เมื่อเร็วๆ นี้ ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานในการลงนามความร่วมมือระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กับบริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มการแพทย์ฉุกเฉิน iDEMS ยกระดับระบบบริการสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาลด้วยดิจิทัล ที่มีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ หรือ SAVER ช่วยให้ทีมแพทย์เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทันทีที่มีการแจ้งเหตุ และผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง สพฉ. ศิริราชวิทยวิจัย และสวทช. ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล iDEMS โดยเชื่อมั่นว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ครอบคลุม มีคุณภาพสูง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินต่อไปได้ในวงกว้าง
ด้านเรืออากาศเอก นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะยกระดับการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล เมื่อมีประชาชนขอความช่วยเหลือผ่านโทรศัพท์ เบอร์ 1669 ผู้ปฏิบัติการในศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการสามารถทราบเบอร์โทร และตำแหน่งของผู้แจ้งเหตุ และตอบสนองได้ทันที อีกทั้งสามารถมองเห็นผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุผ่านการโทร VDO call เพื่อให้คำแนะนำการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องก่อนรถพยาบาลไปถึง ส่งผลให้สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้
ด้าน ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ประธานกรรมการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด ได้กล่าวถึงภารกิจที่สำคัญของศิริราชวิทยวิจัย คือ ทำให้นวัตกรรมในศิริราชเกิดประโยชน์กับสังคมให้มากที่สุด ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของสถาบันการศึกษา นอกเหนือจากเรื่องการเรียนการสอน การสร้างบุคลากรจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ การทำความร่วมมือกับ สพฉ. นี้ จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนำจุดแข็งของแต่ละองค์กรมาสร้างประโยชน์กับระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในประเทศต่อไป
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด กล่าวว่า บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด หรือ ศิวิทย์ เป็นวิสาหกิจศิริราช ที่กำเนิดจากศิริราชมูลนิธิ มีเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อสังคม การทำความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล SAVER: Smart Approach Vital Emergency Responses ซึ่งเป็นแหล่งเก็บรักษาข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อการวิจัย และเพิ่มศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึง ภารกิจของ สวทช. ในการร่วมพัฒนา iDEMS ให้สามารถลดความซ้ำซ้อนในนำเข้าข้อมูล และติดตามการปฏิบัติงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาลได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ผ่านระบบโทรศัพท์ Total Conversation ที่สามารถแจ้งเหตุได้ทั้งเสียง ข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว พร้อมทั้งมีเทคโนโลยี AI ช่วยสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยระบบ Emergency Telemedical Direction สำหรับผู้ป่วยในรถพยาบาล รองรับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลของรัฐบาลได้
ทั้งนี้ ความร่วมมือกันระหว่าง สพฉ. ศิริราชวิทยวิจัย และ สวทช. ที่จะร่วมกันจัดทำ ติดตามและประเมินผลการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล iDEMS อย่างต่อเนื่องภายใต้ความร่วมมือนี้ จะทำให้เกิดการบูรณาการการพัฒนาระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการจากเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ในระยะยาว และตอบสนองความต้องการของประชาชนไทยได้ในอนาคต
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและรายได้ของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจส่งออกไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้น EXIM BANK จึงขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เดินหน้าช่วยเหลือผู้ส่งออก SMEs ไทยด้วยบริการครบวงจร ทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ประกอบด้วย
“ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คาดเดายาก แต่บริหารจัดการได้ EXIM BANK จึงมีเครื่องมือปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้แก่ผู้ส่งออก พร้อมโบนัสพิเศษ Happy FX Rate และสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออก SMEs มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น พร้อมจัดโครงการอบรมเติมความรู้ทางการเงิน โดยเฉพาะความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เงินบาทผันผวน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยรับมือกับความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศได้อย่างเป็นมืออาชีพ” ดร.รักษ์ กล่าว
ด้านการเติมความรู้ผู้ส่งออก EXIM BANK มีกำหนดจัดโครงการอบรม “ตีแตกตลาดส่งออก” ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น Lobby EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เพื่ออัปเดตทิศทางและวิธีปิดความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ เทรนด์ตลาดและสินค้าส่งออก เคล็ดลับการปักหมุดตลาดเป้าหมายและค้นหารายชื่อผู้ซื้อในต่างประเทศตามประเภทสินค้า รวมถึงสิทธิพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ กรมธรรม์ประกันการส่งออก EXIM for Small Biz วงเงินคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาทกรณีไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีโครงการอบรมความรู้ทางการเงินเพื่อการส่งออก ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ และออนไลน์ต่อเนื่องตลอดปี สนใจติดต่อ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สานต่อโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” จับมือพันธมิตรและคู่ค้าอาหารสัตว์บกทั่วประเทศ ร่วมบริจาคแต้ม (Point) สมทบทุนซื้ออาหารช้าง ช่วยเหลือช้างกลุ่มเปราะบาง อาทิ ช้างป่วย ช้างชรา ช้างแม่ลูกอ่อน ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย ผนึกกำลังร้านเชียงใหม่ธนากุล ร่วมส่งมอบอาหารช้างเอราวัณ รวม 12 ตัน กระจายสู่ปางช้างแม่สา และปางช้างแม่แตง จ.เชียงใหม่ ตลอดจน สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ หรือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยลำปาง
นายฤทธิชัย ภูมิอมร ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟร่วมร้อยเรียงความดีเดินหน้าโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” มอบอาหารคุณภาพให้ช้างอิ่มท้อง สร้างสุขภาพดี นับตั้งแต่วิกฤติช้างไทยในสถานการณ์โควิด-19 ที่บริษัทได้ส่งต่ออาหารช้างให้กับหลายหน่วยงานที่ช่วยเหลือช้าง จนถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของช้างโดยตรง ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารช้าง ที่มุ่งสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันร่วมกัน จึงจับมือพันธมิตรและคู่ค้าอาหารสัตว์บกทั่วประเทศ ขยายผลสร้างเครือข่ายช่วยเหลือช้าง แบ่งเบาภาระผู้เลี้ยงช้างกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการส่งต่ออาหารที่เพียงพอ มีคุณค่าทางโกชนาการ ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการให้กับช้างไทย
“โครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” เป็นนวัตกรรมทางสังคมในการสร้างการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งเกษตรกรที่เป็นลูกค้าอาหารสัตว์บกซีพีเอฟ คู่ค้า และทุกภาคส่วนมาร่วมกันอนุรักษ์ช้าง ด้วยการนำแต้ม CPF Feed Point จากช่องทางออนไลน์ และแอปพลิเคชัน CP SmartMORE มาแลกเป็นอาหารช้าง ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันบริจาคแต้มเปลี่ยนให้เป็นอาหารช้าง ส่งต่อไปยังช้างกลุ่มเป้าหมาย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และขอบคุณเชียงใหม่ธนากุล ร้านตัวแทนจำหน่ายอันดับหนึ่งของอาหารสัตว์บก ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งอาหารในครั้งนี้ ” นายฤทธิชัย กล่าว
ทางด้าน นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้บริหารปางช้างแม่สา กล่าวว่า ปางช้างแม่สาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 เรารู้จักอาหารช้างเอราวัณ ของซีพีเอฟมานานกว่า 20 ปี และเป็นผู้ใช้จริง ปัจจุบันนำอาหารเสริมนี้ผสมหญ้าให้กับช้างชราซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่ต้องการวิตามิน เกลือแร่เพิ่มมากขึ้นกว่าช้างแข็งแรงและอายุยังน้อย ดีใจมากที่ทางซีพีเอฟ เชียงใหม่ธนากุล และพันธมิตร มามอบอาหารเม็ดให้กับช้างในปางช้างแม่สา โครงการต่อชีวิตช้างไทยนี้ถือเป็นความร่วมมือของเกษตรกรที่ซื้ออาหารไปให้สัตว์ของตนเองและมีการสะสมแต้มจนเป็นที่มาของการแบ่งปันเช่นนี้
ด้าน น.สพ.ดร.ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยลำปาง นอกจากมีช้างในความดูแลแล้ว ยังมีรถเคลื่อนที่ออกไปช่วยเหลือช้างภายนอกด้วย ดูแลช้าง 90% ของภาพรวมทั้งหมด ที่ผ่านมาช้างต้องประสบปัญหาทั้งโควิด-19 ภัยแล้ง จนถึงภัยน้ำท่วม เกิดความผันผวนทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และอาหารของช้าง การที่ซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนเช่นนี้จึงเป็นการช่วยพยุงชีวิตให้กับช้างไทย ขอบคุณซีพีเอฟและทีมงานจิตอาสาทุกคนที่นึกถึงช้าง และร่วมสนับสนุนศูนย์ฯของเราในทุกๆปี
ส่วน นายสุพงษ์ ลักษณ์ธนากุล ผู้บริหารเชียงใหม่ธนากุลกรุ๊ป กล่าวว่า เชียงใหม่ธนากุลทำกิจกรรมดีๆร่วมกับซีพีเอฟ ด้วยโครงการต่อชีวิตช้างไทย ร่วมกันบริจาคอาหารช้างให้กับปางช้างแม่สา ปางช้างแม่แตง และสถาบันคชบาลลำปาง ขอขอบคุณซีพีเอฟที่ริเริ่มโครงการเพื่อช้างและขอเชิญชวนทุกคนมาทำกิจกรรมดีๆเช่นนี้ต่อไป
ซีพีเอฟ นำศักยภาพของบริษัทด้านการเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์คุณภาพ มาต่อยอดสู่การช่วยเหลือช้าง ผ่านโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” ปีที่ 3 ด้วยการมอบอาหารช้างเอราวัณ ผลิตจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จ.สระบุรี เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาของปางช้างพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย นอกจากการท่องเที่ยวที่หยุดชะงักแล้ว หลังภาวะน้ำหลากทำให้พื้นที่แหล่งอาหารธรรมชาติถูกทำลาย ส่งผลให้ช้างเลี้ยงในแต่ละปางช้างต้องขาดแคลนอาหาร สุขภาพร่างกายอ่อนแอลง อาหารช้างเอราวัณ E3 มีส่วนสำคัญที่ทำให้ช้างมีอาหารเสริมที่มีคุณภาพ มีคุณค่าโภชนาการอาหารสัตว์ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ใช้ส่วนผสมวัตถุดิบจากพืช มีเยื่อใยสูงเหมาะสำหรับช้างทุกระยะ
ทั้งนี้ การซื้อขายอาหารสัตว์บกซีพีเอฟผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายในระบบออนไลน์ จะได้รับแต้ม CPF Feed Point ในทุกการใช้จ่าย 100 บาท มีค่าเท่ากับ 1 แต้ม รวมถึงเกษตรกรโคนมที่ใช้แอปพลิเคชัน CP SmartMORE ในทุก 29 แต้ม ซีพีเอฟจะสบทบทุนเพิ่มเป็น 100 บาท เปลี่ยนเป็นอาหารช้างส่งต่อสู่กลุ่มช้างเปราะบางทั่วประเทศ สามารถร่วมบริจาคแต้มสมทบทุนเป็นอาหารช้างได้ เพื่อกระจายความช่วยเหลือสู่ช้างทั่วประเทศ สำหรับผู้สนใจสามารถบริจาคสมทบทุนซื้ออาหารช้างได้ที่ https://liff.line.me/1654713008-raEmYnyj หรือแอดไลน์ @cpffeedonline ในอนาคตโครงการฯ จะต่อยอด การนำแต้มมาบริจาคให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จาก “ต่อชีวิตช้างไทย” สู่การต่อชีวิตเด็กไทย และการต่อชีวิตสิ่งแวดล้อมไทย สิ่งแวดล้อมโลก
ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต (ขวา) องคมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024” จัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ ในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้แนวคิด “Our Planet Resurrection ฟื้นคืนโลกของทุกคน” ซึ่งเป็นรางวัลสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและบริการที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม จากผลการวิจัยและวิเคราะห์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และการโหวตคัดเลือกจากผู้บริโภคในปีนี้ เครื่องซักผ้าของโตชิบาได้รับรางวัลในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้า โดยมีนายอรุณพงศ์ ทองสุทธิ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้า บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เมื่อเร็วๆ นี้
เมื่อโลกของการทำงานและการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีพื้นที่สำหรับการเรียน การทำงาน และพบปะสร้างสรรค์กิจกรรมจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ตอนหนึ่งในบทความของ Harvard Business Review ระบุว่า แม้การพบปะกันเพียงช่วงสั้นๆ ก็สามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมได้ ดังนั้นพื้นที่จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทางกายภาพ แต่ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการร่วมมือและทำภารกิจยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
ที่ผ่านมา True Space ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งใน Ecosystem ของทรู ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Co-working space ทั่วไป แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และการเติบโตของทั้งนักเรียนนักศึกษา และสตาร์ทอัพและ SME ไทยในมิติต่างๆ
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก True Space ให้มากขึ้นผ่านแนวคิด จุดมุ่งหมาย รวมไปถึงประสบการณ์ของน้องๆ ชมรม SWU Sandbox ที่เริ่มต้นและเติบโตขึ้นจากพื้นที่เล็กๆ ของ True Space สาขาอโศก และต่อยอดสู่ภารกิจปั้นสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย พร้อมชี้ให้เห็นถึงก้าวต่อไปของ True Space ในการเป็น Ecosystem ที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพและ SME ไทย
จุดเริ่มต้นของการเป็นพื้นที่สำหรับนักเรียนนักศึกษา
“แรกเริ่มนั้น True Space เกิดขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นพื้นที่ทำงานให้นักเรียนนักศึกษา เพื่อให้พวกเขามีพื้นที่มานั่งทำงาน ติวหนังสือ หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” นวลพรรณ บุญเผื่อน หัวหน้าสายงานทรูสเปซ บริษัท ทรูสเปซ จำกัด เริ่มเล่าที่มา
ไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็น True Space ทั้ง 7 สาขามีโลเคชั่นอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือใกล้กับมหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา, มหาวิทยาลัยรังสิต, สยามสแควร์ ซอย 2, สยามสแควร์ ซอย 3, อโศก, ไอคอนสยาม และวายสแควร์ อุบลราชธานี เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้พื้นที่ได้อย่างสะดวกสบาย
“แต่ละสาขาเราจัดพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ทั้งที่นั่งทำงานแบบ Hot Desk ห้องประชุม และพื้นที่จัด Event ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ นอกจากนี้เราเองยังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นเวิร์กชอปพัฒนาทักษะเสริมทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ที่น้องๆ นักศึกษาสามารถนำไปใช้ในอนาคต การมีกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ของเราให้เกิดขึ้นด้วย และเชื่อว่าเมื่อก้าวสู่วัยทำงาน พวกเขาก็จะยังเข้ามาใช้บริการของเราเช่นกัน” นวลพรรณ อธิบาย
การเข้าใช้บริการ True Space เป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ทรูจัดไว้ให้ลูกค้าได้ใช้ Ecosystem อย่างเต็มที่ หรือหากต้องการสมัครสมาชิกก็ได้ในราคาที่คุ้มค่า รวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับมหาวิทยาลัยต่างๆ จะเห็นได้ว่าแต่ละสาขาจะมีน้องๆ นักเรียนนักศึกษามานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือติวหนังสือกันเป็นประจำ
True Space สาขาอโศก กับการก่อร่างชมรม SWU Sandbox ให้เกิดขึ้นจริง
True Space สาขาอโศก ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่นักศึกษามารวมตัวกันทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และเป็นจุดเริ่มต้นของชมรม SWU Sandbox ซึ่งก่อตั้งโดยนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มศว ที่มีประสบการณ์ผ่านเข้ารอบ Demo Day ในการแข่งขัน Startup Thailand League 2023 ครั้งนั้นพวกเขาเห็นศักยภาพไอเดียของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่นำไปต่อยอดได้ จึงอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาความรู้ บ่มเพาะ และสนับสนุนการเกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่จากรั้วมหาลัยของตัวเอง
“จริงๆ ชมรม SWU Sandbox เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 67 ค่ะ ในช่วงการวางแผนก่อตั้งชมรม พวกเรา 8-9 คนยังมือใหม่มากและขาดพื้นที่สำหรับประชุมและวางแผนงาน เพื่อนที่เป็นประธานชมรมจึงลองติดต่อเข้ามาที่ True Space เพื่อขอให้พื้นที่ทำงาน เพราะทราบมาว่าเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็ได้รับการสนับสนุนอย่างดีตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้” เสาวลักษณ์ ชอบสอน นิสิตปี 4 คณะเศรษฐศาสตร์ มศว เลขาชมรมเล่าถึงที่มา
แม้ก่อตั้งชมรมได้ภายในเวลาไม่ถึงปี แต่ SWU Sandbox สามารถขยายขอบเขตการทำงานเป็นชุมชนนักศึกษาที่มีสมาชิกมากกว่า 100 คน และได้ร่วมงานกับฝ่ายกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัยผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่การให้ความรู้ธุรกิจเบื้องต้น จัดค่ายพัฒนาโปรเจกต์ จนถึงการ Pitching เสนอไอเดียที่เปิดกว้างทั้งมหาวิทยาลัย คัดจนผ่านเข้ารอบ 10 ทีม โดยอีกไม่นานมีการจัด Showcase ที่เปิดให้บริษัทภายนอกเข้ามาชมงานและสนับสนุน
“การที่มีชมรมนี้เกิดขึ้นมาได้จริง พวกเราภูมิใจมาก ที่ได้มีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพนิสิตของเรา ซึ่งต่อไปอาจเกิดเป็นสตาร์ทอัพจริงๆ ก็ได้ และส่งต่อให้รุ่นน้องได้สานต่อกิจกรรมไปด้วย” ณัชชา พรมสุริย์ ฝ่ายดูแลกิจกรรมของชมรมกล่าว
พื้นที่ทางเลือกที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ยุคใหม่
ในยุคห้องสมุดไม่ใช่เพียงแหล่งหาข้อมูลสำคัญแห่งเดียวอีกต่อไป นักเรียนนักศึกษาต่างใช้แท็บเล็ตแทนสมุดและหนังสือ พวกเขามีทางเลือกในการแสวงหาความรู้อย่างเป็นอิสระในทุกที่ สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์วิถีการเรียนแบบใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่า True Space เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์เหล่านี้
“ชอบมานั่งทำงานที่นี่ เพราะมีปลั๊กไฟอยู่บนโต๊ะ ใช้งานสะดวกมาก โต๊ะก็ความสูงพอดี เก้าอี้นั่งสบาย พื้นที่เปิดโล่ง สว่าง ไม่อึดอัด เวลาพักสายตาก็มองไปนอกหน้าต่างได้” น้องๆ นักศึกษาที่เข้ามานั่งทำงานใน True Space สาขาอโศกบอกเล่าถึงเหตุผลที่เลือกเข้ามาที่นี่เป็นประจำ
ภิรมย์สุรางค์ สิงหนาท หนึ่งในนักศึกษากลุ่มนี้อธิบายเพิ่มเติมว่า “การมาที่ True Space ไม่เหมือนกับไปนั่งห้องสมุดหรือร้านกาแฟ เพราะที่ห้องสมุดเราต้องเงียบ จะคุยปรึกษาหรือติวหนังสือไม่ได้ ส่วนร้านกาแฟมีเสียงบรรยากาศค่อนข้างดัง ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ การมาที่นี่มีทั้งโต๊ะแยกให้เราได้โฟกัสงาน และมีโต๊ะนั่งรวมที่ติวหนังสือหรือประชุมงานกันได้ด้วย”
Startup Ecosystem และ Community ที่เต็มไปด้วยโอกาส
นอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนนักศึกษาแล้ว เวลานี้ True Space มีการวางกลยุทธ์ขยายไปสู่ผู้ประกอบการ SME และสตาร์ทอัพ เพื่อเป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ การมีเครือข่ายธุรกิจที่เข้มแข็งจากความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เป็นการดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้ามาเช่าพื้นที่เป็น Private Office หรือใช้งาน Co-working Space ที่ช่วยลดต้นทุนได้ รวมถึงการใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ซึ่งนับเป็นบทบาทสำคัญของการเป็น Startup Ecosystem ของไทย
“เรามีผู้ประกอบการ SME และสตาร์ทอัพเข้ามาเช่าพื้นที่หรือเป็นสมาชิกอยู่หลายรายตามสาขาต่างๆ ซึ่งพวกเขาก็ได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้ครบครัน ช่วยในการดำเนินงานได้ รวมถึงมีการจัดพื้นที่ทำ Event รองรับคนได้จำนวนหนึ่ง ล่าสุดก็มีจัดพื้นที่สำหรับทำ Business Deal ให้กับสตาร์ทอัพได้สำเร็จไปอีกหนึ่งราย” หัวหน้าสายงานทรูสเปซกล่าว
การปรับตัวในยุคของการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานแบบดั้งเดิมลดลง เนื่องจากรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป เช่น การทำงานแบบรีโมตและไฮบริด รวมถึงเทรนด์ของ Co-working space ที่มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นทั้งจากคาเฟ่และศูนย์การค้า แต่ True Space ยังคงสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคง ด้วยจุดเด่นและกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
“เชื่อไหมว่า ชั้นสองของ True Space สาขาอโศกตรงนี้ทั้งหมด เคยเป็นแผนกคอลเซ็นเตอร์ให้กับสายการบินระดับโลกแห่งหนึ่ง” นวลพรรณ เริ่มเล่าถึงจุดเด่นของพื้นที่แห่งนี้
“ช่วงที่สายการบินแห่งนี้มีการปรับปรุงสำนักงานและมาเช่าพื้นที่ของเรา เราก็สามารถจัดเป็นพื้นที่ทำงานได้อย่างตอบโจทย์ ต่อมาจึงกลายมาเป็นลูกค้าประจำ ในขณะเดียวกันพื้นที่เดียวกันนี้ก็เคยปรับให้เป็นงาน Event หรืองานเลี้ยง ซึ่งเราจัดให้ได้ วางแพลนโต๊ะเก้าอี้กันใหม่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่เรามีพร้อม นี่คือจุดเด่นของ True Space ที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก และตอบโจทย์ความต้องการได้เสมอ” เธอเน้นย้ำทิ้งท้าย
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบความเป็นเลิศด้านการบริการลูกค้า แต่งตั้งคุณชนินทร์ ฐิติจารุไพศาล ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยคุณชนินทร์จะเข้ามารับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขายและยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ระดับพรีเมียม รับตำแหน่งต่อจากคุณสเตฟาน สโลโบดา ซึ่งจะยังคงสานต่อปรัชญาการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกของบีเอ็มดับเบิลยูในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า ณ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการยกระดับขั้นสูงสุดของการบริการลูกค้าในตลาดรถยนต์หรู
ด้วยประสบการณ์กว่า 19 ปีกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คุณชนินทร์ได้สั่งสมความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและครอบคลุมแนวการดำเนินธุรกิจด้านการขายและการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในฝ่ายขายของบีเอ็มดับเบิลยูและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก่อนจะย้ายมารับตำแหน่งล่าสุดในฐานะผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย จึงมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านการบริหารเครือข่ายผู้จำหน่ายและความต้องการของลูกค้าในตลาดรถยนต์พรีเมียมประเทศไทยเป็นอย่างดี
สำหรับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า คุณชนินทร์จะดูแลบริหารธุรกิจด้านบริการหลังการขายทั้งหมดของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้แก่ การให้บริการหลังการขาย การบริหารจัดการด้านเทคนิค การจัดการด้านอะไหล่ และการตลาดของบริการหลังการขาย เพื่อรักษาความมุ่งมั่นในความเป็นเลิศด้านการบริการของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รวมถึงการสร้างความภักดีของลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และการเสริมสร้างความร่วมมือกับผู้จำหน่ายเพื่อรักษามาตรฐานการบริการให้อยู่ในระดับสูงสุด
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า "การบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เสมอมา ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้า ในนามบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ผมจึงขอขอบคุณมร. สเตฟาน สโลโบดา ที่ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารงานด้วยการบริการที่สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา พิสูจน์ได้จากการวัดดัชนีความพึงพอใจของลูกค้าในด้านการบริการหรือคะแนน Net Promoter Score ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการด้านมาตรฐานการรับประกันและการบำรุงรักษาในระดับสากล ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเท และความสามารถในฐานะผู้นำอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่ามร. สโลโบดา จะนำความสำเร็จเช่นเดียวกันนี้สู่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่นในตำแหน่งใหม่ด้วยเช่นกัน”
“ขณะเดียวกัน เราก็มีความยินดีเป็นอย่างที่ได้ต้อนรับคุณชนินทร์ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าคนใหม่ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา คุณชนินทร์ได้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลและความมุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการและทุ่มเทเพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จ ผมมั่นใจว่าความเป็นผู้นำของคุณชนินทร์จะไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมของเรา แต่ยังจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเรากับเครือข่ายผู้จำหน่ายและลูกค้าทั่วประเทศไทยด้วยเช่นกัน” มร. แกร์ฮาร์ด กล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัยและ นายณภัทร สังข์แก้ว รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารองค์กร พร้อมด้วยพนักงานกองทุนประกันวินาศภัย ร่วมให้คำปรึกษาและความรู้เกี่ยวกับกองทุนประกันวินาศภัยและแนวทางการรับมือผู้เข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและขั้นตอนการยื่นขอรับชำระหนี้ ซึ่งเป็นแนวทางให้แก่บุคลากรสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการตอบข้อซักถามให้กับประชาชนที่มาติดต่อได้ทราบ
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรม “7อัพ MEET พร้อม GREET กับธี่หยด 2” กับ เครื่องดื่มเซเว่นอัพ โดยบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จัดเต็มความหลอน สนุก ฟิน แบบทำถึง พร้อมแท็กทีมพรีเซนเตอร์หนุ่มสุดฮอต ณเดชน์ คูกิมิยะ เดินหน้าเสิร์ฟความลุ้นระทึกพร้อมผสานความสดชื่นสไตล์เซเว่นอัพไปกับประสบการณ์ความหลอนขั้นสุดอย่างลงตัวแก่แฟนคลับผู้โชคดีกว่า 300 คนที่ร่วมสนุกกับกิจกรรมฯ ผ่านทางออนไลน์ ให้ได้มาฟินกับภาพยนตร์สยองขวัญสั่นประสาทแห่งปีอย่าง “ธี่หยด 2” กันแบบเอกซ์คลูซิฟ โดยมีนายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมให้การต้อนรับ และที่สำคัญแฟน ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมยังได้ร่วมเล่นเกม รับของที่ระลึก และถ่ายภาพกับณเดชน์ พรีเซนเตอร์หนุ่มสุดหล่อที่มาร่วมสร้างโมเมนต์ฟินโดนใจอย่างใกล้ชิดอีกด้วย งานนี้เล่นเอาแฟน ๆ ทั้งหลอน สนุก ฟิน ประทับใจ แบบเต็ม ๆ ณ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา
บรรยากาศภายในงานอัดแน่นด้วยกิจกรรมสุดพิเศษมากมายที่เซเว่นอัพคัดมาแล้วว่าเด็ด เพื่อแฟน ๆ ทุกคน อาทิ “บูธ 7อัพ ตรวจดวงชะตา” เปิดประสบการณ์สายมูด้วยศาสตร์การดูดวงไพ่ยิปซียอดฮิตที่สามารถครีเอตไพ่เป็นภาพใบหน้าของตัวเองได้ทันที จากนั้นทุกคนร่วมสัมผัสอีกขั้นของความหลอนจัดเต็มทั้ง แสง สี เสียงกับฉากเปิดตัว ณเดชน์ พร้อมด้วยกิจกรรมพูดคุยถึงเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ธี่หยด 2 และ เรื่องราวหลอนคลุมโปงที่จะพาคุณดำดิ่งสู่ความสยองขวัญขนหัวลุกกับเรื่องเล่าสุดหลอนจากประสบการณ์ของ ณเดชน์ ในสถานที่ต่าง ๆ ก่อนที่ทุกคนจะได้พักหายใจหายคอ พร้อมเรียกความสดชื่นให้แฟน ๆ ได้ฟินกันมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์เซเว่นอัพ ไม่มีน้ำตาล ซ่า สดชื่น อร่อยเวอร์เซอร์ไพรส์ พร้อมเล่นเกมสนุกสุดมันส์ รับของรางวัลมากมาย และไฮไลต์สำคัญอย่างกิจกรรม “ธี่นั่งอาถรรพ์” เฉพาะแฟน ๆ ผู้โชคดีที่นั่งเก้าอี้หมายเลข 7 ทั้งหมดได้ถ่ายรูปร่วมเฟรมแบบ 1:1 กับณเดชน์อย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้แฟน ๆ ร่วมส่งกำลังใจให้ “ยักษ์”ปราบผีได้สำเร็จไปกับภาพยนตร์ธี่หยด 2 รอบพิเศษที่เซเว่นอัพจัดให้บนจอ IMAX แบบคมชัดสมจริง เรียกได้ว่าเป็นงานที่คุ้มค่าสมการรอคอย
ณเดชน์ คูกิมิยะ พรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์เซเว่นอัพ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มาร่วมกิจกรรมกับแฟนคลับในวันนี้ว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้มาร่วมสนุกในกิจกรรมของเซเว่นอัพอีกครั้ง บอกเลยว่าเซเว่นอัพ ไม่มีน้ำตาลยังคงความซ่า สดชื่น อร่อยเวอร์เซอร์ไพรส์ ซึ่งครั้งนี้เป็นการนำภาพยนตร์เรื่องธี่หยด 2 ที่ผมนำแสดงมาให้แฟน ๆ ได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความหลอนกันแบบจัดเต็ม ต้องบอกว่าเรื่องนี้ผมทุ่มเททำการบ้านอย่างหนัก เพื่อถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร ‘ยักษ์’ ให้สื่อถึงผู้ชมให้มากที่สุด หวังว่าแฟน ๆ จะอินไปกับการแสดงและลุ้นไปกับตัวละครทุกตัวในเรื่อง พร้อมได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำ และที่สำคัญขอฝากเซเว่นอัพ ไม่มีน้ำตาล เครื่องดื่มเติมความซ่า สดชื่น เพื่อดับกระหายในขณะลุ้นระทึกไปกับหนังเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ"
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: 7UP Thailand, YouTube: 7UPThailand_Official และ TikTok: 7UP Thailand