

Crimson Education ตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกด้านการให้คำปรึกษาและเตรียมความพร้อมเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ด้วยสถิติความสำเร็จที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน โดยนักเรียนของ Crimson มีโอกาสได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเป้าหมายสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 4.5 เท่า และมากกว่า 98% ของนักเรียนได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัย 5 อันดับแรกที่เลือกไว้
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือทีมที่ปรึกษาระดับโลกของ Crimson ซึ่งล้วนเป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, Stanford, Oxford, Cambridge และสถาบันในเครือ Ivy League จากหลากหลายประเทศ รวมถึงทีม อดีตเจ้าหน้าที่รับสมัครจากมหาวิทยาลัย (Former Admissions Officers - FAOs) ที่เคยมีบทบาทจริงในการพิจารณาใบสมัครในมหาวิทยาลัยระดับโลก
คุณ Benito Nishizawa Rodríguez หนึ่งในทีมงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับสมัคร (FAO) จาก Harvard University ปัจจุบันเป็นผู้สัมภาษณ์การรับสมัครของ Harvard ผู้มีประสบการณ์ด้านการให้คำปรึกษาการเข้ามหาวิทยาลัยกว่า 17 ปี ได้ถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกในงานสัมมนา Research & Work Experience: Essential Components for Gaining Admission to Ivy League and Elite Universities ว่าในยุคปัจจุบัน ความสำเร็จไม่ได้วัดจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรู้จักตัวเอง มีเป้าหมายชัดเจน และรู้วิธีนำเสนอจุดเด่นของตัวเองให้โดดเด่นและเข้าถึงใจผู้อ่านได้" นี่คือแนวคิดสำคัญที่ Crimson ใช้ในการสนับสนุนนักเรียนไทยอย่างเป็นระบบ นักเรียนภายใต้การดูแลของคุณ Benito ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, MIT, Stanford, Princeton, Yale, UC Berkeley และ University of Chicago
มหาวิทยาลัยระดับ Ivy League ต่างมองหานักเรียนที่มีความเข้าใจในตนเอง มีเป้าหมายชัดเจน และสามารถแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นเฉพาะตัวหรือ "X-Factor" ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชน ผู้ริเริ่มโครงการ หรือผู้ที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในยุคนี้ มหาวิทยาลัยชั้นนำต้องการสร้าง "ชุมชนนักศึกษา" ที่หลากหลายทางความคิด ความสนใจ และศักยภาพทางสติปัญญา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแรงบันดาลใจร่วมกันในรั้วมหาวิทยาลัย ฉะนั้น "เด็กไทยไม่ควรกลัวที่จะฝันใหญ่" คุณ Benito กล่าว พร้อมแนะให้นักเรียนไทยกล้าเล่าเรื่องราวที่แสดงความมุ่งมั่น ความผูกพันกับครอบครัวหรือชุมชน และคุณค่าที่ยึดมั่น นอกจากนี้ นักเรียนไทยยังสามารถเป็น “ทูตวัฒนธรรม” แสดงเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทยบนเวทีโลกได้

Crimson มีทีมช่วยดึงศักยภาพนักเรียนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะกิจกรรมนอกหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหา ด้วยหลักสูตรที่เสริมทักษะและผลักดันนักเรียนให้ก้าวข้ามขีดจำกัด เพิ่มความโดดเด่นให้ใบสมัครและโปรไฟล์ อาทิ
หนึ่งในบทบาทสำคัญของ FAO ในทีม Crimson คือการช่วยตรวจสอบและให้คำแนะนำในใบสมัครจริง โดยเฉพาะเรียงความส่วนตัว (Essay) รวมถึงกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน และแนะแนวทางให้นักเรียนเล่าเรื่องตัวเองได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เจ้าหน้าที่รับสมัครต้องหยุดอ่าน และอยากรู้จักตัวตนของผู้สมัคร ด้วยประสบการณ์ตรงของคุณ Benito จากการที่มีส่วนในการช่วยคัดเลือกนักเรียนเข้า Harvard จึงเข้าใจสิ่งที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหา และช่วยกลั่นกรองเรื่องราวของนักเรียนให้ออกมาเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดโดยยังคงเป็นตัวตนของนักเรียนเอง
เพื่อยกระดับการสนับสนุนนักเรียนให้ไปถึงเป้าหมาย Crimson ได้พัฒนาบริการ “FAO Review & Mentoring Service” บริการนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนและผู้ปกครองได้ปรึกษาตรงกับอดีตเจ้าหน้าที่รับสมัครจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ผู้ซึ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามหาวิทยาลัยมองหาอะไรในใบสมัคร ทีมงานจะช่วยวิเคราะห์โปรไฟล์ของนักเรียนอย่างละเอียด ให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลเพื่อเสริมสร้างจุดแข็ง และเติมเต็มในส่วนที่ยังขาด เพื่อเพิ่มความมั่นใจและโอกาสในการได้รับการตอบรับจากสถาบันการศึกษาในฝัน บริการ FAO Review นี้จึงนับเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ Crimson ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการวางกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกได้อย่างแท้จริง

คุณภานุวัฒน์ เหลืองรัชนี ผู้อำนวยการ คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น ประเทศไทย (Crimson Education Thailand) เสริมว่า Crimson ประสบความสำเร็จจากการวางระบบที่เน้นความเชี่ยวชาญ โครงสร้างที่ชัดเจน และกลยุทธ์ระยะยาว "สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือ การเชื่อมโยงทั่วโลก การวางแผนเฉพาะรายบุคคล รวมถึงการดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิดจากทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก" ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการพานักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 4.5 เท่า การคัดสรรทีมงานที่มีศักยภาพ รวมถึงผู้ดูแลด้านกิจกรรมนอกหลักสูตร (ECL Mentors) ที่ช่วยให้นักเรียนออกแบบโครงการต่างๆ ได้อย่างจริงจัง เช่น สตาร์ทอัพ หรือโปรเจกต์ทางสังคม ล้วนมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชนไทยอย่างมาก และคุณ Benito ถือเป็นอีกตัวอย่างของความเชี่ยวชาญเชิงลึกที่เชื่อมโยงความรู้ระดับโลกเข้ากับบริบทของเด็กไทยได้อย่างลงตัว
จากสถิติของ Crimson ยังชี้ให้เห็นว่า การเตรียมความพร้อมให้บุตรหลานตั้งแต่เนิ่นๆ หรือใช้เวลาในการเตรียมตัวมากกว่า 4 ปีขึ้นไป สามารถเพิ่มโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 9 เท่า คุณ Claire Hao หัวหน้าทีมที่ปรึกษา Crimson Rise ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นศิษย์เก่า Cambridge, Harvard และ Oxford ได้ตอกย้ำความสำคัญนี้ในงานสัมมนา Nurturing The Activities That Get Your Pre-Teen Into Top US/UK Universities พร้อมกล่าวถึง “Crimson Rise” ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับพัฒนาศักยภาพสำหรับนักเรียนระดับมัธยมต้น อายุระหว่าง 11–14 ปี ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อวางรากฐานการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ สำหรับการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เช่น Harvard, Oxford, Stanford และ มหาลัยในเครือ Ivy league

โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้าง 3 ทักษะสำคัญ ที่สถาบันการศึกษาชั้นนำให้ความสำคัญในการคัดเลือกผู้สมัคร ได้แก่:

คุณ Claire Hao ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า "การเริ่มต้นทำโปรเจกต์ตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น จะเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างรอบด้าน โปรแกรม Crimson Rise จะช่วยเปิดโอกาสและมุมมองให้พวกเขาได้สำรวจตัวตนและค้นพบสิ่งที่ตนเองรักและถนัดอย่างแท้จริง และเมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย ไอเดียและโครงการเหล่านั้นจะถูกนำไปต่อยอดให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งมีระยะเวลาเตรียมตัวที่เหมาะสมเท่าไหร่ โปรเจกต์ก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบและโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มโอกาสเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำที่ใฝ่ฝัน" เนื่องด้วย Crimson Rise ถูกพัฒนาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยระดับโลก มีการดูแลแบบตัวต่อตัว จึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ วางเป้าหมายระยะยาว และเตรียมนักเรียนให้พร้อมก้าวสู่การแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยปูทางสู่ความสำเร็จระดับโลกตั้งแต่วัยเยาว์

“Crimson ไม่ได้เพียงแค่พานักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นสร้างผู้นำไทยรุ่นใหม่สู่เวทีโลก ด้วยการผนึกกำลังกับครอบครัว โรงเรียน และผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับโลก เพื่อมอบการสนับสนุนแบบองค์รวมตลอดเส้นทาง เป้าหมายของเราคือการเสริมสร้างศักยภาพผู้นำไทยรุ่นใหม่ให้มีกรอบความคิด การเปิดรับสู่สากล และทักษะพร้อมสำหรับการเติบโตในทุกที่ทั่วโลก" คุณภานุวัฒน์ กล่าวปิดท้าย
ค่ำคืนแห่งความหรูหรา BeLuThai Gala 2025 ภายใต้ธีม The White Lotus: Expect the Unexpected ที่จัดขึ้น ณ Grand Ballroom โรงแรม Conrad Bangkok ได้รับการยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยนิทรรศการสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก Royal Botania แบรนด์เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งระดับไฮเอนด์จากประเทศเบลเยียม โดยร่วมมือกับ SDesigns ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยถ่ายทอดแนวคิด “Indulge in Finesse : สัมผัสความละเมียดละไมที่เหนือระดับ” ผ่านผลงานเฟอร์นิเจอร์และศิลปะร่วมสมัย

นิทรรศการ BeLuThai Gala 2025 จัดแสดงภายใน Grand Ballroom โรงแรม Conrad Bangkok พื้นที่ที่ได้รับการเนรมิตให้กลายเป็นแกลเลอรี่ร่วมสมัยระดับสากล นำเสนอเฟอร์นิเจอร์ไอคอนอย่าง Carés, Archy และ Exes ซึ่งได้รับการจัดวางเคียงข้างผลงานศิลปะ จากศิลปินระดับนานาชาติ ได้แก่

การรังสรรค์ความหรูหรา สง่างามของนิทรรศการในครั้งนี้ ถูกเนรมิตขึ้นโดย ฟรานซิส แวนเบลแลน (Francis Vanbellen) SDesigns CEO,Thailand Representative of Royal Botania สวัสดิพงศ์ บวรวาณิชยกูร แวนเบลแลน CXO-Chief Experience Officer, ธิดารัตน์ กลิ่นขจร กรรมการผู้จัดการ SDesigns ที่ได้ร่วมกันสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงการออกแบบ ศิลปะ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้อย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ Royal Botania ไม่ได้จัดแสดงเพียงความสวยงามเท่านั้น แต่ยังต้องการสร้างพื้นที่แห่งความหมาย ผสมผสานศิลปะแห่งการใช้ชีวิต และความหรูหราโดยการเชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืน

ภายในงานเปิดนิทรรศการ "BeLuThai Gala 2025" ได้รับเกียรติจากแขกผู้ทรงเกียรติจากหลากหลายวงการ อาทิ H.E. Mr. Patrick Hemmer เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์ก, Ms. Sara Gasquard Chargée d’affaires แห่งสถานเอกอัครราชทูตเบลเยียม, สนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย ,ศิริพร วุฒิเลาหพันธ์ ประธานหอการค้าเบลเยียม-ลักเซมเบิร์ก-ไทย (BeLuThai) ,สรุดา เนตรสว่าง Executive Director, BeLuThai รวมทั้งบุคคลมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็น รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ (คุณหรีด), อานันท์ อมรรัตนเวช จาก Euro Creations และ พัศญา จิรมณีกุล จาก Delvaux Thailand

สำหรับนิทรรศการจาก Royal Botania ในค่ำคืนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง แต่เป็นบทสนทนาเชิงศิลป์ระหว่าง “การออกแบบ ศิลปะ และการทูต” ที่สะท้อนความหรูหราแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Opulence) อย่างลึกซึ้งพร้อมมอบประสบการณ์ “Indulge in Finesse” ให้ทุกท่านได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดภายใต้บรรยากาศอันเหนือระดับใจกลางกรุงเทพมหานคร
ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ชวนผู้บริหาร พนักงาน และตัวแทนประกันชีวิต ร่วมผนึกพลังบริจาคโลหิตเนื่องในโอกาสวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ประจำปี 2568 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และกองทุนประกันชีวิต

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ได้กล่าวว่า “ที่ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต พนักงานและตัวแทนฯของเรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยให้ครอบคลุมครบทุกมิติ การบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสังคมที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน และกระตุ้นให้คนไทยมีส่วนร่วมในการบริจาคโลหิตมากขึ้น”
กรุงเทพมหานครถูกจับจ้องจากสายตาทั่วโลก เมื่อ The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI2025) เปิดฉากเวทีระดมสมองครั้งประวัติศาสตร์ จุดประกายคำถามสำคัญที่สะท้อนความกังวลของคนทั้งโลก: “เมื่อ AI ก้าวไวกว่ากฎ แล้วจริยธรรมที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน? และใครจะเป็นผู้กำกับทิศทาง?”…นี่ไม่ใช่แค่เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนโยบาย แต่คือการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้นำระดับรัฐมนตรี ผู้แทนประเทศ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจาก 88 ประเทศ ที่มาร่วมกันหาทางออกเพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมสุดล้ำกับความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ และบทความนี้จะพาไปเจาะลึกเทรนด์ AI บนเวทีโลก พร้อมบทสรุปแห่งความสำเร็จที่ผู้นำทั่วโลกและประเทศไทยต่างร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นที่เวที GFEAI 2025
ในห้องประชุมใหญ่ที่แน่นขนัด ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากผู้แทนจากทั่วโลกที่ว่า การพัฒนา AI ต้องไม่ใช่เพียงเพราะทำได้ แต่ต้องตอบได้ว่า AI จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มจริงหรือไม่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ ได้แสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน เมื่อนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ประกาศชัด ไทยจะเป็นผู้นำและศูนย์กลางด้านจริยธรรม AI ด้วยยุทธศาสตร์ชาติด้าน AI ภายใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee: NAIC) ที่รัฐบาลได้ตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI และเร่งรัดการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ที่ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทพร้อมลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับศักยภาพทั้งคนและระบบนิเวศ ให้ AI เป็นพลังพัฒนา สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ทุกคน บนเวทีเดียวกัน นางออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ย้ำ ข้อเสนอแนะของยูเนสโกว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ที่ 193 ประเทศได้เห็นชอบร่วมกันจะกลายเป็นนโยบายระดับชาติที่เป็นกุญแจสำคัญให้ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนามีแนวทางกำกับ AI อย่างเป็นรูปธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ในการเริ่มเดินหน้าจัดตั้ง AI Governance Practice Center หรือ AIGPC เพื่อเป็นศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ระดับภูมิภาค (Category 2 Centre) ภายใต้ยูเนสโก ที่จะร่วมผลักดันข้อเสนอแนะจริยธรรม AI สู่การปฏิบัติ ยกระดับประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกให้ใช้ AI อย่างมีจริยธรรม รับมือภัยคุกคาม เช่น ข้อมูลบิดเบือน พร้อมเป็นศูนย์องค์ความรู้ อบรม และมาตรฐาน AI ทั้งยังเร่งเครื่องพัฒนา AI อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านเกษตร การแพทย์ การศึกษา และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยมียูเนสโกสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยี พร้อมเร่งพัฒนาทักษะคนไทย ดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และบรรจุการเรียนการสอนด้าน AI ในสถานศึกษา เพื่อให้ AI เป็นพลังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
เริ่มที่ นโยบาย จริยธรรม และการกำกับดูแล ที่ครั้งนี้เราได้เห็นภาพการรวมพลังของนานาประเทศและองค์กร ที่แม้จะมีความแตกต่างกัน ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและทรัพยากร แต่กลับมีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้าง AI ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลายประเทศตื่นตัวและยอมรับว่าคำถามสำคัญในวันนี้ไม่ใช่แค่ ‘มี AI หรือไม่’ แต่คือ ‘พร้อมแค่ไหนที่จะใช้ AI อย่างมีจริยธรรม’

ประเทศสมาชิก UNESCO หลายๆ ประเทศรวมถึงไทย เริ่มใช้กรอบประเมินความพร้อม UNESCO RAM เป็นเข็มทิศวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนและต่อยอดสู่การวางนโยบาย AI แล้ว ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง เนเธอร์แลนด์ ยอมรับว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่การมีส่วนร่วมของประชาชนและการเชื่อมโยงหน่วยงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทาย โอกาสนี้ UNESCO จึงเปิดตัว Global Network of AI Supervising Authorities ร่วมกับ European Commission และ Dutch Authority for Digital Infrastructure เพื่อสร้างเครือข่ายพัฒนานโยบายและการกำกับดูแล AI ที่สอดคล้องมาตรฐานสากล ให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกคน พร้อมกันนี้ยังเสนอแนวทางร่วมกันว่า นโยบาย AI ที่ดีควรมี 3 จุดสำคัญ คือ ต้องยืดหยุ่นปรับตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ออกแบบโดยรับฟังเสียงทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะเด็ก ผู้พิการ และกลุ่มชายขอบที่มักถูกมองข้าม และต้องมีกลไกติดตาม-ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่โลกกำลังขับเคลื่อน “วัฒนธรรม AI ที่รับผิดชอบ” ด้วยความเชื่อว่า AI ไม่สามารถพัฒนาแบบ “Move Fast and Break Things” อีกต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็น “Move Fast and Save Things” ด้วยการวางหลักจริยธรรมไว้ตั้งแต่เริ่มและจริยธรรมต้องฝังอยู่ในกระบวนการออกแบบ พัฒนา AI ตั้งแต่ต้น

บริษัทยักษ์ใหญ่ฝั่งผู้ผลิตในภาคเอกชน อย่าง Microsoft, SAP, Infosys, LG และ Universal Music Group เห็นตรงกันว่า “Human-in-the-loop” คือหัวใจของ AI ทุกระบบ เพราะการตัดสินใจที่สำคัญต้องอยู่ในมือมนุษย์ ทั้งยังเดินหน้าจัดการอคติในข้อมูล ฝึกพนักงานให้เข้าใจผลกระทบของ AI ต่อบทบาทงาน และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมเสนอให้มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ สำหรับบริษัทที่พัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อให้การทำดีไม่ใช่แค่ความถูกต้องแต่ยังคุ้มในเชิงธุรกิจ
แม้หลายประเทศยังไม่มีกรอบกฎหมาย AI ที่ชัดเจน แต่หลายฝ่ายมองว่า จำเป็นยิ่งที่ต้องเสริมด้วยกฎหมายคุ้มครองข้อมูล ความมั่นคงไซเบอร์ และกฎระเบียบ AI ที่ครอบคลุมสิทธิ ความปลอดภัย ความยุติธรรมที่สอดคล้องหลักจริยธรรม ทั้งยังกล่าวถึง AI Sandbox เครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้สร้างเทคโนโลยีกับผู้กำกับดูแล ที่ไม่ใช่แค่สนามทดสอบนวัตกรรม แต่คือพื้นที่ที่เปลี่ยนการควบคุมเป็นการเรียนรู้ร่วมกันภายใต้กติกาใหม่ที่ตอบโจทย์
ขยับมาที่ ด้านสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึง (Human Rights and Inclusion) โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ‘เด็กกับ AI’ ผู้เชี่ยวชาญจาก UNICEF และหลายประเทศเห็นตรงกันว่า เด็กกำลังเป็นเหยื่อเงียบของ AI ที่เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ยังไม่เกิด พ่อแม่ใช้ AI เช็กสุขภาพครรภ์ จนถึงลืมตาดูโลก เด็กเล็กดูคลิปจากอัลกอริทึม เด็กโตใช้ AI ทำการบ้าน แม้ AI อยู่ในชีวิตทุกวัน แต่แทบไม่มีใครถามว่า AI ออกแบบมาเพื่อเด็กจริงหรือไม่ ถึง AI เปิดโอกาสให้เข้าถึงความรู้ได้ง่าย แต่ความจริงที่น่ากังวลคือ AI อาจทำลายทักษะคิดวิเคราะห์ ลดความอยากรู้อยากเห็น และทำให้เด็กพึ่งพาเครื่องมือจนขาดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ AI ยังกลายเป็นช่องทางใหม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่อ Deepfake สื่อลามกอนาจารและการล่วงละเมิดทางออนไลน์ โดยไม่รู้ตัว การเร่งสร้างให้เกิดการรู้เท่าทันการใช้เทคโนโลยี AI(AI Literacy) สำหรับเด็กและครอบครัว กำหนดนโยบายที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางออกที่ทั่วโลกเห็นตรงกัน

นอกจากนี้ นานาประเทศยังสะท้อนว่า AI ต้องไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและสร้างโอกาสให้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้พิการและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสำหรับคนทั่วไป AI ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ AI คือสิ่งที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นไปได้ และเสริมพลังให้คนที่เคยถูกจำกัดโอกาสด้วยระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น การอ่านหน้าจอด้วยเสียง การแปลแบบเรียลไทม์ หรือการนำทางสำหรับผู้พิการ เป็นต้น เวทีนี้เสนอว่า การออกแบบ AI ควรนำด้วยแนวคิด Inclusive by Design คิดถึงคนทุกกลุ่มตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่แค่เพิ่มฟีเจอร์ให้เข้าถึงทีหลัง และต้องให้ผู้พิการเข้ามามีบทบาทร่วมในการพัฒนา ซึ่งสอดคล้องกับ ‘อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ’ สนธิสัญญาระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ต้องให้คนพิการมีส่วนร่วมในฐานะผู้กำหนดทิศทาง ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งาน เช่นเดียวกับคำแนะนำของ UNESCO ที่กำหนดว่า AI ต้อง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่นโยบายการพัฒนา ไปจนถึงการนำไปใช้ พร้อมเสนอให้เร่งแก้ไขปัญหานี้ ด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ ลงทุนใน AI เพื่อสาธารณะให้ทุกคนเข้าถึงได้ บังคับใช้กฎหมายสิทธิและการเข้าถึงที่ชัดเจน ตั้งองค์กรกำกับดูแลที่ให้ผู้พิการร่วมเป็นผู้กำหนดกติกา
แม้มี หลายประเทศนำ UNESCO RAM ไปใช้แล้ว แต่สำหรับประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ กลับพบว่า พวกเขากำลังขาดบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะมาช่วยในการวิเคราะห์ จึงทำให้การประเมินหยุดแค่บนกระดาษ ขณะที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เดินหน้า โครงการ Women Elevate ที่ตั้งเป้าฝึก AI ให้ผู้หญิง 25,000 คนี เพื่อปิดช่องว่างทางเพศในวงการเทคโนโลยี ส่วนไทยสำหรับการดำเนินงานของ ETDA หน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่มีการดำเนินงานของศูนย์ AIGC (AI Governance Center) ก็เร่งเครื่องพัฒนาเครื่องมือประเมินความพร้อมและจัดหลักสูตรอบรม AI ให้หน่วยงานทั่วประเทศ สร้างขีดความสามารถที่ไปไกลกว่าแค่ใช้เทคโนโลยี แต่ให้เข้าใจจริยธรรม AI
ขณะที่ ความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส (Privacy and Transparency) ก็เป็นอีกเรื่องที่เวทีนี้ให้ความสำคัญ เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลลึกที่สุดอย่าง ข้อมูลสมอง (Neurodata) และข้อมูลดิจิทัลในชีวิตประจำวัน กำลังเป็นเป้าหมายใหม่ของภัยเทคโนโลยี โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลสมองผ่านนวัตกรรมที่ชื่อว่า ‘Neuro-AI’ ที่เกิดจากการผสานระหว่าง Neurotechnology + AI ที่ AI สามารถประมวลผลร่วมกับกระบวนการทางสมอง ตั้งแต่การทำความเข้าใจความคิดของมนุษย์เพื่อต่อยอดการวิจัย การวินิจฉัยสุขภาพจิตของผู้ป่วยจากการทำงานของสมอง ไปจนถึงการฟื้นฟูรักษาผู้ป่วยที่มีโรคทางสมอง เรื่องเหล่านี้แม้จะช่วยปฏิวัติวงการแพทย์ ช่วยรักษาผู้ป่วยอัมพาต แต่หากขาดมาตรการจริยธรรม ข้อมูลสมองที่สะท้อนความคิด ความสามารถ และสภาพจิตใจ อาจถูกใช้เพื่อควบคุมความคิดคน ดังนั้น การเก็บข้อมูลโดยไม่ระบุตัวตน จำกัดการนำข้อมูลสมองเข้าสู่ระบบดิจิทัล พัฒนากฎหมายแบบมีอายุจำกัด (Sunsetting clauses) เปิดทางให้ปรับปรุงกฎหมายได้ตามเทคโนโลยี และใช้ระบบ Dynamic regulation ที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว จึงเป็นข้อเสนอแนะที่เราได้เรียนรู้จากเวทีนี้
รวมถึงปัญหา AI and Online Fraud ที่หลายประเทศรวมถึงไทยต่างต้องเผชิญอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพที่ใช้ AI Deepfake สร้างเสียง ภาพปลอม หลอกประชาชนจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น โดยอาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI มักดำเนินการจากต่างประเทศ ที่กฎหมายและเขตอำนาจศาลแต่ละประเทศต่างกัน ทำให้การเอาผิดหรือบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องยาก แต่ในอีกด้าน AI ก็กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยภาครัฐตรวจจับพฤติกรรมการหลอกลวงในโลกออนไลน์ วิเคราะห์รูปแบบของการโทรจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกนข่าวปลอมได้เร็วกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า

อย่างกรณีของไทย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ไทยมีแนวทางรับมือมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตั้งทีมเฉพาะกิจ (task force) ตอบสนองภัยคุกคามออนไลน์อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น (agile) ใช้ระบบเทคโนโลยีแบ่งปันข้อมูลระหว่างธนาคารและหน่วยงานรัฐ เพื่อหยุดเส้นทางการเงินของคนร้าย ใช้ TLP (Traffic Light Protocol) กำกับสิทธิการเผยแพร่ข้อมูล เพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหล พร้อมนำ AI ช่วยกรองข่าวปลอมได้วันละกว่า 3,000 สถานการณ์ กลายเป็นกรณีศึกษาที่หลายประเทศในอาเซียนอยากนำไปใช้และนี่คือบทพิสูจน์ต่อนานาประเทศว่า ไทยกำลังเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรมและมิจฉาชีพออนไลน์อย่างเข้มข้น

อีกประเด็นที่ทั่วโลกจับตามากขึ้น คือ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก AI หลายคนอาจคิดว่า AI จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้มโลกร้อนหรือจัดการป่าไม้ แต่บนเวทีนี้ชี้ว่า การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังงานมหาศาล กลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนเงียบๆ ที่ขัดแย้งกับเป้าหมายสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าในปี 2569 การใช้ไฟฟ้าจาก AI Data Center จะสูงถึง 1,000 เทระวัตต์ชั่วโมง เทียบเท่าความต้องการไฟฟ้าของญี่ปุ่น-เยอรมนีรวมกัน พร้อมย้ำ AI ต้องพัฒนาไปในทิศทางที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ หรือ Green AI ที่คำนึงถึงวงจรชีวิตของเทคโนโลยีตั้งแต่การใช้พลังงาน น้ำ แร่ธาตุ ไปจนถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกัน ยังต้องเร่งสร้างกรอบกฎหมายที่บังคับใช้ได้จริง เช่น การบัญญัติหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมลงในกฎระเบียบ AI การกำกับโครงสร้างพื้นฐานผ่านกฎหมายพลังงาน และขยายมาตรฐาน ESG ให้ครอบคลุมเทคโนโลยี (ESGT) เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับผิดชอบร่วมกัน
หลายประเทศยอมรับ ถึงจะเริ่มลงทุนใน AI แต่ยังขาดความพร้อมในด้านกฎหมาย ระบบสนับสนุน หรือบุคลากรที่เข้าใจ AI จริงๆ การใช้เครื่องมืออย่าง UNESCO RAM จึงถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “เข็มทิศ” ของ GFEAI2025 ที่ต้องการผลักดันให้แต่ละประเทศประเมินตนเองว่า จุดแข็ง-จุดอ่อนของตนอยู่ตรงไหน เพื่อออกแบบนโยบาย AI ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวที GFEAI2025 คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดว่า โลกต้องเร่งกำหนดทิศทาง ก่อนที่ AI จะเป็นฝ่ายกำหนดอนาคต และไม่มีประเทศใดสามารถแก้โจทย์นี้ได้เพียงลำพัง...เวทีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือและความเข้าใจร่วมกันระดับโลก ว่าการพัฒนา AI เราต้องเดินหน้าไปด้วยกัน บนพื้นฐานจริยธรรมที่ทุกประเทศเห็นพ้อง

สำหรับไทย นี่ไม่ใช่แค่โอกาสแสดงความพร้อม ด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำบทบาทในฐานะศูนย์กลางด้านจริยธรรม AI แห่งภูมิภาค ผ่านศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) ที่แสดงให้เห็นว่า ไทยพร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ร่วมสร้างมาตรฐานจริยธรรม AI ที่โปร่งใส เป็นธรรม และเคารพสิทธิมนุษยชน ที่จะเดินหน้าไปกับทุกประเทศ เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาเพื่อมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน-ติดตามผลสรุปและความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่เพจ ETDA Thailand
สำนักงาน คปภ. ประชุมร่วม สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และผู้แทนภาคประกันภัย หารือแนวทางเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์ม Health Link ยกระดับการพิจารณารับประกัน-เคลมสินไหม พร้อมเตรียมนัดพูดคุยเพิ่มเติมถึงประเด็นสิทธิการเข้าถึงข้อมูล-การจัดเก็บข้อมูล หวังให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานการประชุมร่วมกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เพื่อหารือแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไทย (Health Link) ที่พัฒนาโดย BDI โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับธุรกิจประกันภัย นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ.นายแพทย์ธนกฤต จินตวร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และนักบริหารกิจการพิเศษ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) แพทย์หญิงปฐมพร ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรม นางสาวน้ำฝน ประโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ Health Link รวมถึง คุณสาระ ล่ำซำ ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทย และผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทย ผู้แทนสมาคมประกันวินาศภัยไทย และผู้แทนบริษัทประกันภัย เข้าร่วมประชุมจำนวน 68 ราย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ สำนักงาน คปภ.
การประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางการกำหนดมาตรฐานในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การประเมินความเสี่ยง และการให้บริการที่ตอบโจทย์ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแพลตฟอร์ม Health Link เป็นแนวคิดของระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange: HIE) มีจุดเด่นคือการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพอย่างปลอดภัย โปร่งใส และต้องผ่านการให้ความยินยอมของคนไข้ (Consent-based) ซึ่งเป็นที่ยอมรับและมีการนำไปใช้จริงในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มหรือเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใช้ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) แบบเดียวกัน
แพลตฟอร์มนี้เป็นระบบแพลตฟอร์มกลางที่พัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของคนไข้ระหว่างสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบัน Health Link เชื่อมโยงข้อมูลกับสถานพยาบาลไปแล้ว 2,305 แห่ง โดยหน่วยงานที่เชื่อมโยงส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลรัฐและคลินิก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและเกิดประโยชน์กับทั้งกับโรงพยาบาล แพทย์ และคนไข้ ดังนี้
โดยจากการหารือร่วมกัน ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า แพลตฟอร์ม Health Link จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำมาใช้งานร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยสามารถใช้ข้อมูลสุขภาพในกระบวนการสำคัญต่าง ๆ เช่น การพิจารณารับประกันภัย การจัดการเคลม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) แจ้งว่ามีบริษัทประกันภัยหลายแห่งแสดงความต้องการที่จะเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความท้าทายอีกหลายส่วนที่ต้องหารือเพิ่มเติม อย่างเช่น การเข้าถึงข้อมูล โดยบริษัทประกันภัย เนื่องจากแพลตฟอร์ม Health Link เป็นระบบ Consent-based บริษัทประกันภัยจะต้องขอความยินยอมจากลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อพิจารณารับประกันภัยหรือเคลม การจัดเก็บข้อมูลโดยบริษัทประกันภัย เนื่องจากปัจจุบันแพลตฟอร์ม Health Link ไม่อนุญาตให้ดาวน์โหลดหรือบันทึกข้อมูลประวัติการรักษา รวมถึงยังไม่มีการกำหนดค่าธรรมเนียมการเข้าถึงข้อมูล และยังไม่มีระบบข้อมูลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า สำนักงาน คปภ. จะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมหารือในรายละเอียดเชิงลึกกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และภาคธุรกิจประกันภัยต่อไป เพื่อให้การนำแพลตฟอร์ม Health Link ไปใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย
“Health Link ถือเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลสุขภาพที่มีศักยภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลและลดภาระของคนไข้ และมีประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจประกันภัยในการพิจารณารับประกันและเคลม อย่างไรก็ตามการนำมาใช้งานเต็มรูปแบบในภาคประกันภัย ยังคงต้องมีการหารือและพัฒนารูปแบบการให้ความยินยอมและการเข้าถึงข้อมูลให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ” เลขาธิการ คปภ. กล่าว
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) นำโดย นางสาวสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ (ที่ 1 จากซ้าย) ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล และนางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ (ที่ 1 จากขวา) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ประกาศความสำเร็จคว้า 3 รางวัลจากเวทีระดับสากล Digital CX Awards 2025 จัดโดย The Digital Banker ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาดิจิทัลโซลูชัน เพื่อยกระดับศักยภาพและประสบการณ์ของลูกค้าธุรกิจ SME ให้สามารถแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรางวัลที่ได้รับ ได้แก่
กรุงศรีมุ่งมั่นพัฒนาดิจิทัลโซลูชันภายใต้แนวคิด Human-Centric Innovations เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจของลูกค้า SME เป็นสำคัญ โดย Krungsri The Living Room เป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มที่รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการทั้งด้านการเงิน รวมถึงโซลูชันเพื่อการทำธุรกิจในด้านต่างๆ อย่างครอบคลุมไว้ในที่เดียว ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ของธนาคารฯ ได้สะดวกและรวดเร็ว ขณะที่ Krungsri Digital Supply Chain and Banking แพลตฟอร์มบริหารจัดการระบบจัดซื้อสินค้าระหว่างคู่ค้าในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ช่วยลดขั้นตอนการทำงานและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
รางวัลดังกล่าวที่กรุงศรีได้รับสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาโซลูชันที่ครอบคลุมมากกว่าแค่ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจ SME สามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กรุงศรีจะยังคงเดินหน้ายกระดับบริการและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสานต่อการเป็นธนาคารพันธมิตรที่เข้าใจ เข้าถึง และเติบโตเคียงข้างผู้ประกอบการ SME อย่างแท้จริง
คุณณพ ณรงค์เดช นักธุรกิจ ชี้แจงกระแสข่าวที่หลายคนพุ่งเป้าให้ความสนใจ เกี่ยวกับตุลาการระดับสูง 2 ท่านตกเป็นข่าวพัวพันสินบนร้อยโล (100 ล้านบาท) และทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีความข้อพิพาทในครอบครัว “ณรงค์เดช” ส่งผลให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลและรองอธิบดีในศาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้คู่ความ ในภาพรวมการแถลงข่าวได้ข้อสรุป คุณณพ ณรงค์เดช ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน 100 กิโล หรือ 100 ล้านบาท ส่วนปัญหาข้อพิพาทของครอบครัว เช่น คดีปลอมลายเซ็นต์คุณเกษม ผู้เป็นบิดา หรือคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องข้อพิพาทระหว่างครบอครัว ขอไม่ได้ตอบคำถามใดๆ เป็นต้น ณ ห้องรีเจนซี่ 4 โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ที่ผ่านมา