December 05, 2025

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ จับมือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย เปิดตัวโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุนอย่างเป็นทางการ และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาเชิงรุกผลิตกำลังคนทักษะสูงตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม และภาคการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี              

เป็นประธานในพิธี  ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล 

 

นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าว ในนามของกระทรวงศึกษา รู้สึกยินดียิ่งที่ร่วมเปิดโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน Vocational Education Upskill (VOC-UP: ยกระดับอาชีวะไทย อัปสกิลกำลังคนไทยสู่อนาคต) ซึ่งมีเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย นับก้าวสำคัญของการศึกษา และการยกระดับการจัดอาชีวศึกษาให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเรียนสายอาชีพเพื่อการมีงานทำ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การฝึกอบรม Upskill – Reskill – New Skill ให้กับครู และนักเรียน นักศึกษา รวมถึงการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตรงตามความต้องการของเศรษฐกิจใหม่โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ร่วมพัฒนา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Advanced Electronics), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), โลจิสติกส์ และสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งมีความต้องการกำลังคนในระดับช่างเทคนิคและวิศวกรจำนวนมาก

รมช.ศธ. กล่าวต่อไปว่า โครงการ VOC-UP จึงนับเป็นต้นแบบความร่วมมือที่สร้างกำลังคนคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน การพัฒนากำลังคนให้มีทักษะที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ของประเทศผ่าน การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการทำงานจริงอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิด‘สร้างคน สร้างงาน’ จึงทำให้โครงการ VOC-UP มีการจ้างงานทันที 1,875 อัตรา และไม่น้อยกว่า 3,000 อัตรา ตลอดระยะเวลา 5 ปีของโครงการ

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  ร่วมงานเปิดโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน “VOC-UP”  โดยนายวิทวัต ปัญจมะวัต กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานในการผลิตและพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อการพัฒนาประเทศ ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว การจัดอาชีวศึกษายุคใหม่จึงต้องเน้นการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน และบูรณาการการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและการฝึกประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งเป็นรูปแบบการศึกษาที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมเข้าสู่สถานประกอบการอย่างแท้จริง ความร่วมมือระหว่าง สอศ. BOI และสถานประกอบการ 6 แห่ง ภายใต้แนวคิด   VOC-UP ครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเชิงระบบ ครอบคลุมการออกแบบหลักสูตร วางแผนการฝึกอบรม ไปจนถึงสร้างโอกาสทำงานทันทีหลังจบการศึกษา ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนที่ตรงสายงานของสถานประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน โดย สอศ. มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างกำลังคนอาชีวศึกษาคุณภาพสูงในระยะยาวและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

บีโอไอชี้โครงการ VOC-UP คือจุดเชื่อมสำคัญระหว่างภาคการศึกษา – กำลังคน – อุตสาหกรรม

นายนฤตม์  เทอดสถีรศักดิ์  เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า หนึ่งในคำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในการพิจารณาเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีบุคลากรที่เพียงพอและตรงความต้องการหรือไม่” คำถามนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนกำลังคนเชิงรุกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 

ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม  บีโอไอจึงได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และภาคเอกชน เดินหน้าโครงการ VOC-UP (Vocational Education Upskill ) ซึ่งเป็น “กลไกเชื่อมโยงที่สำคัญ” ระหว่างผู้เรียนอาชีวะ (กำลังคนในอนาคต) สถานศึกษา (ผู้ผลิตกำลังคน) และภาคอุตสาหกรรม (ผู้ใช้กำลังคน)

“บีโอไอ ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยประสานงานให้เกิดการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร บีโอไอเป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเข้ากับการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา เพื่อให้การผลิตกำลังคนเป็นไปอย่างตรงจุด ตรงกลุ่มมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของโลก และการลงทุนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยต้องการกำลังคนเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเทคนิคระดับสูงในระดับอาชีวศึกษากว่า 50,000 คน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะให้กับบุคลากรไทย และช่วยสร้างงานคุณค่าสูงในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการจากภาคเอกชนและสถานศึกษาอาชีวศึกษา 8 แห่ง เพื่อแสดงศักยภาพและนวัตกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคถลาง (สาขาอากาศยานและอากาศยานไร้คนขับ), วิทยาลัยการพาณิชย์นาวีนครศรีธรรมราช (สาขาพาณิชย์นาวี), วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ (สาขาปิโตรเคมี), วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (สาขาระบบขนส่งทางราง), วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ (สาขายานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ), วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น(สาขาการโรงแรมและธุรกิจการบิน), วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร และวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี 

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมสนับสนุนงานวิ่ง ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะอยากเห็นคนไทย “สุขภาพดีไปด้วยกัน…เพื่อทุกวันที่ดีกว่า” โดยได้รับความสนใจจากนักวิ่งมืออาชีพและสมัครเล่นกว่า 4,500 คน มาวิ่ง ฟิน กิน เที่ยว ระยองฮิ!! บนเส้นทางเลียบชายหาดแหลมเจริญ หาดแสงจันทร์ และหาดสุชาดา พร้อมกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ตอบรับเทรนด์ Eco Sport Tourism

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า   “พรูเด็นเชียลฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรม ‘ซีนิคฮาล์ฟ มาราธอน ระยอง 2025’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์เป้าหมายของเราในการส่งเสริมสุขภาพคนไทยทุกคน ผมเชื่อว่าการมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงคือหัวใจสำคัญของการมีชีวิตที่ดีและยืนยาว กิจกรรมครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งมืออาชีพ นักวิ่งสมัครเล่น หรือแม้แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย ได้มามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองและสร้างประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามของจังหวัดระยองซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญของเรา “STEP UP, START NOW : สุขภาพดีกว่าเดิม แค่เริ่มไปด้วยกัน” เพราะเราเชื่อว่า การมีสุขภาพที่ดี จะเป็นรากฐานของความมั่นคงในชีวิต”

 

ภายในงาน พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังได้นำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทั้งเติมความสนุกสนานและสนับสนุนสุขภาพมากมาย อาทิ อุโมงค์น้ำ, บูธถ่ายรูป, กองเชียร์, โซนแช่เท้าสำหรับนักวิ่ง และของพรีเมียมที่ระลึก พร้อมมอบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี! คุ้มครองนักวิ่งสูงสุดถึง 100,000 บาท เพื่อให้ความคุ้มครองและสร้างความอุ่นใจให้นักวิ่งภายในงาน รวมทั้งนำเสนอแผนการดูแลสุขภาพในราคาพิเศษให้ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย

 

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมสนับสนุนงาน “ซีนิคมาราธอนซีรีย์” (Scenic Marathon Series) ซึ่งเป็นรายการวิ่งภายใต้มาตรฐานของ สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ และ World Athletics โดยจัดขึ้นในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศไทยตลอดปี ได้แก่ จันทบุรี ระยอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ ปีนี้มีความพิเศษกับการเปิดตัวสนามใหม่ที่จังหวัด นครพนม ในรูปแบบ Eco-sport Tourism ที่นอกจากจะส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสอดแทรกแนวคิดเชิงอนุรักษ์ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

สำหรับสนามถัดไปที่ จังหวัดกระบี่ พรูเด็นเชียลฯ ยังคงนำกิจกรรมสร้างสรรค์และแคมเปญสุขภาพมาร่วมเติมเต็มประสบการณ์การวิ่งเช่นเคย พร้อมวิ่งริมชายหาด Prudential Beach Run ระยะ 5 กม. และ 3กม. และวิ่งถนน Road Run ระยะ  10 กม. และ 21.1 กม.โดยงานจะจัดขึ้นในวันที่ 6-7 กันยายน 2568 ณ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook: Scenic Marathon Series

การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดยฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ จัดงานสัมมนา “MEA Better Care 2025 : Powering Trust with CARE+” ณ ห้อง Jubilee Ballroom โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ โดยมีนายกิตติศักดิ์ เจือจันทนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายงานธุรกิจ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน งานสัมมนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการไฟฟ้าผ่านโครงการ MEA Better Care Service Plus โดยทีมวิทยากรจากฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้าของ MEA มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับข้อมูลเชิงลึกและสามารถนำไปปรับใช้ในการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาจำนวนกว่า 100 ท่าน

 

นอกจากนี้ ภายในงานได้จัดแสดงบูทให้ข้อมูลและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบริการของ MEA อาทิ MEA Better Care Service Plus บริการดูแลระบบไฟฟ้าภายในอาคารด้วยระบบ IoT อัจฉริยะตลอด 24 ชั่วโมง MEA Plug ME EV โซลูชันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า อัตราค่าไฟฟ้า UGT (Utility Green Tariff) สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด และ MEA e-Service บริการออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ไฟสามารถเข้าถึงข้อมูลและทำธุรกรรมด้านไฟฟ้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำตลอดช่วงการจัดงาน

 

โครงการ “MEA Better Care Service” เป็นบริการเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่ต้องการความมั่นใจในระบบไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าใต้ดิน และการบำรุงรักษาเชิงป้องกันแบบมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการให้บริการเชิงรุก เพื่อสร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องทางธุรกิจของลูกค้า MEA

นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษและกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ประจำปี 2568 ณ เทศบาลตำบลเทพารักษ์ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

 นางกุลกัญญา ทุมเสน รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) กทพ. กล่าวว่า ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างสังคมในพื้นที่รอบเขตทางพิเศษให้เกิดความเข้มแข็ง ความสามัคคี และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ รอบเขตทางพิเศษอย่างยั่งยืนลดพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ชุมชนช่วยดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการจัดกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ประจำปี 2568 ในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก เทศบาลตำบลเทพารักษ์ สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเทพารักษ์ โรงเรียนเทศบาลเทพารักษ์ ๑ (สละ ฉลวย อุปถัมภ์) โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเทพารักษ์ โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลเทพารักษ์ ชุมชนหมู่บ้านบางปูนคร ชุมชนหมู่บ้านเทพานิเวศน์ เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมป้องกันและระงับอัคคีภัย และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัยซึ่ง กทพ. ต้องขอขอบคุณชุมชนต่าง ๆ  ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มาโดยตลอด สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ กทพ. ได้จัดให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) และความรู้การขับขี่ปลอดภัย ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ พร้อมทั้งได้มอบถังดับเพลิงให้กับชุมชนหมู่บ้านบางปูนคร ชุมชนหมู่บ้านเทพานิเวศน์ โรงเรียนเทศบาลเทพารักษ์ 1 (สละ ฉลวย อุปถัมภ์)  โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเทพารักษ์ สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ มอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเทพารักษ์ และมอบอุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุให้กับนักเรียนโครงการโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลเทพารักษ์ อีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน และหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ ก็จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นางกุลกัญญาฯ กล่าวในท้ายที่สุด

“องค์กรนวัตกรรมเพื่อการเดินทาง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Innovation for better drive and better life”

 

ชูความเหนือด้วยออนไลน์ 100% แห่งแรกในไทย - อัดแน่นด้วยวิทยากรที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ

ออเนอร์ (HONOR) จับมือ BaNANA จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Advance AI Workshop By HONOR 400 Series x BaNANA” มอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้าคนพิเศษ ของสมาร์ตโฟน HONOR 400 Series และลูกค้า BaNANA โดยเฉพาะ ซึ่งกิจกรรมจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ร้าน The Wood Land ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสศักยภาพของเทคโนโลยี AI จาก HONOR 400 Series อย่างใกล้ชิด พร้อมสนุกไปกับกิจกรรมมากมาย

 

ภายในงาน มีการจัดเวิร์กช็อปในหัวข้อ “AI Creative & Portrait” เทคนิคถ่ายภาพและแต่งภาพสไตล์ Gen Z ด้วยสมาร์ตโฟน HONOR 400 Series โดยคุณเจ จากเพจ Here’s Jae คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังที่มีผลงานโดดเด่นบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลังจบเวิร์กช็อป ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมทุกคนทดลองใช้ฟีเจอร์ Advance AI ทั้งการถ่ายภาพและการปรับแต่งภาพตามสไตล์ของตนเอง ก่อนจะเข้าสู่กิจกรรมแข่งขันสร้างสรรค์ภาพถ่าย โดยมีการคัดเลือกผลงานที่โดดเด่นที่สุด เพื่อรับของรางวัลสุดพิเศษ อาทิ HONOR Earbuds Open, HONOR Watch 2i, HONOR Earbuds X6 และบัตรกำนัลมูลค่า 500 บาท โดยได้รับเกียรติจาก คุณสนธยา ธัง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบริหารการตลาด บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) และนายพลภัทร์ สายบัวทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ออเนอร์ ประเทศไทย ร่วมมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะ ทั้งนี้ บรรยากาศตลอดกิจกรรมเป็นไปอย่างอบอุ่นและคึกคัก ผู้เข้าร่วมต่างมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ พร้อมปิดท้ายกิจกรรมด้วยรอยยิ้ม ความสนุก และความประทับใจอย่างเต็มเปี่ยม

 

เป็นเจ้าของ HONOR 400 Series ได้แล้ววันนี้! โดยรุ่น HONOR 400 Pro มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเทา (Lunar Grey) สีดำ (Midnight Black) และ สีฟ้า (Tidal Blue) เตรียมเข้าไทยเร็ว ๆ นี้ ในราคาคุ้มค่าเพียง 19,990 บาท และ HONOR 400 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีทอง (Desert Gold) และสีดำ (Midnight Black) พร้อม 2 สเปกให้เลือกตามการใช้งาน ได้แก่ รุ่น 12GB+512GB ราคา 14,990 บาท และ รุ่น 12GB+256GB ราคา 12,990 บาท หาซื้อได้ที่ HONOR Experience Store และที่ร้าน​ BaNANA ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือดูเพิ่มเติมที่ www.bnn.in.th สามารถดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.honor.com/th และติดตามข่าวสารสุดพิเศษได้ที่ Facebook: HONOR Thailand

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาส 2/2568 เป็นมูลค่ากว่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่ผลการดำเนินงานของบริษัทพลิกกลับมาทำกำไร โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit) อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ในส่วน EBITDA ยังคงมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการควบรวมกิจการ โดยเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ (Synergy)

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาสที่ 2 ยังคงทรงตัว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว โดยทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ตามความมุ่งมั่นของเราต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ การที่ทรูชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ทรูครอบครองคลื่นความถี่ครบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะใช้ประโยชน์จากการจัดสรรคลื่นความถี่นี้มาเพื่อเพิ่มความสามารถของเครือข่าย รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแห่งอนาคต รวมถึงการเร่งผลักดันบริการทางดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร และเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เราจึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตแบบพลิกโฉม ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดอย่างยั่งยืน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ จากความพยายามลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่จากการหมุนเวียนของฐานลูกค้าเดิมลง (rotational gross adds) รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 2/2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมาย หรือลดลง 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส2/2567 ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5มีจำนวน 14.7 ล้านเลขหมาย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้หลักชะลอตัวลงในระหว่างไตรมาสที่สอง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้จากบริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่

ไตรมาส 2/2568 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC ลดลง 0.6% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก ชดเชยบางส่วนจากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ รายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อน ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานรายได้รวมลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการ การลดลงของรายได้ค่าเช่าโครงข่ายอันเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่น 850 MHz ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนสิงหาคม 2568 และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลดลงจากปัจจัยตามฤดูกาล

สำหรับไตรมาส 2/2568 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A ลดลง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 7.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงและการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ จากการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืนและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง”

ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.5 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ สะท้อนถึงความสามารถทางการเงินที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องของ EBITDA สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 2/2568 ปรับตัวดีขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของรายได้ อันเป็นผลจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศที่ลดลง สำหรับ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน EBITDA ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการรักษาวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 60.8% สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของทรู คอร์ปอเรชั่น อยู่ที่ 4.0 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ลดลง 0.7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 0.1 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาส 2/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี 2.0 พันล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.5 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย และการยุติบริการคลื่น 850 MHz เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาส 2/2568 จำนวน 368 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.2 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย

จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศไทยในปี 2568 การปรับลดแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชี่วคราวต่อรายได้จากการให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คณะผู้บริหารบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 คณะผู้บริหารคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัว ถึงเติบโต 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC และการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT แนวโน้ม EBITDA เติบโต 7-8% สำหรับทั้งปี ขณะที่เงินลงทุน (CAPEX) คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทสำหรับปี 2568 (ไม่เปลี่ยนแปลง) และจะยังคงมีกำไรตลอดทั้งปี 2568 ตามรายงานงบการเงิน (ไม่เปลี่ยนแปลง)

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับไตรมาส 2/2568

  • รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC: 1พันล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • EBITDA: 25.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ: 60.8%
  • กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT): 2.0 พันล้านบาท, ปรับปรุงรายการจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท

เกี่ยวกับบริษัท

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพเพื่อทุกคนและธุรกิจด้วยโซลูชันการเชื่อมต่อที่ช่วยพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน บริการด้านเสียงและดาต้าชั้นนำระดับโลกของทรู เปิดประตูสู่ระบบนิเวศด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ความบันเทิงระดับโลก สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก ไปจนถึงการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ ด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทรูมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับสุขภาพ และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม

ด้วยความใส่ใจในคุณภาพและความเข้าใจผู้บริโภค แบรนด์ CP โชว์ความแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นเป็นหนี่งในใจของคนไทย คว้ารางวัล "Thailand Brand Footprint 2025 : Top Rising Brand" ในหมวดอาหาร เป็นแบรนด์ที่มีผู้บริโภคเลือกซื้อเติบโตมากที่สุด  สะท้อนจากอัตราการเข้าถึงซึ่งวัดด้วยคะแนน Consumer Reach Points (CRPs) ที่สูงถึง 63.6 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านครั้งจากปีก่อนหน้า โดยแบรนด์ CP ทำได้ดีขึ้นในสินค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาหารทานเล่น และอาหารพร้อมทาน อาทิ  ไข่ต้ม อกไก่นุ่ม ไส้กรอก  ฯลฯ

   

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า  รางวัลที่ได้รับสะท้อนความแข็งแกร่ง การไม่หยุดพัฒนาเพื่อผู้บริโภคยุคใหม่ และความชื่นชอบที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์แบรนด์ CP เราเชื่อมั่นว่าการครองใจผู้บริโภคได้ ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริง  ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติหรือคุณภาพเท่านั้น  แต่รวมถึงราคาที่เหมาะสม ความสะดวก  และความหลากหลายที่ตอบสนองความต้องการในแต่ละช่วงชีวิต     

"แบรนด์ CP ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมรักษาความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ และการเข้าถึงของผู้บริโภค ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไป และต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อก็ตาม CP ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น และจะรักษาความไว้วางใจนี้ไว้ด้วยมาตรฐานที่ดี  ส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพคนไทยและคนทั่วโลก " นางสาวอนรรฆวี กล่าว                                                   

ทั้งนี้ การจัดอันดับประจำปีของแบรนด์ FMCG ในประเทศไทย จัดทำโดย บริษัท เวิร์ลพาแนล นูเมอร์ราเตอร์ จำกัด (Worldpanel by Numerator) ผู้นำระดับโลกด้านวิจัยตลาดและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค จัดมอบรางวัลใน 56 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมประชากรกว่า 73%  ประมวลผลด้วยดัชนี CPPs (Consumer Reach Points) ที่มีความแม่นยำ คำนวณจากอัตราการซื้อสินค้า (Penetration) คูณกับความถี่ในการซื้อ (Consumer Choice) ตลอดทั้งปี

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยกระดับขีดความสามารถด้านการตลาดแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 50 ราย โดยการสนับสนุนงบประมาณผ่านระบบ BDS “Business Development Service” หรือ “SME ปัง ตังได้คืน” ในการออกบูธงานแสดงสินค้านานาชาติ ผับ บาร์ เอเชีย 2568 (Pub Bar Asia 2025) งานแสดงสินค้าด้านเครื่องดื่ม โรงแรม ร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) และอุตสาหกรรมบันเทิงยามค่ำคืนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา  

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยว่า “ภาพรวมธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านเครื่องดื่มและธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย มีความหลากหลายและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ธุรกิจเครื่องดื่ม ปัจจุบัน มีตั้งแต่ร้านกาแฟเล็กๆ ร้านอาหารที่มีดนตรีสด ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องดื่มเฉพาะทางทั้งที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน รวมถึง ร้านอาหาร ผับ บาร์ หรือคลับต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยว การปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง”

การเข้าร่วมงาน ผับ บาร์ เอเชีย 2568 (Pub Bar Asia 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในประเทศไทย ถือเป็นเวทีเจรจาการค้าระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผับ บาร์ ร้านอาหาร และธุรกิจไนท์ไลฟ์จากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และพม่า โดยปีนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 5,600 ราย ทั้งจากในและต่างประเทศ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพทางการตลาดของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีข้อจำกัดตามข้อกำหนดกฎหมายจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่อนุญาตให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ รวมถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กในการสร้างการรับรู้ของตลาดผู้บริโภค จึงทำให้การทำการตลาดที่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคโดยตรง (On-ground Marketing) เป็นช่องทางสำคัญในการสร้างแบรนด์และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ

นายสราวุธ ประสิทธิ์ส่งเสริม เจ้าของแบรนด์คร๊าฟเบียร์สัญชาติไทย “คอลมีปาป๊า” (Call Me Papa) กล่าวระหว่างการออกบูธภายในงานว่า “คอลมีปาป๊า เป็นเบียร์ไทยที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นเอง โดยเริ่มจากการทำให้คุณแม่ดื่ม จนพัฒนาเป็นคร๊าฟเบียร์รสชาติผลไม้ (ฟรุ๊ตตี้) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในปัจจุบันสามารถส่งออกไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ ซึ่งคอลมีปาป๊าได้มาออกบูธภายในงานปีนี้เป็นปีที่ 2 จากการสนับสนุนของ สสว. ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนค่าบูธได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังสามารถสร้างโอกาสในการเปิดตลาดได้จากการพบปะกับลูกค้าภายในงาน เช่น กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และเจ้าของกิจการผับ บาร์ต่าง ๆ ซึ่งการช่วยเหลือของ สสว. ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบรนด์คอลมีปาป๊าได้ค่อย ๆ เติบโตต่อไป”

ด้านนายพสิษฐ์ ฐิติธนารัศมิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไฮคร๊าฟ ม็อคเทลผลไม้แปรรูปที่นำพืชเกษตรหลักของไทย สับปะรดและมะพร้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่ม กล่าวว่า “แบรนด์ไฮคร๊าฟเกิดภายใต้แนวคิดเมจิกดริ๊งก์ คือ เมื่อดื่มเข้าไปเป็นหนึ่งรสชาติ แต่หายใจออกมาเป็นอีกหนึ่งรสชาติ ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ความสดชื่นระดับพรีเมี่ยม โดยทางแบรนด์ได้ขอรับการสนับสนุนด้านการตลาดจาก สสว. เป็นครั้งแรก ทำให้มีโอกาสทำตลาดในประเทศ และบริษัทฯ เองยังมีแผนที่จะทำการตลาดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งถือว่าสำคัญมากๆ  และอยากฝากให้พัฒนาโครงการลักษณะนี้เพิ่มขึ้นในรูปแบบการจัดหมวดหมู่หรือเป็นคลัสเตอร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการพัฒนาผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์เชิงลึกมากขึ้น”

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทย เป็นอันดับที่ 1 ในภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 941,693 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าจาก SMEs 312,848 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 33.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ในสาขาอาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน SMEs ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 136,663 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.56 ของจำนวน SMEs ทั้งหมดของประเทศ มีการจ้างงาน 524,497 คน คิดเป็นร้อยละ 4.31 ของการจ้างงานรวม

รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. ยังกล่าวต่อว่า “สสว. เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ จึงได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าสู่ระบบ BDS “Business Development Service” หรือ “SME ปัง ตังได้คืน” ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50-80% หรือ สูงสุดถึง 200,000 บาท เพื่อช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ”

ในปี 2568 นี้ สสว. ยังคงเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ BDS “Business Development Service” หรือโครงการ “SME ปัง ตังได้คืน” สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจ 5 หมวดหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการผลิตและบริการ การตรวจวัดมาตรฐานสินค้า เช่น ฉลากโภชนาการ การตรวจอายุสินค้า การเพิ่มผลิตภาพ เช่น ซอฟต์แวร์บริหารคลัง การพัฒนาและบริหารธุรกิจ การสร้างช่องทางตลาดและการตลาด รวมถึงเพิ่มบริการใหม่ คือ การพัฒนาธุรกิจที่มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการตรวจสอบคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมแล้วกว่า 21,791 ราย และมีหน่วยงานผู้ให้บริการทางธุรกิจบนระบบ BDS ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 257 หน่วยงาน

ผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลโครงการ “SME ปัง ตังได้คืน” และขั้นตอนการสมัครเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ได้ที่เว็บไซต์ สสว. หรือโทร. 1301

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รับรางวัล ASEAN Corporate Governance Scorecard ประจำปี 2024 ประเภทรางวัล Country Top 5 PLCs บริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรกของแต่ละประเทศในอาเซียน และประเภทรางวัล ASEAN Top 50 PLCs บริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนสูงสุด 50 อันดับแรกของอาเซียน ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกำกับดูแลกิจการของ ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) เพื่อมอบให้กับบริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Environment, Social and Governance หรือ ESG) แสดงถึงความมุ่งมั่นของ SCGP ในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีจริยธรรม และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลของบริษัทเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า

พิธีมอบจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดย Minority Shareholders Watch Group (MSWG) องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการกำกับดูแลกิจการของประเทศมาเลเซีย และเป็นหนึ่งในองค์กรผู้ทำการประเมินในนามของประเทศมาเลเซีย (Domestic Ranking Body) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

X

Right Click

No right click