

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เดินหน้าส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด #PRU30MinsStartStrong ในวาระครบรอบ 30 ปี อยากเห็นคนไทยฉลอง“สุขภาพดีไปด้วยกัน…เพื่อทุกวันที่ดีกว่า” ชวนทุกคนหันมาออกกำลังกายผ่านกิจกรรมง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน โดยใช้เวลาเพียง 30 นาที พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่า “PRUHeros” ที่เชื่อว่า การออกกำลังกายเพียงวันละ 30 นาที….ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิมได้

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าพลังของมนุษย์เริ่มต้นจากความเชื่อมั่นและการดูแลตัวเองก่อนเสมอ การที่เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความแข็งแรง ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ยังเป็นการสร้างกรอบความคิด (mindset) ที่ดีและพร้อมรับมือกับทุกสิ่งไปตลอดทั้งวัน แคมเปญ #PRU30MinsStartStrong คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน เพราะสุขภาพที่ดีคือหลักประกันแรกของชีวิต รวมถึงปีนี้ถือว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 30 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จึงอยากเชิญชวนทุกคนหันมาขยับร่างกายวันละ 30นาที โดยสามารถเริ่มต้นง่ายๆได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การเดิน วิ่งช้าๆ โยคะ หรือ แม้แต่การยืดเหยียดเบาๆ ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ร่างกายวันละนิดเพื่อมีสุขภาพดีไปด้วยกัน”
สำหรับแคมเปญ #PRU30MinsStartStrong ยังได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากเหล่า “PRUHeros” ที่พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจผ่าน Youtube ของ Prudential Thailand “4 เรื่องจริง กับ30 นาทีเปลี่ยนชีวิต” (https://www.youtube.com/watch?v=3VJFiGiUoS0 ) หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของ คุณตาสว่าง จันทร์พราหมณ์ นักกรีฑาวัย 105 ปี ที่เริ่มต้นออกกำลังกายเมื่ออายุเกือบ 100 ปี ด้วยความตั้งใจที่จะไม่เป็นเพียงผู้เฝ้าดูชีวิต แต่ขอ “มีชีวิต” เพื่อสิ่งที่รักและคนที่รัก คุณตาสว่าง เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายวันละ 30 นาทีอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถคว้า 3 เหรียญทอง รวมถึงสร้างสถิติเป็นนักกีฬาไทยที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รับเหรียญทอง จากการแข่งขันมหกรรมกีฬาสูงอายุโลก เวิลด์ มาสเตอร์ เกมส์ 2025 ที่ไต้หวัน ด้วยความเชื่อว่า “ผมไม่อยากเป็นแค่คนดูชีวิตของตัวเอง ผมอยากมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่รักและคนที่รัก การออกกำลังกายวันละ 30 นาที ทำให้ผมแข็งแรง มีพลัง และมีความสุขทุกวัน”

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ “PRU 30 Minutes Start Strong Challenge” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมสนุกและลุ้นรับของรางวัล Starbucks E-Vouchers มูลค่า 300 บาท จำนวน 100 รางวัล จากแคมเปญ#PRU30MinsStartStrong ที่ตอกย้ำว่า “สิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละวัน...เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ” เพื่อสร้างแรงจูงใจและความสนุกสนานในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพที่ดีไปด้วยกัน เพื่อทุกวันที่ดีกว่า
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้ง่ายๆ โดย 1.กดไลก์เพจ Facebook Prudential Thailand 2.โพสต์รูปกิจกรรมการออกกำลังกายในแบบของคุณ พร้อมแคปชั่นชวนเพื่อนมาออกกำลังกายไปด้วยกัน (อย่าลืมเปิดโพสต์เป็นสาธารณะและติดแฮชแท็ก #PRU30MinsStartStrong #StepUpStartNow #PrudentialThailand) 3. แปะลิงก์โพสต์ของคุณใต้คอมเมนต์กิจกรรม PRU 30 Minutes Start Strong Challenge ที่เพจ Prudential Thailand 4. ชวนเพื่อนเข้าร่วม Challenge โดยให้เพื่อนโพสต์รูปออกกำลังกายใต้โพสต์ของคุณ (ยิ่งมีเพื่อนเข้าร่วมมากเท่าไหร่ ยิ่งมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลมากขึ้น!) สามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 สิงหาคม 2568 ประกาศรายชื่อผู้โชคดี วันที่ 2 กันยายนนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://link.prudential.co.th/RP6ws
ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้เราอยู่ในโหมด “เชื่อมต่อ” ตลอดเวลา “รูทีนความงาม” กลายเป็นแรงกดดันโดยไม่รู้ตัว ภาพการดูแลตัวเองที่ดูสมบูรณ์แบบในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์หลายขั้นตอน การออกกำลังกายอย่างเข้มข้น หรือเมนูสุขภาพสุดเป๊ะ ทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องตามให้ทัน ทั้งที่อาจไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการจริงๆ ของตัวเอง สิ่งนี้นำมาซึ่งความเครียด พยายามปรับตัวตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไปไม่หยุด ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังบิดเบือนความหมายที่แท้จริงของ “สุขภาพ” และ “ความงาม”

The New Beautiful สู่ #WatsOnYourMind
หัวใจสำคัญที่วัตสัน ประเทศไทย ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่ง ยึดถือมาตลอด คือ ความงามรูปแบบใหม่ เริ่มจากการตระหนักและเห็นคุณค่าในตัวเอง สร้างความมั่นใจจากภายในสู่ภายนอก เพราะการดูแลตัวเองไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ควรเป็นสิ่งที่ยืดหยุ่น เป็นมิตรกับชีวิต และเปิดโอกาสให้เราได้เลือกในแบบที่เป็นตัวเราอย่างแท้จริง
#WatsOnYourMind ภายใต้แนวคิด “The New Beautiful” จึงอยากชวนทุกคน “หยุด” เพื่อฟังเสียงหัวใจตัวเอง และ “เชื่อมต่อ” กับความงามในแบบที่เป็นคุณอีกครั้ง

“Wellness Path to Every Beautiful” เส้นทางสู่ความงามที่แท้จริงในทุกมิติ
เพราะความงามไม่ได้มีแค่ภายนอก แต่คือการดูแลทั้งกาย ใจ ตัวตน และโลกใบนี้ไปพร้อมกัน สุขภาพกายดี ใจเป็นสุข ภูมิใจในตัวเอง และใส่ใจสิ่งแวดล้อม… นี่แหละ ความงามที่สมบูรณ์

เราเชื่อเหมือนกัน ว่าความหมายที่แท้จริงของความงาม เริ่มจากภายใน
วัตสันและ 22 แบรนด์พันธมิตรชั้นนำในกลุ่มสุขภาพ ผิวหนัง และเครื่องสำอาง อาทิ Cerave, Dazzle Me, IN2IT, ILLIYOON, La Roche Posay, Revlon, Srichand, Vaseline, Vichy, YOU และอื่นๆ เห็นคุณค่าในสิ่งเดียวกันว่าความสวยที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็น แต่คือความแข็งแรงของร่างกาย ความสบายใจที่มาจากข้างใน และความใส่ใจต่อโลกที่เราอยู่ด้วยกัน เพราะเรารู้ดีว่า ความงามที่แท้จริง… ยั่งยืน และมีค่ากว่า เมื่อมันเกิดขึ้นจากการรักและดูแลตัวเองอย่างแท้จริง

สามารถติดตามเรื่องราวเหล่านี้ได้ ณ ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศและวัตสันออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 37 ปีด้วยแคมเปญพิเศษ "ความอัจฉริยะที่มีเสน่ห์เพื่อคุณ" พร้อมเผยเรื่องราวน่าสนใจเบื้องหลังความสำเร็จที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
ไฮไลท์ความสำเร็จ
จุดเริ่มต้นของแอลจีไม่ได้มาจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ก่อตั้งในปี 2490 ในชื่อ Lucky Chemical โดยประธาน อิน-ฮวอย คู ด้วยผลิตภัณฑ์แรกคือ "ครีมลัคกี้" เครื่องสำอางชิ้นแรกของเกาหลี ก่อนจะก้าวสู่วงการอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2501 ด้วยการก่อตั้งบริษัท Goldstar ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายแรกของเกาหลีใต้ และสามารถผลิตวิทยุเครื่องแรกของประเทศได้สำเร็จเพียงหนึ่งปีหลังก่อตั้ง

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเกิดขึ้นในปี 2521 เมื่อแอลจีเริ่มขยายตลาดสู่สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ก่อนที่ Lucky Chemical และ Goldstar จะผนึกกำลังกันในปี 2526 ภายใต้ชื่อ "Lucky Goldstar" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ LG ที่เรารู้จักในปัจจุบัน ในปี 2538 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น LG Electronics อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัวโลโก้ "Face of the Future" ที่ได้แรงบันดาลใจจากรอยยิ้มแห่งราชวงศ์ชิลลา ความสำเร็จของแอลจีเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยสโลแกน "Life's Good" ที่เปิดตัวในปี 2542 พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, สื่อและความบันเทิง, ยานยนต์ และโซลูชันเพื่อสิ่งแวดล้อมล่าสุดในปี 2567 แอลจีได้ติดอันดับ 100 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก ด้วยมูลค่าแบรนด์กว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แอลจีได้สร้างประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งการเป็นผู้ผลิตพัดลม โทรศัพท์ ตู้เย็น ทีวี แอร์ และเครื่องซักผ้ารายแรกของเกาหลี รวมถึงการสร้างปรากฏการณ์ด้วยโทรศัพท์ LG Chocolate ในปี 2549 และการจับมือกับ Prada สร้าง LG Prada KE850 ในปี 2550 ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจอภาพโดดเด่นด้วยการเปิดตัวทีวี OLED และ OLED 4K เครื่องแรกของโลกในปี 2556 ตามด้วยสมาร์ททีวีพร้อมระบบปฏิบัติการ webOS ในปี 2557 ทีวีม้วนได้สุดล้ำในปี 2562 และล่าสุดกับ OLED T ทีวีโปร่งใส 4K ไร้สายในปี 2567 ส่งผลให้แอลจีครองตลาดทีวีพรีเมียมในไทย 12 ปีซ้อน
นอกจากนี้ แอลจียังโดดเด่นด้วยนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ทั้งเครื่องปรับอากาศ DUALCOOL พร้อม Dual Inverter Compressor™ ในปี 2559 ตู้เย็น InstaView Door-in-Door™ ที่สามารถ "เคาะดูข้างใน" ในปี 2560 และเทคโนโลยี AI DD ในเครื่องซักผ้าที่ทำให้แอลจีครองอันดับ 1 ในไทย 26 ปี
แอลจีเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2531 ปัจจุบันมีหน้าร้านกว่า 900 สาขา และศูนย์บริการกว่า 130 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวบริการ LG Subscribe สมัครสมาชิกเครื่องใช้ไฟฟ้าในปลายปี 2567 และศูนย์ฝึกอบรม LG HVAC Academy ในไทยปี 2568 นอกจากนี้ยังมีโรงงานในระยองที่ผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องซักผ้าส่งออกไปทั่วโลก
ธุรกิจของแอลจีไม่ได้จำกัดเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แต่ยังขยายสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ จอแสดงผลสำหรับธุรกิจและการแพทย์ทั่วโลก โดยมีพนักงานกว่า 75,000 คนใน 142 ประเทศ พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและดำเนินโครงการ CSR มากมาย จนได้รับรางวัลด้านการออกแบบระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
เพื่อก้าวสู่ปีที่ 37 อย่างแข็งแกร่ง แอลจียังคงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค พร้อมแคมเปญและโปรโมชันสุดพิเศษตลอดทั้งปีที่จะทำให้ "Life's Good" ยิ่งกว่าเดิม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lg.com/th/birthday25
ดีป้า ชี้แจงกระบวนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ ODOS Summer Camp เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมยืนยันว่า โครงการยึดหลัก ‘ความโปร่งใส เสมอภาค ตรวจสอบได้’ ในทุกขั้นตอน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเยาวชนไทยในทุกพื้นที่
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย ดีป้า เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการ ODOS Summer Camp ค่ายแห่งโอกาสภาคฤดูร้อน ทุนการศึกษาแบบให้เปล่า จำนวน 928 ทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตและการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ ระยะเวลา 5 - 6 สัปดาห์ พร้อมยกระดับทักษะดิจิทัลจากเจ้าของเทคโนโลยีที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และค้นหาแรงบันดาลใจเพื่อต่อยอดไปสู่การเลือกสายการเรียนในระดับที่สูงขึ้น รวมไปถึงสายอาชีพในอนาคต โดยขณะนี้ผ่านการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการไปแล้ว 3 ครั้งโดยการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษและทักษะดิจิทัล ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือก 928 คน จาก 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร หลังจากนี้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะเข้าร่วมกิจกรรมจับสลากเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์ในวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ที่บางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

อย่างไรก็ตาม คณะทำงานโครงการ ODOS Summer Camp ได้รับทราบข้อสังเกตเกี่ยวกับความโปร่งใสในการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการจากสาธารณชน ดังนั้นจึงขอชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงกระบวนการการคัดเลือก เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ดังนี้
ODOS Summer Camp มีการระบุคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการไว้อย่างชัดเจน อาทิ
โครงการตรวจสอบพบว่า ผู้สมัครบางรายแจ้งที่อยู่เพื่อสมัครในอำเภอที่มีการแข่งขันต่ำ ทั้งที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านในพื้นที่นั้น ซึ่งขัดต่อหลักการกระจายโอกาสตามภูมิลำเนา อีกทั้งโครงการระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ผู้สมัครต้องมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอใดอำเภอหนึ่งของประเทศไทยต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี กรณีย้ายที่อยู่ไม่ถึง 1 ปีให้ยึดที่อยู่เดิมก่อนหน้าที่อาศัยต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีในการยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการ
ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมจาก AI หากมีผลสรุปตรงกันว่าเป็นการทุจริต ผู้สมัครจะถูกตัดสิทธิ์โดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อคงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมของการสอบ
ผู้สมัครบางรายปิดกล้องหรือปกปิดใบหน้าระหว่างการสอบ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต และส่งผลให้ระบบตัดสิทธิ์ตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศไว้อย่างชัดเจน
หากคะแนนรอบสุดท้ายเท่ากัน โครงการจะนำคะแนนรอบก่อนหน้ามาประกอบการพิจารณา โดยพิจารณาคะแนนในระดับทศนิยมเพื่อความแม่นยำและเป็นธรรม จึงส่งผลให้ผู้สอบรอบสุดท้ายที่ได้คะแนนเต็ม อาจไม่ได้รับการคัดเลือก หากคะแนนรอบก่อนหน้าต่ำกว่าผู้สมัครรายอื่น
การร้องขอดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากอันดับคะแนนถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของบรรดาผู้สมัคร
“ดีป้า ขอยืนยันว่า โครงการ ODOS Summer Camp ดำเนินการโดยยึดหลัก ‘ความโปร่งใส เสมอภาค ตรวจสอบได้’ ในทุกขั้นตอน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเยาวชนไทยในทุกพื้นที่” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 3 สามารถเข้าร่วมกิจกรรมจับสลากเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์ในวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่เวลา 07.30 น. เป็นต้นไปที่บางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ โดยกิจกรรมจับสลากเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์ได้รับเกียรติจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม
นายฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานการประชุมชี้แจงโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เส้นทางถนนประชาธิปก (ช่วงแยกบ้านแขก ถึงวงเวียนใหญ่) และถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยมีผู้แทนจากองค์กร หน่วยงานราชการ และหน่วยงานผู้ใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจต่าง ๆ ในพื้นที่ เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงรายละเอียดแผนดำเนินงาน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้าง ณ ห้องประชุม Venita 2 โรงแรม อเวย์ บางกอก ริเวอร์ไซด์ คีน ถนนเจริญนคร กรุงเทพฯ

รองผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า ตามที่ MEA ได้มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล เร่งดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุด MEA จะดำเนินโครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เส้นทางถนนประชาธิปก (ช่วงแยกบ้านแขก ถึงวงเวียนใหญ่) และถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยมีพื้นที่ดำเนินการ 3.4 กิโลเมตร ดำเนินการก่อสร้างบริเวณผิวจราจรและผิวทางเท้า เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2568 – ปี 2572 (รื้อถอนเสาสายแล้วเสร็จ ภายในปี 2572) โดย MEA จะดำเนินการก่อสร้างไปพร้อมกับโครงการรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ถึง 05.00 น. ของทุกวันเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผลกระทบต่อการจราจร

ในด้านการก่อสร้างของโครงการดังกล่าว ประกอบด้วยงานก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน งานก่อสร้างฐานอุปกรณ์และติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า งานลากสายไฟฟ้าใต้ดิน และการเปลี่ยนระบบการจ่ายไฟจากสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานครั้งนี้จะช่วยพัฒนาเสถียรภาพ และความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง และเป็นการเตรียมพร้อมรองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าของภาคธุรกิจและหน่วยงานเอกชนในพื้นที่ในอนาคต รวมถึงช่วยเสริมสร้างทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครให้มีความสวยงาม ตลอดจนช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานได้แสดงความคิดเห็น พร้อมให้ข้อมูลสำคัญ เพื่อให้ MEA ได้นำมาพิจารณาปรับปรุงแผนงานให้มีความเหมาะสม และส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568 โดยได้รับอนุมัติสินเชื่อเฉพาะอัตราดอกเบี้ยปกติ และรับเงินกู้ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 จะได้รับของกำนัลตามวงเงินอนุมัติ ดังนี้
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/ploan-polo-bag
หมายเหตุ: กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว | อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี*
*ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 มีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการใช้จ่ายของภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นทั้งในฝั่งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐ ทั้งในส่วนของรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการลงทุนหดตัวลง เพราะเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อนที่ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 เริ่มมีผล สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นั้น มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำกว่าครึ่งแรกของปีค่อนข้างมาก หรือมีความเสี่ยงที่จะไม่เติบโต เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลึกหลังจากขยายตัวสูงไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะเก็บจากสินค้าไทยอาจสูงกว่าคู่แข่งสำคัญหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องต่อบรรยากาศการลงทุน ในขณะที่แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอลงแรง แต่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทำได้เพียงในระดับจำกัด นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะมีผลกดดันต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน ที่ครอบคลุมถึงลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจด้วยการดูแลช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ตลอดจนการสนับสนุนมาตรการภาครัฐอย่างเต็มที่ เช่น โครงการคุณสู้เราช่วย และมาตรการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนทางการเงินที่ลดลงเพื่อแบ่งเบาภาระของลูกค้า สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 12,488 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,303 ล้านบาท หรือ 9.45% หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามภาวะตลาด รวมทั้งการดูแลช่วยเหลือด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นและช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) ลดลงอยู่ที่ระดับ 3.31% แม้ว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 13,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 266 ล้านบาท หรือ 1.95% หลัก ๆ จากผลการดำเนินงานการบริการประกันภัย และรายได้จากการลงทุน สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 20,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 751 ล้านบาท หรือ 3.75% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการให้บริการลูกค้าและค่าใช้จ่ายทางการตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใต้องค์รวมของกรอบงบประมาณที่วางไว้ ส่งผลให้เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง 1.68% นอกจากนี้ ได้พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 232 ล้านบาท หรือ 2.36% ตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม รองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ในอนาคต
ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2568 เปรียบเทียบกับงวด 6 เดือน ปี 2567 ที่ปรับปรุงใหม่ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้มีจำนวน 56,847 ล้านบาท ลดลงจำนวน 2,470 ล้านบาท หรือ 4.16% เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 70,080 ล้านบาท ลดลงจำนวน 5,234 ล้านบาท หรือ 6.95% สอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) ลดลงอยู่ที่ระดับ 3.36% แม้ว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 27,622 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,409 ล้านบาท หรือ 9.55% หลัก ๆ จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน รายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 40,855 ล้านบาท ลดลงจำนวน 355 ล้านบาท หรือ 0.86% จากการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.82% นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงยึดหลักความระมัดระวังอย่างรอบคอบตามที่ได้ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ จึงพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) จำนวน 19,868 ล้านบาท เพื่อให้สำรองฯ มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ และภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและยังคงเผชิญกับความท้าทาย ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2568 มีจำนวน 26,280 ล้านบาท ลดลงจำนวน 260 ล้านบาท หรือ 0.98%
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,374,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 33,854 ล้านบาท หรือ 0.78% เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่ปรับปรุงใหม่ ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งเป็นการลงทุนตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและทิศทางอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์ และการเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงให้เหมาะสม ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.18% ซึ่งยังคงต้องดำเนินการติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังใกล้ชิดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 162.77% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.66%
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สานต่อความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการบริบาลทางการแพทย์ ผ่านการรับรองคุณภาพ ภายใต้มาตรฐานระดับสากลจาก Joint Commission International Clinical Care Program Certification (JCI CCPC) ซึ่งเป็นองค์กรสากลของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วโลก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในเอเชียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI และได้รับการรับรองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันโรคหัวใจ (Heart Institute) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการต่ออายุการรับรองคุณภาพ ในโปรแกรมการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure Program) ในขณะที่ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการรับรองคุณภาพเป็นครั้งแรก ในโปรแกรมการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม (Breast Cancer Program) ซึ่งนับเป็นความสำเร็จในระดับนานาชาติ ซึ่งมีเพียง 400 โรงพยาบาลทั่วโลกที่ผ่านการรับรองในโปรแกรมนี้ โดยศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลไม่กี่แห่งที่อยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกา
คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ “สถาบันโรคหัวใจ” และ “ศูนย์เต้านม” ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากลจาก JCI CCPC ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตลอดจนการทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างยอดเยี่ยมของทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน เพื่อส่งมอบการบริบาลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ภายใต้มาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความเป็นเลิศทางคลินิก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงคุณค่าของความเป็นบำรุงราษฎร์อย่างแท้จริง”
ความสำเร็จเหล่านี้ ยังตอกย้ำสถานะของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในฐานะหนึ่งใน 100 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2568 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Newsweek และที่สำคัญที่สุด คือความไว้วางใจจากผู้ป่วยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
“เราเลือกที่จะทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องทำ แต่เพราะเราเชื่อว่า เราสามารถทำให้ดียิ่งขึ้นได้” คุณแบร์รี่ กล่าวปิดท้าย
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พร้อมส่งมอบการบริบาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเปี่ยมด้วยความใส่ใจอย่างเอื้ออาทร เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างยั่งยืนให้กับผู้ป่วยทุกท่าน
ไม่ใช่แค่บ้าน แต่คือชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน “พฤกษา” ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพเพื่อความอุ่นใจในระยะยาว พร้อมผนึกพันธมิตร “ทีโอเอ” ผู้นำนวัตกรรมสีและวัสดุปกป้องพื้นผิวครบวงจรเบอร์หนึ่งของไทย ส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยด้วยนวัตกรรมสีคุณภาพสูง สวย ทนทาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การันตีด้วยฉลากลดโลกร้อน (CFR) มาใช้กับโครงการของพฤกษา สะท้อนแนวคิด “บ้านดี ต้องเริ่มจากวัสดุคุณภาพดี”
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พฤกษาให้ความสำคัญกับชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ และมุ่งมั่นในการส่งมอบบ้านที่ดีต่อสุขภาพกายและใจ ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ “สีทาบ้าน” ทั้งสีทาภายนอกและสีทาภายในที่นอกจากให้ในเรื่องความสวยงามแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันบ้านจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งความร้อน ความชื้น ลม ฝน และมลภาวะต่าง ๆ
ความร่วมมือระหว่าง “พฤกษา” กับ “ทีโอเอ” ครั้งนี้ จึงเป็นการส่งมอบมาตรฐานการอยู่อาศัยให้ดีขึ้นไปอีกขั้น โดยพฤกษาได้คัดสรรสีทาบ้านคุณภาพสูงจากทีโอเอ ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งความสวยงาม ความทนทาน และความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ลูกค้าของพฤกษาได้อยู่อาศัยในบ้านที่ดีในระยะยาว
นวัตกรรมสีคุณภาพสูงจากทีโอเอที่พฤกษาเลือกใช้ ซึ่งมีเทคโนโลยีล้ำสมัย ตอบโจทย์ทั้งความสวยงาม ความทนทาน และความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย รวมถึงใส่ใจต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่ลูกบ้านในทุกโครงการ ได้แก่
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทีโอเอรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพที่อยู่อาศัยให้กับโครงการของพฤกษา ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันของทั้งสององค์กร ที่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับความสวยงามของบ้านจากภายนอก แต่ยังใส่ใจถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและความยั่งยืนในระยะยาว
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีที่ทั้งตอบโจทย์ด้านฟังก์ชันและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการตอกย้ำพันธกิจของทั้งสองฝ่ายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อโลก และสามารถอยู่คู่บ้านได้อย่างยาวนาน โดยในปีนี้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสีทาอาคารของทีโอเอ ยังได้ผ่านการรับรองฉลากลดโลกร้อน (CFR) เพิ่มขึ้นอีก 91 ผลิตภัณฑ์ และอีก 2 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแผ่นยิปซัม ส่งผลให้ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฉลากลดโลกร้อนมากที่สุดถึง 133 ผลิตภัณฑ์
ทีโอเอ จึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยพันธกิจองค์กรสีเขียว GREEN MISSION อย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักกลยุทธ์ 7-GREEN ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อคนและสิ่งแวดล้อม พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมกันบรรลุเป้าหมาย NET ZERO เพราะเราเชื่อว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คือหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน”
ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำความพิถีพิถันของพฤกษาในการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมคุณภาพสูงจากพันธมิตรที่ได้มาตรฐานเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างสรรค์บ้านที่สวย ทนทาน ปลอดภัย และตอบโจทย์อนาคตของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง สะท้อนแนวคิด “บ้านดี ต้องเริ่มจากวัสดุคุณภาพดี” ที่มุ่งมั่นเดินหน้าต่อเนื่องในทุกโครงการ เพื่อส่งมอบบ้านดีสำหรับทุกครอบครัวไปตลอดชีวิต
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย ดร.ศิริ การเจริญดี ประธานกรรมการ นายจักรพงศ์ แสงแก้ว ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน นำทีมสุดยอดนักขายตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 100 คน ที่ได้รับคุณวุฒิสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม หรือ Million Dollar Round Table (MDRT) ทั้งระดับ MDRT และ COT เข้าร่วมงานประชุมสัมมนาระดับโลก MDRT Annual Meeting 2025 วันที่ 19 – 28 มิถุนายน 2568 ณ เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
MDRT Annual Meeting 2025 เป็นงานประชุมประจำปีครั้งสำคัญของนักขายมืออาชีพทั่วโลก ที่อยู่ในและนอกอุตสาหกรรมการเงินที่ให้บริการด้านการประกันภัย การวางแผนการเงินและการลงทุน จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ได้รับคุณวุฒิ MDRT ทั่วโลกได้นำความรู้มาพัฒนาทักษะในด้านการประกันชีวิตและบริการทางการเงิน อีกทั้งยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างพลังให้กับชุมชนระดับโลกของ MDRT ได้นำมาใช้ในการพัฒนาตนเอง ทีมงาน และเป็นแรงบันดาลใจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ตามกลยุทธ์และเป้าหมายของกรุงเทพประกันชีวิต ให้เติบโต 2x Speed ไปด้วยกัน