กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นเรื่องสำคัญ : บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด แนะนำไอเทมเด็ด “กิฟฟารีน เอช เอ็ม บี พลัส วิตามินดี 3” (Giffarine HMB Plus Vitamin D3) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูล โดย 1 แคปซูล ประกอบด้วย แคลเซียม เบต้า-ไฮดรอกซี-เบต้า-เมทิล-บิวไทเรต และวิตามินดี 3 ให้ช่วยดูแลมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สำหรับผู้สูงอายุ และผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย ผู้ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือรับประทานโปรตีนไม่เพียงพอ ผู้ที่รักสุขภาพทั่วไป ผู้ที่ดูแลรูปร่างหรือควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ และผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการมีมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นเรื่องสำคัญ และ Giffarine HMB Plus Vitamin D3 คือ คำตอบของการมีสุขภาพกล้ามเนื้อที่ดี รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง พร้อมอาหาร
จากงานวิจัย พบว่า HMB มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ได้รับรางวัล Nutralngredients Asia Awards 2021 หมวด Healthy Aging และผ่านการรับรองมาตรฐาน USP ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานในการผลิตยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานทั่วไป ขนาด 30 แคปซูล ราคา 620 บาท
บริษัท ทีทีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายยางอุตสาหกรรม สายยางรดน้ำและข้อต่อคุณภาพสูง TOYOX แบรนด์สายยางญี่ปุ่นที่คร่ำหวอดในวงการระดับโลกมานานกว่า 60 ปี ซึ่งได้รับการยอมรับและครองตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ตอกย้ำคำว่า “สายยาง ต้อง TOYOX” ได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดบริษัทได้ขยายไลน์ธุรกิจไปยัง CAT Tools by TTT Corporation เครื่องมือสวนและเครื่องมือช่างแบรนด์ระดับโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างหลากหลายและครบวงจร โดยมีเป้าหมายในการมอบคุณภาพและบริการที่สูงเทียบเท่ากับ ‘สายยางต้อง TOYOX’ ที่ลูกค้าไว้วางใจ
ดร. นที อ่อนอิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะไม่จำกัดตัวเองแค่สายยาง TOYOX เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการจัดจำหน่ายสินค้าสายยางอุตสาหกรรมจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น Yokohama, Continental Contitech, MTG, Pisco, และ Norres โดยในปี 2567 นี้ เราได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ ด้วยการนำเข้าสินค้าหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบวงจร เช่น สินค้าดูแลสวนยุคดิจิทัล Rainpoint, สายยางญี่ปุ่นนวัตกรรมใหม่ Atlantiz, สายไฮโดรลิคชั้นนำจากญี่ปุ่น Sumitomo Riko และล่าสุด CAT Tools by TTT Corporation ที่จะทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในตลาดเครื่องมือสวนและเครื่องมือช่างอย่างเป็นทางการ”
CAT Tools by TTT Corporation เป็นเครื่องมือไฟฟ้าแบรนด์ระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย ใช้งานง่าย และทนทาน เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั้งในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงาน และกลุ่มคนรักงาน DIY ที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว แบ่งเป็น 2 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ “เครื่องมือสวนไร้สาย” ที่มีสินค้าอย่าง รถตัดหญ้า เครื่องเล็มหญ้า เครื่องตัดแต่งพุ่มไม้ และเครื่องเป่าใบไม้ ที่มาพร้อมกับการทำงานแบบ Brushless Motor สามารถหาซื้อได้แล้วที่ HomePro และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองจาก TTT Corporation ทั่วประเทศ และหมวด CAT Power Tools เครื่องมือไฟฟ้าสำหรับงานช่าง ที่จะเริ่มวางจำหน่ายในเฟสถัดไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมศักยภาพให้กับตลาดงานสวนและงานช่างได้อย่างดีเยี่ยม
TTT Corporation ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร ระบบรับประกันสินค้า ศูนย์บริการในเครือที่กระจายอยู่ในหลายจังหวัด และการสร้าง Community เพื่อให้ลูกค้าได้แชร์ประสบการณ์และสนับสนุนกันและกัน นอกจากนี้ เรายังมุ่งหวังให้ CAT Tools by TTT Corporation เป็นสินค้าและบริการที่ลูกค้ารักและแนะนำต่อในอนาคต ด้วยคุณภาพที่ทุกคนไว้วางใจและบริการที่ไม่หยุดนิ่ง
อย่าลืม! ถ้าเครื่องมือไฟฟ้า ต้อง CAT Tools ต้อง by TTT Corporation เท่านั้น
นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “เพราะลูกค้าเป็นหัวใจในการสร้างความสำเร็จระยะยาว การฟังและตอบสนองความต้องการของลูกค้าจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์และตรงใจ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย จึงได้นำแนวคิด “ลูกค้าคือเข็มทิศนำทาง” (Customer is Our Compass) มาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเปิดรับฟังความต้องการของลูกค้าและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่ยิ่งดีขึ้น เพื่อให้ชีวิตในทุกๆวันของลูกค้าดีกว่าเดิม แม้เราจะสามารถทำคะแนนความพึงพอใจลูกค้าอยู่ในเกณฑ์สูงสุด (The 1st Quartile Relationship Net Promoter Score) ของธุรกิจประกันชีวิต แต่เรายังคงไม่หยุดนิ่งและวางกลยุทธ์เชิงรุกที่เน้นความใส่ใจดูแลลูกค้าในทุกย่างก้าวเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง”
แนวคิด “ลูกค้าคือเข็มทิศนำทาง” (Customer is Our Compass) คือ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร “The PruWay” ของ กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของพนักงานทุกคนทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกกับลูกค้า เพื่อรับฟัง ปรับปรุง และสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพของพนักงานและสร้างองค์กรแห่งความสุข ที่ช่วยให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการให้บริการลูกค้า ช่วยตอบสนองทุกความต้องการครอบคลุมทุกมิติ
“ผมมองว่าแนวคิดนี้จะเกิดขึ้นจริงไม่ได้ หากพนักงานทุกคนไม่ได้มีส่วนร่วมและมีประสบการณ์โดยตรงกับลูกค้า ดังนั้น พรูเด็นเชียล ประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรม “PRUCustomer Day : จะชนะใจลูกค้าได้อย่างไร” ต่อเนื่องตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรม Verbatim ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยี AI ให้รับฟังหลากหลายความรู้สึกของลูกค้า พร้อมร่วมแบ่งปันความคิดเห็น, กิจกรรม Voice of Customer จากเสียงจริงจากลูกค้าตัวจริง และ กิจกรรม Service Huddle ฟังเคสจริง จากทีมงานตัวจริง เพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสนอแนวทางการให้บริการลูกค้าที่ตรงจุดมากขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งทีมผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ” นายบัณฑิต กล่าวเสริม
ขณะเดียวกัน พรูเด็นเชียลฯ ก็ได้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงและเมกะเทรนด์ต่างๆของโลกเพื่อให้บริการและดูแลลูกค้าได้ทันทุกสถานการณ์ อย่างเช่น หลายคนกังวลว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ แต่สำหรับพรูเด็นเชียลฯแล้ว เรามองว่านี่คือโอกาสสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น เราจึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาการให้บริการลูกค้าผ่านระบบจัดการข้อมูลออนไลน์ครบวงจร ด้วยบริการ PRUConnect บน LINE Official Account ช่วยให้คุณจัดการกรมธรรม์ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ลูกค้าสามารถตรวจสอบกรมธรรม์ เช็คสถานะการเรียกร้องสินไหม ชำระเบี้ยประกัน และทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องเข้ามาที่สำนักงานของเรา จะอยู่ที่ไหนก็ติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีการฝึกอบรมให้พนักงานได้ใช้โปรแกรม Microsoft Copilot ในการป้อนคำสั่งด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและต้นทุน เมื่อเราป้อนคำสั่ง โปรแกรมจะช่วยจัดการและสร้างทางเลือกให้เราบริหารจัดการงานได้ง่ายและสะดวกขึ้น
ด้วยความมุ่งมั่นของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่พยายามสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าทำให้เราทำคะแนนความพึงพอใจลูกค้าอยู่ในเกณฑ์สูงสุด (The 1st Quartile Relationship Net Promoter Score) ของธุรกิจประกันชีวิต และ สามารถคว้าหลากหลายสาขารางวัลในระดับประเทศและนานาชาติ ในปีนี้ อาทิ รางวัล Customer Service Initiative of the Year – Thailand, รางวัล New Insurance Product of the Year – Thailand ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความโดดเด่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินประกันชีวิตออมทรัพย์ระยะสั้น Global Index Principle Protect 15/5 และรางวัล ESG Initiative of the Year – Thailand จากโครงการ Give the Future การให้ที่ยั่งยืน คือ การให้ที่ส่งต่อได้ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการส่งต่อสิ่งดีๆ ให้สังคม นอกจากนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังคว้า สามารถคว้า 10 รางวัลอันทรงเกียรติจากสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย (TCCTA) จากเวที TCCTA Contact Center Awards 2024 เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดงาน BKI Friends' Fair 2024 รับเทศกาลฮาโลวีน โดยดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และนางสาวปวีณา จูชวน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้เยี่ยมชมและอุดหนุนสินค้าจากร้านค้าต่างๆ โดยบริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากคู่ค้าและพันธมิตรของบริษัทฯ นำสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ดังชั้นนำต่างๆ มาออกร้านจำหน่ายสินค้าในราคาพิเศษ ซึ่งมีพนักงานบริษัทฯ และประชาชนทั่วไปสนใจเลือกซื้อสินค้าภายในงานอย่างคึกคัก ณ อาคารกรุงเทพประกันภัย ถนนสาทรใต้ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2567
Eternity at One (อีเทอร์นิตี้แอทวัน) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “AVATR” (อวาทาร์) เดินหน้ารุกตลาดรถไฟฟ้าพรีเมียม ทุ่มงบกว่า 20 ล้าน เปิด AVATR BANGNA โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรแห่งแรกในเซาท์อีสต์เอเชีย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมสร้างประสบการณ์ ความประทับใจการขับเคลื่อนยนตรกรรมระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นายทรงวิทย์ ฐิติปุญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอนิตี้ แอทวัน จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า AVATR เปิดเผยว่า CHANGAN (ฉางอาน) เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ซึ่งหลังจากที่มีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-จีน ในการนำเข้ารถ EV จากจีนทำให้รถ EV จากจีนได้แต้มต่อในการแข่งขันในวงการยานยนต์ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ EV จากจีนเป็นได้รับความเชื่อถือจากคนไทยและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะสามารถตอบสนองความต้องการและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจในไทย CHANGAN ให้ความสำคัญมุ่งเน้นด้านบริการหลังการขายและยึดมั่นส่งมอบสินค้าที่ดีที่สุดและคุ้มค่ามากที่สุดสู่ผู้บริโภค ล่าสุดจึงได้นำ AVATR 11 เข้ามาเจาะตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งบริษัท อีเทอนิตี้ แอทวัน จำกัด ได้รับความไว้วางใจจาก CHANGAN ให้เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า AVATR ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
"AVATR 11 ถูกวางไว้ในเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และเป็นโปรดักส์เรือธง (Flagship) ที่ช่วยเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งให้กับภาพลักษณ์แบรนด์ในเครือ CHANGAN ทั้งนี้หลังจากเปิดตัวแบรนด์และเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น AVATR 11 พวงมาลัยขวาในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้มียอดจองเข้ามาอย่างล้นหลามโดยเฉพาะช่วงเดือนแรกหลังเปิดตัว และยังคงมีการจองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2567 ตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า AVATR 11 ไว้ 500 คัน ซึ่งปัจจุบันยอดจองและยอดจำหน่ายใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะมีการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทาง Mass Media เพื่อสร้างการรับรู้ในความหรูหราของแบรนด์ AVATR มากขึ้น
ดังนั้น เพื่อรองรับการขยายตัวของแบรนด์ AVATR ในอนาคต และสะท้อนความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทางบริษัท อีเทอนิตี้ แอทวัน จำกัด จึงได้ทุ่มงบประมาณในการลงทุนมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท เนรมิต AVATR BANGNA โชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ AVATR แห่งแรกในเซาท์อีสต์เอเชีย พร้อมนำเสนอบริการด้านการขายและบริการหลังการขายครบวงจร บนทำเลที่มีศักยภาพและโดดเด่นบนถนนบางนา-ตราด ประตูสู่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญในประเทศไทย”
AVATR BANGNA ถูกเนรมิตให้มีความทันสมัยสะท้อนอัตลักษณ์ความเรียบหรู ที่เน้นการให้ความสำคัญสูงสุดกับการให้บริการลูกค้า มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยมีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ประกอบด้วยพื้นที่โชว์รถยนต์ไฟฟ้า AVATR พื้นที่พักผ่อน ห้องรับรองบริการหลังการขาย และโซนส่งมอบรถยนต์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,191 ตร.ม. ขณะที่โชว์รูมและศูนย์บริการสาขาพระราม 6 จะก่อสร้างเสร็จภายในสิ้นปี 2567 และเตรียมแผนรองรับความต้องการของลูกค้าในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และรวมทั้งมีแผนจะขยายศูนย์บริการต่างจังหวัด
พบกับศูนย์บริการ AVATR แบบครบวงจรได้ที่ AVATR Bangna ภายในโครงการ แอท ยู พาร์ค บางนา กม.12 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page : AVATR Eternity At One หรือ Call Center 02-036-5888 และ Website : https://avatr-eternityatone.com/
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงาน “คปภ. เพื่อสังคม” สังคมอุดมศึกษา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ณ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) โดยสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยร่วมกันลงพื้นที่เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการประกันภัยที่เกี่ยวข้องต่อสังคมเป้าหมาย และเผยแพร่เรื่องราวผ่านรายการ คปภ. เพื่อสังคม ซึ่งจะเผยแพร่ผ่านช่องทางทีวีดิจิทัล (อัมรินทีวี HD ช่อง 34) โดยมุ่งหวังให้ประชาชนผู้รับชมรายการได้รับความรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัย รวมทั้งเป็นการดำเนินการเพื่อสร้างประโยชน์ในมิติการส่งเสริมอาชีพตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ และรศ.ดร.สุเพชร จิรขจรกุล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้การต้อนรับ
โดยสังคมอุดมศึกษาถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีนักศึกษาในสังกัดสถาบันอุดมศึกษามากกว่า 1,600,000 คน (ข้อมูล ณ 1 ตุลาคม 2567) ซึ่งจะเติบโตเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราการว่างงานภายในประเทศในเดือนสิงหาคม 2567 พบว่าประเทศไทยมีแรงงานในระบบอยู่ที่ 40.39 ล้านคน มีจำนวนผู้ว่างงาน 440,000 คน เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาแล้ว กลุ่มบัณฑิตซึ่งจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้ว่างงานมากที่สุด ถึงประมาณ 169,000 คน และจากจำนวนดังกล่าวเป็นกลุ่มบัณฑิตผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อนถึง 122,000 คน หรือประมาณร้อยละ 72.19 ของผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา จากข้อมูลดังกล่าวอาจสะท้อนถึงทักษะของบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงาน ดังนั้น การให้ความรู้เรื่องเส้นทางอาชีพ ทักษะที่จำเป็น รวมทั้งความต้องการของตลาดแรงงาน จะสามารถเป็นตัวช่วยให้อัตราการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ลดน้อยลงได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สำนักงาน คปภ. จึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นตัวแทนของการถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมอุดมศึกษา เนื่องจากเล็งเห็นว่าสถาบันแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตบุคลากรเข้าสู่ระบบประกันภัย อาทิ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย นักจัดการความเสี่ยง นักวิเคราะห์วางแผนในธุรกิจประกันภัย นายหน้าประกันภัย หรือการเข้ามาเป็นพนักงานของสำนักงาน คปภ. ในอนาคต อันจะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ได้มีการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ทำงานด้านประกันภัยจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องจากศิษย์เก่าโดย ดร.ชญานิน เกิดผลงาม รองเลขาธิการ ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี สำนักงาน คปภ. ต่อด้วยเวทีเสวนาในหัวข้อ “เส้นทางอาชีพด้านการประกันภัยของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากร ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.กมล บุษบา สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย นายจรุง เชื้อจินดา รองผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย นายจิตวุฒิ ศศิบุตร นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย นายกฤษณ์ วณิชเดโชชัย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน นางคณิญาภร จรุงกิจกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านบริหารยุทธศาสตร์และสารสนเทศ สำนักงาน คปภ. และ นางสาวนัฎพร กีชานนท์ หัวหน้ากลุ่มนโยบายและความเชื่อมโยงภาคการเงิน โดยการจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจประกันภัยทั้งบริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัย และหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่มาร่วมออกคูหานิทรรศการ ทำให้งานมีสีสันสนุกสนานและคึกคักมากขึ้น เปรียบเสมือน Job Fair ขนาดย่อม ๆ กันเลยทีเดียว
“เลขาธิการ คปภ. กล่าวทิ้งท้ายว่าโครงการ “คปภ. เพื่อสังคม” สังคมอุดมศึกษา จะเป็นประโยชน์แก่น้อง ๆ นักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงผู้ที่รับชมรายการ “คปภ. เพื่อสังคม” ในการวางแผนเส้นทางอาชีพของตนเอง ก่อนการเข้าสู่วัยทำงาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้อง ๆ ทุกคนจะเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัย อันนำมาซึ่งการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”
อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ตัดริบบิ้นงาน COSMEX 2024 แล้ว ยังคงจัดคู่กับงาน in-cosmetics Asia เพื่อให้ผู้ชมงานได้ข้อมูลจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมเปิดพื้นที่จัดแสดงใหม่ “โซนฮาลาล” เอาใจผู้ประกอบการที่ต้องการเจาะกลุ่มชาวมุสลิมที่เป็นตลาดใหญ่สุดในโลก
นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ เปิดเผยถึงงาน COSMEX 2024 มหกรรมงานแสดงเทคโนโลยีการผลิต, ผู้รับผลิต OEM/ODM, บรรจุภัณฑ์ การพิมพ์และฉลากบรรจุภัณฑ์, อุปกรณ์เสริมความงามและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปด้านเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ว่า การจัดงานในปีนี้มีผู้ประกอบการกว่า 200 บริษัทที่นำผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกลุ่มความงามและสุขภาพมาจัดแสดง และการจัดงานยังคงจัดคู่กันกับงาน in-cosmetics Asia เหมือนเช่นปีที่ผ่านมาอีกด้วย
นอกจากนี้ในวันเปิดงาน ยังมีการจัดเสวนาพิเศษเกี่ยวกับเทรนด์ของธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย โดยมีผู้เชี่ยวชาญและกูรูจากผู้ประกอบการในกลุ่มต่าง ๆ เข้าร่วมเสวนาในครั้งนี้รวม 4 ท่าน ได้แก่ คุณมนทิรา พรประสิทธิ์ Senior Vice President บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด ผู้นำบริการครบวงจรระดับโลกด้าน OEM และ ODM สำหรับเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และดูแลผิวกาย สุขภาพผม
คุณเอนก เขมพาณิชย์กุล Design Director บริษัท ฮูเวอร์อุตสาหกรรม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้รับผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางทุกประเภทที่เน้นเรื่องคุณภาพด้วยประสบการณ์มากกว่า 50 ปี นายคชกิจชาญ สำเนียงล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชวิศพร จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เพื่อความงามและสุขภาพชั้นนำ และนายอภิชัย หมัดเน ประธานกรรมการ บริษัท ศยาสมุนไพร จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรมาตรฐานฮาลาล โดยตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน จะมีเสวนาและสัมมนาในหัวข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ที่จะมีเหล่ากูรูและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจของตนเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
นอกจากการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถึงงานสัมมนาดังกล่าวแล้ว ในปีนี้ ทางอาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ยังได้เปิดพื้นที่โซนใหม่ “COSMEX Halal Cosmetics” นับเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และผู้ประกอบการฮาลาลอย่างครบวงจร รวมถึงการจัดสัมมนาโดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการสินค้าเครื่องสำอางฮาลาล อาทิ โอกาสทองฮาลาลไทย, การขอรับมาตรฐานฮาลาล, ข้อกำหนดและมาตรฐานเครื่องสำอางฮาลาล, การตรวจวิเคราะห์เครื่องสำอางฮาลาล ฯลฯ
ฯพณฯ อาจารย์อรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี กล่าวว่า ฮาลาลถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และครอบคลุมการดำเนินชีวิตทุกด้านของคนมุสลิม และวิถีชีวิตประจำวันของผู้นับถือศาสนาอิสลามก็ได้ดำเนินไปตามหลักคำสอนของอิสลามที่ครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ สอดคล้องกับแนวคิดในการจัดงาน COSMEX HALAL COSMETICS ในครั้งนี้ การจัดงานในวันนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเครื่องสำอางฮาลาล ผลิตภัณฑ์ด้านความสวยความงาม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า เพื่อนำเสนอ ประชาสัมพันธ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีเครื่องหมายฮาลาลให้เป็นที่รู้จัก และเป็นการเพิ่มศักยภาพสินค้าฮาลาลของไทยเข้าสู่ตลาดฮาลาลโลก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดในโลกมุสลิม ที่จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น และผลิตภัณฑ์ฮาลาลนี้ยังได้รับความนิยมไม่เพียงแต่ผู้บริโภคชาวมุสลิมเท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมก็ยังนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฮาลาล เพราะมีความตระหนักถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก หรือมาจากธรรมชาติ และมีความปลอดภัย
“ด้วยจำนวนประชากรมุสลิมทั่วโลกที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดสินค้าฮาลาลโดยเฉพาะตลาดเครื่องสำอางมีขนาดใหญ่มาก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2025 รายได้ตลาดเครื่องสำอางฮาลาลจะมีมูลค่าสูงถึง 53,810 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.79 พันล้านบาท โดย 3 ใน 4 ของมูลค่ารายได้นั้นอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงเป็นที่มาของการเปิดพื้นที่เพื่อจัดแสดงเครื่องสำอางมาตรฐานฮาลาล COSMEX Halal Cosmetics โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันฮาลาล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตนหวังว่าจะเป็นการสร้างทางเลือกที่ดีที่สุดในการเข้าสู่และเติบโตในตลาดฮาลาลให้กับผู้ประกอบการ” นางวราภรณ์กล่าว
งาน COSMEX 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ฮอลล์ 99-100 โดยไม่มีค่าเข้าชมงาน สำหรับงาน in-cosmetics Asia (ฮอลล์ 100-104) มีค่าเข้าชมงาน 500 บาท ดูรายละเอียดของงานหรือหัวข้อสัมมนาเพิ่มเติมได้ที่ www.cosmexshow.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือโทร. 02 686 7222
“พฤกษา โฮลดิ้ง–แคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป–แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้” 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่พร้อมเดินหน้าเสริมแกร่งให้กองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ผนึกยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ดึง “มิตซุย (Mitsui O.S.K. Lines)” เข้าถือกองทุนที่ 32.5% ด้วยเงินเพิ่มทุน 3,250 ล้าน ประเดิมด้วยการดันเมกะโปรเจกต์ “โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส” ให้เป็นศูนย์โลจิสติกส์ครบวงจรระดับภูมิภาค ตอบรับยุคอีคอมเมิร์ซบูม พร้อมเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพื่อสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ Infrastructure เชื่อมทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม สร้างมาตรฐานใหม่ให้โลจิสติกส์ในอาเซียน
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ พฤกษา โฮลดิ้ง ได้จับมือกับ แคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป (CapitaLand Investment Group หรือ CLI) ยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจจัดการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับโกลบอลสัญชาติสิงคโปร์ และ แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ (Ally Logistic Property หรือ ALP) ผู้ให้บริการโซลูชันคลังสินค้าแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไต้หวัน เพื่อจัดตั้งกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund ที่มุ่งลงทุนและพัฒนาทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในอาเซียน และเป็นการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการ Infrastructure as a service ครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในการยกระดับสำหรับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเงินกองทุนเริ่มต้นราว 6,750 ล้านบาท และมีทางเลือกเพิ่มการลงทุนได้สูงสุดราว 13,500 ล้านบาท และตั้งเป้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า 25,000 ล้านบาท โดยในเดือนเมษายนปีนี้ CapitaLand SEA Logistics Fund ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการ โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส คลังสินค้าครบวงจรด้วยเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและบริการโซลูชันแบบองค์รวม มูลค่ารวม 8,430 ล้านบาท พื้นที่คลังสินค้ากว่า 200,000 ตารางเมตร ย่านบางนา จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรองรับดีมานด์ลูกค้าไทยและต่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นเมกะโปรเจกต์แห่งแรกหลังการจัดตั้งกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund
ล่าสุด กองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund ได้ขยายความร่วมมือดึง บริษัท มิตซุย โอเอสเค ไลน์ส (MOL) บริษัทขนส่งรายใหญ่ในญี่ปุ่น เข้าร่วมทุนกว่า 3,250 ล้านบาท สัดส่วนอยู่ที่ 32.5% และหลังการร่วมทุนในครั้งนี้แคปปิตอลแลนด์ ถือกองทุน 33.75% พฤกษา โฮลดิ้ง 27% และแอลลี่ โลจิสติกส์ 6.75% ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กองทุนมีศักยภาพและความร่วมมือในการเชื่อมต่อการขนส่ง การให้บริการและการขยายฐานลูกค้าที่ทาง MOL มีอยู่ เงินทุนเพิ่มนี้จะใช้ในการพัฒนาโครงการ สร้างเครือข่าย โอเมก้า โดยจะมีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับบริการด้านโลจิสติกส์ในอาเซียน ทั้งนี้ คาดว่าการก่อสร้างแห่งแรกที่บางนาเฟสแรกจะแล้วเสร็จต้นปี 2569
“การขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมโลจิสติกส์จะช่วยเสริมกลยุทธ์ของพฤกษา โฮลดิ้ง ให้มีศักยภาพและเติบโตขึ้น โดยจะมีรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบัน อสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมการซื้อขายทางออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากโอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส แล้ว พันธมิตรของ CapitaLand SEA Logistics Fund ทั้ง 4 ฝ่าย จะยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์เพิ่ม ทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละภูมิภาค” นายอุเทน กล่าว
สำหรับโครงการโอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส ออกแบบโดย Ally Logistic Property หนึ่งในพันธมิตรของกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund โดยโครงการนี้นับเป็นคลังสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่ที่รวมระบบคลังสินค้าไว้ที่ศูนย์กลาง ประกอบด้วยคลังสินค้าทั่วไป 2 แห่ง และคลังสินค้าแช่เย็นและแช่แข็ง 1 แห่ง ภายในโครงการแบ่งเป็นพื้นที่จัดการสำหรับคลังสินค้าและการจัดส่ง และพื้นที่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์สำหรับการจัดเก็บพาเลท และแท่นบรรทุกสินค้าที่ใช้สำหรับขนส่งและจัดเก็บสินค้า
นอกจากนี้ โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส ยังมีโครงสร้างอาคารแบบเพดานโค้ง เพื่อให้การใช้พื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถจัดการสินค้าของลูกค้าหลายรายได้พร้อมกัน ทำให้สามารถขยายและทำสัญญาพื้นที่จัดเก็บและคิดค่าบริการในหน่วยพาเลทตามอุปสงค์และอุปทานสินค้าจริงของลูกค้าแต่ละราย และคลังสินค้าแห่งนี้ยังมีอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติที่ทันสมัย เช่น เครนไฟฟ้า ชั้นวางควบคุมอัตโนมัติ และรถนำทางอัตโนมัติ เป็นต้น