นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 12 ประจำปี 2567 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2567 ณ Pullman Phuket Karon Beach Resort จังหวัดภูเก็ต โดยหลักสูตรดังกล่าวมีผู้เข้าอบรมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจประกันภัย จำนวนทั้งสิ้น 144 คน ซึ่งตลอดหลักสูตรมีการอบรม แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในชั้นเรียนและเข้าศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งร่วมทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ตลอดจนจัดทำรายงานการศึกษากลุ่ม (Group Project : GP) ในหัวข้อต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบประกันภัยของไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ การจัดทำรายงานการศึกษากลุ่ม (Group Project : GP) เป็นกิจกรรมที่หลักสูตรฯ ให้ความสำคัญและกำหนดให้นักศึกษาทุกคนเข้าร่วม เพื่อช่วยกันระดมความคิดและแบ่งปันประสบการณ์ในแง่มุมต่าง ๆ มานำเสนอในรูปแบบรายงานวิชาการ โดยในการปิดหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 12 ครั้งนี้ ได้กำหนดให้ผู้เข้ารับการอบรมนำเสนอรายงานการศึกษากลุ่ม GP และตอบข้อซักถามแก่คณะอาจารย์ที่ปรึกษา ประกอบด้วยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ.
สำหรับรายงานวิชาการแบ่งเป็น 6 กลุ่ม 6 หัวข้อ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 หัวข้อ “ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการประกันภัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทย” ความสำคัญของการประกันภัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Liability Insurance : ELI) เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมของไทย ช่วยลดผลกระทบทางการเงินและกฎหมายจากเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กลุ่มที่ 2 หัวข้อ “การพัฒนากรอบธรรมาภิบาล AI สำหรับธุรกิจประกันภัย” เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจประกันภัย การจัดทำกรอบธรรมาภิบาล AI ที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า AI จะถูกนำมาใช้ในลักษณะที่รับผิดชอบและเป็นธรรม โดยมีการเสนอแนะแนวทางในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ AI ที่สามารถประยุกต์ใช้ในธุรกิจประกันภัย ที่คำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ซึ่งการนำ AI มาใช้ในธุรกิจประกันภัยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ กลุ่มที่ 3 หัวข้อ “การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในกรมธรรม์และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้อย่างครบถ้วน : กรณีประกันภัยสุขภาพ” การเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้ประชาชนรู้จักและซื้อประกันภัยสุขภาพมากขึ้น แต่หลังจากวิกฤตคลี่คลายลง จำนวนการซื้อประกันภัยสุขภาพกลับลดลง เนื่องจากผู้ถือกรมธรรม์ประสบปัญหาเกี่ยวกับการเข้าใจเนื้อหาและเงื่อนไขของกรมธรรม์ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ตามที่กำหนดไว้ได้อย่างเต็มที่ ทางกลุ่มได้ศึกษาถึงสภาพปัญหาของผู้ถือประกันภัยสุขภาพในเรื่องความเข้าใจในเนื้อหาของกรมธรรม์ สิทธิประโยชน์ และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามข้อกำหนดในกรมธรรม์ และหาเครื่องมือโดยเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจในเนื้อหาของกรมธรรม์และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือกรมธรรม์ บริษัทประกันภัย และหน่วยงานกำกับดูแลในอนาคต กลุ่มที่ 4 หัวข้อ “โครงงานศึกษาแพลตฟอร์มให้บริการวิเคราะห์ความต้องการและแนะนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ Insurance Penetration Rate ในไทย ได้แก่ การขาดความรู้ ความเข้าใจ การเข้าถึงข้อมูล และความสามารถทางการเงิน โครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยที่ไร้บุตรหลาน อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจครอบครัวและการวางแผนการเงินในระยะยาว ทางกลุ่มจึงเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถวิเคราะห์และแนะนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและความเข้าใจในประกันชีวิตของประชาชน กลุ่มที่ 5 หัวข้อ “การส่งเสริมสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจประกันสุขภาพ (ภาคสมัครใจ) เพื่อรองรับการแข่งขันในภูมิภาคเอเชีย” โดยเล็งเห็นว่าประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจ มีประโยชน์ในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ลดภาระงบประมาณของรัฐ แต่อัตราการทำประกันภัยสุขภาพในไทยยังต่ำ เนื่องจากเบี้ยประกันภัยสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทางกลุ่มจึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างธุรกิจประกันชีวิตโดยการลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมการทำประกันภัยภาคสมัครใจ และกลุ่มที่ 6 หัวข้อ “การสร้างความตระหนักในการพัฒนาความร่วมมือในธุรกิจประกันภัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อลดช่องว่างความคุ้มครองจากภาวะสูงอายุเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน” ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมสูงอายุที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะการจัดการสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการยังชีพของผู้สูงอายุ การศึกษาพบว่ามีช่องว่างความคุ้มครองด้านประกันภัยที่สำคัญ เช่น สวัสดิการจากรัฐไม่เพียงพอ ขาดความรู้และความตระหนักในการวางแผนก่อนเกษียณ และความไม่พอใจในความคุ้มครองของประกันภัยที่มีอยู่ ดังนั้น ทางกลุ่มจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาสังคมสูงอายุ และการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการประกันภัยเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน
ภายหลังจากรับฟังการนำเสนอรายงานการศึกษากลุ่ม คณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. และนักศึกษา วปส. รุ่นที่ 12 ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) โดยร่วมบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคของนักศึกษา ได้แก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม อุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน และเงินจำนวน 348,035.59 บาท ณ โรงเรียนภูเก็ตปัญญานุกูล
“ต้องขอชื่นชมนักศึกษา วปส. รุ่นที่ 12 ที่ได้ทุ่มเทความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการค้นคว้าและนำเสนอรายงานวิชาการ โดยทั้ง 6 เรื่อง ล้วนเป็นประเด็นร่วมสมัย และผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์แก่อุตสาหกรรมประกันภัยและประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมและอาจารย์ที่ปรึกษาได้ซักถามและให้ข้อแนะนำต่าง ๆ เพื่อให้นำไปปรับปรุงรายงานวิชาการให้ดียิ่งขึ้น และจะได้มีการประชุมเพื่อคัดเลือกสุดยอดรายงานวิชาการดีเด่นเพื่อนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการของสำนักงาน คปภ. ต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Reshaping Thailand’s Tourism with Innovation and Advanced Data Analytics” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศในปีท่องเที่ยว Thailand Grand Tourism Year 2025 กับ วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก โดยมีนายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีช่าประจำประเทศไทย ร่วมลงนาม เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงิน เสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อให้แก่นักท่องเที่ยว ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. มุ่งเดินหน้าดำเนินงานด้านการตลาดท่องเที่ยวภายใต้การบูรณาการของทุกภาคส่วน (Partnership 360 องศา) ทั้งในและต่างประเทศ โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับวีซ่าครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางและเชื่อมโยงทางการเงินเพื่อใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวอย่างไร้รอยต่อ โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของวีซ่ามาใช้ต่อยอดในการทำแคมเปญการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายจุดรับชำระเงินแบบดิจิทัลให้มากขึ้นเป็นตัวช่วยสำคัญให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้ ททท. หวังว่าความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยว เพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศศักยภาพ 23 ตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยและสร้างรายได้มากกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้กระชับความสัมพันธ์อันดีกับ ททท. ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกของเราในเรื่องของโซลูชันทางการชำระเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เมื่อการเดินทางทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้นในเรื่องของประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งเงินสด ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยหนุนธุรกิจท้องถิ่นในประเทศ ยังจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในภาคการท่องเที่ยว และเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย”
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะร่วมกันส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวโดยมีใจความสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ ททท. ได้มีความร่วมมือกับ วีซ่า มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก มุ่งเน้นการพลิกโฉมอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย ด้วยการใช้นวัตกรรมทางการเงินเสริมสร้างความสะดวกสบายและการเชื่อมโยงทางการเงินอย่างไร้รอยต่อให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต โดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร ตัวแทนบริษัทฯ ร่วมรับรางวัล “ขวัญใจมหาชน” ในโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟสที่ 2” จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์
โดยโครงการดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงความรู้ด้านการเงินการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์แผนงาน และส่งเสริมการสื่อสารประชาสัมพันธ์ หลักการและแนวคิดพื้นฐานการลงทุน และเทคนิควางแผนการเงินที่ดี ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยจำนวนการเข้าถึง หรือ Reach สูงถึงกว่า 18 ล้านราย และจำนวนผู้มองเห็น หรือ Impression กว่า 290,000 ราย ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงสานต่อโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทฯ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการจากกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต สามารถติดต่อได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.krungthai-axa.co.th
“ชีวจิต” นิตยสารและสื่อออนไลน์เพื่อคนรักสุขภาพในเครืออมรินทร์กรุ๊ป ยืนหนึ่งผู้นำเทรนด์ด้านสุขภาพ ทำตามง่าย ได้ผลจริง จัดงานมอบรางวัล “ชีวจิต AWARDS 2024” งานประกาศรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติแก่บุคลากร องค์กร ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการบริการที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น เป็นสังคมสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ ภายในงานไม่เพียงได้รับเกียรติจากตัวแทนจากแบรนด์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้านสุขภาพ และแขกผู้มีเกียรติรับรางวัล รวมถึงเหล่าคณะกรรมการ อาทิ คุณผกา เส็งพานิช กูรูอาหารชีวจิตของเมืองไทย ผศ.ดร. เอกราช บำรุงพืชน์ นักวิจัยและนักโภชนบำบัด คุณนุ่น สินิทธา Health Coach และ ร.อ. นพ. สุรชา ลีลายุทธการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย มาร่วมงานแล้ว ยังมีมุมจัดแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้รับรางวัล ในรูปแบบ Hall of Fame อันทรงเกียรติ ที่บริเวณโซน “อยู่ดี by ชีวจิต” มุมเพื่อคนรักสุขภาพในงานบ้านและสวนแฟร์ Living Festival 2024 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
วาสนา พลายเล็ก บรรณาธิการบริหารนิตยสารชีวจิต กล่าวว่า “งานมอบรางวัล ‘ชีวจิต Awards 2024’ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 6 เพื่อเชิดชูเกียรติให้แก่บุคลากร องค์กร ผลิตภัณฑ์ต่างๆ และการบริการ รวมถึงเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัล และยังสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคที่รักและใส่ใจดูแลสุขภาพ จากการโหวตโดยมหาชน และคัดเลือกตัดสินโดยกองบรรณาธิการนิตยสารชีวจิต เพื่อสนับสนุนและสร้างสังคมสุขภาพให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่ไม่เพียงดูแลสุขภาพกายและใจเท่านั้น และยังหมายรวมถึงสุขภาพคนในสังคม สิ่งแวดล้อมรอบตัว จึงเป็นนิยามของการมีสุขภาพที่ดีและยั่งยืนแบบองค์รวม”
ไม่เพียงเท่านี้ บรรณาธิการบริหารนิตยสารชีวจิต ยังได้เผยถึงทิศทางชีวจิตในปี 2025 ว่า เพื่อตอกย้ำการเป็นสื่อที่รอบรู้เรื่องสุขภาพ พร้อมแนวทางธรรมชาติที่เชื่อถือได้ ทำตามง่าย ได้ผลจริง ชีวจิตเตรียมนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมาถ่ายทอดในแง่มุมต่างๆ ที่เข้มข้นและเจาะลึกมากยิ่งขึ้น และสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยยังเอาใจนักอ่านที่ชอบอ่านสาระความรู้ผ่านรูปเล่มนิตยสารชีวจิต ที่จะมีการปรับเนื้อหา ดีไซน์ เพื่อดึงดูดชวนให้อ่าน โดยยังคงอัดแน่นด้วยสาระความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ เช่นเดียวกับรูปเล่มที่จะมีการเปลี่ยนเนื้อกระดาษเพื่อการอ่านที่สบายสายตา และการวางแผงที่หน้าร้านหนังสือจะเปลี่ยนเป็นราย 2 เดือน โดยสามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือนายอินทร์และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.naiin.com เพื่อไม่ให้พลาดสาระความรู้ดีๆ เรื่องการดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ในส่วนของออนไลน์ www.cheewajit.com และ Facebook นิตยสารชีวจิตที่มีผู้ติดตามร่วม 600,000 คน มีการวางแผนจะนำเสนอการดูแลสุขภาพในธีมต่างๆ ในแต่ละเดือน พร้อมทั้งจะนำคอนเทนต์ที่ได้รับความสนใจจากการอ่านของผู้ติดตาม มานำเสนอในรูปแบบใหม่ที่จะเจาะลึกในรายละเอียดต่างๆ รวมถึงแง่มุมการดูแลสุขภาพในหลากมิติ
ไม่เพียงเท่านี้ในส่วนของการจัดกิจกรรมโรดโชว์ อย่าง Happy Life ที่จัดมาแล้วหลายซีซั่น กิจกรรมเพื่อคนรักสุขภาพ เอาใจสายเฮลธ์ตี้ด้วยสาระจัดเต็มจากทีมแพทย์โรงพยาบาลต่างๆ และกูรูด้านสุขภาพ ในปี 2025 ยังคงเดินหน้ากระจายความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพไปสู่คนเมือง ชุมชน โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศ พ่อบ้านแม่บ้าน หรือผู้สูงวัย ในย่านสำนักงาน หมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม เพื่อเปิดประสบการณ์การดูแลสุขภาพให้ถึงที่
รวมทั้งการออกร้านที่งานบ้านและสวนแฟร์ กับโซน “อยู่ดี by ชีวจิต” คอมมูนิตี้ที่ทำขึ้นเพื่อคนรักและใส่ใจในสุขภาพได้มาพบปะกัน โดยในโซนนี้จะมีทั้งการออกร้านจำหน่ายอาหารหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึงมุมผ่อนคลายเพื่อการดูแลตัวเองในวิถีแบบชีวจิต โดยสามารถพบกับ “อยู่ดี by ชีวจิต” ได้ปีละ 3 ครั้ง ได้แก่ งานบ้านและสวน Select, งานบ้านและสวน Midyear และงานบ้านและสวน Living Festival
ซึ่งทั้งหมดนี้คือหลักการชีวจิตในปี 2025 ตอกย้ำจุดยืนในการทำงานของชีวจิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ต้องการสร้าง Wellbeing Society หรือการเป็นสถาบันสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมสุขภาพที่ดีให้คนไทย
ภายในงาน “ชีวจิต Awards 2024” ได้มีการมอบรางวัลให้แก่บุคลากรและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 50 รางวัล แบ่งรางวัลเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ผลรางวัลชีวจิต Awards 2024 ทั้งหมด 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 : Cheewajit’s Choice
รางวัล Cheewajit’s Choice : Influencer
รางวัล Cheewajit’s Choice : Organization
รางวัล Cheewajit’s Choice : Farm
ประเภทที่ 2 : Guru’s Pick
รางวัล Guru’s Pick : ประเภท Organic หมวด Drink
รางวัล Guru’s Pick : ประเภท Natural หมวด Food
รางวัล Guru’s Pick : ประเภท Natural หมวด Drink
รางวัล Guru’s Pick : ประเภท Natural หมวด Beauty
รางวัล Guru’s Pick : ประเภท Natural หมวด Consumer Products
ประเภทที่ 3 : Reader’s Vote
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Organic หมวด Food
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Organic หมวด Drink
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Organic หมวด Beauty
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Organic หมวด Consumer Product
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Nutural หมวด Food
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Nutural หมวด Drink
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Nutural หมวด Beauty
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Nutural หมวด Consumer Products
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Wellness
รางวัล Reader’s Vote: ประเภท Innovation
สามารถติดตามภาพบรรยากาศการมอบรางวัล “ชีวจิต Awards 2024” หรือติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ Website : www.cheewajit.com, Facebook : นิตยสารชีวจิต
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโนริอากิ โกโตะ (ซ้าย) ประธานกรรมการ และ นายเคนอิจิ ยามาโตะ (ขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฉลองความสำเร็จคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้าน ESG ในประเทศไทย (Thailand’s Best Bank for ESG) โดยเป็นรางวัลที่มอบเป็นครั้งแรกในงาน Euromoney's Awards for Excellence 2024 จัดโดยนิตยสาร Euromoney ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ทรงอิทธิพลระดับโลก ส่งผลให้กรุงศรียืนหนึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ตอกย้ำปณิธานของกรุงศรีในการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย
กองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ (PIM SMART) จัดงานครบรอบ 12 ปี PIM SMART มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ครูต้นแบบ โรงเรียนต้นแบบ และองค์กรต้นแบบ พร้อมมอบเกียรติบัตรเชิดชูศิษย์เก่าต้นแบบ PIM SMART STAR จำนวน 74 คน ณ ห้อง Auditorium ชั้น 16 อาคาร CP All Academy สถาบันการจัดการปัญญภิวัฒน์ ถ.แจ้งวัฒนะ
กองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ (PIM SMART) เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2555 กว่า 12 ปี แห่งการให้โอกาส สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ การใช้ชีวิต หางานพิเศษให้นักศึกษามีรายได้เสริม รวมถึงให้คำปรึกษาด้านต่าง ๆ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) บมจ.ซีพี ออลล์ บริษัทในกลุ่มฯ รวมถึงบริษัทคู่ค้า และโรงเรียนเครือข่ายพันธมิตร เพื่อส่งมอบโอกาสทางการศึกษาร่วมสร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถสู่สังคม
ภายในงาน ดร.มนตรี คงตระกูลเทียน คณบดีคณะเกษตรนวัตและการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ครูต้นแบบ โรงเรียนต้นแบบ องค์กรต้นแบบ ด้านนางปาริชาต บัวขาว รองอธิการบดี ส่วนสื่อสารองค์กรและการตลาด มอบเกียรติบัตรแก่ศิษย์เก่า และนางสาวอัจฉรา พวงแก้ว ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน อีกทั้งได้รับเกียรติจาก พลเรือเอกทักษิณ ฤกษ์สังเกตุ ที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมถึงตัวแทนจากองค์กรพันธมิตร ร่วมแสดงความยินดีกับนักศึกษาในกองทุนฯ
ในงานมีการแสดงร้องเพลงประสานเสียงจากน้อง ๆ ในกองทุนฯ กิจกรรม Home Coming จาก PIM JOY สำนักแนะแนวและรับสมัคร บูธกิจกรรมแจกสินค้า และเกมจากองค์กรพันธมิตร ได้แก่ บริษัท ไบร์มายด์ รีเทล จำกัด, บริษัท ฟอนเทียร่า แบรนด์ส (ประเทศไทย), บริษัท ซี.พี.คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด, บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เดอะ โมสท์ บิวตี้ จำกัด และบริษัท ปวีณ์มล จำกัด ปิดท้ายด้วยการแสดงมินิคอนเสิร์ต ศิลปินวงละอองฟองวง PIM RANGER PIM BAND บรรยากาศภายในงานอบอวลไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่น
PIM SMART ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของซีพี ออลล์ ที่มีความมุ่งมั่นในการ “สร้างคน” สนับสนุนนักศึกษาได้ใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียม ได้รับการศึกษาอย่างยั่งยืน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ยกระดับฐานะของครอบครัวและตนเอง พร้อมส่งมอบโอกาสให้นักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกองทุนฯ สนับสนุนช่วยเหลือนักศึกษามาแล้ว 1,280 คน ด้วยทุนการศึกษามูลค่ากว่า 46 ล้านบาท และยังคงเป็นกำลังสำคัญส่งมอบโอกาสให้นักศึกษาก้าวเดิน มีอาชีพ และเป็นบุคคลคุณภาพ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ สังคม และองค์กร
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” หนุนอุตสาหกรรมป้องกันภัยพิบัติเป็นอีกหนึ่งในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ นำร่องการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) จับมือกับภาคเอกชน ผลิตแผ่นป้องกันน้ำท่วมที่ผลิตจากวัสดุคอมโพสิต หรือขยะพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเร่งวิจัย และเตรียมขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ คาดว่าจะสามารถลดความเสียหายจากเหตุอุทกภัยได้กว่า 3.1 พันล้านบาท
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสภาวะโลกร้อนที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นจนเป็นสภาวะโลกเดือดในปัจจุบัน ส่งผลให้ภูมิอากาศทั่วโลกแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรง และต่อเนื่องในพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินกว่า 3.1 พันล้านบาท ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม ในการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันภัยพิบัติเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ นำร่องการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เข้าไปส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถผลิตอุปกรณ์รองรับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยเฉพาะอุปกรณ์ในด้านการป้องกันภัยจากน้ำท่วม ที่เป็นปัญหาสำคัญของไทย และเกิดขึ้นได้เกือบทุกปี ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุอุทกภัย โดยสามารถผลิตได้เองภายในประเทศ ลดการนำเข้าเนื่องจากสินค้ามีราคาสูง รวมทั้งยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย นอกจากนี้ วัสดุที่นำมาใช้มีทั้งที่เป็นนวัตกรรมจากวัสดุคอมโพสิต และวัสดุเหลือใช้ตามแนวคิด BCG ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้าน นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินการวิจัย และพัฒนาวัสดุ รวมทั้งบูรณาการกับหน่วยงานภาคเอกชนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันภัยพิบัติ เพื่อพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม โดยพัฒนาวัสดุกำแพงป้องกันน้ำท่วมผลิตจากนวัตกรรมวัสดุคอมโพสิต หรือเศษขยะพลาสติกเหลือทิ้งนำมาบดขึ้นรูปใหม่ (upcycling Recycle) ตามแนวคิด BCG โดยมีวัสดุทางเลือกจากการวิจัยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องความแข็งแรงทนทาน มีน้ำหนักเบา และมีราคาถูกกว่าการนำเข้า รวมทั้งยังช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก และนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ นอกจากนี้ ยังใช้ระบบ KNOCK DOWN ที่สามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว แม่นยํา และปลอดภัย เหมาะสำหรับติดตั้งบริเวณประตูทางเข้าออกของโครงการ หรืออาคาร ทางลงชั้นจอดรถใต้ดิน หน้าบันไดเลื่อน หน้าลิฟต์ และล้อมเครื่องจักรมูลค่ำสูง เป็นต้น อีกทั้ง จะสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย
นางสาวศิริพร เลิศสัตยสุกใส รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เป็นประธานในพิธีจับรางวัลกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต “ออมสินแจกโชคปีมังกร ฉลอง 111 ปี” เพื่อมอบโชครวม 111 รางวัล ได้แก่ รถยนต์ BYD Dolphin รุ่น Standard Range สี Coral Pink จำนวน 3 รางวัล และทองคำแท่ง น้ำหนัก 2 สลึง จำนวน 108 รางวัล ให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีที่สมัครบัตรเดบิตออมสินใหม่ทุกประเภท (ยกเว้นบัตรเดบิตออมสิน เบสิค) และที่มียอดชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเดบิตออมสินตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นแคมเปญเพื่อขอบคุณลูกค้าและในโอกาสฉลอง 111 ปี ธนาคารออมสิน โดยมี พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ นายปรีชา เบี้ยมุกดา เจ้าพนักงานปกครองระดับชำนาญการพิเศษ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และนางสาวกัญญาณัฐ พงศ์ธเนศภาคิน ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ PPTV HD 36 ร่วมเป็นกรรมการจับรางวัล ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ทั้งนี้ สามารถติดตามการประกาศรายชื่อผู้โชคดีได้ทางเว็บไซต์ www.gsb.or.th ภายใน 15 วันทำการหลังจากจับรางวัล และมอบรางวัลในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567