December 05, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเมืองพัทยา และพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันเพื่อการจัดการธุรกิจ จัดสัมมนาแบ่งปันความรู้ให้กับเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เจาะลึกเทรนด์ด้านการท่องเที่ยว กลยุทธ์การตลาด และเครื่องมือในการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูง

โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. ศิวัช บุณเกิด รองปลัดเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงาน และ นายชัยวัฒน์ ตามไท ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเมืองพัทยา ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย พร้อมกับกรอบนโยบายเชิงกลยุทธ์ของ ททท. เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภาคส่วนนี้

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบี เชื่อว่าการสนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคที่มีศักยภาพสูงอย่างการท่องเที่ยว เรามุ่งมั่นที่จะจัดหาเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และโซลูชันทางการเงินที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องการ เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านบริการทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตร  ของ UOB BizSmart ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับฟังถึงโซลูชันด้านการเงิน การชำระเงิน และประกันภัย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วงเสวนาระหว่างธนาคารยูโอบี GHL Freedom World และ MSIG

ปิดท้ายด้วย Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวและประสบการณ์ระดับโลก และหนึ่งในพันธมิตรหลักของ UOB BizSmart ที่มานำเสนอแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และโซลูชันดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารยูโอบี ในการส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจท้องถิ่นภาคตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว

กลุ่มแอกซ่า คว้ารางวัล Most Creative Brand of the Year’ หรือ แบรนด์ที่สร้างสรรค์ที่สุดแห่งปี จาก Cannes Lions International Festival of Creativity 2025 งานระดับโลกแห่งวงการโฆษณาและการตลาด จากแคมเปญสุดสร้างสรรค์อย่าง “Three Words” และสารคดี “Group Therapy” โดยทั้งสองแคมเปญแสดงถึงความกล้าคิดและกล้าทำของกลุ่มแอกซ่า ในการจัดการกับประเด็นที่ท้าทายในสังคม ผ่านการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์และมีความหมายที่ลึกซึ้ง  โดยแคมเปญ "Three Words" ได้ทำลายความเงียบเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งกลุ่มแอกซ่าได้สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย สภาพจิตใจ และการเงิน พร้อมการรับประกันการย้ายที่อยู่ฉุกเฉินให้กับผู้ที่เผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งแคมเปญนี้ได้คว้ารางวัลมาได้ทั้งหมด 10 สาขา ได้แก่

  • Grand Prix Dan Wieden Titanium
  • Grand Prix – Direct / Market Disruption
  • Grand Prix – Creative Business Transformation
  • Gold – PR / Consumer Services – B2B (in partnership with Publicis Consultants)
  • Gold – Creative Strategy
  • Silver Glass Lion for Change
  • Silver – Creative strategy – Corporate Purpose & Social Responsibility
  • Silver – PR / Brand Voice & Strategic Storytelling (Publicis Consultants)
  • Silver – Direct / Corporate Purpose & Social Responsibility

และสารคดี  “Group Therapy” ความยาว 90 นาที   ที่นำเสนอมุมมองและสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์ขันและสุขภาพจิต ผ่านกลุ่มนักแสดงตลกชาวอเมริกัน โดยสร้างขึ้นจากแนวคิด “การแบ่งปันคือการบำบัดทางใจ” ซึ่งแคมเปญนี้กวาดรางวัลมาได้ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่

  • Gold – Film – Best use of humour
  • Gold – Health & Wellness
  • Bronze – Entertainment – Branded Content

โดยผลงานของทั้งสองแคมเปญ ทำให้กลุ่มแอกซ่าเป็นแบรนด์จากประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในงานระดับโลกแห่งวงการโฆษณาและการตลาดในปีนี้ ด้วยการคว้า 13 รางวัลจากหลากหลายสาขา ซึ่งรางวัลในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มแอกซ่า ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ “เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป”

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC นำโดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม และนายชาตรี เอี่ยมโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ เผยถึง การเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน แม้สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เชื่อมั่น SCGC มีความพร้อมและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัวในอนาคต โดยได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตอกย้ำจุดแข็งสำคัญ อาทิ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากลเพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การขยายและต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ รวมทั้งการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาสร้างโอกาสทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเผยถึงความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “สถานการณ์ปิโตรเคมีในครึ่งปีหลัง ยังคงมีความผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ (US Tariff)  การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้อุปสงค์ (Demand) ยังคงชะลอตัว ในขณะที่อุปทาน (Supply) ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการหยุดผลิตของโรงงานที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำและต้นทุนสูง ซึ่งช่วยชดเชยส่วนของอุปทานที่สูงขึ้น ดังนั้น คาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะอยู่ในภาวะทรงตัวอีกระยะ โดยพิจารณาได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568”

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้จะรุนแรงและยาวนานกว่าปกติ แต่ SCGC พร้อมรับมือกับความท้าทายและความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI   2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services ) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer)  3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE)”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว

 

โดย SCGC ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอกย้ำจุดแข็งสำคัญในด้านต่าง ๆ อาทิ                      

1) กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล (Innovation Management) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services หรือ HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center” (Ideas to Products) โดยมีเครือข่ายนวัตกรรมจากทั่วโลก  เพื่อช่วยลูกค้า เจ้าของแบรนด์ หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งพันธมิตรทางธุรกิจ ในการค้นหาไอเดียและเทรนด์ต่าง ๆ การวิจัยและพัฒนา การออกแบบสินค้า การทดสอบขึ้นรูป ฯลฯ ซึ่งช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมกว่า 100 โครงการ

2) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI (Artificial Intelligence) และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ระบบ Robotics & Automation ของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC โดยมีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ภายในโรงงาน (Robot Density)  ระดับ Best in Class ของโลก

นอกจากนั้น ยังได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่ธุรกิจ Industrial Service Solutions พัฒนาโซลูชัน DRS by REPCO NEX” (Digital Reliability Service Solutions) ซึ่งช่วยยกระดับการดูแลเครื่องจักรและเพิ่มความสามารถในการผลิต (Productivity) โดยให้บริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ อาหารเครื่องดื่ม และสาธารณูปโภค เป็นต้น

และ 3) การนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น การนำอะเซทิลีนที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material ซึ่งนำไปพัฒนาใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ “CHILLOX” (ชิลล็อกซ์) เป็นต้น

“สำหรับความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความต้องการใช้พลังงานกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้จำนวนศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ที่เป็นเป้าหมายของหลายๆ ประเทศ ล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญต่อระบบพลังงานในปัจจุบัน

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย จึงหาแนวทางการรับมือความท้าทายเหล่านี้ ด้วยการสร้าง “สมดุลพลังงาน” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่มีความเสถียร เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ “Energy Symphonics” ที่เน้นการผสานพลังงานที่หลากหลายอย่างสมดุล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ห่วงโซ่ธุรกิจ และส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบ้านปูมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเราไม่สร้างสมดุลด้านพลังงาน เราใช้เทคโนโลยีช่วยให้พลังงานของเราตอบโจทย์ความต้องการในยุคนี้ เช่น การพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ทำให้เกิดเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรและคาร์บอนต่ำ ซึ่งบ้านปูเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจนี้ในสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน เราก็ขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพลังงานที่จำเป็นต่อโลกอนาคต เช่น ล่าสุดที่เราได้เข้าไปลงทุนในโครงการระบบกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์ม 2 แห่งใหม่ในญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน”

เปิดมุมมองใหม่สู่ “พลังงานที่สมดุล” ผ่านวิดีโอองค์กร (Corporate Video) ล่าสุดจากบ้านปู ที่ถ่ายทอดแนวคิดพลังงานแห่งอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI-generated visual) โดยใช้สัญลักษณ์ “สามเหลี่ยม” ที่เชื่อมโยงสามองค์ประกอบสำคัญสู่ความสมดุลอย่างกลมกลืน ด้วยบ้านปูมุ่งมั่นที่จะปูทางให้ทุกคนก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน  ติดตามชมวิดีโอได้ที่ THAI | สมดุลพลังงาน ปูทางสู่อนาคต | Full Version

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาในกลุ่มซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านกิจกรรม“กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” เพื่อบ่มเพาะผู้ประกอบการผ่านหลักสูตรการสร้างอัตลักษณ์ และสร้างภาพลักษณ์ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 5 ผู้ประกอบการที่ออกแบบเครื่องประดับอัญมณี.ไทยในกลุ่ม Gemstone Jewelry ที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความหรูหรา และปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคใหม่พร้อมสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่

Senexi โดย นิราญ ตุลยกิจจา เจ้าของแบรนด์ Senexi บอกเล่าถึงแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ ว่า “การออกแบบเครื่องประดับแต่ละชิ้นของแบรนด์ คือ การสื่อสารถึงความคลาสสิคแต่เข้าถึงง่าย โดยจุดเด่นของแบรนด์ คือ ความประณีตในการผลิตผลงานในแต่ละชิ้น”

ผลิตภัณฑ์เด่น ๆ ของแบรนด์ คือ ผลิตภัณฑ์รูปแบบ Pave design (พาเว่ ดีไซน์) หรือ เทคนิคการออกแบบและฝังอัญมณีเม็ดเล็กจำนวนมากเรียงติดกันแบบชิดใกล้ โดยมีการออกแบบให้ดูทันสมัย และหรูหรา บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองของผู้สวมใส่

Be'Shine โดย ชุติมา พิชิตรณชัยกุล อธิบายถึงแนวคิดการรังสรรค์เครื่องประดับว่า “เครื่องประดับของเราแต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่า ความงามแท้จริงเกิดจากเป็นตัวของตัวเอง เราจึงคัดสรรพลอยธรรมชาติแท้ที่มีประกายมีสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ละเม็ดจะไม่เหมือนกัน ซึ่งสื่อถึงตัวตนของผู้สวมใส่ที่แต่ละคนมีความแตกต่าง และมีความเปล่งประกายในตัวเอง”

ความเรียบง่ายที่ซับซ้อน ดีไซน์มีความมินิมอล แต่มีรายละเอียดที่ลึกซึ้งคือจุดเด่นของเรา สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวเด่นของ Be'Shine ที่เป็นสินค้าตัวชูโรงคือ GALA collection เครื่องประดับที่เฉลิมฉลองความงามของผู้สวมใส่ด้วยแรงบันดาลใจจากแชมเปญ พลอยระยิบระยับ และเส้นสายที่โอบล้อมความงดงามจากภายใน

TAERA JEWELRY โดย วิชุดา แตระพรพาณิชย์ เจ้าของแบรนด์ TAERA JEWELRY เล่าถึงการออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับเอาไว้ว่า เรามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีความคลาสสิค มีไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลงใหลในอัญมณีให้มากขึ้น นอกจากนี้เรายังเป็นแบรนด์เครื่องประดับและอัญมณีแบรนด์แรกที่สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับโลหะอัญมณีธรรมชาติจากฝีมือคนไทย”

“สินค้าเรือธงของ TAERA JEWELRY คือ Sugar Love collection คอลเลกชั่นพลอยรูปทรง Sugarloaf ออกแบบเป็นจี้ แหวน ต่างหู สไตล์คลาสสิคโดยแบรนด์ได้เพิ่มความทันสมัยเข้าไปด้วยอัญมณีสีพาสเทล เช่น สีฟ้า สีชมพู สีเขียว ทำให้ผู้สวมใส่ ดูสดใส อ่อนเยาว์ น่ารักหรูหรา”

“จังสุ่ยศิลป์” แบรนด์เครื่องประดับไทยที่เกิดจากคำสอนของคุณปู่ โดย ภูดิศ ภัทรวารินทร์ “แบรนด์มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะเทคนิคการทำงานที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ไม่ใช่งานขัดเงาหรืองานเรียบทั่วไป มาพร้อมคาแรกเตอร์การบิดพริ้วของรูปทรงที่อิงไปทางธรรมชาติ แนวคิดหลักในการผลิตเครื่องประดับแต่ละชิ้นยึดหลัก “Create Your Own Precious” หรือ “การสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับตัวเราเอง” โดยเชื่อว่าเครื่องประดับทุกชิ้นที่สร้างสรรค์มีคุณค่าโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เพราะมันถูกสร้างขึ้นด้วยปรัชญาที่ว่า “คุณค่าที่แท้จริงมาจากสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองด้วยความภูมิใจ”

หนึ่งในผลิตภัณฑ์เรือธงของ จังสุ่ยศิลป์ คือ สร้อยคอที่มีลูกเล่นการถอดประกอบต่อกันได้ ซึ่งเป็นการออกแบบที่ซ่อนกลไกอย่างชาญฉลาดให้ดูสวยงาม ผู้สวมใส่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามความต้องการ สร้างความหลากหลายในการแต่งกายจากชิ้นเดียว”

BBBG JEWELRY BY CI โดย ชินภัทร อินทนากรวิวัฒน์ ระบุว่า BBBG JEWELRY สร้างสรรค์เครื่องประดับทุกชิ้นขึ้นจากความจริงใจ โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหยกเต็มไปด้วยของปลอม และความไม่แน่นอน แต่ผลงานของเราทุกชิ้นทำมาจากหยกคุณภาพสูง เพราะแบรนด์เครื่องคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่ขั้นตอนการประกอบไปจนถึงการส่งผลิตภัณฑ์ตรงถึงมือลูกค้า เพราะเราคือแบรนด์ที่ใส่ใจในความน่าเชื่อถือและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง”

“นอกจากวัสดุคุณภาพชิ้นเลิศที่เราคัดสรรมาแล้ว เราได้ผสมผสานอัญมณีหยกกับการออกแบบที่แฝงไปด้วยปรัชญา แนวคิด ความเชื่อโบราณ ที่ทำให้ผู้สวมใส่ได้รับรู้เรื่องราวและพลังงานด้านบวก เพื่อการอยู่อย่างมีความหวังในวันข้างหน้า และเพื่อการค้นหาความหมายของชีวิต ดังนั้นเครื่องประดับของเราจึงเป็นมากกว่าการสวมใส่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่คือการส่งมอบเรื่องราวและแนวคิดเชิงบวก ความรู้สึกดีๆ และความหมายดีๆ ไปสู่เจ้าของ”

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2430 6883 กด 2 หรือติดตามความเคลื่อนไหว และข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.diprom.go.th หรือ www.facebook.com/dipromindustry

CITIZEN (ซิติเซน) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่นที่รังสรรค์นาฬิกาอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เรียบหรู สุดคลาสสิก และมีความแม่นยำสูง ด้วยฝีมือสุดประณีตและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกยาวนานกว่า 100 ปี ได้ยกทัพนาฬิกาตัวท็อปของแบรนด์ พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษมาไว้ในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025 ภายใต้คอนเซปต์ “The Pinnacle of Timepiece” โดยมี CITIZEN TSUYOSA 37 mm นาฬิกาที่สุดแห่งความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ที่มีขนาดกระทัดรัด ด้วยตัวเรือน 37 มม. มาพร้อมกับสีสันอันโดดเด่นด้วยสีชมพู Pastel Pink สีเขียว Dark Green รวมถึงสียอดฮิตอย่างสีฟ้า Ice Blue ในราคา 16,600 บาท และ CITIZEN Series 8 880 GMT คอลเลกชัน Series 8 รุ่นท็อปของแบรนด์ นาฬิกาทรงสปอร์ตดีไซน์หรู สายสเตนเลสสตีล ที่เข้ากับตัวเรือนสีทอง พร้อมกลไกอัตโนมัติฟังก์ชัน GMT ที่เต็มไปด้วยความประณีตทั้งงานประกอบและงานขัด ในราคา 75,500 บาท

นอกจากนี้ภายในงานยังมีนาฬิกาดีไซน์หรูจาก CITIZEN ที่ยกทัพมาให้เลือกมากกว่า 80 รุ่น พร้อมกับโปรโมชันสุดพิเศษรับส่วนลดทันที 15% จากราคาป้าย และรับส่วนลดแบบ On top อีก 3 - 5% นอกจากนี้ ยังรับเอกสิทธิ์ส่วนลดอื่น ๆ จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ ได้ที่บูธ CITIZEN วันที่ 15 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 ในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025 ณ ชั้น 1 Fashion Hall ศูนย์การค้า สยามพารากอน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Citizen Watch, Instagram/TikTok: Citizenwatch_th และ LINE Official  https://lin.ee/OcPJ9Zn หรือ @citizenwatchth

 

แบรนด์เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งสุดหรูจากประเทศเบลเยียม Royal Botania ประกาศเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้การบริหารของ S Design ตัวแทนอย่างเป็นทางการของแบรนด์ในประเทศไทย พร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตกลางแจ้งในระดับลักชัวรี ที่สอดรับกับความงามตามธรรมชาติของภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชาวไทย

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี Royal Botania สร้างชื่อจากแนวคิด Sustainability – Innovation – Craftsmanship” หรือ ความยั่งยืน – นวัตกรรม – งานฝีมือระดับชั้นครู ด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ร่วมสมัย ผลิตจากวัสดุคุณภาพเยี่ยม เช่น ไม้สักแท้ โลหะรีไซเคิล และผ้าเกรดพรีเมียมที่ผ่านการทดสอบให้ทนต่อทุกสภาพอากาศ

Royal Botania ไม่ใช่แค่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แต่คือการรังสรรค์ไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพ” ฟรานซิส แวนเบลเลน SDesigns CEO,Thailand Representative of Royal Botania จากเบลเยียมสู่ประเทศไทย: ความหรูหราอย่างยั่งยืนที่จับต้องได้

Royal Botania ให้ความสำคัญกับความงามควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มปลูกต้นไม้สักกว่า 250,000 ต้น บนพื้นที่กว่า 200 เฮกตาร์ ในจังหวัดลำพูนตั้งแต่ปี 2011 ผ่านโครงการ Green Forest Plantation เพื่อต่อยอดการใช้วัสดุธรรมชาติอย่างมีจริยธรรม       

แบรนด์ยังมุ่งเน้นการออกแบบที่คงทน ทันสมัย และไม่พึ่งพาพลาสติกที่ทำจากปิโตรเลียม โดยเลือกใช้โลหะ  รีไซเคิลที่นำกลับมาใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมดีไซน์ให้ทุกชิ้นงานทนต่อรังสี UV ฝน และมรสุมอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ผลงานไอคอนิกที่ทุกคนควรสัมผัส

Palma Parasol – ร่มดีไซน์ล้ำที่ได้รับแรงบันดาลใจจากต้นปาล์ม มาพร้อมระบบไฮดรอลิกเทคโนโลยี BMW เปิด-ปิดนุ่มนวล ใช้งานง่าย ใช้เพียงแค่มือเดียว และคว้ารางวัล Red Dot Design Award

Carés Chair – เก้าอี้ทอมือจากเชือกกว่า 400 เมตร ความยาวเท่ากับ London Eye โดยช่างฝีมือ 2 คนต่อชิ้นงาน ถ่ายทอดความประณีตและมูลค่าที่แท้จริงของงานศิลป์

Ninix Sunlounger – เตียงพักผ่อนทรงเตี้ย ดีไซน์ตามหลักสรีรศาสตร์ พร้อมระบบปรับเอนด้วยแก๊สสปริง และเฟรมอะลูมิเนียมที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ

 

การผลิตที่ยึดมาตรฐานระดับโลก ภายในประเทศไทย

Royal Botania มีโรงงานผลิตขนาด 13,000 ตารางเมตร ในประเทศไทย ใช้ทีมช่างฝีมือกว่า 300 คน ภายใต้ระบบสวัสดิการที่ดี ทั้งด้านสุขภาพ การเรียนภาษาอังกฤษ และการดูแลบุตรหลาน “เฟอร์นิเจอร์ของเราไม่ใช่แค่ของตกแต่ง แต่คือประสบการณ์ชีวิต เราอยากให้ทุกคนมีความสุขกับทุกพื้นที่ในบ้าน และสัมผัสความพิถีพิถันที่เราใส่ลงไปในทุกดีไซน์” – ฟรานซิส แวนเบลเลน

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ขอแจ้งให้ผู้ใช้ทางทราบว่า กทพ. จะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรบนสะพานข้ามแยกบางขุนเทียน – ชายทะเล บริเวณถนนพระราม 2 กม.ที่ 7+000 เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางยกระดับภายใต้โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 1 โดยมีกำหนดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2568 ระหว่างเวลา 22.00 น. – 04.00 น. ของทุกวัน

ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางที่ต้องการมุ่งหน้าไปยังถนนเอกชัย-บางบอน ให้ใช้ถนนพระราม 2 ขาออก แล้วกลับรถที่จุด U-Turn ศาลเจ้าพ่องู ส่วนผู้ที่ต้องการไปยังถนนเทียนทะเล ให้ใช้ถนนพระราม 2 ขาเข้า แล้วกลับรถที่จุด U-Turn หน้าโรงพยาบาลบางมด แทนเส้นทางเดิม

กทพ. ได้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงจราจร สัญญาณไฟจราจร และไฟวับวาบเพื่อความปลอดภัย พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดปฏิบัติตามป้ายเตือนและกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง หากมีข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-356-6129 กทพ. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ขอแจ้งให้ผู้ใช้ทางทราบว่า กทพ. จะดำเนินการเบี่ยงช่องจราจรทางหลัก 1 ช่องจราจร (เลนขวาสุด) ขาเข้ามุ่งหน้าดาวคะนอง บนสะพานข้ามแยกทางต่างระดับบางขุนเทียน เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก สัญญาที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม ถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่างานก่อสร้างจะแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางยังสามารถใช้ทางหลักได้ 2 ช่องทาง และใช้ทางคู่ขนานได้ตามปกติและเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทาง กทพ. ได้ติดตั้งป้ายแจ้งเตือนล่วงหน้า ป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจร พร้อมไฟวับวาบ รวมถึงสัญญาณไฟจราจรต่าง ๆ บริเวณพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อให้ผู้ใช้ทางได้รับทราบล่วงหน้าและเตรียมพร้อมในการใช้เส้นทางอย่างเหมาะสม

กทพ. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางโปรดสังเกตป้ายเตือนและปฏิบัติตามสัญญาณจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้อื่น หากมีข้อร้องเรียน แจ้งเหตุ หรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 084-356-6129

กรุงเทพประกันภัยจับมือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ร่วมส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้สูงอายุ โดยสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักคนชรา พร้อมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการตรวจสุขภาพ มอบเวชภัณฑ์และสิ่งของจำเป็น จัดกิจกรรมสันทนาการและเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่ผู้สูงอายุ ตลอดจนมอบเงินบริจาค ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม BKI อาสาพัฒนาบ้านพักคนชรา และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โดย “อาสาบำรุงราษฎร์ ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจ ในสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดีและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารชาย อาคารหญิง และอาคารโภชนาการ มูลค่ากว่า 360,000 บาท พร้อมมอบยา เวชภัณฑ์ สิ่งของอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น เช่น ผ้าอ้อม ผู้ใหญ่ แผ่นกันเปื้อน ผ้าขนหนู อาหารเสริมทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย ข้าวสาร อาหารแห้งและเครื่องปรุงรส นอกจากนี้นายชัย โสภณพนิช ประธานมูลนิธิชัย-นุชนารถ โสภณพนิช  ร่วมสนับสนุนเงินบริจาคจำนวน 100,000 บาท เพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค

โดยมีนายชวาล โสภณพนิช ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย รศ.นพ.ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นประธานในการมอบสิ่งของให้แก่นางสาวสุทธิรัตน์ โทชนบท ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เป็นผู้แทนรับมอบและกล่าวขอบคุณผู้บริหารและจิตอาสาจากทั้ง 2 องค์กร

โอกาสนี้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นำทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ทั้งแพทย์อายุรกรรม แพทย์กระดูกและข้อ จักษุแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด และเภสัชกร จำนวนรวมกว่า 60 คนร่วมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ “อาสาบำรุงราษฎร์” ให้บริการตรวจสุขภาพแก่ผู้สูงอายุโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน

ภายในงานทีมจิตอาสาของกรุงเทพประกันภัย ยังได้จัดกิจกรรมสันทนาการให้ผู้สูงอายุได้ร่วมเกมสนุกสนานอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน พร้อมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่ผู้สูงอายุได้อิ่มอร่อยกันอีกด้วย

 

ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัยยังคงให้การสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่คนในสังคมผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายด้านการพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลพร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนในสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาองค์กร เศรษฐกิจ และสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

X

Right Click

No right click