December 23, 2024

เฟ้นหาสุดยอดทีมเยาวชนไทย โชว์ฝีเท้าสู่แชมป์โลกที่ประเทศเยอรมนี

ร่วมฉลองการได้รับเสนอชื่อของศิลปะการปรุงอาหารอิตาเลียนเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอันจับต้องไม่ได้โดย UNESCO

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ผู้พัฒนาที่พักอาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดี และส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัย ‘Livable Living Experience’ ให้เป็นบ้านที่ ‘น่าอยู่’ สำหรับทุกคน ส่งแคมเปญกระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้ายปี 2567 SHOCK PRICE’ ช็อกราคา ส่งท้ายปี พบกับโครงการบ้าน ทาวน์โฮม และคอนโดพร้อมอยู่คุณภาพทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด รวมกว่า 24 โครงการ พร้อมรับข้อเสนอส่วนลดแบบสุดๆ จนหยุดหายใจ ในราคาเริ่มต้นไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของโครงการได้ พร้อมรับของแถมอีกมากมาย อาทิ ฟรี! เฟอร์นิเจอร์* เครื่องใช้ไฟฟ้า* และค่าใช้จ่ายวันโอนฯ ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. - 31 ธ.ค. 2567 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด)

สำหรับ 24 โครงการที่เข้าแคมเปญ ‘SHOCK PRICE’ ช็อกราคา ส่งท้ายปี ได้แก่

กลุ่มโครงการบ้านและทาวน์โฮม

1.ลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดกระบัง - สุวรรณภูมิ รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/e0ac31f3

2.ลุมพินี ทาวน์เพลส สุขุมวิท - ศรีนครินทร์ รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/82f23d56

3.เมซอง 168 ลาดพร้าว 101 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/56c93061

4.เวนู 24 ราชพฤกษ์ รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/220b2122

5.เวนู 24 เวสต์เกต รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/b4227811

6.เวนู 24 คูคตสเตชั่น รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/b374fe67

7.เฮ้าส์ 24 ราชพฤกษ์ รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/6019be78

8.เฮ้าส์ 24 เวสต์เกต รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/b73d8cf6

9.เฮ้าส์ 24 คูคตสเตชั่น รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/c4da84c3

10.บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ประชาอุทิศ 90 รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/a678f150 

11.บ้านลุมพินี นิวนครปฐม รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/8b4e9aec

12.วิลล่า 168 นิวกรุงเทพกรีฑา รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/7de4966b

 

กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม

13.ลุมพินี ซีวิว ชะอำ รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/58496bb7

14.ลุมพินี พาร์คบีช ชะอำ 2 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/1edc615c

15.ลุุมพินี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/2eb0a8ef

16.ลุมพินี พาร์ค พหล 32 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/a21c248f

17.ลุมพินีทาวน์ชิป รังสิต – คลอง 1 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/3d1b98a8

18.ลุมพินีวิลล์ แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/54df6ebd

19.ลุมพินีเพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/2e336dc4

20.ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 เฟส 2 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/9af3cf82

21.ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี - สิรินธร รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/ed3ea7c7

22.ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 รายละเอียดโครงการ https://s.lpn.co.th/852785e2

23.ลุมพินี ซีีเล็คเต็ด จรัญ 65 - สิรินธร สเตชั่น รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/00ea3a4e

24.ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว รายละเอียดโครงการ  https://s.lpn.co.th/50d160ec

สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ที่สำนักงานขาย ได้ทุกวัน ตั้งแต่ 10:00 - 18:00 น. หรือ โทร. 02-689-6888 และติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษ ที่ไม่ควรพลาด จาก LPN ผ่านช่องทาง Facebook Page: LPN Connect หรือ LINE OA: @LPNdev หรือ www.lpn.co.th

SCG Decor หรือ SCGD คว้าผลประเมิน CGR ระดับ 5 หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จากการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม รับผิดชอบต่อสังคมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน การประเมินดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR)

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “SCGD ได้รับคะแนนอยู่ใน Quartile ที่ 1 จากการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของพนักงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ก้าวสู่การเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนด้วยกลยุทธ์การเติบโต มีรายได้เป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 พร้อมกับการกำกับดูแลกิจการตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี ทั้งในมิติ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม นำมาซึ่งการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย นักลงทุน และนักลงทุนสถาบัน ด้วยผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าขยายธุรกิจพร้อมกับสร้างความยั่งยืนให้โลก พัฒนากระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์

ล่าสุดได้ส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ที่คุ้มค่าตอบโจทย์ลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ เช่น “Smart Flexible by COTTO หรือ LT by COTTO” นวัตกรรมวัสดุปูพื้น SPC ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ป้องกันปลวก ป้องกันน้ำ 100% ลวดลายสวยงาม สัมผัสเสมือนธรรมชาติ รักษ์โลก ปราศจากสารเคมีอันตราย และยังเป็น Non-Firing ที่ไม่มีกระบวนการเผาในการผลิต นอกจากนี้ วัสดุปิดผิวและกระเบื้องกลุ่ม ECO Collection ของ COTTO ยังลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่สูงสุดถึง 80% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 75% นำน้ำใช้แล้วมาหมุนเวียนถึง 25% เช่น กระเบื้องรุ่น อิโค สคิสโซ (ECO-SCHIZZO) ซึ่งนอกจากมีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว  ยังปราศจากสารเคมีระเหย โลหะหนัก  ลดคาร์บอนจากการขนส่ง  เป็นการประยุกต์เรื่องความยั่งยืนมาผสานกับนวัตกรรมการอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว  ส่งผลให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAILAND GREEN DESIGN AWARD 2024  ประเภทการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (resources efficiency จากงาน Thailand Green Design Awards 2024 หรือ TGDA 2024”

สำหรับปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมการประเมิน Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2024 : CGR ทั้งสิ้น 808 บริษัท ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 84% แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิทธิและการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ

การบริหารจัดการทรัพยากร ด้วยการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดของเสียในกระบวนการผลิต ตามหลัก Circular Economy เป็นสิ่งที่หลายภาคส่วนนำไปปรับใช้ในองค์กรของตนเอง CPF เป็นหนึ่งในองค์กรที่มุ่งพัฒนากระบวนการบริหารจัดการของเสียและน้ำเสียที่เกิดจากมูลสัตว์ในฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงงานผลิตอาหารสุกร จนถึงโรงงานชำแหละตัดแต่งและแปรรูปสุกร

บุคลากรของธุรกิจสุกร CPF ในประเทศไทย ร่วมกันสร้างสรรค์โครงการ Waste No More สานต่อความยั่งยืน” เพื่อสานต่อการดำเนินธุรกิจที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้ทั้งธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน และสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนรอบด้าน จากความคิดริเริ่มที่บุคลากรทุกคนมองเห็นประโยชน์ของของเสีย แล้วสรรหานวัตกรรมและเทคโนลียีมาปรับเปลี่ยนให้เป็นของดีอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำของเสียที่ผ่านกระบวนการบำบัดและกระบวนการเผาไหม้กลับมาใช้ นับเป็นการหาแนวทางเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นของดี (Weste to Value) เกิดเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ ทั้ง 4 ดี คือ “เถ้าดี น้ำปุ๋ยดี แก๊สดี กากตะกอนดี”

“เถ้าดี Feed สู่ Farm”  เป็นการเปลี่ยนขี้เถ้าจากเตาเผาชีวมวลในกระบวนการที่ใช้ไอน้ำของโรงงานผลิตอาหารสุกร สู่ขี้เถ้าสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียแทนการใช้ปูนขาวในฟาร์มสุกรของเกษตรกรโครงการคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยบริษัททำการทดลองและเก็บตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์ผลกับห้องปฏิบัติการ AHDC และทำการทดลองร่วมกับ สำนักงานกรมโรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี กระทั่งได้รับใบอนุญาตให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นเถ้าดีที่ใช้ในฟาร์มต่างๆ ช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปูนขาวได้ถึงกว่า 3 แสนบาทต่อฟาร์ม/ปี

วิชัย ธนูแก้ว เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่งเลี้ยงสุกร มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เมื่อก่อนใช้ปูนขาวโรยบริเวณหน้าฟาร์ม เวลาใช้มักมีอาการแสบตาแสบมือ เมื่อมีฝนตกก็จะชะล้างปูนขาวหายไปหมด หลังจากใช้เถ้าดีเวลาฝนตกลงมาค่า pH อยู่ประมาณ pH10 ยังคงความเป็นด่างอยู่ จึงมั่นใจในคุณภาพของเถ้าดีที่สามารถป้องกันโรคได้

“น้ำปุ๋ยดี สู่เกษตรกร” จากน้ำบำบัดสู่น้ำปุ๋ยที่สร้างมูลค่าทำให้พืชผลของเกษตรกรออกผลผลิตงดงาม เพราะน้ำปุ๋ยจากฟาร์มช่วยพยุงเมื่อยามน้ำขาดแคลน ลดภาระช่วยทดแทนปุ๋ยเคมี น้ำปุ๋ยนี้ได้จากการบำบัดน้ำเสียด้วยระบบไบโอแก๊ส ได้แก๊สมีเทน แปลงเป็นกระแสไฟฟ้า ทดแทนการซื้อไฟจากการไฟฟ้า เฉลี่ย 50- 70% สามารถบริหารจัดการน้ำนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ในหน่วยงานทั้งหมดโดยไม่ปล่อยสู่ภายนอก (Zero Discharge) ทั้งทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ ล้างพื้นและถนน เป็นน้ำพ่นระบบฟอกอากาศหลังโรงเรือน ใช้รดน้ำในพื้นที่สีเขียวและพื้นที่การเกษตรของหน่วยงาน อาทิ ผักสวนครัว สวนยาง สวนปาล์ม และสวนป่า ขณะเดียวกัน ในช่วงแล้งเกษตรกรพื้นที่ใกล้เคียง ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำและได้ขอนำน้ำปุ๋ยไปใช้ CPF จึงต่อยอดสู่ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกรและชุมชน” สำหรับรดพืชสวน พืชไร่ ช่วยเกษตรกรผ่านพ้นวิกฤติแล้ง เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง โครงการนี้ช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่าย ทั้งลดการซื้อน้ำ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และต่อยอดสู่การสร้างศูนย์เรียนรู้ปราชญ์น้ำปุ๋ยที่เชี่ยวชาญการผสมน้ำกับพันธุ์พืชแต่ละชนิด

“แก๊สดี สู่ชุมชน” ฟาร์มสุกรโครงการคอนแทรคฟาร์มเลี้ยงสุกรขุน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งทำระบบไบโอแก๊ส ด้วยบ่อหมักแบบโดมคงที่ (Fixed dome) สามารถนำแก๊สที่ได้ต่อท่อลำเลียงแก๊สให้ชุมชน ในตำบลบ้านด้าย มากกว่า 30 ครัวเรือน การต่อท่อได้งบสนับสนุนครึ่งหนึ่งจากภาครัฐโดย อบต.บ้านด้าย ช่วยลดค่าใช้จ่ายแก๊สหุงต้มแก่ 30 ครัวเรือน ประมาณ 15 ถัง/เดือน วิสาหกิจชุมชนลดได้ 5 ถัง/เดือน แม่ค้าตลาด 4 ถัง/เดือน และโรงเรียนบ้านด้ายต่อยอดความสำเร็จสามารถผลิตแก๊สเองได้แล้ว

จำเริญ สุวรรณศร สมาชิกผู้ใช้แก๊สดีบ้านดงป่าสัก กล่าวว่า แก๊สที่ได้จากการหมักมูลสุกรถูกดึงเข้าสู่ท่อแก๊สหุงต้ม ช่วยลดรายจ่ายครัวเรือน จากเดิมใช้แก๊สหนึ่งถังได้ 1-2 เดือน เมื่อใช้แก๊สถังร่วมกับแก๊สชีวภาพ ถังหนึ่งอยู่ได้ถึง 4-5 เดือน นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนและศูนย์ฝึกอาชีพตำบลบ้านด้าย ปันแก๊สดีใช้ต้มไข่เค็มพอกดินจอมปลวก แบรนด์ “ไข่เค็มไอโอดีน” และใช้ทอด “ข้าวเกรียบออร์แกนิคบ้านดงป่าสัก” เพื่อส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพชุมชน

 

“กากตะกอนดี สู่เกษตรกร” จากกากตะกอนในระบบไบโอแก๊สของทั้งฟาร์มสุกรและโรงงาน ที่ยังมีจุลินทรีย์ดี มีแร่ธาตุสารอาหารที่พืชต้องการ นำไปตากแห้งกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี โดยมีเครือข่ายร่วมพัฒนา ทั้งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมพัฒนาที่ดิน หน่วยงานบริหารส่วนท้องถิ่น นักวิชาการเกษตร CPF และ CPP เพื่อส่งมอบปุ๋ยกากตะกอนให้เกษตรกรรอบหน่วยงาน รวมถึงโครงการผักปลอดภัยชุมชนบ้านด้าย ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ โครงการในพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ขณะเดียวกัน ฟาร์มในโครงการส่งเสริมฯ สามารถเพิ่มรายได้เสริมจากการกรอกปุ๋ยกากตะกอน

บันเทิง ผลเจริญ ปราชญ์ปุ๋ยกากตะกอนสวนผลไม้ กล่าวว่า กากตะกอนดี ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้กว่า 50% ซื้อปุ๋ยเคมีลดลงมากกว่าครึ่ง กากตะกอนดีได้มาฟรีๆนำมาหมักรวมกับกากน้ำตาล ทำให้ผลผลิตดีขึ้น ดินก็ไม่เสียด้วย

"Waste No More สานต่อความยั่งยืน" โครงการซึ่งเกิดจากความคิดสร้างสรรของพนักงานธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ ที่ได้รับรางวัลโดดเด่นในการประกวด CPF Sustainability in Action Awards 2024 เป็นต้นแบบของโครงการที่มีแนวปฏิบัติที่ดี ตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยังสะท้อนถึงความตระหนัก ความตั้งใจ ในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero) ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพนักงานและชุมชนรอบข้าง สร้างคุณค่าคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 ชุด อายุตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี ผลตอบแทนระหว่าง 2.95-4.00% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของ TRUE ที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 - 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์  ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้  TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567  สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้

  1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 95% ต่อปี
  2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 40% ต่อปี
  3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 70% ต่อปี
  4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 86% ต่อปี
  5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 00% ต่อปี

ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมทำกำไร (หลังรายการปรับปรุง) ในไตรมาส 3/2567 ถึง 3,107 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) 41,509 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 24,981 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเติบโต 2.7% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการยังปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% โดยทรูจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าและการบริหารงานภายใน พร้อมมุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”

การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้คืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 2 ปี ถึง 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน  สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวน และในช่วงดอกเบี้ยขาลง ดังเช่นการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา  นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนคงที่ในระยะยาวได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai
  • ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

 

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมงานกฐินพระราชทานโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปทอดถวายยังที่ชุมนุมสงฆ์ ในงานได้รับเกียรติจากนายชูฉัตร ประมูลผล (ที่ 4 จากซ้าย) เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2567 ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญจำนวนเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป่าโมกวรวิหาร ตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง โดยมียอดกฐินจากบริษัทประกันภัยต่างๆ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน เพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอารามหลวง รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,049,002.59 บาท ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญมั่นคงอยู่ต่อไปและร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามสืบทอดกันมายาวนานของไทย

นอกจากนี้ นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นผู้แทนเอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค และนายสุรินทร์ ตนะศุภผล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกลยุทธ์องค์กร สำนักงาน คปภ. มอบทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และแล็ปท็อป 10 เครื่อง โดยมี นายชัยวัฒน์ มั่นอก ผู้อำนวยการโรงเรียนปาโมกข์วิทยาภูมิ และนายอิทธิพล ศรีชัย รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดปาโมกข์ (นรสีห์วิทยาคาร) เป็นผู้รับมอบ ผ่านกิจกรรม “สำนักงาน คปภ. รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนภายใต้อุปถัมภ์ของวัดป่าโมกวรวิหาร” เพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนของโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดป่าโมกวรวิหารทั้ง 2 โรงเรียน ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำพันธกิจที่เอไอเอมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้คนไทยและเยาวชนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’

ONNEX by SCG Smart Living ปรับโฉมพื้นที่ชั้น 1 ที่ SCG HOME Experience นำเสนอระบบโซลาร์จาก SCG Solar Roof Solutions พร้อมนวัตกรรมเพื่อคุณภาพอากาศภายในบ้าน อาทิ SCG Active AIR Quality เติมอากาศดีพร้อมป้องกันฝุ่น PM 2.5 และ SCG Active AIRflow™ System ช่วยแก้ปัญหาบ้านร้อนให้อยู่สบาย พร้อมโปรโมชัน Top-Up ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจดูแลคุณภาพชีวิตในบ้านให้ดีขึ้น

นายดุสิต ชัยรัตน์ Head of Smart Solution Business เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง กล่าวว่า “การปรับปรุงพื้นที่ใหม่ของ ONNEX by SCG Smart Living (ออนเนกซ์ บาย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง) บริเวณชั้น 1 ของ SCG HOME Experience เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา (CDC) ในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอโซลูชันต่าง ๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตภายในบ้านให้ดียิ่งขึ้น โดยเน้นให้บริการด้านข้อมูลและการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการตัดสินใจซื้อที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด โดยไฮไลท์ของพื้นที่คือโซนระบบโซลาร์ ที่นำเสนอสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์ทั้งหมด อาทิ แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่อินเวอร์เตอร์ และนวัตกรรม Solar Fix สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจี ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อลดปัญหาหลังคารั่วซึมจากการติดตั้งระบบโซลาร์ โดยลูกค้าสามารถรับบริการ One Stop Services จาก SCG Solar Roof Solutions แบบครบวงจร ตั้งแต่ตรวจเช็กสภาพหลังคาเพื่อแก้ไขทุกปัญหาก่อนการติดตั้ง ตลอดจนดำเนินการเรื่องเอกสารขออนุญาตติดตั้งกับภาครัฐ จนถึงบริการหลังการขาย

สำหรับโซนโซลูชันเพื่อคุณภาพอากาศภายในบ้าน  ONNEX by SCG Smart Living ได้นำเสนอ SCG Active AIR Quality โซลูชันที่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และเติมอากาศดีภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหลักการ Positive Pressure ของระบบจะช่วยป้องกันมลภาวะและเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ให้เข้าสู่ภายในบ้าน รวมทั้งยังมีพื้นที่สาธิตกระบวนการทำงานของ SCG Active AIRflow™ System โซลูชันเพื่อการถ่ายเทอากาศและระบายความร้อนออกจากตัวบ้านและโถงหลังคา ช่วยแก้ปัญหาบ้านร้อนอบอ้าว ลดการสะสมเชื้อโรคและความอับชื้นในบ้าน จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการภูมิแพ้ ทำให้รู้สึกสบายและปลอดโปร่งตลอดเวลาที่อยู่ภายในบ้าน ทั้งนี้ โซลูชันระบบโซลาร์และระบบคุณภาพอากาศภายในบ้าน ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้นตามแนวทางของธุรกิจ”

นอกจากนี้ ONNEX by SCG Smart Living  ยังมีโปรโมชันฉลองเปิดพื้นที่ใหม่ส่งท้ายปี 2567 จาก SCG Solar Roof Solutions SCG Active AIR Quality และ SCG Active AIRflow™ System ด้วยการขยายเวลาโปรโมชันที่ได้รับความนิยมจากงานบ้านและสวนแฟร์ 2024 จนถึงสิ้นปีนี้ และพิเศษสุดในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567 จะมี 3 แพ็กเกจ Top up ได้แก่

  • แพ็กเกจที่ 1 : มัดจำ SCG Solar Roof Solutions + ซื้อ SCG Active Air Quality ลด 15% พร้อมรับส่วนลดเพิ่ม 1,000 บาท
  • แพ็กเกจที่ 2 : ซื้อ SCG Active AIRflow™ System ลด 10% พร้อมรับสิทธิพิเศษ อัปเกรดเปลี่ยน Steel เป็น Stainless
  • แพ็กเกจที่ 3 : ซื้อ SCG Active AIR Quality ทุกรุ่น แถมทันทีเซ็นเซอร์ PM 5 มูลค่า 2,500 บาท

พบกับพื้นที่ใหม่พร้อมโปรโมชันตลอดปลายปี 2567 ที่โซน ONNEX by SCG Smart Living ชั้น 1 SCG HOME Experience หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.onnexbyscg.com

กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) เดินหน้าโครงการต้านโลกร้อนและส่งเสริมวงจรรีไรเซิลอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับประกาศเกียรติคุณโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือ Low Emission Support  Scheme (LESS) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศของการจัดการขยะและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโลกร้อน ก้าวสู่องค์กรที่จะลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และสร้างมูลค่าพลาสติกใช้แล้วให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ 3 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573

โครงการต้านโลกร้อนและส่งเสริมวงจรรีไรเซิลที่ได้รับการรับรองจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในครั้งนี้ ได้แก่ 1. โครงการศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร (บ้านฉาง MRF) 2. โครงการปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารภายในบริษัทจากยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นยานพาหนะไฟฟ้า 3. โครงการ “เก็บ...เซฟ...โลก” ในป่าชายเลนและวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล และ 4. โครงการจัดการขยะรีไซเคิลภายในบริษัทฯ รวมช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 140 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สำหรับศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร (บ้านฉาง MRF) เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการลดปริมาณขยะพลาสติกและวัสดุรีไซเคิลในชุมชนบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยเป็นต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยสำหรับการคัดแยกและยกระดับคุณภาพวัสดุรีไซเคิลเหลือใช้ในชุมชนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีฝีมือคนไทย สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิล โดยมีการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ตั้งเป้าแก้ปัญหาพลาสติกใช้แล้วและวัสดุรีไซเคิลในหลุมฝังกลบเพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในแต่ละปีกว่า 1,000 ตัน  และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 2,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนี้ Dow ยังได้ปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารภายในบริษัทฯ จากยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เป็นยานพาหนะไฟฟ้าด้วยจำนวนที่นั่งเท่าเดิมและรับส่งพนักงานได้ครบถ้วนในระยะทางเท่ากัน โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 – พฤษภาคม 2567 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าพลังงานเชื้อเพลิงได้กว่า 102,000 บาทแล้ว ยังลดมลพิษทางอากาศ เสียงรบกวน ก๊าซเรือนกระจกได้อีกกว่า 9 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังคงดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

นายเอกสิทธิ์ ลัคนานิธิพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายธุรกิจร่วมทุน กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “การได้รับรางวัลในครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ทั้งในและนอกองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เราเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนไม่เพียงแต่สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ แต่ยังส่งผลดีต่อชุมชนและประเทศชาติ การลดปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับชุมชน นอกจากนี้ การสร้างงานและรายได้ให้กับคนในพื้นที่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป”

กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ยังได้รับการรางวัลต่าง ๆ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อย่างต่อเนื่อง อาทิ การรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products) ฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction) คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization) รวมถึงการแต่งตั้งบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิของบริษัทฯ ให้เป็นที่ปรึกษาและคณะกรรมการที่ได้รับการรับรองจาก อบก. ในการขับเคลื่อนพันธกิจด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในหรือก่อนปี ค.ศ. 2065 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

X

Right Click

No right click