December 23, 2024

กรุงเทพประกันชีวิต ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนองค์กรทำหน้าที่ด้วยความ “ใส่ใจ” ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมเปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “ใส่ใจ” สื่อภาพลักษณ์ผ่านปรัชญาการทำงานบนความ “เชื่อมั่นในพลังของความใส่ใจ” ในทุกมิติ  เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งด้านความใส่ใจ (The Most Caring Insurance Brand) และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 

นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเป้าหมายในการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ว่า  กรุงเทพประกันชีวิตได้ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการใส่ใจมาอย่างยาวนาน และถือเป็นจุดแข็งขององค์กร หลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้นำแนวทางการทำงานอย่างใส่ใจมาใช้ในด้านต่างๆ  ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ บุคคลากรของบริษัทรวมถึงตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน และบริการเสริม BLA Every Care ที่ตอบโจทย์ความใส่ใจลูกค้าแบบครบวงจร ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มลูกค้า พบว่า เมื่อนึกถึงกรุงเทพประกันชีวิต ลูกค้าต่างพูดถึงเรื่องความใส่ใจมาเป็นอันดับต้น ๆ

“เราเชื่อว่า พลังของการใส่ใจนั้นมีผลต่อแบรนด์กรุงเทพประกันชีวิตอย่างมาก จึงมุ่งหวังให้ กรุงเทพประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งด้านความใส่ใจในทุกมิติ ตั้งแต่ลูกค้า ตัวแทน ที่ปรึกษาทางการเงิน พันธมิตรทางการค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น สังคมและสิ่งแวดล้อม” นายโชนกล่าว

ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่นี้ เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศจากความใส่ใจ เพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ถือกรมธรรม์ด้านความมั่นคงในชีวิต ผ่านตัวแทนที่มีความจริงใจ เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการที่ดี และ สิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของทุกเจนเนอเรชั่น สำหรับตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน เราส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพของทีมงานให้สามารถทำงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมรับมือกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสร้างพลังบวกและการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการใส่ใจ เพื่อให้ทุกคนสามารถส่งต่อการให้บริการที่ประทับใจไปสู่ลูกค้าอย่างดีที่สุด และสำหรับพนักงาน เราส่งเสริมให้ทุกคนมีความสุข มีความก้าวหน้าและมีความมั่นคงในอาชีพ มีการเพิ่มพูนทักษะให้สามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ เคารพในความแตกต่าง ให้ความเสมอภาค ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี 

“สิ่งสำคัญคือ ความใส่ใจที่มีต่อสังคม ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ด้านการวางแผนการเงินเห็นประโยชน์ในการทำประกันชีวิตและการมีสุขภาพที่ดีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น และท้ายสุด เราให้การใส่ใจในสิ่งแวดล้อม เราพร้อมจะขับเคลื่อนองค์กร สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน บริหารจัดการด้านพลังงาน ทรัพยากรน้ำ และ ขยะ ซึ่งทั้งหมดเป็นการสร้างพลังของความใส่ใจและจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เราเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งด้านการใส่ใจและมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด” นายโชนกล่าว  

ด้านนางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้บริหารสายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับภาพลักษณ์องค์กรในครั้งนี้ว่า มาจากผลการสำรวจเพื่อต้องการหา Insight กลุ่มผู้บริโภคและลูกค้า ที่มีความคาดหวังต่อธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งพบว่าคนแต่ละเจนเนอเรชั่นมีความต้องการที่ไม่เหมือนกันทั้งผลิตภัณฑ์ ช่องทางการขายและการบริการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คนทุกเจนคาดหวังและต้องการเหมือนกันคือ “ความใส่ใจ” ในบริการหลังการขาย ซึ่งการสื่อสารแบรนด์แคมเปญนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคเห็นความแตกต่างและรับรู้ถึงความใส่ใจได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการขยายการรับรู้ และต้องการเข้าไปมีส่วนช่วยด้านการวางแผนการเงินในช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน

“แคมเปญ “ใส่ใจ” ครั้งนี้ จะถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณา 2 เรื่อง ซึ่งได้ผลมาจากงานวิจัยที่น่าสนใจ คือ ในยุคที่เทคโนโลยีมีผลกับชีวิตผู้คน ทำให้คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยี จนละเลย หลงลืม ขาดความผูกพันที่อบอุ่น โดยเรื่องแรก จะสะท้อนความสัมพันธ์ที่เล็กแต่แข็งแรงที่สุด คือ คนในครอบครัว ด้วยความเชื่อที่ว่า พลังของความใส่ใจ ถ้าในสังคมไทยมีให้กันมากพอ จะทำให้ทุกคนมีความสุข ความอุ่นใจและความมั่นใจในการใช้ชีวิต ไม่ว่าสังคมจะพัฒนาด้านเทคโนโลยีไปอย่างไร เรื่องที่ 2 คือ เป็นการนำเสนอบริการเสริมที่ได้มาจากการทำวิจัยจากลูกค้าชื่นชอบ คือ Driving Home และ Home Health Care เป็นการดูแล ใส่ใจลูกค้า หากลูกค้าเจ็บป่วยต้องไปโรงพยาบาล หรือ มีการต้องพักรักษาตัวต่อที่บ้าน โดยมีกำหนดการเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาในวันที่ 13 พฤศจิกายนศกนี้ ผ่านสื่อ TV, Out Of Home, Online และ KOL” นางสาวอรนาฎกล่าวในที่สุด

กรุงเทพประกันชีวิตคาดหวังว่า แคมเปญใส่ใจนี้จะเป็นแรงกระเพื่อมให้สังคมได้หันกลับมาคิด และเลือกที่จะสร้างความสุขให้ตนเองและคนรอบตัว เมื่อทุกครอบครัวเห็นคุณค่าของการใส่ใจซึ่งกันและกัน ก็จะส่งผลกับระดับสังคมไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกัน ในส่วนของกรุงเทพประกันชีวิต ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งดีๆอีกมากเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าด้วยความตั้งใจ เพื่อให้แบรนด์กรุงเทพประกันชีวิตอยู่ในใจผู้บริโภค และ ก้าวสู่การเป็น The Most Caring Insurance Brand ได้ในที่สุด

นายชูเกียรติ ยั่งยืนบางชัน ผู้ช่วยผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานพิธีเปิดงานแข่งขันทักษะช่างสายอากาศ และช่างสายใต้ดิน ประจำปี 2567 จัดโดยฝ่ายความปลอดภัย พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงาน MEA เข้าร่วมงาน แบ่งประเภทการแข่งขันเป็น การแข่งขันงานฮอทไลน์ การแข่งขันดับ/จ่ายไฟ การแข่งขันตรวจสอบสายใต้ดิน และการแข่งขันติดตั้งเครื่องวัดแรงกลาง ณ ศูนย์ฝึกอบรมและทดสอบทักษะการไฟฟ้านครหลวง (บางพลี) จ.สมุทรปราการ

ผู้ช่วยผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า การแข่งขันทักษะช่างสายอากาศ และช่างสายใต้ดิน ประจำปี 2567 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาคน (Smart People) การพัฒนาระบบงาน (Smart System) และการพัฒนาความสามารถทางดิจิทัล (Smart Digital) เพื่อยกระดับคุณภาพงานบริการและความปลอดภัย สร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ MEA ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติงานตลอดมา จึงได้กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัยเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงาน และจัดฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มีการทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะประสบการณ์ของการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี การทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความพร้อมในการให้บริการ อีกทั้งเพื่อฝึกฝนพัฒนาให้พนักงานภาคสนามให้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

แอปสินเชื่อของรัฐ อนุมัติเร็ว ให้คนไทยเข้าถึงดอกเบี้ยเป็นธรรม ตั้งเป้า 4 ปี ปล่อยกู้ได้ 500,000 ราย

“ไลอ้อน ประเทศไทย” ส่งรถทันตกรรมเคลื่อนที่ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” ปักหมุด “วิหาร อี่ ทง เทียน ไท้” มอบสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สดใส ให้กับชาวกบินทร์บุรี  ภายใต้โครงการ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” (LION Smile Express) เพื่อตอกย้ำถึงการเป็นองค์กรแนวหน้าในการเสริมสร้างสุขภาพช่องปากที่ดีและมอบรอยยิ้มที่สดใสให้คนไทยทุกคนมาตลอด 55 ปี

นายชาติ จันทร์วิจิตร ประธาน บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ พัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 55 ปี กล่าวถึงการดำเนินโครงการ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” (LION Smile Express) ส่งรถทันตกรรมเคลื่อนที่ จำนวน 2 คัน มอบสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สดใส ให้บริการตรวจฟันและทำฟันฟรี ให้กับประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งได้เปิดตัวและเริ่มบริการตั้งแต่เมื่อกลางปี 2567 ที่ผ่านมาได้ให้บริการไปแล้วในหลายพื้นที่ โดยให้บริการทันตกรรมกับกลุ่มเด็ก ประชาชนทั่วไป กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุไปแล้วกว่า 2,600 คน 30 สถานที่  9 จังหวัด มูลนิธิคนพิการและทุพพลภาพ 9 แห่ง มูลนิธิเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาส 3 แห่ง สถานดูแลผู้สูงอายุ 4 แห่ง สถานศึกษา 2 โรงเรียน ศาสนสถาน 2 แห่ง และชุมชนทั่วไป 10 สถานที่ 

ล่าสุด ไลอ้อน ประเทศไทย ได้ส่งรถทันตกรรมเคลื่อนที่ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” นำสุขภาพช่องปากที่ดี และรอยยิ้มที่สดใส มอบให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยการเปิดให้ใช้พื้นที่บริเวณวิหาร อี่ ทง เทียน ไท้ ซึ่งประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นจุดให้บริการสำหรับรถทันตกรรมเคลื่อนที่พร้อมทีมทันตแพทย์ที่มาให้บริการตรวจสุขภาพฟันฟรี ในวันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ลงทะเบียนเข้ารับบริการเต็มจำนวน

นายวุฒิชัย ไผ่หล้า อายุ 32 ปี ประชาชนในพื้นที่ กล่าวว่า ได้เข้ารับบริการขูดหินปูน ซึ่งปกติเวลาพบแพทย์จะไปขูดหินปูนปีละหนึ่งครั้ง นับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการกับรถทันตกรรมเคลื่อนที่ ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีโดยอยากให้ทางไลอ้อนจัดแบบนี้อย่างต่อเนื่อง

นางดาวรุ่ง เทียมครู อายุ 52 ปี ประชาชนในพื้นที่ กล่าวว่า ได้เข้ารับบริการอุดฟันกับรถทันตกรรมเคลื่อนที่เป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจ ซึ่งภายในรถเองสามารถรองรับได้หลายคน นับเป็นบริการที่ช่วยเสริมนอกเหนือจากสวัสดิการของรัฐ และอยากให้ทางไลอ้อนจัดโครงการนี้อีก

นางสาวสกาวเดือน แสนหาร อายุ 34 ปี และ นางสาวจิรฐิติ จิตสงวนสุข อายุ 29 ปี กล่าวว่า ได้เข้ามารับบริการขูดหินปูน หลังจากการใช้บริการแล้วรู้สึกประทับใจและรู้สึกช่องปากสะอาดขึ้น โดยปกติจะพบทันตแพทย์ปีละครั้ง นับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ ขอขอบคุณทางไลอ้อน และอยากให้มีโครงการดี ๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

“ตลอดระยะเวลา 55 ปีที่ผ่านมา ไลอ้อน ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทันตกรรมป้องกันสำหรับผู้บริโภคทุกช่วงวัย ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแคมเปญและกิจกรรมมากมาย อาทิ โครงการ Kodomo School Roadshow เพื่อให้ความรู้การแปรงฟันที่ถูกวิธีและสร้างเสริมสุขภาพช่องปากให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศปีละกว่าหนึ่งแสนคน ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี  โครงการส่งเสริมทันตกรรมป้องกันและการดูแลสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนทั่วไป  โครงการบริหารช่องปากสำหรับผู้สูงวัยด้วยเทคนิค Kenkobi เป็นต้น บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยคำมั่นสัญญาที่จะนำความดีสู่สังคม และพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง นำไปสู่การมีสุขภาพร่างกายที่ดี” นายชาติ กล่าว

สำหรับรถทันตกรรมเคลื่อนที่ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” ให้บริการตรวจสุขภาพฟันและรักษาทางทันตกรรมฟรี ด้วยทีมทันตแพทย์มืออาชีพ ครบครันไปด้วยอุปกรณ์ทันตกรรมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดยได้นำ AI เทคโนโลยี มาใช้ในการตรวจสอบปัญหาสุขภาพช่องปาก เอ็กซเรย์ฟันเพื่อให้เห็นปัญหาลึกถึงรากฟัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุด ด้วยมาตรฐานการรักษาระดับเดียวกันกับคลินิกทันตกรรมชั้นนำที่ครบวงจร

โครงการ LION Smile Express ผนึก 5 แบรนด์ใหญ่ภายใต้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย ซิสเท็มมา ซอลส์  โคโดโม กู๊ดเอจ และไฮเฮิร์บ นำสุขภาพช่องปากที่ดีสู่คนไทยทั่วประเทศ รถทันตกรรมเคลื่อนที่ “ไลอ้อน สไมล์ เอ็กซ์เพรส” ยังคงเดินหน้าให้บริการอย่างต่อเนื่องไปทั่วประเทศ ในบางแห่งได้ร่วมกับบุคลากรด้านทันตสาธารณสุขท้องถิ่นมาร่วมดำเนินการ แสดงถึงการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก Oral Care ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ จนถึงผู้สูงอายุ ในการเสริมสร้างสุขภาพช่องปากที่ดีและมอบรอยยิ้มที่สดใสให้คนไทยทุกคน

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เดินหน้าส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG) มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึง ESG 62,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.65% จากสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันทั้งหมด 170,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 34,290 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มุ่งสนับสนุนการส่งออก-นำเข้า และการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 34,290 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 170,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อการลงทุน 124,720 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73.09% ของยอดทั้งหมด โดยเป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในโครงการระหว่างประเทศ 44,850 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV และ New Frontiers ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers 39,593 ล้านบาท

EXIM BANK ภายใต้บทบาท Green Development Bank ได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) อาทิ สินเชื่อ EXIM Green Start สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อสร้างระบบนิเวศการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวรับมือและปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ส่งผลให้ EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อความยั่งยืน (ESG) 62,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.65% ของยอดทั้งหมด

ในมิติสังคม EXIM BANK มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสงค์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (มาตรการ Pre-emptive) เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารอย่างตรงจุดและทันท่วงที สินเชื่อ EXIM Happy Export Credit เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจส่งออกและที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนภาคการส่งออกที่เป็นเสมือนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและทั่วถึง และบริการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษ (Happy Foreign Exchange Forward Contract) เพื่อเสริมสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ทำธุรกิจระหว่างประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมีระยะเวลาอนุมัติถึงเดือนธันวาคม 2567

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและสถานการณ์ความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่าง ๆ EXIM BANK เร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกัน เท่ากับ 161,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

การขยายบทบาทมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK เพื่อเป็นเสาหลักสนับสนุนธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้า 5,634 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการ SMEs กว่า 80% นอกจากนี้ EXIM BANK สนับสนุนผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ผ่านการบ่มเพาะ ให้ความรู้ จับคู่ธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK ได้ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสะสมกว่า 21,500 ราย สะท้อนถึงการอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทยที่เป็นคนตัวเล็กและกลุ่มเปราะบางให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก รวมทั้งสามารถปรับตัวรับมือกับมาตรฐานการค้าโลกและกฏระเบียบต่าง ๆ ที่เข้มงวดขึ้นได้

มิติการกำกับดูแลกิจการที่ดี EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรอง 2,426 ล้านบาท มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 8,603 ล้านบาท และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 17,708 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 205.83% เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจสูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบการค้าการลงทุน

“EXIM BANK เดินหน้าบทบาท Green Development Bank สนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสานพลังกับเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมสนับสนุนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่คำนึงถึง ESG ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” ดร.รักษ์ กล่าว

พานาโซนิคในประเทศไทย จัดกิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศลครั้งที่ 4 “Panasonic Hero Run Green Impact For Charity 2024ภายใต้โครงการเพื่อสังคม “Panasonic Cares” ที่ดำเนินงานด้วยแนวคิด For the Wellbeing of People, Society and the Planet ตอกย้ำเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจในสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี ความปลอดภัย ความสะดวกสบายของผู้คน สังคม และทุกชีวิตบนโลกอย่างยั่งยืน เมื่อเร็วๆ นี้ ณ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพฯ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ ซีอีโอ กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย นำทีมครอบครัวพนักงานพานาโซนิค พร้อมด้วยนักเรียนทุนพานาโซนิคฯ ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ อาทิ อายิโนะโมโต๊ะ (AJINOMOTO) อะมิโนไวทัล (amino VITAL) เบอร์ดี้ (Birdy) เอ็ม-ซิน (M-CIN) โพคารี่สเวท (POCARI SWEAT) เดลลี่มี (DAILY ME) และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพฯ (SIAM PREMIUM OUTLETS BANGKOK) พร้อมด้วยนักเรียนทุนพานาโซนิคฯ กว่า 1,305 คน เข้าร่วมกิจกรรม “Panasonic Hero Run Green Impact For Charity 2024” ที่จัดขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญ คือ เพื่อรวมพลังความสามัคคี สร้างพลังแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุน “โครงการจัดหาเครื่องมือแพทย์ฯ” คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช จำนวน 204,104 บาท เพื่อพัฒนาศักยภาพให้กับโรงพยาบาล และต่อยอดการศึกษา โดยมี ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เป็นตัวแทนรับมอบ  

กิจกรรม “Panasonic Hero Run Green Impact For Charity 2024” ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ สอดคล้องกับแนวคิด Panasonic Green Impact ภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมของพานาโซนิคกรุ๊ปทั่วโลก ซึ่งในปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย ได้เริ่มมีการนำระยะทางการวิ่งมาเปลี่ยนเป็นต้นไม้ โดยทุกๆ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนเป็นต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปปลูกยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และได้มีการดำเนินการปลูกไปแล้วในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน 570 ต้น ในปีนี้จึงได้มีการเชิญชวนให้พนักงานทุกคนมาร่วมวิ่งเพื่อสะสมระยะเพิ่มเติม โดยแบ่งการวิ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ การวิ่งในสนามจริง สามารถสะสมระยะทางการวิ่งได้กว่า 5,160 กิโลเมตร และการวิ่งผ่านกิจกรรม Virtual run ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สามารถสะสมระยะทางการวิ่งได้กว่า 3,593 กิโลเมตร รวมเป็นระยะทางทั้งหมด 8,753 กิโลเมตร สามารถเปลี่ยนเป็นต้นไม้ได้ถึง 875 ต้น ซึ่งจะนำไปปลูกที่ จ. อยุธยาต่อไป

วิตามินที่ทุกคนควรมีติดบ้าน : บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด แนะนำไอเทมเด็ด “กิฟฟารีน ไบโอ ซี 1000 มก.” (Giffarine Bio C 1000 mg) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซี ที่ทุกคนควรมีติดบ้าน ที่มาพร้อมกับวิตามินซี 3 ชนิด ในอัตราส่วนที่เหมาะสม คือ 1.กรดแอสคอร์บิก 2.วิตามินซีในรูปที่มีความเป็นกรดน้อย เช่น แคลเซียม แอสคอร์เบต และโซเดียม แอสคอร์เบต ที่อ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร และช่วยให้วิตามินซีมีความคงตัวมากขึ้น 3.ไบโอฟลาโวนอยด์ สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีได้มากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเติมวิตามินซีให้ร่างกาย ผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินซีแต่กังวลเรื่องการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ผู้ที่ขาดวิตามินซี ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและภูมิคุ้มกันเป็นพิเศษ และผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ มีให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 30 เม็ด ราคา 360 บาท และขนาด 60 เม็ด ราคา 550 บาท

เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย สุริยา มูลศรี ผู้อำนวยการฝ่ายขาย เครือเฮอริเทจ (กลาง) เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล Supply Chain Sustainability Excellence Award กับ สิทธิพันธ์ ลิ่วเฉลิมวงศ์ ประธานการจัดงานแม็คโครโฮเรก้า ครั้งที่ 17 (ซ้าย) ร่วมด้วย วิไลรัตน์ เจริญใหม่รุ่งเรือง รองผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน (ขวา) ในงาน “แม็คโคร มหกรรมครบเครื่องเรื่องอาหารและอุปกรณ์ ครั้งที่ 17” ณ ศูนย์ประชุม อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆนี้  โดยได้รับรางวัล 2 ประเภท ดังนี้

  1. ประเภท Health and Well-Being Network ให้กับผลิตภัณฑ์ในเครือฯ ที่ได้รับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพของสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ดังรายการต่อไปนี้ 1. ซันคิสท์ นมพิสทาชิโอ สูตรไม่เติมน้ำตาล 180 มิลลิลิตร 2. บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ นมอัลมอนด์ รสจืด 946 มิลลิลิตร 3. บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ นมอัลมอนด์ รสออริจินอล 946 มิลลิลิตร 4. ซันคิสท์ ถั่วพิสทาชิโออบ 454 กรัม 5. บลูไดมอนด์ อัลมอนด์อบ 400 กรัม
  2. ประเภท Circular Economy Network ซึ่งเป็นรางวัลที่ส่งเสริมการใช้วัสดุ และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือสามารถกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เพื่อสร้างการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานผ่านหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน

เครือเฮอริเทจ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการส่งมอบประสบการณ์อันมีคุณค่าที่เป็นเลิศด้วย Healthy Food เพื่อ Happy Life ของผู้บริโภค เราทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างนวัตกรรมทางอาหารที่มีความหลากหลายและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มและทุกไลฟ์สไตล์

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทีทีบีมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง นำ Data และ AI มาใช้ในการพัฒนาองค์กร โซลูชันทางการเงิน และการให้บริการ เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับธนาคาร โดยมีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นธนาคารผู้นำด้านการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดี ให้กับคนไทย (The Bank of Financial Well-being) โดยตลอดปี 2567 ธนาคารเดินหน้า Transform องค์กรแบบรอบด้าน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด B+ESG เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต ซึ่งผลจากการ Transform ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ได้มีผลลัพธ์ทั้งในรูปแบบความคืบหน้าและผลสำเร็จในหลาย ๆ ด้านดังนี้

Digital Transformation: นำ Data และ AI มาใช้ในการทำงาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า

ทีทีบีมุ่งเน้นการใช้ Data Analytics และ Personalized AI Engine ในการยกระดับประสบการณ์การให้บริการลูกค้าในระดับเฉพาะบุคคล หรือ “Segment of One” โดยส่งมอบข้อเสนอ แจ้งเตือน และแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าผ่าน Personalized Message มากกว่า 4 ล้านราย ผ่าน 18 ล้านข้อความต่อวัน บนแอป ttb touch ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของโมบายแอปพลิเคชันของทีทีบี ทั้งนี้ ธนาคารยังนำจุดเด่นนี้มาสร้างประโยชน์และยกระดับความปลอดภัยในการใช้งานของธนาคาร ด้วยการส่งข้อความแจ้งเตือนให้ลูกค้าตั้งวงเงินการทำธุรกรรม และปิดฟังก์ชันการใช้งานที่ลูกค้าไม่ได้ใช้ เช่น การใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านช่องทางออนไลน์ หรือร้านค้าต่างประเทศ นอกจากนี้ ธนาคาร มีการใช้ Data Analytics ในการวิเคราะห์พฤติกรรมบัญชีม้าเพื่อตรวจและดักจับการทำธุรกรรมที่ผิดปกติได้แบบ Real-time ทำให้สามารถลดปัญหาบัญชีม้าเกิดใหม่ลงได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

Revenue Model Transformation: สร้างการเติบโตของธุรกิจในรูปแบบ Ecosystem ไปพร้อมกับลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ

จากการเปิดตัวกลยุทธ์การสร้างการเติบโตในรูปแบบ Ecosystem Play เพื่อรองรับ 4 กลุ่มลูกค้าหลักที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญและมีฐานลูกค้าเป็นแต้มต่อ สำหรับกลุ่มลูกค้าคนมีรถ ทีทีบี…เป็นมากกว่าสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Roddonjai.com ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกที่สะดวก ง่าย และมั่นใจมากขึ้นในการซื้อ-ขายรถมือสอง ปัจจุบันมีจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มากกว่า 1.9 ล้านคนต่อเดือน มีรถยนต์บนแพลตฟอร์มให้เลือกมากกว่า 65,000 คัน โดยกว่า 50% ของรถยนต์ที่ขายได้มีการจัดสินเชื่อรถยนต์ ttb DRIVE สำหรับลูกค้าที่ใช้งานแอป ttb touch สามารถบริหารจัดการเรื่องรถได้ง่าย ๆ ผ่านฟีเจอร์ My Car ตั้งแต่สนใจอยากซื้อรถ ต่อประกันรถ พ.ร.บ. และภาษีรถ เติมเงิน-เช็กยอด Easy Pass จนถึงขายรถผ่านลานประมูล หรือผ่าน Roddonjai.com โดยมีลูกค้าให้ความสนใจ

เพิ่มข้อมูลรถยนต์เพื่อใช้บริการแล้วมากกว่า 800,000 คัน สำหรับคนมีบ้าน ทีทีบี…เป็นมากกว่าสินเชื่อบ้านด้วยฟีเจอร์ My Home บนแอป ttb touch ผู้ช่วยจัดการเรื่องบ้านแบบครบวงจรที่รวมการจ่ายบิลเกี่ยวกับบ้านไว้ที่เดียว บันทึกประวัติการจ่ายบิลต่าง ๆ ได้ รวมทั้งมีบริการแจ้งเตือนล่วงหน้าไม่ให้ลืมจ่าย โดยปัจจุบันมีลูกค้าสนใจเพิ่มข้อมูลบ้านเพื่อใช้บริการฟีเจอร์นี้มากกว่า 580,000 หลัง สำหรับกลุ่มพนักงานเงินเดือน ทีทีบี…เป็นมากกว่าบัญชีเงินเดือน ด้วย ttb payroll solution ที่ให้สิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์และมากกว่าทั้งในส่วนของพนักงาน     และนายจ้าง ทั้งโซลูชันทางการเงินที่ช่วยพนักงานพิชิตหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงโซลูชัน My Work ระบบบริหารงานบุคคลตอบโจทย์มืออาชีพ ทำให้ไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวนบริษัทที่ใช้บริการ ttb payroll solution เติบโตขึ้น  ถึง 43% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth Ecosystem ทีทีบีสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอด AUM ได้อย่างต่อเนื่อง จากการมุ่งเน้นการนำเสนอบัญชีเงินตราต่างประเทศ (FCD) ในกลุ่มลูกค้า Wealth with Kids ทำให้มีการเปิดบัญชี FCD เพิ่มขึ้นกว่า 2,600 บัญชี มียอดเงินฝาก 4,120 ล้านบาท การออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Wellness Solutions ทั้งกองทุน Term Fund หุ้นกู้ Structured Note และ กองทุน Structured Fund และจากเอกสิทธิ์อันคุ้มค่าจากบัตรเครดิต ttb reserve ยอดการใช้จ่ายสะสมผ่านบัตรโดยรวมตั้งแต่ต้นปีเติบโตถึง 38% เทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจาก 4 กลุ่มลูกค้า Ecosystem ทีทีบียังให้ความสำคัญและพร้อมเคียงข้างลูกค้าธุรกิจ ด้วยโซลูชัน ttb smart shop ให้ทุกเรื่องการจัดการร้านค้าเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังนำข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกมาใช้ในการสร้าง Data Analytics Report ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลร้านค้าของตนเองได้แบบเรียลไทม์ช่วยให้ลูกค้าสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มียอดเติบโตของจำนวนร้านค้าที่ใช้งานถึง 70%จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าธุรกรรมรวมตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 3,900 ล้านบาท

Channel & Process Transformation: พัฒนาช่องทางและกระบวนการเพื่อยกระดับประสบการณ์การทำธุรกรรม

จากการเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการให้บริการด้วย Digital-first Operating Model ทำให้วันนี้ 92% ของปริมาณธุรกรรมทางการเงินของทีทีบีเกิดขึ้นบนช่องทางแอป ttb touch ทำให้พนักงานในสาขาสามารถมีเวลามากขึ้นในการให้คำแนะนำและบริการลูกค้า และเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี ธนาคารได้เปิดตัวฟีเจอร์ My Credit เพื่อช่วยลูกค้าประเมินวงเงินสินเชื่อเบื้องต้น รู้ผลภายใน 2 นาที พร้อมยื่นขอสินเชื่อได้ทันทีผ่านแอป ttb touch ซึ่งภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน มีการเข้าชมฟีเจอร์นี้มากกว่า 152,000 ครั้ง และสมัครขอสินเชื่อแล้วกว่า 36,000 ราย

ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ B+ESG

ด้วยความเชื่อที่ว่าเรื่องของการดำเนินธุรกิจและความยั่งยืนไม่สามารถแยกจากกันได้ ทีทีบีให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนผ่านโซลูชันทางการเงินที่รับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึงการให้ความรู้ผ่านการตรวจสุขภาพทางการเงิน (Financial Health Check) และคอร์สอนอบรมเสริมความรู้สร้างภูมิคุ้มกันหนี้ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ใคร ๆ ก็สามารถใช้บริการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ล่าสุด ธนาคารได้มี

โปรแกรมโค้ชปลดหนี้ที่ให้คำปรึกษาแก้ปัญหาหนี้สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีอาการหนี้ขั้นโคม่า ซึ่งได้ทดลองกับพนักงานภายในองค์กรจนเห็นผลสำเร็จแล้ว และมีแผนขยายโปรแกรมนี้ไปสู่ลูกค้าบริษัทที่ใช้บริการ ttb payroll solution รายอื่น ๆ ในปี 2568

ทีทีบียังมุ่งเน้นการให้สินเชื่อและคำปรึกษาลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมทั้งการปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนลูกค้าสำหรับธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะและโอกาสให้เยาวชนไทยกว่า 13,000 คน ในการพัฒนาตนเองเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น ผ่านศูนย์การเรียนรู้โครงการไฟ-ฟ้า จุดประกายเยาวชน

นายฐากร กล่าวปิดท้ายว่า “ทีทีบีมุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ Transform องค์กรในทุกมิติ เพิ่มศักยภาพโดยนำดิจิทัล   มาดูแลลูกค้าทุกกลุ่มในทุกช่วงชีวิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ดีขึ้นแบบรอบด้าน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าการ Transform ทั้งหมดนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับสังคมไทย ช่วยสร้างฐานที่มั่นคงให้กับลูกค้า และนำพาทีทีบีไปสู่เป้าหมายการเป็น The Bank of Financial Well-being หรือผู้นำด้านการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน”

ผสานความล้ำสมัย และบริการเหนือระดับ เพื่อชีวิตในเมืองยุคใหม่ ภายใต้ธีม "Smart Life Smart City with True Together"  ตอบโจทย์ทุกเจน เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์

X

Right Click

No right click