สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หรือ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) โดยคุณปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 2 ร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยมีนายธนภัทร แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือ ว่าที่พันตรีวัชรพล ลักษณลม้าย ผู้อำนวยการศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี และผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารบิ๊กซีเฮ้าส์ สำนักงานใหญ่
นายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพและสมรรถนะสูงให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือกับสถานประกอบการภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตและพัฒนา สนับสนุนแหล่งเรียนรู้ และแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ด้วยศักยภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการองค์กร ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยยกระดับการจัดการอาชีวศึกษาโดยเฉพาะการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี อาชีวะ จับมือกับ บิ๊กซี ในวันนี้ เป็นการจับมือสานต่อความร่วมมือทวิภาคีที่มีมานาน ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับน้อง ๆ เยาวชนอาชีวศึกษาทุกระดับให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญมีรายได้ระหว่างเรียน มีอาชีพ จบแล้วมีงานทำ และเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
นายปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 2 บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พิธีลงนาม ระหว่าง บิ๊กซี กับ สอศ. ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาในการพัฒนาทักษะอาชีพ โดยมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้มีโอกาส ฝึกปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของทางบริษัททั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) และระดับปริญญาตรีเทคโนโลยีบัณฑิต (ทล.บ.) ภายใต้การดูแลของครูฝึกในสถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์และทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพในอนาคต บิ๊กซีได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายระหว่างที่นักศึกษาเข้าฝึกอาชีพ เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ส่วนลดในการซื้อสินค้าราคาพนักงาน,เครื่องแบบพนักงานฟรี, ประกันชีวิตและอุบัติเหตุกลุ่ม, และมอบทุนการศึกษาให้ผู้เรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาอาชีวศึกษาและคุณภาพชีวิตของเยาวชนและครอบครัว จัดให้มีครูฝึกในสถานประกอบการ ตลอดดจนวัสดุอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน และสถานที่ในการฝึกอาชีพที่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ให้การดูแลด้านการจัดการศึกษา พร้อมทั้งร่วมกำหนดวิธีการนิเทศ ติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหา อุปสรรค ในการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกัน และเมื่อจบการศึกษาทางบริษัทยินดีรับนักศึกษาเข้าร่วมงานทันทีหลังจากเรียนจบแล้วเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต”
“ความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนสายอาชีพในครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ในสาขาวิชาค้าปลีก การตลาด และสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการศึกษาอาชีวศึกษาไทย และส่งผลให้นักศึกษามีสมรรถนะอาชีพตรงตามความต้องการของสถานประกอบการและมีอาชีพที่มั่นคง ” นายปฐพงศ์ กล่าวสรุป
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ยกขบวนพาเหรดสมาร์ตโฟนหลากหลายรุ่นยอดนิยมและแท็บเล็ตน่าใช้ อาทิ Magic Series, N Series, X Series และ Pad Series จัดโปรโมชันและมอบสิทธิประโยชน์ พร้อมของแถมสุดพิเศษมากมาย เอาใจลูกค้าในงานมหกรรมมือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ Thailand Mobile Expo 2024 ระหว่างวันที่ 24 - 27 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้า HONOR ในงาน Thailand Mobile Expo 2024 เท่านั้น! รับส่วนลดพิเศษสำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ พร้อมของแถมแบบจัดเต็มและรับข้อเสนอพิเศษ เพื่อให้ทุกคนเป็นเจ้าของมือถือในราคาที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด โดยโปรโมชันที่น่าสนใจที่ห้ามพลาดในงาน อาทิ
พบกับกองทัพสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตหลากหลายรุ่นตัวดังจาก HONOR ในงาน Thailand Mobile Expo 2024 ได้ที่บูธ HONOR (L5) และบริเวณบูธ COM7 เวลา 10.00 – 20.00 น. ระหว่างวันที่ 24 - 27 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG พร้อมโปรโมชั่นน่าสนใจอีกมากมายภายในงาน
สำหรับสมาร์ตโฟน HONOR Magic V3 ยังคงขายดีอย่างต่อเนื่อง กระแสแรงไม่มีตก ล่าสุดพรีออเดอร์รอบที่สองถูกจองเต็มโควต้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ HONOR ขยายเวลาโปรโมชันพรีออเดอร์ออกไปถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เพื่อรองรับความต้องการที่ล้นหลาม ใครที่พลาดยังมีโอกาสเป็นเจ้าของ พร้อมรับสินค้าในรอบที่ 3 ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ (Tourism Promotions Board: TPB) เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการจัดประชุม (Meetings), การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentives), การประชุมนานาชาติ (Conferences) และนิทรรศการ (Exhibitions) หรือ M.I.C.E. โดยเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน Incentive Travel and Conventions, Meetings (IT&CM) Asia ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรม M.I.C.E. ระดับนานาชาติชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ณ กรุงเทพมหานคร
มาเรีย มาร์กาเรตา มอนเตย์มายอร์ โนกราเลส (Maria Margarita Monteymayor Nograles) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ หรือ TPB กล่าวว่า “ทางหน่วยงานมีเป้าหมายที่จะนำเสนอแผนงานและความมุ่งมั่นในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรม M.I.C.E. ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับโลก ภายใต้แนวคิด ‘M.I.C.E Philippines: We Take Your Business to Heart’ เพื่อส่งเสริมและสร้างฟิลิปปินส์ให้เป็นจุดหมายปลายทางชั้นเยี่ยมที่มีชื่อเสียง ทั้งด้านประสบการณ์ระดับโลก สิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และการต้อนรับแบบไร้ที่ติ”
นอกจากการจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันแล้ว ทาง TPB ยังร่วมกับผู้จัดแสดงจากฟิลิปปินส์กว่า 21 ราย จัดการประชุมเจรจาทางธุรกิจ (B2B) กับผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการด้าน M.I.C.E. ทั่วโลก ระหว่างวันที่ 24 ถึง 26 กันยายน 2567 ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่มียอดขายกว่า 1.8 พันล้านเปโซ หรือราว 1 พันล้านบาท
โดยงาน IT&CMA ในปีนี้ นับว่าเป็นการเข้าร่วมของคณะผู้แทนจากฟิลิปปินส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา จึงยิ่งตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของฟิลิปปินส์ในการเป็นจุดหมายปลายทาง M.I.C.E ชั้นนำมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการค้าขายมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งกำลังเตรียมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่มั่นคง พร้อมด้วยแรงงานที่มีทักษะสูงและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี มากไปกว่านั้น ฟิลิปปินส์ยังมีสถานที่จัดงานระดับโลกมากมายที่รองรับกลุ่มคนได้ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในกรุงมะนิลาที่มีศูนย์ประชุมที่สำคัญถึง 8 แห่ง รวมถึง Philippine International Convention Center (PICC) ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมแห่งแรกของเอเชีย ทั้งนี้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายแล้ว ยังช่วยยกระดับประสบการณ์ M.I.C.E. ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยมาตรฐานการบริการอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวฟิลิปปินส์ ผู้เข้าร่วมงานจึงได้สัมผัสถึงความอบอุ่น ความใส่ใจ และการต้อนรับอย่างเป็นมิตรอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างสรรค์มากมายสำหรับช่วงก่อนและหลังการประชุม ทำให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถผสมผสานกิจกรรมทางธุรกิจและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยฟิลิปปินส์มีแหล่งมรดกโลกมากถึง 9 แห่ง เช่น นาขั้นบันไดในเขตกอร์ดีเยรา (Philippine Cordilleras) และเมืองประวัติศาสตร์วีกัน (Vigan) รวมถึงมีให้สัมผัสตั้งแต่ชุมชนเมืองใหญ่เรียงรายไปด้วยห้างสรรพสินค้าทันสมัย ไปจนถึงชายหาดที่เงียบสงบ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์การผจญภัยที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน
คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงอาหารกลางวันในงาน IT&CMA
งาน IT&CMA จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนในอุตสาหกรรม M.I.C.E. ทั้งในภูมิภาคและระดับนานาชาติได้ร่วมกิจกรรมทางธุรกิจ พบปะพูดคุย เรียนรู้ และสร้างเครือข่าย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงสินค้าและบริการ M.I.C.E. ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
งานเลี้ยงฯ ในครั้งนี้ ดำเนินรายการโดย ฟรังโก ลอเรล (Franco Laurel) นักแสดงและนักร้องมากความสามารถชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งการันตีด้วยรางวัลคุณภาพมากมาย โดยมี มาเรีย มาร์กาเรตา มอนเตย์มายอร์ โนกราเลส กล่าวเปิดงานและแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการท่องเที่ยว M.I.C.E. ในฟิลิปปินส์ อีกทั้งผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์ของประเทศ ผ่านอาหารการกิน โดยได้ลิ้มรสอาหารฟิลิปปินส์ดั้งเดิม เช่น Beef Kare Kare ขนม Halo-halo นอกจากนี้ยังได้วงอะคาเปลลาชื่อดังของฟิลิปปินส์อย่าง Astrafellas มาร่วมสร้างสีสันด้วยการแสดงอันทรงพลังในสไตล์ป๊อปร่วมสมัย
โดยสถานที่จัดงานตกแต่งด้วยองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของฟิลิปปินส์ เช่น ผ้าทอจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ฟิลิปปินส์อย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่าประเทศนี้ใส่ใจธุรกิจของคุณอย่างสุดหัวใจ
ซึ่งงานเลี้ยงอาหารกลางวันในงาน IT&CMA ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟิลิปปินส์ในการส่งเสริมประเทศให้เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรม M.I.C.E. นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของฟิลิปปินส์ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลกในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน
SCB WEALTH ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับบลจ.ทิสโก้ ส่งกองทุน TTARGET8M1 โดยมีธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว นำร่องโครงการ No Gain No Pay ที่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมหากกองทุนไม่ถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด TTARGET8M1 เน้นลงทุนตลาดหุ้นไทย ที่จับจังหวะการลงทุนดี หนุนกองทุนถึงเป้าหมายเร็วกว่าคาด ใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือน 13 วัน เท่านั้น จากระยะเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ 8 เดือน SCB WEALTH จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าในแต่ละช่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ด้านการลงทุน พร้อมเพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่งในพอร์ตลงทุนได้ในทุกภาวะตลาด ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของธนาคารที่ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจโดยมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมีภาวะการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าของธนาคาร
นายศรชัย สุเนต์ตา , CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า โครงการ No Gain No Pay แนวคิดใหม่ของการลงทุน ได้เริ่มในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดที่ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง ด้วยการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพมานำเสนอให้กับลูกค้าเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง โดยโครงการ No Gain No Pay จะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ SCB WEALTH จะพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยใช้แนวทาง Open architecture ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราได้คัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1) ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว ระหว่างวันที่ 14 - 28 สิงหาคม 2567 อายุโครงการประมาณ 8 เดือน โดยนับตั้งแต่จดทะเบียนจัดตั้งกองทุนในวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือน 13 วัน มูลค่าหน่วยลงทุน(NAV) ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10.8218 บาทต่อหน่วย ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน หากราคา NAV ไม่ต่ำกว่า 10.82 ติดต่อกัน 3 วันทำการ จะเข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการ
กองทุนTTARGET8M1 มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยช่วงเวลาที่ SCB WEALTH ได้พิจารณาการออกกองทุนร่วมกับบลจ.ทิสโก้ นับเป็นช่วงจังหวะที่ดีของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนการจากลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ที่มีความต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1หมื่นบาทที่จะช่วยภาคการบริโภค และภาคการท่องเที่ยวเข้าสู่ช่วง High Season นอกจากนี้ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย ที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้นจากภาครวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยผ่านกองทุนรวมวายุภักษ์ ส่งผลให้กองทุน TTARGET8M1 ถึงเป้าหมายเร็วกว่าที่กำหนดไว้
นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า SCB WEALTH ยึดมั่นในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละช่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลประโยชน์ด้านการลงทุน สามารถเพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่งในพอร์ตลงทุนได้ในทุกภาวะตลาด และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของธนาคาร ที่ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีภาวะการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ ภายใต้การบริหารของ บลจ.ทิสโก้ ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2567 มีกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ถึงเป้าหมายภายในกำหนดเวลาลงทุน 86 กองทุน ถึงเป้าหมายเกินกำหนดเวลาลงทุน 32 กองทุน ยังไม่ถึงเป้าหมายอยู่ในระยะเวลาที่กำหนด 1 กองทุน และยังไม่ถึงเป้าหมายเกินกำหนดเวลาลงทุน 31 กองทุน รวมทั้งหมด 150 กองทุน
คำเตือน
ตลอดระยะเวลา 20 ปี นับจากวันที่ 18 ตุลาคม 2547 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิด “ห้องสมุดมารวย” เพื่อให้เป็นห้องสมุดเฉพาะทางด้านตลาดทุนครบวงจรของผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไป ภายใต้แนวคิด “ห้องสมุดมีชีวิต” ที่มีการเชื่อมต่อข้อมูลความรู้ในทุกมิติของการเงินการลงทุนพร้อมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ไว้อย่างครบครัน
โดยในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ห้องสมุดมารวยจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี โดยมีศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดงาน และจัดกิจกรรมเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “ชีวิตติดการอ่าน : We are Readaholics” โดยวิทยากรร่วมเสวนาในโอกาสพิเศษนี้ ได้แก่ เฌอปราง อารีย์กุล ผู้จัดการวง BNK 48 และนริศพงศ์ รักวัฒนานนท์ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2566 ดำเนินรายการโดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และห้องสมุดมารวยยังได้จัดมุมหนังสือใหม่ ชื่อ “Sustainability for Life” ที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนอย่างครบครัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงได้ง่ายในที่เดียว
ห้องสมุดมารวยยังได้จัดแสดงนิทรรศการ 20 ปี ห้องสมุดมารวยและนิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดให้เข้าชมและใช้บริการห้องสมุดได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:00-19:00 น. ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก พร้อมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารของห้องสมุดได้ที่ www.maruey.com
เอปสัน ผู้นำโลกในตลาดการพิมพ์เชิงพาณิชย์ เผยผลสำรวจล่าสุดจากรายงาน Road to Sustainable Printing: Exploring Attitudes and Behaviors in Southeast Asia พบว่าความยั่งยืนถูกยกระดับความสำคัญขึ้น และมีผลต่อพฤติกรรมการพิมพ์ในสำนักงานอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามยังมีธุรกิจและบุคคลจำนวนมากที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการพิมพ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่
รายงาน Road to Sustainable Printing: Exploring Attitudes and Behaviors in Southeast Asia เป็นการสำรวจเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรธุรกิจจำนวน 1,500 คน ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เพื่อศึกษาถึงทัศนคติและพฤติกรรมต่อการพิมพ์เพื่อความยั่งยืน ซึ่งเอปสันได้จัดทำขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลสำรวจในปีนี้ตอกย้ำว่า การพิมพ์ยังคงเป็นขั้นตอนการทำงานที่มีความจำเป็นสำหรับสำนักงานในภูมิภาคนี้ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจในการจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงานและผู้ใช้งานมากกว่า 40% ยืนยันว่ามีการใช้กระบวนการพิมพ์เป็นประจำทุกวัน อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบไฮบริดและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สำนักงานต่าง ๆ ต้องการความยืดหยุ่นในการพิมพ์งานเพิ่มมากขึ้น
ความสามารถทางดิจิทัลกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานประจำวันขององค์กรธุรกิจปัจจุบัน มากกว่าจะเป็นแค่ทางเลือกเหมือนในอดีต ซึ่งหลายองค์กรมองว่าการแชร์เอกสารดิจิทัลเป็นขั้นตอนแรกในการก้าวเข้าสู่กระบวนการดิจิทัล (Digitalization) โดยองค์กรในบางอุตสาหกรรมจะมีการปรับตัวช้ากว่า เช่น มีเพียง 39% ขององค์กรในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และ 40% ในธุรกิจการค้าปลีก ที่ยังคงใช้เอกสารในรูปแบบกระดาษ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีความทันสมัยมากกว่า เช่น กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและบริการวิชาชีพ และโฆษณาและการตลาด ที่มี 50% และ 48% ขององค์กรในธุรกิจนี้ที่ได้เริ่มเข้าสู่ Digitalization
ขนาดของธุรกิจก็มีส่วนสำคัญ โดย 41% ของธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 50 คน และ 48% ของธุรกิจขนาดกลางที่มีขนาดไม่เกิน 500 คน ได้เปลี่ยนไปใช้เอกสารแบบดิจิทัล เมื่อเทียบกับ 45% ของธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีจำนวนพนักงานมาก ตั้งแต่ 501 คนขึ้นไป ทำให้มีความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงภายในน้อยกว่า
การสำรวจยังพบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้การพิมพ์ในที่ทำงานมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 44% ต้องการเห็นระบบการพิมพ์ดิจิทัลแบบบูรณาการที่ทันสมัย เช่น โซลูชันการพิมพ์ผ่านเครือข่ายคลาวด์ อีกทั้งราว 4 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามยังมองว่าความกะทัดรัดของเครื่องพิมพ์มีความจำเป็นต่อการพิมพ์งานในสำนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มของธุรกิจที่มุ่งเน้นความมีประสิทธิภาพและความทนทานในพื้นที่จำกัด
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการพิมพ์ ได้แก่ ความสะดวกสบาย (46%) ความคุ้มค่า (44%) และการตื่นตัวในเรื่องการพิมพ์อย่างยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น (41%) ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการหาสมดุลระหว่างการใช้งานได้จริง ความยั่งยืน และความคุ้มค่า ในกระบวนการพิมพ์ในสำนักงาน ทั้งยังต้องสนับสนุนพนักงานให้ก้าวทันตามแนวทางด้านความยั่งยืน
เป็นที่น่าสังเกตว่า องค์กรธุรกิจทั่วภูมิภาคนี้ตระหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงโซลูชันที่ยั่งยืน และพยายามมองหาทางเลือกด้านการพิมพ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติ โดยกว่า 3 ใน 5 หรือ 66% ของผู้ตอบแบบสอบถามได้ระบุว่าความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเครื่องพิมพ์ 74% ของบุคคลและบริษัทมีความตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพิมพ์ในระดับ ‘มาก’ หรือ ‘ปานกลาง’ และ 63% ‘มีแนวโน้ม’ หรือ ‘มีแนวโน้มมาก’ ที่จะยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อโซลูชันการพิมพ์ที่ยั่งยืน
ในภาพรวม ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนกำลังพิจารณาถึงทางเลือกที่มีอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น ในขณะที่ได้นำวิธีการพิมพ์ที่เน้นความยั่งยืนมาปฏิบัติ เช่น การพิมพ์สองหน้า (38%) และการเข้าร่วมโครงการรีไซเคิลกระดาษ (34%)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลสำรวจจะชี้ชัดว่าองค์กรต่าง ๆ จะตระหนักเพิ่มขึ้นและตั้งใจดีเกี่ยวกับการพิมพ์ที่ยั่งยืน แต่ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทางปฏิบัติจริงอยู่
เจสเตอร์ ครูซ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์องค์กร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเอปสัน กล่าวว่า “ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราได้เห็นความสนใจต่อความยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กล่าวว่าความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเครื่องพิมพ์ แต่มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อมาตรการที่ยั่งยืน ทำให้เกิดช่องว่างใหญ่ในเรื่องการปฏิบัติจริง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมก็ยังสามารถเป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจได้เช่นกัน ข่าวดีก็คือความต้องการเช่นนั้นมีอยู่จริง โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามพร้อมจะเปลี่ยนมาใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท แทนที่เครื่องถ่ายเอกสารเลเซอร์อย่างแน่นอน หากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า”
รายงานดังกล่าวพบอีกว่า ยังมีความเข้าใจผิดในหมู่องค์กรธุรกิจทั่วภูมิภาคนี้ โดยหนึ่งในสาม (34%) ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ขณะที่มีเพียง 29% ที่เชื่อว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า และอีก 29% ไม่แน่ใจในเรื่องนี้
เอปสัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ยกเลิกการจำหน่ายเครื่องพิมพ์เลเซอร์ตั้งแต่สิ้นปี 2566 หลังจากการประกาศยุติการจำหน่ายและจัดจำหน่ายเครื่องพิมพ์เลเซอร์ทั่วโลก และจะมุ่งให้ความสำคัญกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเท่านั้น เนื่องจากเทคโนโลยีเลเซอร์ต้องใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ ซึ่งทำให้ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
“ในสำนักงานปัจจุบัน มีเพียงเครื่องปรับอากาศและไฟส่องสว่างเท่านั้นที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าอุปกรณ์สำนักงาน ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องพิมพ์คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมด การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์เลเซอร์มาใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่มีเทคโนโลยี Heat-Free ของเอปสันจะสามารถลดการใช้พลังงานในการพิมพ์ได้มากถึง 85% การใช้พลังงานที่น้อยลงนี้ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีก” เจสเตอร์ ครูซ กล่าว
“ผู้คนให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการลดการใช้พลังงาน แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือการแสดงให้เห็นว่าประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้สามารถแปลงเป็นเม็ดเงินได้อย่างไร เอปสันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่านวัตกรรมสามารถทำให้การดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศเกิดเป็นความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจได้ อนาคตขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ยั่งยืน และมันดูจะมีแนวโน้มที่สดใส ด้วยปรัชญาในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ กะทัดรัด และแม่นยำ เอปสันจะยังคงผลักดันความยั่งยืนให้เป็นแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่สำคัญต่อไป”