December 05, 2025

นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมทั้งบุคลากรกองทุนประกันวินาศภัย ได้ร่วมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อจัดโครงการชี้แจงทำความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชีและการชำระหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย แก่บุคลากรสำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ ห้องประชุมสำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในบทบาท หน้าที่ และภารกิจของกองทุนประกันวินาศภัย ในการดำเนินงานของกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ ในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย

ในโอกาสนี้ นายชนะพล มหาวงษ์ ได้บรรยายในหัวข้อ “บทบาท หน้าที่ และภารกิจของกองทุนประกันวินาศภัย และภารกิจการเป็นผู้ชำระบัญชี” โดยได้เน้นย้ำถึงพันธกิจสำคัญของกองทุนประกันวินาศภัย ในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย ตลอดจนการดำเนินการชำระบัญชีและการชำระหนี้ในนามของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยมีการอธิบายถึงขั้นตอนในกระบวนการชำระบัญชีอย่างละเอียด ตรวจสอบและพิจารณาหนี้ การจัดสรรทรัพย์สิน รวมถึงการดำเนินการคืนสิทธิให้กับผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส

นอกจากนี้ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคลากรสำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้นำเสนอข้อสงสัยและข้อกังวลในเชิงปฏิบัติ อาทิ ความชัดเจนของขั้นตอนในการเรียกร้องสิทธิของผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ร่วมกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และทั่วถึง การจัดโครงการในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญระหว่างกองทุนประกันวินาศภัย และสำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบประกันภัย โดยการยกระดับความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านการชำระบัญชีให้แก่บุคลากรในพื้นที่ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนผู้เอาประกันภัยในระดับชุมชน อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจและเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัยให้สามารถรองรับสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในยุคที่การแต่งตัวไม่ใช่แค่เรื่องของการดูดี แต่เป็นการแสดงออกถึงตัวตนและเรื่องราวของเราเอง 4 แบรนด์เครื่องประดับไทยเหล่านี้กำลังปฏิวัติความหมายของการสวมใส่ด้วยแนวคิดที่แตกต่าง พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการสิ่งที่มากกว่าแค่ความสวยงาม

โดยทั้ง 4 แบรนด์นี้ เป็นแบรนด์ที่เข้าร่วมกิจกรรม “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย” โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ที่พร้อมจะถ่ายทอดความเป็นแบรนด์ไทย และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปสู่เวทีโลก ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณี

“Karatise Jewelry” เมื่อเครื่องประดับคือศิลปะที่จับต้องได้

"เครื่องประดับควรเป็นมากกว่าสิ่งของสวมใส่" นี่คือปรัชญาของ ธเนศ วิจิตเกษมกิจ เจ้าของแบรนด์ Karatise Jewelry ที่นำแนวคิด 'Creative Jewelry' มาสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นด้วยเทคนิค วัสดุ และรูปทรงแปลกใหม่ สำหรับคนชื่นชอบความเป็นเอกลักษณ์และต้องการเครื่องประดับที่สื่อถึงความเป็นตัวเอง Karatise Jewelry มอบทางเลือกที่แตกต่างด้วยดีไซน์ทันสมัยที่เปลี่ยนเครื่องประดับให้กลายเป็นศิลปะที่สวมใส่ได้

“Minella Jewelry” ความรักที่เชื่อมโยงทุกหัวใจ

อารีญา ไชยวัลย์ เจ้าของแบรนด์ Minella Jewelry  กล่าวว่า “หากคุณเป็นคนรักสัตว์และมองหาเครื่องประดับที่สื่อถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข Minella Jewelry คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ด้วยคอลเล็กชัน "Pawfect Heart" ที่ออกแบบมาเพื่อเฉลิมฉลองสายใยพิเศษระหว่างคุณและเพื่อนรักสี่ขา”

“ดีไซน์หัวใจลายตารางและลายอุ้งเท้าที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานกับสีพาสเทลสดใส สร้างความสุขและความอบอุ่นในสไตล์มินิมอลลักซ์ชัวรี ที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับคนรักสัตว์ที่ต้องการเครื่องประดับที่บอกเล่าเรื่องราวความรักและความซื่อสัตย์”

MALEZ” เปิดเผยความพิเศษในตัวคุณ

เมนัส ศรยุทธเสนี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ MALEZ ถ่ายทอดแนวคิดการทำเครื่องประดับของ แบรนด์ MALEZ ว่า "ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความพิเศษที่แตกต่าง ดังนั้นการออกแบบเครื่องประดับทุกชิ้น จึงไซด์ให้มีความโดดเด่น ชิ้นใหญ่ เพื่อสร้างความกล้าหาญให้ตัวผู้สวมใส่  “เครื่องประดับของเราจึงเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำ สนุกสนาน และต้องการแสดงความเป็น Extraordinary อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม MALEZ ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ แต่คือสัญลักษณ์ของความมั่นใจและความแตกต่าง เราเชื่อมั่นในคุณค่าและสร้างเครื่องประดับที่เป็นมากกว่าแค่อุปกรณ์แต่งตัวแต่ คือ เครื่องมือในการแสดงพลัง สร้างความมั่นใจ และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นตัวคุณ”

“Luvia” ความรับผิดชอบที่สวยงาม

“ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนสำคัญของการตัดสินใจซื้อ Luvia นำโดย เกศณี ครุธเกตุ นำเสนอเพชรแลปคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพชรแลปของ Luvia มีคุณภาพใกล้เคียงเพชรธรรมชาติ แต่ราคาย่อมเยากว่า พร้อมดีไซน์โดดเด่นที่เหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการเครื่องประดับที่มีความหมาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

ทั้ง 4 แบรนด์นี้สะท้อนเทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการแค่เครื่องประดับสวยๆ แต่ต้องการสิ่งที่สื่อถึงค่านิยม เรื่องราว และไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อศิลปะ ความรักต่อสัตว์เลี้ยง ความมั่นใจในตัวเอง หรือความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกเครื่องประดับในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของราคาหรือความสวยงาม แต่เป็นเรื่องของการหาสิ่งที่สะท้อนตัวตนและเรื่องราวที่เราต้องการเล่าให้โลกฟัง โดย “ดีพร้อม” พร้อมที่จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริม และสร้างศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่มุ่งส่งเสริม พัฒนา และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในทุกมิติ

เมื่อภัยธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ผ่านมาทำให้ผู้คนต้องหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยมากขึ้น พฤกษา เรียลเอสเตท จึงร่วมมือกับ อินโน  พรีคาสท์ จัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ "เมื่อแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป...บ้านแบบไหนเอาอยู่?"

หนึ่งในไฮไลต์ของงาน คือ การพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยี “พรีคาสท์” (Precast) ซึ่งเป็นระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจากอินโน พรีคาสท์ ที่ได้รับการวิจัยและทดสอบจาก AIT (Asian Institute of Technology) ว่าสามารถรองรับแรงแผ่นดินไหวได้จริง ซึ่งเทคโนโลยีนี้กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยในยุคที่แผ่นดินไหวอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ด้วยคุณสมบัติผนังรับแรงได้ดี ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ แข็งแรงกว่าอิฐมอญทั่วไปถึง 3 เท่า ซึ่งพรีคาสท์ที่ผลิตในโรงงานที่มีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ สามารถควบคุมคุณภาพได้แม่นยำทุกชิ้นส่วน กันไฟได้มากถึง 2 ชั่วโมง กันเสียงได้ดีขึ้น 33%


นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยชี้ทางออกสำหรับบ้านปลอดภัยยุคใหม่

ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมคอนกรีตหล่อสำเร็จไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรโครงสร้าง หนึ่งในวิทยากรที่มาร่วมเสวนาในครั้งนี้ กล่าวว่า “แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่อยู่บนรอยเลื่อนหลักของโลก แต่ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้านอยู่เสมอ แม้แต่ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ห่างจากรอยเลื่อนหลายร้อยกิโลเมตร หรือแม้กระทั่งเป็นพันกิโลเมตร ก็ยังตรวจพบแรงสั่นสะเทือนชัดเจนหลายครั้ง โดยเฉพาะอาคารสูงหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ออกแบบให้รองรับแรงจากแผ่นดินไหวอย่างเหมาะสม ดังนั้น การเตรียมพร้อมผ่านการออกแบบทางวิศวกรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็น”

“โครงสร้างที่แข็งแรงไม่เพียงปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย แต่ยังช่วยลดภาระในการซ่อมแซมและฟื้นฟูหลังเกิดเหตุอีกด้วย บ้านยุคใหม่จึงต้องออกแบบให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่ใช่แค่สวยหรืออยู่สบาย แต่ต้อง ‘เอาอยู่’ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว การออกแบบโครงสร้างอาคารยุคใหม่จึงต้องคำนึงถึงการต้านแผ่นดินไหวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างประเภทพรีคาสท์ จะต้องออกแบบและก่อสร้างจุดต่อที่ยึดชิ้นส่วนทั้งระบบเข้าด้วยกันให้มีความแข็งแรง ลดโอกาสถล่มหรือแตกร้าวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว”

 

“พรีคาสท์” เทคโนโลยีบ้านยุคใหม่ ปลอดภัยและลดคาร์บอน

นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จํากัด กล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยีพรีคาสท์ว่า "อินโน พรีคาสท์ มีโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในไทย ด้วยเครื่องจักรระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจากประเทศเยอรมนีที่ควบคุมคุณภาพได้แม่นยำกว่า ซึ่งเราไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเรื่องความแข็งแรงของผนังพรีคาสท์ แต่ยังเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว (CarbonCure) จากประเทศแคนาดา มาใช้ในการผลิต ทำให้สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในกระบวนการผลิต โดยไม่ลดทอนคุณภาพของพรีคาสท์ และยังเพิ่มความแข็งแกร่งด้วย" โดยบริษัทจะสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ในต้นปี 2569

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ทำให้อินโน พรีคาสท์ ได้รับการรับรองว่าเป็นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำรายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ของไทย โดยได้รับทั้งฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น บ้านที่ใช้อินโน พรีคาสท์ จึงได้ทั้งความปลอดภัยและความยั่งยืนในเวลาเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ของอุตสาหกรรมก่อสร้างสมัยใหม่

 

ย้ำจุดยืน "ป้องกันดีกว่าแก้" ผลักดันมาตรฐานใหม่สู่ตลาดอสังหาฯ

นายพิเชษฐ วิจิตรชำนาญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจ 2 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เน้นย้ำแนวคิดการพัฒนาโครงการของพฤกษาว่า การสร้างบ้านในยุคนี้ ไม่ควรเน้นแค่เรื่องฟังก์ชันหรือดีไซน์ แต่ต้องตอบโจทย์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน สำหรับพฤกษาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แบรนด์ให้ความสำคัญกับเรื่องโครงสร้างควบคู่กับดีไซน์และฟังก์ชัน เพราะมองว่าบ้านที่ดีต้องปลอดภัยและอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ต้องอยู่ได้จนถึงลูกหลาน

 “แบรนด์พฤกษาไม่เพียงให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง แต่ยังอยู่เคียงข้าง ดูแลและให้ความช่วยเหลือลูกบ้านในทุกสถานการณ์ ในช่วงเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เราทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่เช็กโครงสร้างของโครงการต่าง ๆ โดยทีมวิศวกรทันที เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกบ้านในเรื่องความปลอดภัย พร้อมให้คำปรึกษาแก่ลูกบ้าน รวมถึงประสานความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ซึ่งจากเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นช่วยตอกย้ำแนวคิดของเราว่าการก่อสร้างบ้านควรเน้นแนวทางการป้องกันมากกว่าแก้ไข เราจึงมุ่งมั่นผลักดันให้ทุกโครงการของพฤกษาหรือแม้กระทั่งตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม หันมาใช้เทคโนโลยีพรีคาสท์ให้มากขึ้น และกระตุ้นให้คนที่คิดจะซื้อหรือสร้างบ้าน คำนึงถึงเรื่องวัสดุและความแข็งแรงของบ้านด้วย"

 

สัมผัสประสบการณ์จริงกับ "บ้านที่อยู่ได้จริงในทุกสถานการณ์"

โครงการพาทิโอ กรุงเทพกรีฑา – วงแหวน ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดเสวนาครั้งนี้ นอกจากจะเป็นทาวน์โฮมพรีเมียมที่โดดเด่นด้วยหน้ากว้างถึง 10 เมตร ความสูง 3.5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 340 ตารางเมตร ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน บนทำเลศักยภาพที่เชื่อมต่อกับเส้นทางสำคัญหลายสาย พร้อมแนวคิด Biophilic Design ที่ผสานธรรมชาติเข้ากับการอยู่อาศัย รองรับชีวิตสมดุลแบบ Work-Life Harmony อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โครงการนี้พิเศษกว่าโครงการอื่น คือ การนำระบบพรีคาสท์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในงานโครงสร้าง รวมทั้งผนังภายนอกและภายใน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็น ‘บ้านที่อยู่ได้จริงในทุกสถานการณ์’ แม้ในยามที่เกิดแผ่นดินไหว ผนังรับแรงได้ดี ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ แข็งแรงกว่าอิฐมอญทั่วไปถึง 3 เท่า สร้างด้วยพรีคาสท์จากระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ สามารถควบคุมคุณภาพได้แม่นยำทุกชิ้นส่วนจากโรงงาน กันไฟได้มากถึง 2 ชั่วโมง เก็บเสียงดี ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก กันเสียงได้ดีกว่าก่ออิฐทั่วไป 33%

การจัดงานเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของพฤกษาในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ความปลอดภัยและความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีพรีคาสท์เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย

บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด การันตีความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ผ่านขนมที่อร่อยให้กับผู้บริโภคควบคู่ไปกับการตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม ล่าสุดได้รับประกาศนียบัตร เครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ประจำปี 2568 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ขยายผลการรับรองครอบคลุม 4 โรงงาน และ 2 โกดัง พร้อมช่วยลดก๊าซเรือนกระจกกว่า 9,990 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และพร้อมสนับสนุนเป้าหมายในการนำประเทศไทยสู่ Carbon Neutral

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และกัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความสำเร็จในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและเราได้บรรลุเป้าหมายตรงตามแผน (Road Map) ที่วางไว้ ด้วยการขยายผลการรับรองครอบคลุมโรงงานและโกดังเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่ยั่งยืน ในฐานะแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ อาทิกลุ่ม Gen Z ที่มีแนวคิดในการให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นในยุคปัจจุบันและมักสนับสนุนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตที่คำนึงในด้านความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งสอดคล้องกับยูอาร์ซีที่ตระหนักอยู่เสมอว่าการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกในอนาคตของเรา การได้รับการรับรองนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ประกาศนียบัตร แต่เป็นการยืนยันถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สังคมและสิ่งแวดล้อมของเราอย่างจริงจัง"

เครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เป็นการประเมินและวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมจากการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งยูอาร์ซี ได้เริ่มการดำเนินการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งในครั้งนี้ เป็นการขยายผลจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2567 เราได้รับการรับรองครั้งแรกสำหรับ 1 โรงงาน และ 1 โกดังเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และในปี 2568 ได้รับการรับรองเพิ่มอีก 3 โรงงาน และอีก 1 โกดังเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ รวมเป็น 4 โรงงานและ 2 โกดัง และในปี 2569 เรายังมีเป้าหมายในการขยายการรับรองให้ครบทุกโรงงานและทุกโกดัง

นอกจากนี้ ยูอาร์ซี ยังมีการดำเนินกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่:

  1. Waste to Recycle - การคัดแยกขยะ กระดาษ แก้ว พลาสติก เหล็ก และโลหะผสม เพื่อนำกลับไปใช้ซ้ำ
  2. Solar Power - การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน
  3. Waste to Animal Feed – การนำขยะอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีประเภทเศษอาหารจากกระบวนการผลิตไปใช้เป็นอาหารสัตว์

จากทั้ง 3 กิจกรรม ยูอาร์ซี สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 9,990 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 840,000 ต้น ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้โครงการ Low Carbon Emission Support Scheme : LESS จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เช่นเดียวกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 10% ในปีถัดไป

“ความสำเร็จนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนและส่งเสริมแผนกลยุทธ์ของประเทศไทยที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608 รวมถึงการช่วยลดภาวะโลกร้อน ซึ่งไม่เพียงแสดงถึงความมุ่งมั่นของ
ยูอาร์ซี ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวไทยให้ก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” – นายฐานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

สามารถติดตามกิจกรรมเพื่อสังคม และ สิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/urcthailandofficial หรือ เว็บไซต์ www.urcthailand.com 

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณกฤช ธีรสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทน (คนที่ 4 จากซ้ายแถวหน้า) พร้อมด้วยพนักงานและฝ่ายขายจิตอาสา เข้าร่วมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ประจำปี 2568 ณ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน พร้อมด้วยบริษัทประกันชีวิต 18 บริษัทชั้นนำ ซึ่งเป็นการจัดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความสามัคคีในร่วมกันแบ่งปันเพื่อสังคม และได้ช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วประเทศ ที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่นดูแลกันตลอดไป  ท่านสามารถติดตามกิจกรรมดีๆ ของบริษัทฯ ได้ที่ www.krungthai-axa.co.th หรือ โทร 1159 หรือทางอีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

คิงบริดจ์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A บนถนนพระราม 3 เปิดอาณาจักรต้อนรับตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์จากหลากหลายบริษัทชั้นนำ เดินหน้าสื่อสารวิสัยทัศน์โครงการ “คิงบริดจ์ ทาวเวอร์” อาคาร Mixed-use สูงที่สุด วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ในงาน “Bridging the Smiles Agent Day” จับมือเอเจนต์ระดับแนวหน้า ร่วมสัมผัสบรรยากาศและศักยภาพของ KingBridge Tower โปรเจกต์แลนด์มาร์คระดับโลก Iconic สถาปัตยกรรมเคียงคู่สะพานภูมิพล โครงการที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “The Spirit of Synergy” มุ่งเชื่อมโยงธุรกิจ สังคม และการใช้ชีวิตในการทำงานที่ดียิ่งขึ้น ภายในงาน ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการ พร้อมเข้าชมห้องตัวอย่าง พื้นที่อาคารจริง และรับฟังแนวคิดจากผู้บริหารของบริษัท ฯ

 

นายประเมศฐ์ ฤทธิพรพสิษฐ์ ผู้อำนวยการ บริษัท คิงบริดจ์ ทาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า “โครงการคิงบริดจ์ ทาวเวอร์ เป็นมากกว่าอาคารสำนักงาน เราสร้างแลนด์มาร์คที่จะเป็น ‘สะพาน’ เชื่อมโอกาสทางธุรกิจและการใช้ชีวิต โดยออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืน ฟังก์ชันที่ล้ำสมัย, ภาพลักษณ์องค์กรระดับโลก และ ความมีน้ำใจที่จัดพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สีเขียวแบบจัดเต็มถึง 55% เพื่อให้ผู้เช่ามีสุขภาวะที่ดี เราจึงอยากให้พันธมิตรเอเจนต์ของเราได้สัมผัสโครงการจริง เพื่อส่งต่อความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่”

 “เราพัฒนาโครงการโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ให้มี สเปควัสดุ เทคโนโลยี ไปจนถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม งาน Agent Day ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้แลกเปลี่ยนแนวคิด และสนับสนุนเอเจนต์ทุกท่านให้ประสบความสำเร็จไปพร้อมกับเรา”

นอกจากนี้ ภายในงานมีไฮไลต์ Special Talk Forum ในหัวข้อ “Synergy “DESIGN & CONSTRUCTION” ที่เชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยเกี่ยวกับความยั่งยืนและการออกแบบอาคาร ซึ่ง KingBridge Tower เป็นตัวอย่างของอาคารที่ผสานพลังของ “การออกแบบ” และ “ความยั่งยืน” ได้อย่างลงตัว ผ่านการร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มต้น โดยมุ่งสร้างพื้นที่ที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย ผู้เช่า และโลกในระยะยาว

 

โดย นายบัณฑา พงษ์พรต Head Of Department IRIs A49 ผู้นำในการออกแบบโครงการ KingBridge Tower กล่าวว่า “การออกแบบ KingBridge Tower เราเริ่มจากแนวคิดที่ต้องตอบโจทย์ทั้งการใช้งานจริงและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ Simulation วิเคราะห์แสง เงา ทิศทางลม และมุมปะทะต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสบายสูงสุดและลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ วัสดุที่เลือกใช้จึงต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระจกกรองแสงและวัสดุรีไซเคิล นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับ Cultural & Social Responsive Design คือการออกแบบที่สอดรับกับบริบทพื้นที่ เช่น การพิจารณาเงาที่ทอดลงไปยังอาคารข้างเคียง หรือการออกแบบพื้นที่ให้ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เช่น การเดินระหว่างชั้น รวมถึงการนำ Jogging Track มาใช้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางกาย เป้าหมายของเราคือการสร้างพื้นที่ที่ ‘มีชีวิต’ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ตอบรับทั้งความต้องการทางกายภาพและเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมได้อย่างแท้จริง”

คุณนิษฐา ภูษาชีวะ Green Business & Collaboration Manager SCG Smart Living ที่ปรึกษาด้านอาคารเขียวมากว่า 20 ปี กล่าวว่า “อาคารนี้เป็นสัญลักษณ์ของการผสานอดีตและอนาคตเข้าด้วยกัน  การมี Double Certification อย่าง LEED และ Fiwel สูงสุด 3 ดาว ประเภท  Multi-Tenant Base Building อาคารแรกในไทยและในเอเชียไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นการลงทุนที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้เช่าในระยะยาว เราทำงานร่วมกับทีมออกแบบตั้งแต่ต้นเพื่อให้ดีไซน์และความยั่งยืนสามารถเดินไปด้วยกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคุณภาพอากาศภายในอาคารที่เราควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้ง PM2.5 และ VOC ผ่านระบบตรวจจับและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรายังสามารถประหยัดน้ำได้มากกว่า 2 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ผู้เช่ารับรู้ได้จริง เมื่อผู้เช่าได้อยู่ในอาคารที่ดี มีคุณภาพ เขาก็อยากอยู่นานขึ้น นั่นคือผลตอบแทนที่ยั่งยืนของเจ้าของอาคาร เราต้องการให้อาคารตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคใหม่ ทั้งในด้านสุขภาพ ความสะดวกสบาย และสิ่งแวดล้อม พร้อมกับขับเคลื่อน KingBridge Tower ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของการมุ่งสู่ Net Zero Carbon”

 

โครงการ KingBridge Tower มุ่งสร้างพื้นที่ทำงานที่ "มีความสุข" และ "สมดุล" รวมถึงส่งเสริมพลังงานบวกและแรงบันดาลใจในการทำงาน ด้วยพื้นที่ "Spirit of Conversation" และ "Spirit of Well-being" ด้วยห้องประชุมหลายรูปแบบ และ Co-Working Space ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนพระราม 3 ซึ่งมีข้อดีด้านการเดินทางสะดวกเชื่อมต่อจากกลางเมือง และพื้นที่อุตสาหกรรม และยังออกแบบโดยคำนึงถึง ความสะดวกสบาย และใส่ใจสุขภาพของคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นระบบอากาศดีเยี่ยม, การออกแบบสถาปัตยกรรมและโครงสร้างอาคารด้วยทีมออกแบบมืออาชีพ ใช้วัสดุก่อสร้างและกระบวนการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการรับรองด้านอาคารเขียว (Green Building) ที่สะท้อนถึงการประหยัดพลังงานและความยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้นที่ KingBridge Tower พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ผู้เช่าเช่น ชั้น 23 ที่มี Sky Garden วิวแม่น้ำเจ้าพระยา และสะพานภูมิพล 360 องศา, Sky Lounge สำหรับต้อนรับแขกสำคัญที่ชั้น 39  และมีฟู้ดคอร์ท ที่ถูกออกแบบให้เหมือนอยู่ในร้านอาหารและมาพร้อมกับมุมวิวสะพานภูมิพลที่มีความสวยงาม ไม่ใช่แค่ศูนย์อาหารทั่วไป

 

เปิดให้จองพื้นที่สำนักงานและพื้นที่เชิงพาณิชย์แล้ววันนี้ พร้อมเป็นหนึ่งในหมุดหมายใหม่ของธุรกิจระดับโลกที่มองหาทำเลศักยภาพ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา สนใจเข้าเยี่ยมชม Office Show Suite โครงการ KingBridge Tower พระราม 3 ติดต่อ โทร. 02-295-3333 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.KingBridgetower.com, Facebook KingBridgetower

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก

การสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว

ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้

  • ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน
  • เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
  • ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

 

ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค

ร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่

  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
  • การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต
  • ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

 

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว

การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย

แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

 

ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก

ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://www.uobgroup.com/asean-insights/articles/uob-business-outlook-study-2025-thailand.page

บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด โดย นายรัฐธีร์ ฉัตรดำรงค์ศักดิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย รับมอบโล่เกียรติคุณจากนายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เชิดชูความสำเร็จของ LINE SHOPPING ในโครงการความร่วมมือกับ อย.ในการพัฒนาระบบการเชื่อมโยง API เพื่อป้องกันการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนผลิตภัณฑ์จะถึงมือผู้บริโภค ในงาน "ติดปีก อย. ไทย ผู้บริโภคมั่นใจ ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยในอี-คอมเมิร์ซ" เมื่อเร็วๆนี้

โครงการความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่าน LINE SHOPPING ว่ามีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งกวาดล้างผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยและไม่ได้มาตรฐาน ปกป้องผู้บริโภคให้รอดพ้นจากอันตรายและเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการจุดประกายให้แพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ อื่นๆ ร่วมมือกับ อย. ในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

ผู้ซื้อ LINE SHOPPING สามารถตรวจสอบเลข อย. ของผลิตภัณฑ์ได้แล้ววันนี้ผ่านเมนู “เลขที่ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง” หรือ “Product License Info” ที่แสดงอยู่ในหน้ารายละเอียดสินค้า ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลใบอนุญาตได้อย่างรวดเร็ว ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า

รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของประชาชนตลอดแนวคลองแสนแสบ รวมถึงส่งเสริมการใช้จักรยานและการเดินเท้าเป็นทางเลือกในการสัญจรในเมืองอย่างยั่งยืน

โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และลดปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบควบคู่ไปกับการก่อสร้างทางเดินและทางจักรยาน ตั้งแต่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงเขตหนองจอก ปลายสุดของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) พร้อมทางเดินและทางจักรยานแล้วเสร็จรวมระยะทางประมาณ 60.38 กิโลเมตร (60,380 เมตร)

 

ในส่วนของการดำเนินงานในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 4.72 กิโลเมตร (4,720 เมตร) ประกอบด้วย งานปรับปรุงขยายเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณถนนพระรามที่ 6 ถึงบริเวณสะพานเฉลิมหล้า โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานครถึงประตูระบายน้ำคลองตัน และโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรคลองแสนแสบตอนคลองบางชัน

ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 12.7 กิโลเมตร (12,700 เมตร) ในสองช่วง ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศถึงบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานคร
  2. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 1) จากบริเวณซอยรามคำแหง 185 ถึงบริเวณซอยราษฎร์อุทิศ 37

 

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีแผนดำเนินการในระยะถัดไป โดยจะดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 17.2 กิโลเมตร (17,200 เมตร) แบ่งออกเป็นสองโครงการสำคัญ ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 2) จากบริเวณซอยราษฎร์อุทิศ 37 ถึงซอยเลียบวารี 32
  2. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 3) จากซอยเลียบวารี 32 ถึงถนนเชื่อมสัมพันธ์

โครงการ “ทางเท้าเลียบคลองพร้อมเลนจักรยาน” ถือเป็นนโยบายสำคัญของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนพัฒนา “เดินได้ ปั่นปลอดภัย” ที่ริเริ่มจากเขตพระนครถึงเขตหนองจอก โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ริมคลองแสนแสบและคลองสายรองในเขตเมืองให้เป็นเส้นทางสำหรับการเดินเท้าและปั่นจักรยานอย่างปลอดภัย ครอบคลุมระยะทางรวมกว่า 47.5 กิโลเมตร (47,500 เมตร) โดยในช่วงต้นของโครงการ ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเท้าควบคู่กับแนวเขื่อนริมคลอง พร้อมติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีจุดเริ่มต้นที่เขตพระนครถึงเขตหนองจอก และแผนขยายต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น ลาดพร้าว พร้อมพงษ์ ท่าพระ และสามยอด เพื่อเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ รถไฟฟ้า MRT เรือ และ BTS ได้อย่างสะดวก ตั้งเป้าโครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2570 เพื่อสร้างเมืองที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว

 

หลังจากการให้ข้อมูล เกี่ยวกับแผนการพัฒนาส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เพื่อให้ได้เห็นภาพมากขึ้น รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางริมน้ำในเขตกลางเมืองกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ตั้งอยู่ใกล้กับย่านชุมชนแน่นหนาและสถาบันการศึกษาสำคัญอย่างมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดที่มีการสัญจรทางเรือหนาแน่นและเชื่อมต่อกับพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ

โดยเส้นทางนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็น ทางเดินเท้าและทางจักรยานเลียบคลอง ที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยมีการปรับปรุงผิวทางเดินให้เรียบเสมอ ติดตั้งราวกันตกในจุดเสี่ยง เพิ่มแสงสว่างตลอดเส้นทาง และจัดให้มีทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็น สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ถูกรบกวนจากการจราจรบนถนนหลัก

 

อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเงียบสงบกว่าพื้นที่ถนนภายนอก ทำให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเช้าและเย็น ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดระหว่างบ้าน ที่เรียน หรือที่ทำงาน และยังนิยมใช้ในการออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยเฉพาะนักศึกษาและบุคลากรของ มศว ที่สามารถเดินเชื่อมถึงท่าเรือได้อย่างสะดวก

ตลอดการดำเนินโครงการ กรุงเทพมหานครได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ จุดเชื่อมต่อ ทางลาด ทางข้าม และพื้นที่พักผ่อนต่าง ๆ ตลอดแนวคลอง เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างยั่งยืน โดยมีการประเมินผลตอบรับจากพื้นที่นำร่อง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นจากโครงสร้างทางเท้าและเลนจักรยานที่มีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ

X

Right Click

No right click