December 23, 2024

แก้เกมระยะสั้น เร่งลดต้นทุนทั้งองค์กร ปิดกิจการไม่ทำกำไร เดินเกมระยะยาวลุยโครงการอีเทนปิโตรเคมีเวียดนาม ดันปูนคาร์บอนต่ำ-พลาสติกรักษ์โลกมูลค่าเพิ่มสูงเติบโตตามแนวทาง Inclusive Green Growth  

มูจิ ประเทศไทย (MUJI) เดินหน้ากลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวคอนเซ็ปต์สโตร์สาขาล่าสุด “มูจิ วัน แบงค็อก” (MUJI ONE BANGKOK) บนทำเลศูนย์กลางธุรกิจ ไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวระดับเมกะโปรเจคท์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ นับเป็นสาขาที่มีพื้นทึ่มากที่สุดในประเทศไทยกว่า 3,040 ตารางเมตร มอบประสบการณ์ช้อปปิ้ง ที่ไม่แตกต่างจากสาขาของมูจิในประเทศญี่ปุ่น ชูความครบครันและหลากหลายของสินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของ MUJI ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ของการใช้ชีวิต มากกว่า 5,000 รายการ คุณภาพมาตรฐานระดับญี่ปุ่น ในราคาที่จับต้องได้ ปักธงเป็นสาขาหลักของมูจิในประเทศไทยที่จะใช้เปิดตัว และจำหน่ายสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ รวมถึงใช้จัดกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ ตั้งเป้าเป็น Must-Visit Destination ที่ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปักหมุดในเช็คลิสต์เมื่อมาเยือน “วัน แบงค็อก”

นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัว “มูจิ วัน แบงค็อก” เกิดขึ้นด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทที่ต้องการยกระดับรูปแบบร้านค้าให้เป็นไลฟ์สไตล์สโตร์ที่เป็นมากกว่าประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอยแต่ยังเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้ชีวิตประจำวัน ได้อย่างครบครันในทุกมิติ ควบคู่กับการเดินหน้ากลยุทธ์ในการขยายสาขาไปยังทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้นเป็น 38 สาขาสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราได้รุกเปิดสาขาใหม่กว่า 14 แห่ง แบ่งออกเป็น 4 สาขาในปี 2565 และ 3 สาขาในปี 2566 และในปีนี้มีการเปิดตัวสาขาใหม่ไปแล้วถึง 7 สาขา โดยหากแบ่งสัดส่วนการเปิดตัวสาขาใหม่ทั้งหมดตามพื้นที่ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สามารถแบ่งออกเป็นสาขาในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 7 สาขา และในต่างจังหวัดอีก 7 สาขา ทำให้ปัจจุบันเรามีร้านมูจิสโตร์ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ตามเป้าหมายในการเป็นแบรนด์สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกคน”

“ด้วยทำเล และความมุ่งมั่นของโครงการ “วัน แบงค็อก” ที่ต้องการเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวระดับเมกะโปรเจคท์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นเดสทิเนชั่นใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาสู่โครงการอย่างมหาศาล รวมถึงพื้นที่ของคอนเซ็ปต์สโตร์ที่กว้างขวางกว่า 3,040 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดของไทยในปัจจุบัน ทำให้  “มูจิ วัน แบงค็อก” มีพื้นที่ในการแสดงสินค้าที่หลากหลายครบทุกประเภทผลิตภัณฑ์ไม่แตกต่างจากสาขาหลักในประเทศญี่ปุ่น ภายในสโตร์แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า อาทิ

ทุกสิ่งที่คุณต้องการใช้งานในชีวิตประจำวัน ครบจบที่นี่

  • โซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (Garments) สินค้ายอดนิยมของมูจิที่มีสัดส่วนยอดขายรวมกว่า 50% ของบริษัท รวบรวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่หลากหลายและครบครันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก มาไว้มากที่สุด ประเดิมการเปิดตัวของสาขาด้วยการดิสเพลย์คอลเลคชั่น ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 2024 นำเสนอเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวจากวัสดุหลากประเภทครบทุกแบบในคอลเลคชั่น รวมถึง MUJI LABO (มูจิ ลาโบ) ไลน์สินค้าพิเศษจากมูจิ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด "งานฝีมือสุดประณีตผสานการออกแบบที่สร้างสรรค์" ทำหน้าที่เป็นมากกว่าเครื่องแต่งกาย แต่ยังสะท้อนทั้งแนวคิด ไลฟ์สไตล์ และรสนิยมของผู้สวมใส่ ผ่านงานดีไซน์ที่พิถีพิถัน โดยคอลเลคชั่น MUJI Labo Autumn / Winter 2024 ชูคุณสมบัติเด่นจากวัสดุธรรมชาติ พร้อมดีไซน์ที่สวยคลาสสิกจากงานฝีมือสุดประณีต อาทิ เสื้อโค้ทและเสื้อเสวตเตอร์ผ้าวูลแคชเมียร์ เสื้อโค้ทยาวขนเป็ด เสื้อเชิ้ต เสื้อเบลาส์ และไอเทมสุดพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย

  • โซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ที่มียอดขายรวมกว่า 47% พิเศษกว่าสาขาอื่นๆ ในประเทศไทยด้วยการออกแบบโชว์รูมในรูปแบบบ้านตัวอย่างในสไตล์มูจิ รวบรวมสินค้าจำเป็นในทุกโซนของบ้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ทำความสะอาด และจัดระเบียบบ้าน ที่ครบครัน พร้อมนำเสนอสินค้าใหม่ๆ อาทิ Air Sofa ที่สามารถพับเก็บได้ เฟอร์นิเจอร์โครงสร้างท่อเหล็ก (Steel Pipe Furniture) คอลเลคชั่นชุดเครื่องนอนหลากหลายวัสดุทั้งผ้าจากเส้นใยจากถั่วเหลือง ผ้าสักหลาด และวัสดุอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ทิ้งสินค้าหลักขายดีอย่างหมอนอิงแบบนุ่มหลากวัสดุหลายสไตล์ คอลเลคชั่นเครื่องนอนสัมผัสเย็น (Cool Touch) คอลเลคชั่นสินค้าจัดระเบียบและเก็บของ น้ำหอมสำหรับบ้าน และสินค้าสำหรับการเดินทางและอื่นๆ อีกมากมาย

  • โซน Health & Beauty ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผิวกาย และเส้นผม รวมไปถึงอุปกรณ์แต่งหน้า เครื่องสำอาง และเครื่องหอมอะโรม่าหลากหลายกลิ่น ที่โดดเด่นในเรื่องของส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติ และปราศจากสารเคมี

  • โซนขนมและอาหารสำเร็จรูป ครั้งแรกของการเปิดตัวโซนอาหารท้องถิ่นที่ผลิตในประเทศไทย ผ่านการคัดสรรและเพิ่มมูลค่าในสไตล์มูจิ โดยปราศจากสารกันบูดและถนอมอาหาร อาทิขนมกุ้งกรอบ 6 รสชาติ รวมถึงผลไม้ และถั่วลิสงเคลือบช็อคโกแลต หอมอร่อยด้วยช็อคโกแลตแท้ 60% ช่วยชูรสชาติดั้งเดิมของผลไม้ไทยเช่นมะม่วง กล้วยเป็นต้น นอกจากนี้ยังคัดสรรขนมขบเคี้ยวกว่าหลายร้อยรายการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในแบบญี่ปุ่นแท้ๆ นอกจากนี้ยังนำเสนอมื้ออาหารพร้อมรับประทานที่นำเข้าจากหลากหลายแหล่งในญี่ปุ่น อาทิราเมงจากหลายภูมิภาคที่สะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ให้คุณได้สัมผัสความแตกต่างของรสชาติในแต่ละพื้นที่ เหมือนยกวัฒนธรรมญี่ปุ่นแท้ๆ มาไว้ที่นี่

นอกจากนี้ยังมีโซนอุปกรณ์เครื่องเขียนและสำนักงานหนึ่งในประเภทสินค้ายอดนิยมของมูจิและโซนอุปกรณ์สำหรับการเดินทาง รวมถึงสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย”

สินค้าและบริการใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่นี่ที่เดียว

“ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ “มูจิ วัน แบงค็อก” เป็นสาขาหลักของมูจิในประเทศไทย จึงมีการเปิดตัวสเปซ Open MUJI” เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นพื้นที่เปิดตัวและจำหน่ายสินค้าคอลเลคชั่นใหม่คอลเลคชั่นพิเศษ รวมถึงใช้จัดแสดงนิทรรศการ กิจกรรมเวิร์กช้อป และกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ โดยมีวัตถุประสงค์ให้พื้นที่นี้ สะท้อนแนวคิดของมูจิในการเชื่อมต่อกับลูกค้า สังคมและชุมชน

ทั้งยังนำเสนอรูปแบบของการช้อปปิ้งที่แปลกใหม่ โดยดึงเอาข้อดีหลายๆ ด้านของแนวคิดการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่นมาผสานเข้ากับ วัฒนธรรม และความชื่นชอบในแบบของคนไทย จนเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ถูกคิดและออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบอาทิ โซน Grab & Go พื้นที่สะดวกซื้อ ซึ่งเปิดบริการตั้งแต่ 7.00 น. นำเสนอสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม กาแฟ เบเกอรี่ ทั้งแบบกึ่งสำเร็จรูป และแบบทำสดใหม่พร้อมรับประทาน โซน Green& Outdoor Goods สินค้าต้นไม้หลากหลายประเภท ของประดับตกแต่งสวน และเฟอร์นิเจอร์แบบกลางแจ้ง โซน PET Products เอาใจคนรักสัตว์ด้วยสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ และออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเช่น ชามอาหาร และเบาะสัตว์เลี้ยง รวมถึงโซน Services ต่างๆ ที่เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ “มูจิ วัน แบงค็อก” ที่เดียว เช่นบริการปักผ้า และสกรีนที่สามารถนำสินค้าของมูจิ มาปักหรือสกรีนตัวอักษร และลวดลายการ์ตูนที่มีให้เลือกกว่า 200 ลาย รวมถึงลายพิเศษที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับสาขา “มูจิ วัน แบงค็อก” จากฝีมือการสร้างสรรค์ของนักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ชาวไทยอย่าง ReenP, Atelier Pakawan และ Fahsuwaree นอกจากนี้ลูกค้าสามารถนำลายที่ตัวเองออกแบบหรือชื่นชอบ มาใช้บริการปัก หรือพิมพ์ลายสกรีนได้ที่สาขานี้เป็นสาขาแรกในกรุงเทพมหานครฯ หลังจากเปิดตัวบริการนี้เป็นครั้งแรกในไทยที่มูจิ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา”

ริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนชุมชนและความยั่งยืน

“นอกจากนี้มูจิ ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน ผ่านโซนต่างๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Local Community Collaboration) ได้แก่ Community Market ตลาดนัดมูจิ เพื่อให้ร้านค้าท้องถิ่นสามารถเข้ามาจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นหลากหลาย โดยจะมีการจัดกิจกรรมตั้งแต่วันเปิดคอนเซ็ปต์สโตร์จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. นี้ Refill Station ที่ MUJI วางจำหน่ายสินค้าจากแบรนด์ Normal Refill ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบรีฟิล ที่ผลิตขึ้นจากส่วนผสมหลักจากธรรมชาติอย่าง ผลมะคำดีควาย เก็บเกี่ยวด้วยคนในท้องถิ่น สร้างรายได้กลับสู่ชุมชน ReMUJI การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าด้วยการนำเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานในคอลเลคชั่นเก่าของมูจิ มาผ่านกระบวนการย้อมครามเพื่อ นำกลับมาขายใหม่ Local Products ที่มีจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสาขา “มูจิ วัน แบงค็อก” นำเสนอผลิตภัณฑ์ซึ่งมูจิ ประเทศไทยที่ร่วมพัฒนาสินค้ากับผู้ประกอบการแบรนด์เซรามิกท้องถิ่นจากจังหวัดเชียงใหม่ได้แก่ InClay Studio และ Charm-learn Studio โดยเชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ทางแบรนด์สร้างสรรค์และคิดมาอย่างพิถีพิถันจะช่วยส่งเสริมให้ “มูจิ วัน แบงค็อก” เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่พลาดที่จะมาเยี่ยมเยือนเมื่อเข้ามาใช้ไลฟ์สไตล์ หรือท่องเที่ยวในโครงการ “วัน แบงค็อก” นายอกิฮิโร่เสริม

 

นางสาวอริญา พันธุมโกมล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มูจิ รีเทล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “มูจิ ประเทศไทย มุ่งการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการเปิดตัวคอนเซ็ปต์สโตร์ “มูจิ วัน แบงค็อก” สู่กลุ่มเป้าหมาย  ในวงกว้าง โดยใช้ช่องทางและวิธีการสื่อสารหลากหลายรูปแบบทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึงมีการใช้สื่อนอกบ้าน (Out of home) ทั้งยังมีการใช้อินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ชื่อดังอย่าง อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ และโบว์-เมลดา สุศรี มาร่วมงานเปิดตัวสาขาอย่างเป็นทางการเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ของสาขา “มูจิ วัน แบงค็อก” นอกจากนี้ในช่วงเปิดสาขาใหม่ บริษัท ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นยอดขายเอาใจแฟนๆ ของมูจิที่มาหาซื้อของขวัญ สร้างความคึกคักให้กับเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ด้วยข้อเสนอพิเศษสำหรับการซื้อสินค้ายอดนิยมหลายรายการ และการมอบของสมนาคุณพิเศษ Limited Jute Bag ลายพิเศษ MUJI One Bangkok เมื่อซื้อสินค้า มูจิครบ 2,000 บาท* นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ร่วมลุ้นรับตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-โตเกียว จาก All Nippon Airlines รวมถึงกระเป๋าเดินทาง MUJI และไอเทมอื่นๆ อีกมากมาย ระหว่างวันที่ 1-10 พ.ย. นี้ ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับลูกค้าใหม่ที่แอดไลน์ (LINE) MUJI Thailand รับ E-Cash Coupon ส่วนลด 300 บาท* สำหรับซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาท* ตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ย.นี้ อีกด้วย ”

นอกจากนี้เรายังมีเครื่องกาชาปองสุดพิเศษต้อนรับการเปิดตัวสาขา “มูจิ วัน แบงค็อก” ให้ลูกค้าสามารถร่วมสนุกกับการสะสมสินค้ายอดนิยมของมูจิจำลองในขนาดจิ๋ว ที่ถือเป็นไอเทมลิมิเต็ดที่สามารถซื้อเป็นของขวัญและของฝากในช่วงเปิดตัวสาขาใหม่อย่างเป็นทางการ”

สัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ได้ที่คอนเซ็ปต์สโตร์สาขาล่าสุด “มูจิ วัน แบงค็อก” ชั้น B1 โซน Parade โครงการ “วัน แบงค็อก” หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม Facebook: MUJI Thailand และ Instagram: MUJI_Thailand / LINE Official Account : @MUJIThailand

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” มุ่งเซฟผู้ประกอบการไทยให้อยู่รอด และแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ผลักดันอุตสาหกรรมยุคใหม่ อีกทั้ง ยังได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้ในตลาดสากล ผ่านการต่อยอดธุรกิจ และสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้า คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายในการ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” การสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย “Save อุตสาหกรรมไทย” เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งหาช่องทางขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตต่อไปได้ในตลาดสากลอย่างมั่นคง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก

ด้าน นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) มุ่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล ควบคู่ไปกับการสร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ และสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีความพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง “ดีพร้อม” และ “จังหวัดโทคุชิมะ” ที่จัดขึ้นในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มมีความร่วมมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และในวันนี้ ดีพร้อมได้มีความร่วมมือและเชื่อมโยงธุรกิจกับจังหวัดโทคุชิมะที่เป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีการเกษตร และเกษตรแปรรูป ซึ่งสอดรับกับนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรม เกิดการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเดิมสู่อุตสาหกรรมใหม่ อาทิ เกษตรอุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาหารแห่งอนาคต ที่ล้วนเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยได้ ซึ่งคาดว่าจากพิธีลงนามฯ ดังกล่าว จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท

ด้านนายโกโตดะ มาซาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ กล่าวเสริมว่า จังหวัดโทคุชิมะตั้งอยู่ในภูมิภาคชิโกกุ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เกาะ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นเกาะที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ทำให้จังหวัดโทคุชิมะ มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมเกษตร ประมง และอาหารแปรรูป ตลอดจนอุตสาหกรรมเครื่องจักร ยานยนต์ และแบตเตอรี่ ซึ่งในวันนี้ ได้นำผู้ประกอบการรายใหญ่ของจังหวัดทั้งในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ยานยนต์ และเครื่องจักร หลายรายมาร่วมในกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น โดยหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ตามที่ทั้งสองหน่วยงานมีความตั้งใจจะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ และทำให้เศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นได้เติบโตควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืน นายโกโตดะ กล่าวทิ้งท้าย

ชูความล้ำสมัย แข็งแรง ทนต่อการขีดข่วน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มีระดับ ตั้งเป้ากวาดยอดขายเพิ่ม 50% ในกลุ่มพรีเมี่ยมเซ็กเม้นต์ ทุกช่องทาง

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รับ 3 รางวัลสุดยอดซีอีโอ “CEO Econmass Awards 2024” จากนางสาวเเพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ “CEO Econmass Awards 2024” ซึ่งสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยรางวัลที่ได้รับ ประกอบด้วย รางวัลสุดยอดซีอีโอรัฐวิสาหกิจ สาขา Social และสาขา Governance และรางวัลสุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน (Popular Vote) ด้วยนายวิทัยเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการขับเคลื่อนธนาคารออมสินด้วยยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคม สร้าง Social Impact อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยหลักธรรมาภิบาลในการนำองค์กร

 

ทั้งนี้ รางวัล CEO Econmass Awards 2024 เป็นรางวัลที่ยกย่อง เชิดชูเกียรติผู้บริหารที่นำพาองค์กรจนประสบความสำเร็จ และเติบโตไปพร้อมกับการให้ความสำคัญกับความอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ตลอดจนเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง ซึ่งผ่านกระบวนการคัดเลือกตามหลักวิชาการที่เป็นมาตรฐานสากล จากคณะกรรมการคัดเลือกที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ เป็นตัวแทนจาก กกร. สคร. มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ส่วนรางวัลสุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน เป็นการโหวตโดยสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยมีผู้บริหารธนาคารออมสินร่วมแสดงความยินดี ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567

วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ร่วมกับ บริษัท Globus Events และ กระทรวงพาณิชย์ กรมปศุสัตว์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สมาคมที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนจากหน่วยงานราชการและเอกชน เปิดตัวการจัดงาน "PET FAIR SOUTH EAST ASIA" (เพ็ท แฟร์ เซาส์ อีสท์ เอเชีย) อย่างเป็นทางการ โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ระว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ

ครั้งนี้นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 3 ของงาน "PET FAIR SOUTH EAST ASIA" โดยยกระดับประสบการณ์จากงานแสดงสินค้าเพื่อการค้าปลีกสู่การเป็นเวทีระดับสากลในการเจรจาธุรกิจ โดยมีบริษัทชั้นนำกว่า 400 แห่ง จาก 40 ประเทศ และพร้อมต้อนรับผู้เข้าชมงานจาก 80 ประเทศทั่วโลก ในปี 2024 นี้มีพาวิลเลี่ยนนานาชาติจาก 12 ประเทศ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วยงานสัมมนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจกว่า 40 วิทยากรชั้นนำ ภายในงานยังมีโซนพิเศษ Thai Pet Avenue ซึ่งเป็นการรวบรวม SMEs ไทยในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงมาแสดงสินค้าที่เน้นความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมี "Pet Trade Service Consultants Zone" เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการนำเข้า ส่งออก การจดทะเบียนการค้า และมาตรฐานสินค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจไปยังตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและขยายฐานการตลาดได้เพิ่มมากขึ้น

ซึ่งงานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้จัดพร้อมรองรับผู้เข้าชมงานกว่าหมื่นรายจากนานาชาติ และคาดการณ์ว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างมูลค่าการค้าสูงถึง 850 ล้านบาท (ประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากข้อตกลงที่เกิดขึ้นทั้งในระหว่างและหลังงานแสดงสินค้า การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตระยะยาวและสร้างความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และระดับนานาชาติ

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวว่า “อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงของไทย โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตชั้นนำและเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากเยอรมนี ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ประเทศไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 26% การเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมากนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความทุ่มเทของผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วโลก

“กรมปศุสัตว์เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนสามารถเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดรายได้ของประเทศจำนวนมากและส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของประเทศ กรมปศุสัตว์ จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอาหารสัตวเลี้ยงเเบบครบวงจร หรือ PET FOOD SERVICE CENTER (PFSC) ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงโดยตรง เราได้นำระบบอิเล็คทรอนิกส์ New Single Window  เข้ามาใช้งานเป็นการอานวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของประเทศให้พัฒนาและยั่งยืนทัดเทียมประเทศอื่น” กล่าวโดย นายสัตวเเพทย์ สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์

นายสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต รองผู้อำนวยการ (Chief Operating Officer : COO) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่สามของการจัดงาน งานในครั้งนี้จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก เราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ และมองเห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับบทบาทของประเทศไทยในภาคส่วนการดูแลสัตว์เลี้ยงระดับโลก งานนี้เป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือและความสำเร็จร่วมกันระหว่างผู้แสดงสินค้า ผู้ซื้อ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ ทีเส็บมุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างประเทศกับโอกาสทางธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย เรามั่นใจว่างานนี้สร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง”

“การจัดงานในครั้งนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผู้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 400 รายจาก 40 ประเทศ รวมถึงบริษัทใหม่อีก 100 แห่ง และยังมีพาวิลเลี่ยนระดับประเทศอีก 12 บูธ และพาวิลเลี่ยนสตาร์ทอัพไทยสุดพิเศษ ภายในงาน เรามุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำมากมาย อาทิ Networking Night, Pitching Contest: Innovators Pitch เป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้นำเสนอนวัตกรรม ปิดท้ายด้วยกิจกรรมการกุศล ร่วมบริจาคกับมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog) เพื่อเชื่อมโยงความช่วยเหลือจากบรรดาผู้ประกอบการของเราไปยังสังคมไทยต่อไป” กล่าวโดย นายยารูณ วาน โฮป ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รอยัล ดัตช์ ยาร์เบอร์ส (ผู้จัดงาน)

“ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นบริษัทจากจีนจำนวนมากและสมาชิกของ Asia Pet Alliance (APA) เข้าร่วมงาน ทั้งในฐานะผู้แสดงสินค้าและผู้เยี่ยมชม สถานะที่แข็งแกร่งของพวกเขาเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจและความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการค้าและความร่วมมือในภาคส่วนนี้ระหว่างทั้งสองภูมิภาค เราและวีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอแพลตฟอร์มอันยอดเยี่ยมซึ่งมอบโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรม” กล่าวโดย นายเดวิด จง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Globus Events

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน PET FAIR SOUTH EAST ASIA ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98-100 ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.petfairsea.com (ขอสงวนสิทธิสำหรับผู้เข้าชมงานที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และสวมใส่ชุดสุภาพเพื่อการเจรจาธุรกิจายในงาน) 

โอกาสทองกับความคุ้มค่าที่รอคอย! พฤกษา ผู้นำด้านอสังหาฯ จับมือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปล่อยแคมเปญสุดเร้าใจ กับดีลบ้านพร้อมอยู่ รับดอกเบี้ย 0% นานถึง 1 ปี เต็ม พร้อมส่วนลดหรือของแถม มูลค่ารวมสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรีค่าโอน ฟรีเฟอร์นิเจอร์ และฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า! นำโดย นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และ นางสาวจิตชญา ตู้จินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสักวัฏ อิทธิสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Direct Sales Channels และ นายเอกภณ พฤฒิพลากร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Retail and Business Banking Segment and Lending Product 1 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มอบดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 1 ปี*  สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เข้าร่วม 27 โครงการ ได้แก่ แบรนด์ไพนน์ เวลเนส เรสซิเดนซ์ เดอะปาล์ม ภัสสร เดอะแพลนท์ พาทิโอ และเดอะคอนเนค ให้เป็นเจ้าของบ้านใหม่ในฝัน ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนักเรื่องผ่อนชำระรายเดือนให้เบาลง

บ้านในฝันและดีลที่ดีรอคุณอยู่ สำหรับรายละเอียดโปรโมชันจะแตกต่างกันตามแต่ละโครงการ โดยผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญและรายชื่อโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญได้ที่ www.pruksa.com หรือโทร.1739 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Sale Gallery เข้าชมบ้านตัวอย่างและรับสิทธิพิเศษตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567 เท่านั้น!

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ระหว่าง 4.83% - 5.08% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate: MRR) ปัจจุบันเท่ากับ 7.30% ต่อปี มีผลวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศของธนาคาร สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ SCB Call Center 02-777-7777

ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% คงที่นาน 1 ปี เฉพาะลูกค้าที่ทำประกันชีวิต Credit Life ที่จองและทำสัญญาจะซื้อจะขาย ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567 และจะต้องรับโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 31 ธันวาคม 2567 หรือรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนดในสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้น

เดินหน้าสร้าง Ecosystem Business ขยายศักยภาพอุตสาหกรรมกัญชงไทย ผนึกพันธมิตรมุ่งสู่ Wellness – Sustainable ตอบโจทย์ตลาดโลก

เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษที่ นีเวีย ครีม เป็นเหมือนเครื่องหมายของความไว้วางใจในการฟื้นฟูและปกป้องผิวพรรณ ในขณะเดียวกัน รูปลักษณ์ของครีมตลับน้ำเงินในตำนานนี้ยังได้รับการปรับพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้มีความร่วมสมัย จึงทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่เหนือกาลเวลาไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย วันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่นีเวียมีความเคลื่อนไหวให้ทันกับกระแสโลก ด้วยการแนะนำบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ตัวตลับนอกจากจะผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 80% แล้วยังมีการปรับโลโก้แบรนด์ให้ทันสมัยและมีสีสันสดใสมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไว้คือคุณภาพของ นีเวีย ครีม ซึ่งเป็นที่นิยมมาช้านานด้วยสูตรเนื้อครีมเฉพาะตัวและกลิ่นที่คุ้นเคย

สุภสิตา ไกรศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์นีเวีย ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้แนะนำ นีเวีย ครีม ตลับใหม่ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 80% ก้าวย่างครั้งสำคัญนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในเรื่องความยั่งยืนและการลดฟุตพรินต์ในการจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้งานนี้ นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญแล้วยังส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอีกด้วย การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นอีกบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของเราที่จะดูแลสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในประเทศไทยที่ชื่นชอบและไว้วางใจใน นีเวีย ครีม จะยังคงได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพต่อไป ซึ่งเป็นนิยามของ นีเวีย ครีม จากรุ่นสู่รุ่น สำหรับประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ผู้บริโภคกระตือรือร้น ใส่ใจ และรักษ์โลก ได้จุดประกายให้เราได้พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาคำมั่นสัญญาที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคุณภาพสูงพร้อมกับความใส่ใจด้านความยั่งยืน ที่แสดงให้เห็นว่า นีเวีย ไม่เพียงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิว แต่เรายังปกป้องโลกใบนี้เพื่อคนรุ่นต่อไปอีกด้วย”

นีเวีย ครีม ตลับน้ำเงินในตำนาน ปรับโฉมใหม่เพราะใส่ใจมากกว่าการดูแลแค่ผิวพรรณ

ในย่างก้าวของการพัฒนา นีเวีย ครีม ตลับน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ได้รับการปรับเปลี่ยน ซึ่งยังเป็นครั้งแรกที่บรรจุภัณฑ์ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 80% อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของนีเวีย ที่จะทำตามพันธกิจด้านความยั่งยืนโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในบรรจุภัณฑ์ การเปลี่ยนผ่านไปหาทางเลือกที่เป็นมิตรต่อทรัพยากรยิ่งขึ้นนี้เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลง 8,000 ตันภายในปี 2568[1]  นั่นคือ นีเวีย ครีม ได้เคลื่อนตัวสู่การนำแนวทางหมุนเวียนที่ช่วยลดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติลงได้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของนีเวียที่มีต่อการดูแลผิว ด้วยการขยายการดูแลไปยังโลกใบนี้

การดูแลและการปกป้องที่ปรับเปลี่ยนให้ทันยุคสมัย

เมื่อมองดูถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นองค์กรที่มีความคิดทันสมัย นั้นคือการที่บรรจุภัณฑ์นีเวีย ครีม ทุกแบบได้รับการปรับโฉมใหม่ โดยตัวอักษรโลโก้มีความเพรียวบางลง และโทนสีฟ้าที่สว่างขึ้น เพื่อให้ดูทันสมัยและสดใสกว่าที่เคย ในฐานะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับความไว้วางใจมาตลอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็นที่ยอมรับในด้านประสิทธิภาพ ด้วยสูตรที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของนีเวีย ครีม ยังคงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการดูแลและปกป้องผิวได้เป็นอย่างดี ที่ได้รวมเอาปรัชญาในการส่งมอบการดูแลด้วยสูตรที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยกย่องมายาวนานที่รับรองประสิทธิภาพด้านการกักเก็บความชุ่มชื้น และเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยไฮโดรไลปิดตามธรรมชาติ ผู้ใช้ทั่วโลกต่างยืนยันความน่าเชื่อถือของสูตรที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยคงความสุขภาพดีและความงามของผิวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเผชิญกับสภาวะที่ท้าทาย


[1] แนวทาง Cut-Off Approach ที่เป็นไปตามนโยบาย GHG Protocol, Cradle to gate

เรื่องเงินเรื่องใหญ่ เพราะเรื่องสำคัญส่วนใหญ่ ล้วนต้องใช้เงิน

การบริหารจัดการเงิน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม ยิ่งในยามที่เศรษฐกิจโตช้า แต่ค่าครองชีพโตเร็ว เงินเดือนออกช้า แต่ค่าใช้จ่ายแอบเร่งรีบ สภาวะ “ชักหน้า ไม่ถึงหลัง”  จึงนำมาซึ่งปัญหา “เงินขาดมือ” ที่หลายคนตกอยู่ในต้องประสบสภาวะ ‘จนแต้ม’  pain point เหล่านี้ จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์การเงิน บัตรกดเงินสด หรือ Cash Card  ที่สถาบันการเงินออกแบบมาเพื่อช่วยปลดล็อกปัญหาการหมุนเงินไม่ทัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้บัตรกดเงินสด ยังมีสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจ จะได้มีตัวช่วยบริหารการเงินที่มีประโยชน์และคุ้มค่า

เมื่อเงินในบัญชีติดลบ พอจะซบใครได้บ้าง?

สภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินเป็นปัญหาที่พบเจอได้ในทุกสาขา ทุกอาชีพ หลายระดับ นับตั้งแต่ลูกจ้างห้างร้าน พนักงานองค์กร ทั้งเอกชนจนถึงภาครัฐ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงขนาดกลาง ที่บางครั้งหรือบ่อยครั้งต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ รายรับยังไม่มา แต่ค่าใช้จ่ายครบกำหนดชำระแล้ว หลายต่อหลายคนใช้วิธีปลดล็อกปัญหาด้วยการกู้ยืม ทั้งหมู่มิตรเครือญาติ กระทั่งหันไปซบสินเชื่อนอกระบบ  ซึ่งปัญหาที่พบต่อมาคือการติดล็อกครั้งใหม่ที่อาจใหญ่และหนักกว่าเดิม จากอัตราดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ

ทางเลือกหนึ่งของการปลดล็อกเดอะแบก คือ เงินสดฉุกเฉิน สถาบันการเงินหลายแห่งจึงออกบัตรกดเงินสด อย่างเช่น “บัตรกดเงินสด เคทีซี พราว” (KTC PROUD) ที่เข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ใช้ เพื่อเป็นตัวช่วยจัดการเงินฉุกเฉิน และช่วยให้พนักงานเงินเดือนใช้ชีวิตผ่านทุกสิ้นเดือนได้อย่างมั่นใจ

 “บัตรกดเงินสด เคทีซี พราว” ถูกออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวก สบายแบบน้อยแต่มากด้วยฟีเจอร์ครบครัน ทั้ง รูด โอน กด หรือ ผ่อน ไม่ว่าจะใช้กดเพื่อเบิกถอนเงินสดจาก ATM โอนเงินเข้าบัญชีแบบ real-time รูดซื้อ หรือผ่อนสินค้าก็สะดวก ใช้ได้ทุกที่และทุกเวลา เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการบริหารการเงิน

อย่างไรก็ดี  บัตรกดเงินสดคือบริการสินเชื่อส่วนบุคคลรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู้ใช้ควรทำความเข้าใจในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้ดีเพื่อให้ใช้บัตรกดเงินสด ได้เกิดประโยชน์มากที่สุด

3 เทคนิคการใช้บัตรกดเงินสดอย่างชาญฉลาด

  1. จ่ายหนี้บัตรกดเงินสดตรงเวลานอกจากการจ่ายเต็มจำนวนแล้ว ควรจ่ายให้ตรงเวลาเสมอ เพราะหากจ่ายช้าจะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อเครดิตทางการเงิน ทำให้การขอสินเชื่อที่จำเป็นในอนาคตยากขึ้น
  2. เลือกบัตรกดเงินสดที่มีวงเงินเหมาะสมบัตรกดเงินสดกำหนดวงเงินสูงสุดตามความสามารถในการชำระหนี้ของแต่ละคน หากใช้เต็มวงเงินแล้วจะไม่สามารถเบิกใช้ได้อีก บางคนอาจต้องไปกู้เงินนอกระบบ ซึ่งจะทำให้เกิดหนี้ก้อนโตและอาจเกิดปัญหาจากการติดตามหนี้ที่ใช้ความรุนแรงตามมา ดังนั้นลองพิจารณาบัตรกดเงินสดที่มีวงเงินเหมาะกับความจำเป็นของเรา เช่น บัตรกดเงินสด KTC PROUD ที่ให้วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของรายได้ หรือสูงสุด 1 ล้านบาท เพื่อความยืดหยุ่นในการหมุนเวียนเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ควรกู้เงินเท่าที่จำเป็นและมั่นใจว่าสามารถชำระคืนได้ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ดีและปลอดภัยในระยะยาว

เมื่อเงินในบัญชีติดลบ  จะหันมาซบ บัตรกดเงินสด 

ไม่ต้องเสี่ยงกับสินเชื่อนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป  เพียงมีรายได้ประจำขั้นต่ำเพียง 12,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ได้เองผ่าน https://www.ktc.co.th/apply-onlineง่ายๆ แค่ส่งเอกสารการสมัครทางออนไลน์ (สำเนาบัตรประชาชน สลิปเงินเดือนล่าสุด และสำเนาบัญชี) รู้ผลอนุมัติภายใน 30 นาที รับเงินไวทันใจ ข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-123-5000

X

Right Click

No right click