December 05, 2025

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินกำหนดบทบาท Social Bank ที่สำคัญ ในการสร้างระบบการเงินที่ทุกคนเข้าถึงได้ หรือ Financial Inclusion เพื่อช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางการเงินของสังคมไทย ที่กลุ่มฐานราก มีรายได้น้อย หรือมีรายได้ไม่แน่นอน ยังขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ไม่มีหลักฐานที่มารายได้ ไม่คุ้นเคยกับวิธีการขอสินเชื่อธนาคาร ไม่มีหลักประกัน รวมถึงการที่ธนาคารส่วนใหญ่ขาดแรงจูงใจในการปล่อยกู้แก่ลูกค้ากลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระคืน เป็นต้น

ธนาคารออมสิน จึงขอเชิญชวนผู้ที่ยังไม่เคยมีประวัติกู้เงินกับธนาคารมาก่อน ให้เข้าร่วมโครงการ สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ อาชีพค้าขาย เป็นลูกจ้างโรงงาน บริษัทเอกชน รับจ้างทั่วไป หรืออาชีพอื่น ๆ ที่มีแหล่งรายได้ เพื่อสร้างประวัติเครดิตทางการเงินที่ดีในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้กู้ทำให้ต่อไปขอกู้ได้ง่ายขึ้นเพราะธนาคารเห็นประวัติการเป็นลูกหนี้ที่ดีมีความน่าเชื่อถือ จึงมีโอกาสกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า หรือได้วงเงินกู้มากขึ้นในอนาคต โดยโครงการสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ให้วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 20,000 บาท หากผู้กู้สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ครบภายในเวลา 12 เดือนตามเงื่อนไข ผู้กู้จะได้มีประวัติเครดิตที่ดี และต่อไปสามารถขอวงเงินกู้เพิ่มได้สูงสุดถึง 50,000 บาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ

“สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” ไม่ต้องมีหลักประกันหรือบุคคลค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.60% ต่อเดือน และระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี ปลอดชำระเงินต้น 3 งวดแรก โดยจ่ายเพียงดอกเบี้ย เพื่อให้โอกาสตั้งหลักก่อนเริ่มคืนเงินต้น โดยธนาคารตั้งเป้าหมายสามารถช่วยสร้างประวัติเครดิตให้คนไทยเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้ปีละไม่น้อยกว่า 300,000 ราย

นีเวีย (NIVEA) เดินเกมรุกตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใต้วงแขน เปิดตัว “NIVEA Derma Control” ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นใจในทุกมิติ ด้วยทรีตเมนต์บำรุงผิวในรูปแบบโรลออนและสเปรย์ ที่ผสานพลังการปกป้องระงับกลิ่นกายยาวนาน 72 ชั่วโมงเข้ากับการฟื้นบำรุงผิวใต้วงแขนอย่างล้ำลึก เพื่อการดูแลผิวใต้วงแขนในระดับเดียวกับผิวหน้า ตอบโจทย์ผู้หญิงไทยที่ต้องการผิวใต้วงแขนแข็งแรง ดูกระจ่างใส สุขภาพดี เพื่อความมั่นใจในแบบของตัวเอง

ในยุคที่มาตรฐานความงามขยับขยายจากใบหน้าไปสู่ทุกอณูของร่างกาย “ผิวใต้วงแขน” กลายเป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ผู้หญิงรุ่นใหม่ให้ความใส่ใจมากกว่าที่เคย จากที่เคยมองว่าเป็นเพียงบริเวณที่ต้องการความสะอาดและการระงับกลิ่น ปัจจุบันกลับกลายเป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงความมั่นใจ การดูแลตัวเอง และภาพลักษณ์โดยรวมอย่างแท้จริง ทั้งความเรียบเนียน ความกระจ่างใส และสุขภาพผิว ล้วนส่งผลต่อความรู้สึกมั่นใจในทุกวัน ไม่ต่างจากการดูแลผิวหน้า

ด้วยความเข้าใจในความต้องการของผู้หญิงยุคใหม่ที่มองการดูแลผิวเป็นเรื่องของพลังและความภาคภูมิใจในตัวเอง นีเวียจึงพัฒนา “NIVEA Derma Control” ทรีตเมนต์โรลออนและสเปรย์ บำรุงผิว เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ของการดูแลผิวใต้วงแขน ที่ไม่ใช่แค่ระงับกลิ่น แต่ฟื้นบำรุงผิวอย่างล้ำลึกในระดับเดียวกับครีมบำรุงผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยี DERMA 72h Active Protection ที่ให้การปกป้องยาวนานถึง 72 ชั่วโมง ผสานพลัง Micro Hyaluron และวิตามินสูตรเข้มข้น ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตร์การดูแลผิวหน้า สู่ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ยกระดับประสบการณ์การดูแลผิวให้ลึกซึ้งกว่าที่เคย

กลุ่มผลิตภัณฑ์ NIVEA Derma Control มาพร้อม 3 สูตรเฉพาะทางที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวใต้วงแขนที่แตกต่างกันอย่างตรงจุด ได้แก่ NIVEA Derma Control Bright Repair ที่ช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และรอยหนังไก่ ด้วยส่วนผสมของ 100X Vitamin C พร้อมฟื้นบำรุงให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ NIVEA Derma Control Defend ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระชับจากการถอนขนบ่อยครั้ง ด้วย Vitamin B5 และ Micro Hyaluron ที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูเฟิร์มและเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ภายใน 5 วัน และ NIVEA Derma Control Restore สำหรับผิวแพ้ง่าย ที่ต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยน ด้วย Vitamin E และกลิ่นหอมแบบ Hypoallergenic ปราศจากแอลกอฮอล์ มอบการบำรุงพร้อมลดการระคายเคืองในทุกวัน

การดูแลผิวใต้วงแขนไม่ใช่แค่เรื่องของความงามอีกต่อไป แต่คือการแสดงออกถึงการใส่ใจในตัวเองอย่างลึกซึ้ง NIVEA Derma Control จึงไม่เพียงยกระดับการดูแลผิวใต้วงแขนให้ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ของผู้หญิงยุคนี้ ที่ต้องการการบำรุงผิวให้แข็งแรง ดูกระจ่างใสสุขภาพดี และปกป้องในเวลาเดียวกัน แต่ยังสะท้อนจุดยืนของแบรนด์ที่เชื่อมั่นว่า “ความมั่นใจเริ่มต้นจากผิวที่ได้รับการดูแล” ไม่ว่าจะเป็นจุดที่มองเห็นหรือไม่ก็ตาม เพราะความสวยในแบบของตัวเอง...เปล่งประกายได้ทุกวัน

ผู้สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ร้านวัตสัน บู๊ทส์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงช่องทางออนไลน์ของนีเวียทั้ง Shopee, Lazada และ NIVEA Official Store

เปิดฉากกันไปแล้วกับ “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” ที่ได้ทำการเฟ้นหาผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับไทยเพื่อเข้าอบรมและพัฒนาทักษะการทำธุรกิจผ่านการพัฒนาทักษะเชิงธุรกิจและการตลาดแฟชั่นให้คำปรึกษาเชิงลึก พร้อมสร้างภาพลักษณ์ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) พร้อมดึงอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย สร้างต้นแบบ Hero Brand เพื่อยกระดับสู่แบรนด์ระดับสากลในอนาคตต่อไป

แน่นอนว่าการถ่ายทอดเรื่องราวอัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านอัญมณีและเครื่องประดับนั้นนับว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์อีกหนึ่งสาขาที่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ให้ความสำคัญ และเร่งเครื่องพัฒนามาอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบาย ภายใต้นโยบาย ดีพร้อม คอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสความงดงามของผู้ประกอบการในกลุ่ม Art & Craft Jewelry 

เริ่มต้นที่ “PONK SMITHI - พ้อง สมิทธี” โดย พ้อง พรสมิทธิกุล เล่าถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบเครื่องประดับเงินตาไม้ ว่า “เครื่องประดับของเราใช้เทคนิค Mokume Gane ผสมผสานโลหะเงิน ทองแดง ผ่านการตีขึ้นรูปด้วยฝีมือช่างไทยกว่า 2,000 ครั้ง สร้างลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใครในแต่ละชิ้น”

“การสร้างลาย ‘เงินตาไม้’ คือการเดินทางสู่ความสำเร็จ การเข้าร่วมกิจกรรมกับดีพร้อมจึงเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดแบรนด์สู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านการพัฒนาแบรนด์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย”

“Charites Gems”  โดย ธนาวัฒน์ พนาเชวง ถ่ายทอดแนวคิดการรังสรรค์เครื่องประดับเอาไว้ ว่า “แบรนด์ของเราถ่ายทอดความงามผ่านลวดลายและแรงบันดาลใจระดับโลก เราเชื่อว่าเครื่องประดับไม่ใช่แค่ของสวยงาม แต่ยังเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดจิตวิญญาณ ความปราณีต และศิลปะในแต่ละชิ้น เราเชื่อว่าอัญมณีไม่ใช่เพียงวัตถุแห่งความงาม แต่คือ แหล่งพลังแห่งเรื่องเล่าและอารมณ์ พลอยทุกเม็ดในคอลเลกชันจึงถูกคัดเลือกนอกจากนี้แบรนด์ยังได้ใช้เศษพลอยหรือพลอยตกไซส์เพื่อนำกลับมาสร้างสรรค์ใหม่ด้วยแนวคิด “Refined from the Unrefined” ให้กลายเป็นชิ้นงานที่เปี่ยมความหมายและคุณค่า”

“Nanique” โดย บุษบา อยู่อ่อน เจ้าของแบรนด์ เล่าถึงแนวคิดการทำแบรนด์เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “แนวคิดของแบรนด์คือการมองเห็นความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ เครื่องประดับของเราโดยเฉพาะต่างหู มักจะมีสองข้างไม่เหมือนกัน เพื่อสะท้อนความเป็นธรรมชาติและเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล”

“ความไม่สมบูรณ์แบบ คือนิยามใหม่ของความงาม และกิจกรรมนี้จะช่วยเสริมสร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ่ายทอดแนวคิดผ่านการออกแบบและสื่อสารได้อย่างตรงจุด”

MONVATOO London โดย มลล์วธู สุขสบาย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ MONVATOO London เอาไว้ว่า  แบรนด์เครื่องประดับสัญชาติอังกฤษที่นำศิลปะและจินตนาการมาผสานกับงานฝีมือชั้นสูงอย่างลงตัว แรงบันดาลใจหลักมาจากสัตว์ในตำนานและเทพนิยาย ทำให้ทุกชิ้นงานเต็มไปด้วยเรื่องราวและความหมายเฉพาะตัว เครื่องประดับแต่ละชิ้นผลิตอย่างประณีตในลอนดอน โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น เงินสเตอร์ลิง ทอง 18K และทองเหลือง พร้อมเทคนิคการลงยาทาสีมือและแอร์บรัชที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับผลงาน  

“สินค้าของเราจะเน้นไปที่เครื่องประดับ เช่น แหวน ต่างหู ในคอลเลกชันมังกร (Dragon) การออกแบบได้รับแรงบันดาลมาจากความสวยงามของมังกร รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในตำนาน ที่พร้อมจะทุกคนที่สวมใส่เครื่องประดับของเราก้าวเข้าไปสู่โลกเวทมนต์”

ปิดท้ายที่ “Yufa Jewelry” โดย ฟาทิห์ คะระมาน ระบุว่า Yufa Jewelry แบรนด์เครื่องประดับที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปีในตลาดอาหรับและตลาดมุสลิม ซึ่งมีแนวคิดในการสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เน้นการออกแบบอย่างเข้าใจรสนิยมของผู้บริโภค ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมายและรากฐานทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ความเป็นเอเชีย คือการมีรากวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งการออกแบบเครื่องประดับจึงได้ผสมผสานระหว่างความเป็นท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกัน แบรนด์ของเราใช้ช่างชุมชนจากสุโขทัย และช่างฝีมือชาวอาข่า และเลือกใช้วัสดุเหลือใช้ เช่น โคนเปลือกหอยที่เหลือจากงานมุกในภาคเหนือ มาต่อยอดเป็นชิ้นงานใหม่ชูแนวคิด Sustainability และเพิ่มคุณค่าให้กับงานฝีมือพื้นถิ่นได้อย่างงดงาม”

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2430 6883 กด 2 หรือติดตามความเคลื่อนไหว และข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.diprom.go.th หรือ www.facebook.com/dipromindustry

สภาผู้แทนราษฎรเม็กซิโกได้มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 415 ต่อ 0 ในการแก้ไขกฎหมายทั่วไปว่าด้วยสัตว์ป่า (Ley General de Vida Silvestre) เพื่อห้ามการแสดงโลมา วาฬเพชฌฆาต สิงโตทะเล และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่น รวมถึงการจัดตั้งสวนโลมาแห่งใหม่ในประเทศ

กฎหมายฉบับใหม่นี้ อนุญาตให้กักขังสัตว์เหล่านี้ได้เฉพาะในกรณีที่เป็นสัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือ หรือเพื่อการวิจัยและอนุรักษ์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น โดยต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิงหรือผลกำไร และต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด

กฎหมายที่มีผลบังคับจริงพร้อมบทลงโทษหนัก

ร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเมื่อเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงฉันทามติทางการเมืองที่หายากในประเด็นสวัสดิภาพสัตว์ กฎหมายกำหนดบทลงโทษเป็นค่าปรับตั้งแต่ 200 ถึง 75,000 เท่าของหน่วย UMA (Unidad de Medida y Actualización) ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงสุดกว่า 8 ล้านเปโซเม็กซิโก หรือประมาณ 16.8 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

Virginia Reyes สมาชิกรัฐสภา กล่าวว่า "ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลใดควรถูกบีบบังคับให้เป็นเครื่องมือความบันเทิงอีกต่อไป"

ออสเตรเลียควรเดินตามรอย – จบวงจรธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน

Suzanne Milthorpe หัวหน้าการรณรงค์ขององค์กรพิทักษ์สัตว์โลก ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า "นี่คือความก้าวหน้าครั้งสำคัญเพื่อสัตว์ และออสเตรเลียควรเดินตามรอยเช่นกัน"

องค์กรพิทักษ์สัตว์โลก ได้บันทึกหลักฐานอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของโลมาที่ถูกกักขัง ไม่ว่าจะในเม็กซิโก ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นทั่วโลก

"วันนี้ เราเข้าใกล้ความจริงที่ว่า โลมารุ่นนี้อาจเป็นรุ่นสุดท้ายที่ต้องทนทุกข์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์"ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า การกักขังสัตว์ป่าไม่ใช่รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน โลมาและวาฬเพชฌฆาตมีอายุยืนหลายสิบปี ขณะที่กระแสของสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

เรียกร้องการกำกับดูแลที่เข้มงวด

"เมื่อกฎหมายฉบับใหม่ของเม็กซิโกมีผลบังคับใช้ เราขอเรียกร้องให้ทางการเม็กซิโกกำกับดูแลสวัสดิภาพของโลมาที่ยังคงอยู่ในที่กักขังอย่างจริงจัง เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมของพวกมันตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติได้อย่างแท้จริง" - Suzanne Milthorpe กล่าวเพิ่มเติม

องค์กรพิทักษ์สัตว์โลก เรียกร้องให้รัฐบาลรัฐควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ แสดงความเป็นผู้นำเช่นเดียวกับเม็กซิโก ด้วยการเร่งปฏิรูประบบกฎหมายและยุติการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่แสวงหาผลกำไรจากสัตว์ โดยเฉพาะสถานที่อย่าง Sea World ที่โกลด์โคสต์ และ Coffs Coast Wildlife Sanctuary ที่ยังคงใช้โลมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเพื่อความบันเทิง

การมีส่วนร่วมจากประชาชนและรัฐบาลทั่วโลก

องค์กรพิทักษ์สัตว์โลกขอเรียกร้องให้ประชาชนในออสเตรเลียและทั่วโลกทบทวนบทบาทของตนเองในฐานะผู้บริโภคความบันเทิงจากสัตว์ ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องร่วมกันปฏิเสธรูปแบบความบันเทิงที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของสัตว์ป่า ขณะเดียวกัน องค์กรฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เร่งปฏิรูปกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และยุติการใช้งานสัตว์ป่าในอุตสาหกรรมบันเทิงทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมที่เคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของสิ่งมีชีวิตร่วมโลกอย่างแท้จริง

แนวโน้มการท่องเที่ยวเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน – ไทยควรเป็นผู้นำในเอเชีย

ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ” ต่อทั้งสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีหลายบริษัทท่องเที่ยวระดับนานาชาติที่เริ่มขยับ เช่น Klook และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับนโยบายสวัสดิภาพสัตว์อย่างเป็นรูปธรรมด้วยการยุติการขายบัตรท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการขายโปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวหรือประสบการณ์ที่แสวงประโยชน์จากสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆทั่วโลก

นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “การจัดการนโยบายด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่เอาจริงเอาจังของบริษัทท่องเที่ยวอย่าง Klook และแพลตฟอร์มออนไลน์ท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ช่วยตัดเม็ดเงินที่จะไปสนับสนุนธุรกิจที่ใช้สัตว์ป่าเพื่อสร้างความบันเทิง ซึ่งเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับการฝึกสัตว์อย่างโหดร้ายผิดธรรมชาติ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยควรถือโอกาสเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปกป้องและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวที่เคารพต่อสวัสดิภาพของสัตว์ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยให้สอดคล้องกับกระแสโลก และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนต่อสัตว์ทั่วโลก

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าพลิกโฉมโรงเรียน CONNEXT ED ผ่านโมเดล “ผู้นำสถานศึกษาแห่งอนาคต”  ดึงผู้บริหาร ครู กว่า 50 แห่งจาก 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับ “ผู้นำสถานศึกษา” เรียนรู้ ปรับตัว สร้างการเปลี่ยนแปลง ให้สามารถขับเคลื่อนพัฒนาโรงเรียนไทย สอดรับกับบริบทของโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ เพื่อสร้างคนและบริหารจัดการสถานศึกษาก้าวทันความเปลี่ยนแปลง

 

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดงานสัมมนาและแสดงวิสัยทัศน์เพื่อปลุกพลังผู้นำสถานศึกษา นอกจากนี้ภายในงานได้เปิดโอกาสให้ผู้นำฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทักษะใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรม Workshop และสัมมนาเชิงปฏิบัติการ อาทิ 5 ยุทธศาสตร์การดำเนินงานมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี โดย กรกช นาวานุเคราะห์ เลขานุการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี,  Leadership Transform โดย ธัญพร เอียดตน บริษัท ปัญญธารา จำกัด บริษัทในกลุ่มซีพี ออลล์, Power of Brand: พลังการสร้างแบรนด์ขับเคลื่อนโรงเรียนสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล โดย แอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง TikTok “การตลาดการเตลิด” และ จากแนวคิดสู่หลักสูตร ร่วมสร้างศูนย์การเรียนรู้คุณภาพ โดย ดร.ม.ล.สรสิริ วรวรรณ คณบดีคณะครุศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

 

การจัดสัมมนาครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของซีพี ออลล์ในการร่วม “สร้างคน” ขับเคลื่อนการศึกษาถือเป็นรากฐานของสังคมที่ยั่งยืน โดยร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สถานศึกษา และผู้ประกอบการ สนับสนุนทั้งองค์ความรู้ เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนและการต่อยอดสู่แผนงานเชิงปฏิบัติ จุดเน้นสำคัญของเวทีนี้ไม่ใช่เพียงการให้ความรู้ แต่คือการ “ปลุกพลังผู้นำสถานศึกษา” ให้เข้าใจภาพใหญ่ของการศึกษาไทยในบริบทโลก และกล้าที่จะนำการเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่โรงเรียนอย่างมีทิศทางเพื่อประโยชน์สูงสุดของเยาวชนไทย

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ (ซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคารรับ 3 รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัลธนาคารที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมทางการเงิน รางวัลธนาคารที่มีบริการยอดเยี่ยมด้านบัตรเครดิต และรางวัล K PLUS แอปพลิเคชันทางการเงินขวัญใจผู้เข้าชมงาน ประจำปี 2568 ซึ่งรางวัลดังกล่าวมาจากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้สมัครและขอใช้บริการในงานมหกรรมการเงินประจำปี 2568 ทั่วประเทศ พร้อมด้วยนายฐานันดร โชลิตกุล, CFA (ขวา) Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย เป็นผู้แทนรับมอบรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 ประเภทกองทุนตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศบางส่วน (Fixed Income Fund) ในงาน Money & Banking Awards 2025 จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

ODOS Summer Camp แถลงความคืบหน้า พร้อมชี้แจงกระบวนการคัดเลือกน้อง ๆ นักเรียนเพี่อเข้าร่วมโครงการ โดยเน้นย้ำว่า คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเข้าร่วมโครงการดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรมในทุกขั้นตอนเพื่อกระจายโอกาสให้กับนักเรียนทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้ พร้อมด้วย ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเบื้องต้น ในฐานะคณะทำงานโครงการ ODOS Summer Camp ค่ายแห่งโอกาสภาคฤดูร้อน ร่วมแถลงความคืบหน้าโครงการ และชี้แจงกระบวนการคัดเลือกน้อง ๆ นักเรียนเพื่อเข้าร่วมโครงการ ODOS Summer Camp

 

ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า ดีป้า ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ ODOS Summer Camp เพื่อเปิดโอกาสแห่งโลกอนาคตที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้กับน้อง ๆ นักเรียนจากทั่วประเทศ และมีการแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อบริหารจัดการโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล โดยมี ดร.วาริน เป็นผู้อำนวยการโครงการดังกล่าว

ด้าน ดร.วาริน กล่าวว่า โครงการ ODOS Summer Camp เป็นหลักสูตรระยะสั้น 6 สัปดาห์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) รวมถึงนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) ชั้นปีที่ 1 และนักศึกษาระดับอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) ชั้นปีที่ 1 อายุไม่เกิน 19 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่เปิดรับสมัคร (วันที่ 24 มี.ค. 2568) ที่มีภูมิลำเนาใน 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตและการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ พร้อมยกระดับทักษะดิจิทัลจากเจ้าของเทคโนโลยีที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และค้นหาแรงบันดาลใจเพื่อต่อยอดไปสู่การเลือกสายการเรียนในระดับที่สูงขึ้น รวมไปถึงสายอาชีพในอนาคต โดย ODOS Summer Camp เป็นทุนการศึกษาแบบให้เปล่าแก่ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการรวม 928 ทุน โดยที่รัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ประกันชีวิต ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในอัตราเดียวกันกับนักเรียนทุนรัฐบาล

 

ดร.วาริน กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ODOS Summer Camp ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้น 1,823 คนจาก 748 อำเภอ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เข้าทดสอบทักษะดิจิทัลระดับกลางที่ระบบตรวจสอบสถานะการพิจารณาโครงการ ODOS Summer Camp ได้ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 3 ในวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคมนี้ ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 3 จะต้องยืนยันสิทธิ์จับสลากเลือกหลักสูตร/สถานศึกษาภายในวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568 โดยกรอกแบบฟอร์มยืนยัน พร้อมแนบเอกสารการเดินทาง หากไม่มีการยืนยันสิทธิ์ โครงการจะเรียกตัวแทนที่มีคะแนนสูงที่สุดในลำดับถัดไปของอำเภอเดียวกัน ตามด้วยระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ตามลำดับ ซึ่งการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 3 จะได้รับสิทธิ์จับสลากเลือกหลักสูตร/สถานศึกษา และสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการในวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม แต่หากพบว่า ผู้สมัครในอำเภอเดียวกันมีผลคะแนนการทดสอบทักษะดิจิทัลระดับกลางเท่ากันจะต้องนำคะแนนรอบก่อนหน้ามาร่วมพิจารณา กรณีอำเภอที่ไม่มีผู้ผ่านการคัดเลือก โครงการจะคัดเลือกจากตัวแทนที่มีคะแนนสูงที่สุดในลำดับถัดไปของจังหวัดเดียวกัน ตามด้วยระดับภาค และระดับประเทศ ตามลำดับ ซึ่งการตัดสินของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถือเป็นที่สิ้นสุด โดยกระบวนการดังกล่าวจะทำให้มีตัวแทนครบทั้ง 928 อำเภอ

ในฐานะผู้อำนวยการโครงการขอยืนยันว่า คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเข้าร่วมโครงการดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยทางโครงการจะพิจารณาคุณสมบัติทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนด การเข้าสอบเป็นไปตามเงื่อนไขของกระบวนการสอบคัดเลือก และคะแนนสอบ ก่อนประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก ครั้งที่ 3 ต่อไป ซึ่งการวางแผนและการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนของโครงการ ODOS Summer Camp ยึดมั่นถึงการกระจายโอกาสให้กับน้อง ๆ นักเรียนทั่วประเทศอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมดร.วาริน กล่าว

ชี้ทิศลงทุนครึ่งปีหลังยังผันผวน แนะจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง มองหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป-จีน-อินเดียเป็นโอกาสสำคัญ

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX) ในฐานะผู้พัฒนาและให้บริการระบบการชำระเงิน และการโอนเงินระหว่างธนาคารของประเทศไทย เชื่อมโยงระบบการชำระเงินกับต่างประเทศ ประกาศเปิดให้บริการ Cross-Border QR Payment สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเกาหลีใต้ อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล และรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ระบบ Cross-Border QR Payment หรือที่รู้จักกันในชื่อ “QR Code for Merchant” ช่วยให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินจากนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ผ่านแอปพลิเคชันการเงินของประเทศต้นทางได้ทันที โดยไม่ต้องมีเครื่อง EDC หรือลงทุนติดตั้งระบบเพิ่มเติม ร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ร้านรถเข็น ร้านในตลาดนัดกลางคืน ไปจนถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ จะสามารถเปิดรับลูกค้าชาวเกาหลีใต้ได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

การเชื่อมต่อกับเกาหลีใต้นี้ นับเป็นประเทศลำดับที่ 9 ในกลุ่มผู้ใช้งาน Cross-Border QR Payment ของไทย ต่อจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฮ่องกง และญี่ปุ่น (ขาออก) โดยในเฟสแรกนี้ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้สามารถใช้แอปพลิเคชันการเงินที่รองรับการสแกน QR ไทยในการชำระค่าสินค้าและบริการได้ทันที ขณะที่ร้านค้าจะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีเป็นเงินบาทภายในวันถัดไป พร้อมการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านแอปธนาคารที่เชื่อมต่อกับระบบ

การเปิดให้บริการในครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้แอปฯ การเงินและการชำระเงินแบบไร้เงินสด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและนักท่องเที่ยวอิสระที่นิยมเดินทางด้วยตนเอง และให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและความปลอดภัยในการใช้จ่าย ซึ่งจากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่านักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ ติดอันดับ 5 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2568 และในปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้รวมทั้งสิ้นกว่า 1.87 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศนี้ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยอย่างชัดเจน

การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินกับเกาหลีใต้นี้ เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย, National ITMX และธนาคารพันธมิตรทั้งในไทยและเกาหลีใต้ ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่ สังคมไร้เงินสดที่เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างแท้จริง

 

X

Right Click

No right click