยายนนี้ ณ ศูนย์สิริกิติ์ คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ประธานงานแถลงข่าวเปิดเผยว่า “งานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair จัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี ถือเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญของกรม ภายใต้ยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุก เพื่อเป็นเวทีการค้าระดับนานาชาติ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจจากทั่วโลกได้พบและเจรจาการค้า ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตร ขยายโอกาสทางธุรกิจ และเกิดความร่วมมือระหว่างกันแบบครบวงจร กำหนดจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าสำคัญของโลก และเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

“บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 72 นี้ จัดแสดงเต็มพื้นที่ฮอลล์ 1-8 ของศูนย์สิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 งานนี้มีผู้เข้าร่วมงาน (Exhibitor) 1,104 บริษัท 2,628 คูหา คาดการณ์ผู้เข้าชมงาน (Visitor) จากทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจงานครั้งที่ผ่านมา พบว่าความพึงพอใจภาพรวมการจัดงานในระดับดีเยี่ยม และพึงพอใจงานบางกอกเจมส์เป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับงานสำคัญทั่วโลก ปัจจุบันงานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นในทุกมิติอย่างเห็นได้ชัด และได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อผู้นำเข้าทั่วโลกว่าเป็น 1 ใน 4 งานแสดงที่สำคัญของโลก รวมถึงเป็นแหล่งค้าพลอยสีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย” อธิบดีสุนันทา กล่าวเสริม
ด้านนายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT พันธมิตรร่วมจัดงานสำคัญของ DITP กล่าวว่า “ความสำเร็จของงานบางกอกเจมส์ในวันนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อมั่นที่ผู้ซื้อทั่วโลกมีต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย โดยในช่วงที่ผ่านมางานบางกอกเจมส์ได้ต้อนรับแบรนด์จิวเวลรี่ดังระดับโลกหลากหลายแบรนด์ ถือเป็นการตอกย้ำความสำคัญของงานได้อย่างดี และการจัดงานครั้งที่ 72 ยังคงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้แสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราจะขยายพื้นที่จัดแสดงบริเวณ Foyer ชั้น LG ตั้งแต่ครั้งที่ 71 ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรองรับได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 2,600 คูหา แต่ยังคงมี waiting list”

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้กล่าวถึงกิจกรรมภายในงานครั้งที่ 72 ว่า “เราได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนาองค์ความรู้ด้านการตลาดและเชิงเทคนิค กิจกรรม Networking reception เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดนิทรรศการเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมจิวเวลรี่ไทย ตลอดจนการจัดประชุมของหน่วยงานพันธมิตรระดับโลก โดยในครั้งนี้สภาทองคำโลก ได้ร่วมกับ สถาบัน GIT และสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย จัดงานประชุม “Thailand Gold Forum” ภายในงานบางกอกเจมส์ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมคู่ขนานที่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุกของ DITP อีกด้วย”

สำหรับการส่งออกกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไม่รวมทองคำแท่ง ในปี 2567 สามารถทำรายได้เข้าประเทศถึง 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) เติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 63 หรือคิดเป็นมูลค่า 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และพลอยสี โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อินเดีย ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวตลอดปี 2568 คาดว่าจะทะลุเป้าส่งออกร้อยละ 5 แน่นอน

งาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ภายในงาน ยังมีกิจกรรมพิเศษ และกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอีกมากมาย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial
นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน การปรับลดครั้งนี้เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสมเพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้
ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเดิม เพื่อให้ผู้ฝากยังได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามภารกิจส่งเสริมการออม ควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปรับตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่กระทบกำลังซื้อและความสามารถในการแข่งขัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดแคมเปญพิเศษ “แจกใหญ่ แจกเต็ม” ในโอกาสฉลองครบรอบ 28 ปี ของบริษัทฯ และเพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าคนสำคัญทุกท่าน โดยแคมเปญนี้เป็นการเชิญชวนลูกค้าร่วมสนุกและลุ้นรางวัลใหญ่ รถยนต์ DEEPAL E07 Performance AWD พร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟ, รถจักรยานยนต์ Vespa LX 150, iPhone 16 Pro Max และรางวัลอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 7 ล้านบาท โดยกิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2568
วิธีการรับสิทธิ์เพื่อร่วมลุ้นรับของรางวัล
สำหรับแคมเปญ “แจกใหญ่ แจกเต็ม” เปิดโอกาสให้ลูกค้าสะสมสิทธิ์และลุ้นรับรางวัลใหญ่จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยมีกำหนดการจับรางวัล ทั้งหมด 4 รอบ เริ่มจับรางวัลตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 ไปจนถึง เดือนมกราคม 2569 ดังนี้:
หมายเหตุ: ชิ้นส่วนที่เหลือจากการจับรางวัลในแต่ละครั้ง จะถูกนำมารวบรวมเพื่อจับรางวัลในรอบถัดไป
สำหรับช่องทางการประกาศรายชื่อผู้โชคดี
ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม การบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159 หรือ www.krungthai-axa.co.th
เคทีซีเผยพฤติกรรมการใช้จ่ายของสมาชิกในช่วงเทศกาลวันแม่ยังคงคึกคัก แม้เศรษฐกิจยังเปราะบาง โดยเฉพาะหมวดร้านอาหารที่มียอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากวันปกติ ขณะที่หมวดสุขภาพ-ความงาม และการท่องเที่ยวยังมาแรง สะท้อนเทรนด์ผู้บริโภคที่เน้น “การให้” อย่างมีคุณค่า ใช้คะแนนแทนเงินสด เลือกผ่อนชำระ 0% เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ครึ่งปีแรก 2568 เคทีซีมียอดใช้จ่ายบัตรเติบโต 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.2% โดยในช่วงเทศกาลวันแม่ ถือเป็นช่วงที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดของปีในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดร้านอาหารที่ในช่วงเทศกาลวันแม่ปี 2567 มียอดธุรกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 50% และมียอดใช้จ่ายรวมเพิ่มกว่า 80% จากวันปกติ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจยังท้าทาย แต่ผู้บริโภคยังเลือกใช้จ่ายเพื่อมอบความสุขแก่คนสำคัญ ด้วยวิธีที่สอดคล้องกับสภาพคล่องของตัวเอง”

สุขภาพและความงาม: ของขวัญที่สะท้อนความใส่ใจ
หมวดสุขภาพและความงามยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง โดยพบว่ามียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลสูงกว่า 10,000 บาทเพิ่มขึ้นจากวันปกติถึง 10% โดยเฉพาะกลุ่มคลินิกความงาม ฟิตเนส และบริการฟื้นฟูสุขภาพที่มียอดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 17% โดยผู้บริโภคใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลดหรือของขวัญ รวมถึงใช้บริการผ่อนชำระ 0% เพื่อบริหารรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนเทรนด์ของขวัญที่เน้นการดูแลสุขภาพและรูปลักษณ์ มากกว่าแค่ของชิ้นจับต้องได้ เคทีซีจึงได้จัดสิทธิประโยชน์สาย Wellbeing ครอบคลุมกว่า 100 พันธมิตร ทั้งอาหารสุขภาพ ฟิตเนส การพักผ่อน และโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ รายละเอียดเพิ่มเติม: ktc.co.th/refined-wellness
เที่ยววันแม่ สร้างโมเมนต์อบอุ่นทั้งครอบครัว
หมวดท่องเที่ยวเป็นอีกหมวดที่ได้รับความนิยมสูงช่วงวันหยุดยาวโดยเดือนกรกฎาคม 2568 ยอดจำนวนสมาชิกที่ใช้จ่ายในหมวดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยเฉพาะปลายทางยอดฮิต อาทิ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ที่ยังคงได้รับความนิยมสะท้อนว่าการท่องเที่ยวยังเป็นวิธีที่คนไทยใช้สร้างช่วงเวลาที่อบอุ่นและน่าจดจำร่วมกับแม่ เคทีซีจึงได้จับมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าแคมเปญ Grand Moment, Year of Celebration และ ISAN Greencation มอบสิทธิพิเศษครบครัน ทั้งโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า และร้านอาหารทั่วประเทศ

เสริมความมั่นใจในการใช้จ่าย ด้วยเทคโนโลยีปลอดภัย
เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายสูงช่วงวันแม่ ระบบป้องกันความเสี่ยงผ่านแอป KTC Mobile จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้สมาชิกทำการล็อคบัตรชั่วคราวได้ทันทีในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือควบคุมการใช้จ่ายด้วยตัวเองผ่านแอป KTC Mobile ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดบัตรชั่วคราว ตรวจสอบรายการใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ผ่าน KTC Connect (KTC LINE Official) หรือขอความช่วยเหลือจาก Call Center ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ตั้งเป้าครึ่งปีหลังเติบโตอย่างมีวินัย
“แม้ภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ เคทีซียังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยวางกลยุทธ์การตลาดที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาสำคัญ (emotional seasons) พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจสมาชิก เพื่อให้ทุกการใช้จ่ายเป็น ‘ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าช่วงโมเมนต์สำคัญ’ อย่างแท้จริง” นางประณยากล่าวปิดท้าย
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิก ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขา ทั่วประเทศ
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี