

ในยุคที่โลกไร้พรมแดน เครื่องประดับไทยกำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่บนเวทีระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่ของสวยงามที่ดูดีบนตัว แต่คือการเล่าเรื่องราวของความเป็นไทยผ่านการออกแบบที่ผสานความคลาสสิกเข้ากับความร่วมสมัยอย่างลงตัว และแน่นอนว่า “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand” นับว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อน และสร้างอัตลักษณ์ให้แบรนอัญมณีและเครื่องประดับไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ภายใต้ นโยบาย “ดีพร้อม คอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักแบรนด์เครื่องประดับที่ขับเคลื่อนวงการอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย
ศิลปะไทยไม่ใช่แค่อดีต แต่เป็นอนาคต หากคุณคิดว่าเครื่องประดับไทยเป็นเพียงแค่ของเก่าแก่ที่เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษเท่านั้น ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนมุมมองนี้ แบรนด์อย่าง DHANU ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเครื่องทองรัตนโกสินทร์สามารถแปลงโฉมให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยได้อย่างน่าทึ่ง
ธนูเดช เกิดวิเศษสิงห์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ มองว่า "ศิลปะไทยไม่ใช่แค่อดีต แต่เป็นมรดกที่มีชีวิตและเติบโตไปกับอนาคต" การผสมผสานระหว่างเทคนิคดั้งเดิมกับการออกแบบร่วมสมัยทำให้เครื่องทอง เครื่องถม และเครื่องเงินชุบทองลงยากลายเป็นสเตทเมนต์ชิ้นที่ใครๆ ก็อยากครอบครอง

เมื่อเสียงเพลงไทยกลายเป็นเครื่องประดับ
ใครจะคิดว่าเสียงเพลงไทยจะสามารถ "สวมใส่" ได้? Orithai ทำให้ความฝันนี้เป็นจริงผ่านคอลเลกชัน 'คลอสังคีต' ที่ทำให้ดนตรีไทยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา ณัฐสุษมา พงศ์เขมนันท์ อธิบายแนวคิด "Only Original Thai Aesthetic" ว่าไม่ใช่แค่การนำรูปทรงเครื่องดนตรีมาทำเป็นเครื่องประดับ แต่เป็นการถ่ายทอดจิตวิญญาณและความหมายของดนตรีไทยให้ผู้สวมใส่สัมผัสได้อย่างใกล้ชิด นี่คือการยกระดับเครื่องประดับให้เป็นมากกว่าแฟชั่นไอเทม แต่เป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการเชื่อมต่อกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม

ลักซ์ชัวรี่ที่เคลื่อนไหวได้
ในโลกของ Fine Jewelry ShuTa by TUI Jewelry ได้สร้างนิยามใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ "Movement Jewelry" เครื่องประดับที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังมีชีวิตชีวาด้วยการเคลื่อนไหวที่หมุนได้ Thai Luxury Design ของ ShuTa ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความหรูหรา แต่ยังเป็นการบอกเล่าตัวตนผ่านศิลปะแห่งเครื่องประดับ ทำให้ทุกชิ้นงานกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้สวมใส่

จากพระนครศรีอยุธยาสู่ระดับโลก
VANDA'S ที่ก่อตั้งโดย เกรียงศักดิ์ รัตนานนท์ จากเมืองกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำมรดกทางวัฒนธรรมไปสู่ระดับพรีเมียม ทุกชิ้นงานผ่านกระบวนการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง ตั้งแต่ทองคำแท้ เพชรแท้เบลเยียมคัท จนถึงอัญมณีหายาก สิ่งที่ทำให้ VANDA'S โดดเด่นคือการให้ความสำคัญกับเรื่องราวและคุณค่าที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ ไม่ใช่แค่เครื่องประดับแต่คือ มรดกตกทอดที่มีความหมาย

เผยความเป็นตัวตนผ่านแหวนตรา
ในโลกที่ทุกคนต้องการความเป็นเอกลักษณ์ Helios Jewellery ได้ยกระดับแหวน Signet Ring หรือ "แหวนตรา" ที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของชนชั้นสูงในอดีต ให้กลายเป็นเครื่องประดับที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัว การออกแบบที่ปรับแต่งได้ตามใจ (customizable) ทำให้ทุกวงไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย ตราสัญลักษณ์ หรือการประดับด้วยอัญมณี ทำให้แหวนแต่ละวงกลายเป็นการเล่าเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่มีใครเหมือน

ศิลปะดิจิทัลสำหรับเครื่องประดับยุคใหม่
GRAJANG นำเสนอมุมมองใหม่ของเครื่องประดับไทยผ่านเทคนิค Digital Craft ที่ทันสมัย ลายไทย ฉลุไทย และองค์ประกอบทางศิลปดั้งเดิมถูกถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบโมเดิร์นที่ประณีตและแฝงไปด้วยความหมาย นี่คือการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์และต่อยอดศิลปะไทยได้อย่างสร้างสรรค์

เครื่องประดับไทยร่วมสมัยไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ที่ผ่านไปได้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเชื่อมต่อกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมในแบบที่เป็นตัวเอง การสวมใส่เครื่องประดับเหล่านี้ไม่ใช่แค่การแต่งตัว แต่เป็นการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความเป็นไทย การสนับสนุนฝีมือช่างไทย และการเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมสู่อนาคต
ณ บริเวณสวนเทิดพระเกียรติ ริมทางพิเศษเฉลิมมหานคร เลียบทางลงทางด่วน ถนนสุขุมวิท 50 นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเปิดสวนเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา บางจากฯ เติมสุข สู่สังคม

การทางพิเศษฯ เดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ควบคู่ภารกิจหลักด้านการคมนาคม ด้วยการสนับสนุนโครงการ “สวนเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา บางจากฯ เติมสุข สู่สังคม” บริเวณซอยสุขุมวิท 50 เขตคลองเตย โดยมอบพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานครให้กรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียว เปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีแหล่งพักผ่อน ทำกิจกรรม และการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เปิดเผยว่า กทพ. ให้ความสำคัญกับบทบาทในการขับเคลื่อนเมืองให้น่าอยู่ ไม่เพียงแค่แก้ไขปัญหาการจราจร แต่ยังดำเนินงานภายใต้แนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการศึกษา การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการส่งเสริมการใช้พื้นที่ใต้ทางพิเศษเพื่อประโยชน์สาธารณะ

“การทางพิเศษฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาพื้นที่สีเขียวขนาดกว่า 13 ไร่ บริเวณสวนไทรเฉลิมพระเกียรติ ให้เป็นสวนสาธารณะภายใต้ชื่อ ‘สวนเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา บางจากฯ เติมสุข สู่สังคม' ซึ่งจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ส่งเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่คลองเตยและใกล้เคียง” นายสุรเชษฐ์กล่าว

ทั้งนี้ โครงการฯ ดังกล่าว เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง กทพ. กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานเขตคลองเตย บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากศรีราชา จำกัด (มหาชน) โดยทุกภาคส่วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงและยั่งยืน
กทพ. ยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาเมืองควบคู่สิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าใช้ศักยภาพของพื้นที่ในความดูแล เพื่อคืนคุณค่าสู่สังคมและสร้างเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน
ประมงสมุทรสาคร จับมือร่วมกับสำนักงานพัฒนาที่ดิน และซีพีเอฟ เปิดตัว น้ำหมักชีวภาพสูตรปลาหมอคางดำ ตั้งเป้าช่วยลดจำนวนปลาหมอคางดำเดือนละ 6,000 กิโลกรัม พร้อมแบ่งปันสูตรให้วิสาหกิจชุมชน ต่อยอดเป็นสินค้าสร้างรายได้ แบรนด์ Waste, Not Wasted ของเสียที่ไม่เสียของ ช่วยเกษตรกรประหยัดค่าปุ๋ยได้ถึงหมื่นบาทต่อไร่ เกษตรกรย้ำน้ำหมักชีวภาพช่วยให้ฝรั่งลูกโตขึ้น และมีรสหวาน
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สนับสนุนประมงจังหวัดสมุทรสาครในการนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บูรณาการกับ สถานีพัฒนาที่ดินสมุทรสาคร และศูนย์การเรียนรู้ของเสียที่ไม่เสียของ ต่อยอดนำปลาหมอคางดำที่จับได้จากกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” มาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพสูตรปลาหมอคางดำ ที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัด และซีพีเอฟสนับสนุนถังพลาสติกขนาดใหญ่สำหรับหมักปลาได้ 300 กิโลกรัมต่อถัง
เผดิม รอดอินทร์ ประมงสมุทรสาคร กล่าวว่า โครงการน้ำหมักชีวภาพใช้เวลา 1 เดือน จะช่วยให้สมุทรสาครจับปลาหมอคางดำออกจากระบบได้ทุกเดือน เดือนละ 6,000 กิโลกรัมหรือปีละ 72,000 กิโลกรัม เพิ่มมูลค่าเป็นของดีมาแบ่งปันให้พี่น้องเกษตรกรใช้รดบำรุงดินแทนปุ๋ย เตรียมคิกออฟเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ WASTE, NOT WASTED “ของเสียที่ไม่เสียของ” รวมทั้งถ่ายทอดสูตรการหมักให้เกษตรกรนำไปทำใช้เอง เป็นการบูรณาการประชาชนมีส่วนร่วมในการลดประชากรปลาหมอคางดำอีกทางหนึ่ง

ธนัชกฤต กลิ่นหวล ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินสมุทรสาคร ได้แบ่งปันสูตรของน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ มีส่วนประกอบปลาหมอคางดำ 30 กิโลกรัม หมักกับ กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม และ สัปปะรด 10 กิโลกรัม ใส่ สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 จำนวน 1 ซองผสมน้ำเปล่า 10 ลิตร บรรจุในถังหมักนาน 1 เดือนได้น้ำหมักเข้มข้น 30 กิโลกรัม ก่อนใช้ต้องเจือจางกับน้ำก่อนนำมาฉีดพ่นและรดดิน ช่วยบำรุงพืชผลและบำรุงดิน

“สำนักงานพัฒนาที่ดินนำน้ำหมักชีวภาพไปวิเคราะห์ พบว่ามีธาตุอาหารหลักสำหรับพืชทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตชเซียม ( N-P-K) ธาตุอาหารรอง รวมทั้งกรดอะมิโนที่ช่วยการเจริญเติบโตของพืช จากการสอบถามเกษตรกร น้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำช่วยประหยัดค่าปุ๋ยได้ถึง 8,000-10,000 บาทต่อไร่/ต่อปี และผลผลิตสูงขึ้นอีกด้วย” ธนัชกฤต กล่าว
ขวัญชัย อุทัยไป เล่าว่า หลังจากนำน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำไปใช้กับสวนฝรั่ง เดิมฝรั่งให้ผลขนาดเล็ก และหน้าดินแข็งจากการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ต้นไม้ได้รับธาตุอาหารไม่สมบูรณ์ หลังจากใช้น้ำหมักชีวภาพเห็นการเปลี่ยนแปลงว่าดินร่วนฟู ทำให้น้ำไหลผ่านดินได้ดี ผลฝรั่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และยังมีรสชาติหวานอร่อย ผลผลิตดี ช่วยลดต้นทุนจากค่าปุ๋ยได้ 35%

“จากการดำเนินการตามมาตรการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมุทรสาครสามารถกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ล้านกิโลกรัม จากการสำรวจเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การแพร่ระบาดในพื้นที่ลดลงจนอยู่ในระดับปานกลาง พบปลาหมอคางดำ 10 ถึง 100 ตัว ต่อ 100 ตารางเมตร เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของภาครัฐ เอกชนและชุมชนในการดำเนินงานเชิงรุกอย่างจริงจัง ในการควบคุมและลดปริมาณปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ปลายังมีประโยชน์ สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้าช่วยสร้างโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง” เผดิมกล่าวปิดท้าย
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ครบรอบ 10 ปี จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ตั้งเป้าเปลี่ยนพฤติกรรมการออมคนไทย ภายใต้แนวคิด “ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม” เพื่อขยายโอกาสการออมให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม รองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย
ณ สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดงาน“10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ทัณฑสถานหญิงกลาง, ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.), TrueMoney, AIS และ ShopeePay ที่มาร่วมออกบูธ เพื่อให้คำแนะนำด้านการออมและการวางแผนทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างวินัยการออม และเตรียมพร้อมให้คนไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมั่นคง
ทั้งนี้ ดร.เผ่าภูมิ ได้กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยว่า ในยุคที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย ความผันผวนของระบบการเงินของโลกและการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น การสร้างวินัยการออมในระดับครัวเรือนจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว สำหรับการจัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” จึงนับเป็นก้าวใหม่ที่ กอช. ได้นำเสนอ “หวยเกษียณ” ในฐานะนวัตกรรมทางการเงินภายใต้แนวคิด “ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมที่คนไทยมีอยู่แล้ว เพื่อเติมเต็มให้คนไทยได้ออมเงินกันถ้วนหน้าผ่าน “หวยเกษียณ”

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนการออมที่เข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่ง “หวยเกษียณ” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยผลักดันให้สามารถเพิ่มเงินออมของประชาชนทุกคน โดยจะร่วมกันขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือระหว่าง กอช. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งนี้ ปัจจุบันร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ เพื่อให้ กอช. มีหน้าที่และอำนาจในการออกและจำหน่าย “หวยเกษียณ” เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนออมเงิน ผ่านการลุ้นรางวัล และสร้างระบบการออมที่ยั่งยืนรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย
สำหรับ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” เป็น สลากขูดดิจิทัล ราคาฉบับละ 50 บาท เปิดจำหน่ายให้ผู้มีสัญชาติไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อได้สูงสุดเดือนละ 3,000 บาท (60 ฉบับ) ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” โดยออกรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น. ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท (5 รางวัล) รางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท (10,000 รางวัล) ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ทันที โดยเงินซื้อสลากทุกบาทจะถูกสะสมไว้เป็นเงินออม และผู้ซื้อสสลากจะได้รับเงินออม พร้อมผลประโยชน์ เป็นก้อนในครั้งเดียว 4 กรณีดังนี้ 1.อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ 2.อายุมากกว่า 60 ปี จะได้รับเงินคืนทั้งหมด เมื่อครบ 5 ปี นับแต่วันที่ซื้อสลาก และสามารถซื้อต่อไปได้คราวละ 5 ปี 3.ทุพพลภาพ, เสียสัญชาติไทย
และ4.เสียชีวิต คืนเงินให้แก่บุคคลที่ระบุไว้ หรือทายาท
ด้าน นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวถึงบทบาทและผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาว่า กอช. ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกการออมเพื่อสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มประชาชนทั่วไป อายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญจากรัฐ เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ยามชราภาพ กอช. เปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 มีสมาชิกเริ่มต้นเพียง 300,000 คน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กอช. ได้ขยายช่องทางการออมที่สะดวกทันสมัย และสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2565 กอช. ขับเคลื่อน “วาระการออมแห่งชาติ” ผลักดันการปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเพดานการออมจากปีละ 13,200 บาท เป็นสูงสุด 30,000 บาท และเพิ่มเงินสมทบจากรัฐจากไม่เกิน 1,200 บาท เป็น 1,800 บาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนออมได้มากขึ้นและได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นทำให้ปัจจุบัน กอช. มีสมาชิกกว่า 2.7 ล้านคน และมีทรัพย์สินกองทุนรวมกว่า 15,152 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)
“กอช. ยังขยายโครงการสร้างวินัยการออมให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตลอดจนขยายเครือข่ายการออมสู่แรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มเปราะบาง และผู้ต้องขังในโครงการ “สร้างชีวิตใหม่” เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสการออมอย่างแท้จริง และยังได้ขับเคลื่อนงานผ่านกระทรวงมหาดไทย ที่ว่าการอำเภอ และสำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ และยังสร้างตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เรายังได้ขยายช่องทางการรับสมัครและส่งเงินออม ผ่านธนาคารกรุงไทย, ออมสิน, ธอส., ธกส., ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และเคาน์เตอร์เซอร์วิส เดินหน้ายกระดับการให้บริการ เพิ่มช่องทางการออมที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกคน โดยสามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินออมผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” และพันธมิตรดิจิทัลชั้นนำอย่าง ทรูมันนี่, MyAIS และ ShopeePay ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ที่ทุกการออมทำได้แค่ปลายนิ้วสัมผัส”นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว

สำหรับในวาระครบรอบ 10 ปีนี้ นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า กอช. ยังเปิดตัว “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้ “หวยเกษียณ” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการขยายโอกาสการออมให้กับคนไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม กอช. จะเดินหน้ายกระดับบริการต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบการออมที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน สร้างอนาคตที่มั่นคงให้คนไทย
ก้าวข้ามความเสี่ยงของสังคมสูงวัยอย่างมั่นใจ
ขณะที่ ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัยและความมั่นคงทางรายได้หลังเกษียณของประเทศไทยว่า จากข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า รายได้หลังเกษียณที่เพียงพอควรอยู่ที่อย่างน้อย 50–60% ของรายได้ก่อนเกษียณ แต่แรงงานในระบบของไทยมีรายได้หลังเกษียณเฉลี่ยเพียง 41% ขณะที่แรงงานนอกระบบมีรายได้หลังเกษียณต่ำกว่า 5% และมีรายได้ไม่แน่นอน จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ภาครัฐต้องหามาตรการเพิ่มแรงจูงใจในการออม เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ในยามเกษียณให้กับประชาชนทุกกลุ่ม
“การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลต่อโครงสร้างรายได้ รายจ่ายของภาครัฐ และอาจกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการลดลงของสัดส่วนประชากรวัยแรงงานิ ซึ่งเป็นกำลังที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลง ขณะที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการดูแลสวัสดิการด้านบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทั้งเบี้ยยังชีพ เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินสมทบกองทุนการออมเพื่อการเกษียณต่างๆ โดยในปี 2567 ภาครัฐใช้งบประมาณด้านสวัสดิการบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุรวม 500.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2557 ที่ใช้งบประมาณ 253.4 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของงบประมาณ”ดร.วโรทัย กล่าว
ดร.วโรทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ภาครัฐจึงสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออมเงินด้วยตนเองผ่าน “หวยเกษียณ” ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้ หลังเกษียณ และลดภาระงบประมาณของรัฐ โดยโครงการหวยเกษียณ ใช้งบประมาณเงินรางวัลปีละ 780 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มเงินออมเพื่อการเกษียณให้กับประเทศปีละ 13,000 ล้านบาท หรือทุก 1 ล้านบาทที่รัฐใช้เป็นเงินรางวัล จะช่วยเพิ่มเงินออมเพื่อการเกษียณได้ถึง 16.6 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะไม่เพียงแต่อยู่ในบัญชีเงินออม แต่จะถูกนำไปลงทุนต่อในตลาดทุน ทำให้มีเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้มีเงินหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศ นำไปสู่การจ้างงาน และการกระจายรายได้สู่ประชาชน สุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่ประชาชนได้ประโยชน์จากเงินออมของตัวเอง แต่ประเทศก็จะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน
ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นทางเลือกการออมที่ยืดหยุ่นเหมาะสำหรับคนไทยที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า แรงงานนอกระบบ นักเรียน นักศึกษาที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เริ่มออมได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐสูงสุดถึง 100% ตามช่วงอายุ ดังนี้
ทั้งนี้ ผู้ที่ออมเงินกับ กอช. ยังมีโอกาสได้รับเงินบำนาญรายเดือนตลอดชีพ เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และรัฐค้ำประกันผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร เงินออมยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30,000 บาทต่อปี โดยที่ผู้สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิ สมัครสมาชิก และส่งเงินออมได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช”, เป๋าตัง, ทรูมันนี่, KPLUS, ShopeePay และช่องทางอื่นๆ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กอช. 02-049-9000 ได้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.30 น.
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) จัดพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ และอธิการบดี อย่างสมพระเกียรติและยิ่งใหญ่ ณ หอประชุมราชมงคล มทร.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568
พิธีเริ่มต้นเมื่อเวลา 16.00 น. โดยพิธีกรกล่าวต้อนรับและนำเข้าสู่พิธีการอย่างเป็นทางการ เริ่มด้วยการเชิญประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งบุคคลสำคัญในตำแหน่งต่าง ๆ ขึ้นวางบนพาน ณ โต๊ะหมู่บูชา หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัชติพงศ์ อูทอง รองอธิการบดี เป็นผู้เชิญประกาศแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย ตามด้วยบุคลากรเชิญประกาศแต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 14 ราย และ ดร.สุทิศา จันทรบุตร รองอธิการบดี เชิญประกาศแต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยฯ

ในลำดับพิธีสำคัญ พิธีกรได้เชิญ พลเอก ธงชัย เกื้อสกุล นายกสภามหาวิทยาลัย ขึ้นรับพระบรมราชโองการแต่งตั้ง โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี ปฏิบัติหน้าที่อาลักษณ์ อ่านประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องแต่งตั้งนายกสภาฯ จากนั้น พลเอก ธงชัย เกื้อสกุล ได้ถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เปิดกรวยกระทงดอกไม้ และรับพระบรมราชโองการฯ
ต่อมา ศาสตราจารย์ ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ ได้อ่านประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และพิธีกรได้เชิญกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 14 ราย เข้ารับพระบรมราชโองการฯ

ในส่วนของอธิการบดี ศาสตราจารย์ ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี ได้อ่านประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และพิธีกรได้เชิญ รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เข้ารับพระบรมราชโองการฯ
ช่วงท้ายของพิธี พลเอก ธงชัย เกื้อสกุล ในนามนายกสภามหาวิทยาลัย ได้นำกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ และอธิการบดี ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างสง่างาม จากนั้น นายกสภามหาวิทยาลัย ผู้แทนกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ และอธิการบดี ได้กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมพิธีอย่างเป็นทางการ ก่อนเสร็จสิ้นพิธีในเวลา 17.00 น.

ภายหลังพิธี แขกผู้มีเกียรติ ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงาน คณาจารย์ และผู้แทนนักศึกษา ร่วมแสดงความยินดีและถ่ายภาพหมู่ร่วมกันในบรรยากาศแห่งความปลื้มปีติและความภาคภูมิใจของชาว มทร.ธัญบุรี ในก้าวย่างสู่การบริหารมหาวิทยาลัยภายใต้ยุคสมัยใหม่ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการศึกษาและสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างยั่งยืน.
นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรและโล่รางวัล กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์ สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ นางสาวนันท์ บุญยฉัตร ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ (DIPROM) ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ Main Stage Hall 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในการสนับสนุนพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศไทย ผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยด้วย 6 กลไกที่สำคัญ คือ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytic) 2) การเทคโนโลยี ดิจิทัล นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ (Technology /Digital /Innovation /Creative) 3) การสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Funding) 4) การเชื่อมสิทธิประโยชน์ (Privilege) 5) การเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตร (Networking) และ 6) การผลักดันธุรกิจสู่สากล (Connect to the world) เพื่อให้วิสาหกิจไทยในระบบการพัฒนา สามารถ “สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างเครือข่าย” เพิ่มศักยภาพวิสาหกิจไทยให้เติบโต และแข่งขันได้อย่างมั่นคง

กิจกรรม Fashion Hero Brand: Jewelry Edition 2025 เป็นกิจกรรมย่อยภายใต้ “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” หรือ “Hero Brand Jewelry” ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ Hero Brand ในกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แสดงพลังความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาแบรนด์ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ไทย ผ่านการออกแบบ กลยุทธ์และแนวคิดธุรกิจ ตลอดจนผลักดัน Soft Power ไทยให้เปล่งประกายสู่เวทีแฟชั่นโลก

นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรม Fashion Hero Brand: Jewelry Edition 2025 เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แสดงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนความเป็นไทยอย่างมีสไตล์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยกิจกรรมการประกวดครั้งนี้ มีรางวัลทั้งสิ้น 5 รางวัล โดยมีกิจการที่ได้รับรางวัล ได้แก่

บริษัท แทร่าจิวเวลรี่ จำกัด : แบรนด์ แทร่า จิวเวลรี่ โดย ผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 1–3 จะได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในระดับนานาชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน ทั้งนี้ ดีพร้อมเล็งเห็นว่ากิจกรรมนี้เป็นเวทีสำคัญระดับโลกด้านแฟชั่น เป็นการสร้างโอกาสอันดีให้แก่ผู้ประกอบการให้สามารถขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่เวทีโลก และเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คาดว่ากิจกรรม Hero Brand Jewelry จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ผ่านการเพิ่มมูลค่าสินค้า การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างแบรนด์ไทยกับกลุ่มนักลงทุนและผู้ซื้อจากทั่วทุกมุมโลกนางดวงดาว ขาวเจริญ กล่าวทิ้งท้าย
วัตสัน ประเทศไทย ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย ประกาศความสำเร็จครั้งใหม่ด้วยการคว้ารางวัลใหญ่จากเวที “Marketeer No.1 Brand Thailand 2025” ในสาขาร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงาม (Beauty Store) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ตอกย้ำการเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสุขภาพและความงามที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศ ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
โดยรางวัลอันทรงเกียรตินี้ จัดต่อเนื่องมานานกว่า 14 ปี เกิดจากผลสำรวจพฤติกรรม ทัศนคติ และความชื่นชอบในแบรนด์สินค้าของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศกว่า 6,000 ตัวอย่าง จัดโดยนิตยสาร Marketeer และทีมวิจัยการตลาดชั้นนำ ครอบคลุมหมวดสินค้าและบริการกว่า 115 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อค้นหาแบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคนึกถึงและพิจารณาเลือกซื้อมากที่สุดในปี 2025

นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ขอบคุณทางนิตยสาร Marketeer ที่จัดทำผลสำรวจนี้ขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เราพัฒนาแบรนด์วัตสันให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ ปี และขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่โหวตให้เราเป็น ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งในใจของทุกคน’ โดยตลอด 29 ปีที่ผ่านมา วัตสันให้ความสำคัญกับลูกค้ามาเป็นอันดับแรก และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าความคาดหวังของลูกค้าอยู่เสมอ (Exceed Customer Expectation) ซึ่งความสำเร็จในวันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดพนักงานวัตสันทั้งหลังบ้านและหน้าร้านสาขากว่า 6,000 คน ที่พร้อมให้บริการทุกท่านแบบเหนือระดับ เพื่อมุ่งสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคน ทั้งในวันนี้และในอนาคต”

ซึ่งความสำเร็จจากการคว้ารางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand” สองปีติดต่อกัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่น การยอมรับ และความไว้วางใจที่ผู้บริโภคชาวไทยมีต่อวัตสันอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามที่มุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ผ่านสินค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการ, โปรแกรมสมาชิก Watsons Club ที่มอบสิทธิพิเศษมากมาย และการส่งมอบประสบการณ์ชอบปิงแบบไร้รอยต่อที่เชื่อมโยง ทั้งหน้าร้านที่ครอบคลุมกว่า 750 สาขาใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ และแพลตฟอร์มวัตสันออนไลน์อย่างลงตัว

ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง วัตสันยังคงยืนหยัดเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจสูงสุด พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในทุกช่องทาง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคทุกช่วงวัยในหลายมิติ และสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนในทุกครั้งที่ชอปปิงที่วัตสัน