December 24, 2024

สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านสมาร์ทซิตี้ระดับโลก 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2- 2024) เป็นครั้งแรกของไทยและอาเซียน ภายใต้หัวข้อ “เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ” ระดมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักพัฒนาสมาร์ทซิตี้จากทั่วโลกมาร่วมพัฒนาวางแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต โดยภายในงานจะได้พบกับการประชุมเชิงวิชาการในด้านสมาร์ทซิตี้ในทุกสาขา และการจัดนิทรรศการแสดงถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะที่ล้ำยุค

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE PES Thailand Chapter ได้จัดงานแถลงข่าว การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ 10th IEEE International Smart Cities โดยนายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และนายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ได้มอบหมาย นายชูเกียรติ ยั่งยืนบางชัน ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นผู้แทน ร่วมกับ รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อุปนายกด้านการจัดประชุมวิชาการ (IEEE PES Vice Chair Meeting and Conference) และนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ พร้อมด้วย รศ.ดร.มนตรี วิบูลยรัตน์ Conference Chair, ISC2 2024 ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ นายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE Power & Energy Society (Thailand) และในนามผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแนวทางหลักของการพัฒนาเมืองทั่วโลก เนื่องจากจะช่วยยกระดับการอำนวยความสะดวกในทุกด้าน ทั้งในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดปัญหาการจราจร เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบันและอนาคต

ด้วยความสำคัญดังที่กล่าวมาข้างต้น ได้สร้างกระแสการพัฒนาเมืองของไทยไปสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้ในหลายพื้นที่ทั้งการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น จึงทำให้ไทยก้าวขึ้นมีความโดดเด่นในด้านนี้ โดยล่าสุดสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE PES Thailand Chapter ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 10 หรือ 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2- 2024) ในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ แกรนด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี ภายใต้แนวคิดหลัก “เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ” ซึ่งได้จัดขึ้นที่ประเทศไทยรวมถึงอาเซียนเป็นครั้งแรก หลังจากได้มีการจัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปีในหลากหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและอเมริกา

รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อุปนายกด้านการจัดประชุมวิชาการ (IEEE PES Vice Chair Meeting and Conference)  กล่าวว่า “การจัดงาน IEEE International Smart Cities Conference ถือได้ว่าเป็นการจัดงานด้านสมาร์ทซิตี้ที่สำคัญของโลก เนื่องจากเป็นเวทีการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย จากหลากหลายสาขาในองค์กรชั้นนำทั่วโลกได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเจาะลึกหัวข้อพิเศษ อาทิ การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในเมืองอัจฉริยะ, การสร้างสมดุลความปลอดภัยทางไซเบอร์และการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ, การเดินทางอย่างชาญฉลาดอย่างยั่งยืน: สำรวจโอกาสและรับมือกับความท้าทาย, ไฮโดรเจนในฐานะพาหนะพลังงานสีเขียวทางเลือก, การจัดการรถไฟอัจฉริยะ: การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ของผู้โดยสาร และอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และขยายเครือข่ายความร่วมมือ รวมทั้งกิจกรรมที่หลากหลายจากผู้เชี่ยวชาญ วิทยากร ผู้บริหารเมืองอัจฉริยะทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ”

ทางด้าน รศ.ดร.มนตรี วิบูลยรัตน์ ประธานการจัดงานประชุม IEEE ISC2 2024 ได้เพิ่มเติมว่า การประชุม IEEE ISC2 2024 มุ่งเน้นในหัวข้อ "เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ" โดยนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง ผู้เชี่ยวชาญจะหารือเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การจัดการพลังงาน การเดินทาง และการมีส่วนร่วมของประชาชน ISC2 2024 เป็นเวทีสำหรับความร่วมมือระดับโลก เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ มาร่วมสร้างเมืองแห่งอนาคตไปด้วยกัน

สำหรับการประชุมวิชาการ IEEE-ISC2-2024 จะประกอบด้วยการนำเสนอผลงานวิจัยกว่า 200 ฉบับ ในหัวข้อที่สำคัญ เช่น การบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในเมืองอัจฉริยะ, แอปพลิเคชันขั้นสูงและการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับเมืองอัจฉริยะ, ที่อยู่อาศัยใหม่ในเมืองอัจฉริยะ, ศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีคลาวด์ และสภาพแวดล้อมอัจฉริยะ เป็นต้น รวมทั้งยังมีการจัดกิจกรรมเชิงวิชาการที่หลากหลาย อาทิ การบรรยายพิเศษ (tutorial) เวทีการเสวนา (panel session) การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เชิงวิชาการ (side event) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และการจัดแสดงนิทรรศการ (Exhibition) จากหน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ และเยี่ยมชมนิทรรศการ ประมาณ 500 คน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักพัฒนา นักวิชาการ นักศึกษา นักวิเคราะห์นโยบาย สถาปนิก วิศวกร ของหน่วยงาน และองค์กรภาครัฐภาคเอกชน ผู้สนใจในด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมสำหรับการ พัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนผู้บริหารเมืองอัจฉริยะทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีจัดแสดงนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านเมืองอัจฉริยะ โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญจากผู้สนับสนุนหลักในการจัดแสดงนำโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), IEEE DataPort รวมทั้งยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีอัจฉริยะจากบริษัทชั้นนำระดับนานาชาติ อาทิ บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) และบริษัท ชไนเดอร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) ที่เป็นผู้สนับสนุนระดับไดมอนด์ จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการแสดงศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ กระตุ้นการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมสำหรับเมืองอัจฉริยะ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผู้นำด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บมีความยินดีที่จะสนับสนุนการจัดงาน The 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE ISC2 2024) ซึ่งเชื่อมั่นว่างานประชุมดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อเนื่องจากการจัดงาน สร้างคุณูปการในระยะยาวต่อเมืองพัทยา รวมไปถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และประเทศไทยไปจนถึงระบบนิเวศด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของโลกอีกด้วย

การจัดงานประชุมนานาชาติ IEEE ISC2 2024 ยังสอดคล้องกับนโยบาย Ignite Thailand ด้านวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของประเทศไทย อีกทั้งยังตรงตามอุตสาหกรรมเป้าหมายของทีเส็บในการผลักดันให้เกิดการจัดงานประชุมนานาชาติด้าน Urban Quality of Life and Mobility เพื่อเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

ทีเส็บขอขอบคุณสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี ประเทศไทย สำหรับการสร้างคุณูปการต่ออุตสาหกรรมการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทีเส็บยินดีสนับสนุน ส่งเสริม และร่วมมือกับสมาคมฯ เพื่อนำงานสำคัญๆ ของ IEEE อีกหลายๆ งานมาจัดที่ประเทศไทยในอนาคต

เตรียมพบกับการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2-2024) ครั้งที่ 10 ภายใต้แนวคิดหลัก “Smart Cities : Revolution for Mankind”  ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ แกรนด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี

พาลิน’ (Parin) แบรนด์นวัตกรรมความงามที่ประสบความสำเร็จจากการบุกน่านน้ำออนไลน์มาตลอด 3 ปีเต็ม โดดเด่นด้วยการเป็นผู้นำเทคโนโลยี ‘Beauty Gadgets’ โดยที่ผ่านมาพาลินมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ล้อไปกับภาพรวมตลาดความงามไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์ว่า ตลาดความงามไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3.4 แสนล้านบาท ขยายตัวราว 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ ‘พาลิน’ ในปีนี้ คือการเปิดเกมรุกบุกออฟไลน์เต็มตัว ด้วยงบการตลาดกว่า 30 ล้านบาท เพื่อมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับแบรนด์โดยตรง เริ่มตั้งแต่การเปิด Pop-up Store ในลักษณะ Roadshow Event แนะนำผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่มคือ Beauty Gadgets และ Skincare โดยมีกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมตั้งแต่นักเรียน -นักศึกษา วัยทำงาน ตลอดจนกลุ่ม ‘Silver Age’ ที่ต้องการการใส่ใจดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษได้สัมผัสกับอินโนเวทีฟบิวตี้อย่างใกล้ชิด เน้นเจาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ เป็นต้น

นางสาวโสภิดา เมฆาวิชญ์ภาส ผู้จัดการแบรนด์พาลิน บริษัท คอสเซตเต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า พาลินมีสินค้าครอบคลุมทั้งผิวหน้าและผิวกายด้วยความหลากหลายของสินค้าและราคาที่จับต้องได้ทำให้พาลินเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกกลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษา มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องล้างหน้า ‘PARIN FAVOR INNOVATION’ 2. กลุ่มวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 26 ปีขึ้นไป มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องกำจัดขน ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Multicolor Gen 1, Multicolor Gen 2, Multifunction Gen 3 และ ICONIC Gen 4 และ  3. กลุ่มวัยคุณแม่ มีความสนใจผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องยกกระชับ PARIN MINI HIFU และ เครื่องนวดหน้ายกกระชับ Parin Re-Aging

ทั้งนี้พาลินมีการวิเคราะห์เก็บข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้าผ่านขั้นตอนการทำ CRM หรือ Customer Relationship Management ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า กลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 24-28 ปี ให้ความสนใจเรื่องการจำกัดขน ซึ่งเครื่อง IPL ของพาลิน ตอบโจทย์ความต้องการประกอบกับความสะดวกสบายสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวให้แก่ตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน ตั้งแต่ผิวหน้าและร่างกาย

นอกจากนี้แบรนด์ยังได้ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023 และรองชนะเลิศอันดับ 1 Miss Universe 2023 นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนแรกของพาลิน ไอพีแอลด้วย เชื่อว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของแบรนดิ้งให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยจำนวนฐานแฟนคลับที่หลากหลาย รวมถึงมายด์เซ็ตและนิยามความงามของแอนโทเนียที่มองว่า ความงามที่แท้จริงคือความมั่นใจ เหมือนกับสโลแกนของพาลิน ‘Beauty in you’ อยากดูดีให้เริ่มที่การดูแลตัวเอง

ที่ผ่านมา พาลินเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ กระทั่งประสบความสำเร็จจนเป็นแบรนด์ ‘Top of mind’ ยืนหนึ่งในตลาด Beauty Gadgets จากสินค้ากลุ่ม IPL อย่าง Multifunction Gen 3 และ ICONIC Gen 4 หลังแบรนด์เจาะตลาดผ่านช่องทางออนไลน์สำเร็จ ได้แก่ Shopee, Lazada, Line Shopping และ เว็บไซต์ https://www.parinthailand.com/ มาวันนี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง จึงนำมาสู่การบุกตลาดออฟไลน์เต็มตัว โดยเริ่มคิกออฟกิจกรรมโรดโชว์ ในรูปแบบเปิด ป๊อป อัพ สโตร์ (Pop-Up Store) ภายใต้แนวคิด “ผู้หญิงทุกคนสวยได้เหมือนยกคลินิกมาไว้ที่บ้าน” เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ก่อนตัดสินใจซื้อ รวมถึงลูกค้าที่เคยเห็นแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์จะได้มีโอกาสทดลองใช้งานจริงกับผลิตภัณฑ์ด้วย โดยปักหมุดที่แรกบริเวณโซน Q steps ชั้น 1 The PARQ Life ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2567

สำหรับเป้าหมายของพาลินหลังจากนี้ นางสาวโสภิดา ระบุว่า พาลินจะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อยืนระยะในฐานะแบรนด์ ‘Top of mind’ จากสินค้าที่มีครบจบทุกความต้องการ นอกจากการรุกตลาดออฟไลน์แล้ว พาลินยังมีแผนขยายการเติบโตในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้ได้สร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจในประเทศลาวเรียบร้อยแล้ว คาดว่า ปี 2568 จะได้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของพาลินที่ประเทศลาวเป็นแห่งแรก

พาลินมุ่งมั่นสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ไทยคุณภาพสูง เน้นความเป็นธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพผิวอย่างพิถีพิถัน พร้อมสื่อสารด้วยแนวทางที่เป็นมิตร เข้าใจง่าย เข้าถึงผู้คนทุกเพศทุกวัย ผ่านการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น บทความเกี่ยวกับการดูแลผิว รีวิวผลิตภัณฑ์ และวิดีโอสั้น ซึ่งในอนาคตพาลินจะยังคงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับการดูแลตัวเองในรูปแบบผลิตภัณฑ์สินค้าสำหรับใช้ภายในบ้าน” นางสาวโสภิดา กล่าวปิดท้าย

กลุ่มบีเจซี ร่วมโชว์ศักยภาพในงาน Sustainability Expo 2024 มหกรรมด้านความยั่งยืนระดับอาเซียน โดยนำเสนอนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Highway to Net Zero” รวบรวมโครงการไฮไลท์ด้านการผลิตตั้งแต่ ต้นน้ำ ถึง ปลายน้ำ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ร่วมกัน ซึ่งภายในบูธได้ถ่ายทอดเรื่องราวภายใต้คอนเซ็ปต์ “Everyday Life” แสดงสินค้าและบริการจากกลุ่มบีเจซี ที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคนำเสนอให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้และเข้าใจระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซี่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในทุกกระบวนการผลิตไปจนถึงการเก็บกลับ นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเพิ่มมูลค่าขวดแก้ว เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ในการรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ณ บูธ บีเจซี โซน Better Living ชั้น G ฮอลล์ 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลุ่มบีเจซี มีกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าและเวชภัณฑ์และเทคนิค รวมถึงการปลีกสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” ภายในปี 2050 ที่สนับสนุนความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ โดยทุกกลุ่มธุรกิจล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน สร้างสมดุลทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม”

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 143 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบีเจซี  ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่สนับสนุนความยั่งยืนตั้งเป้าเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรไร้คาร์บอน ที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ตลอดจนการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 25 ปีของการดำเนินงานในประเทศไทยด้วยแคมเปญสุดพิเศษที่มอบสิทธิประโยชน์และโปรโมชันมากมายแก่ลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัล DAILYNEWS TOP CEO 2024 สาขาธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และเดลินิวส์ออนไลน์จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานโดดเด่นและมุ่งส่งเสริมภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยนายนิคฮิล นับได้ว่าเป็นผู้นำที่สร้างผลการดำเนินงานให้เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลักดันการดำเนินธุรกิจของเอไอเอ ประเทศไทย ให้บรรลุตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งยกระดับการดูแลคนไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงสุขภาพการเงิน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ซึ่งงาน DAILYNEWS TOP CEO 2024 จัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อฉลองในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” เดินหน้าสู่การเป็น “Fresh & Food Destination” แหล่งรวมวัตถุดิบนำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการและลูกค้าในราคาที่คุ้มค่า โดย แม็คโคร-โลตัส ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation และหน่วยงานพาณิชย์ เปิดเทศกาล “Taste of Korea 2024 ” หลากหลาย ครบครัน สำหรับเมนูเกาหลี คัดสรรวัตถุดิบและสินค้าคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลี

การจัดงานครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายปาร์ค ยง-มิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย พร้อมคณะ และนายคยอง ยง บยอน ผู้อำนวยการ Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation ให้เกียรติเปิดงาน โดยมีนายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) นางสาวพิมอร พนาพฤกษชาติ รองผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค คุณอมราลักษณ์ ลามุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับที่แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์

สำหรับเทศกาล “Taste of Korea” มีสินค้าคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลีให้เลือกสรรมากกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารสด กิมจิผักกาดขาว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กลุ่มเครื่องปรุงรสเกาหลี โกชูจัง ซัมจัง แดนจัง ซอสหมักหมูหมักเนื้อ เครื่องดื่ม ขนมนำเข้าจากประเทศเกาหลี รวมถึงอุปกรณ์ในการประกอบอาหาร  และพบกับสินค้า Exclusive ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่แม็คโคร และ โลตัส ในราคาเอื้อมถึงได้  พร้อมจัดโปรโมชั่นในราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 30% ภายในงานมีกิจกรรมไฮไลท์ที่น่าสนใจ ทั้งการสาธิตการทำอาหาร เมนูกิมจิกุกซู โดยเชฟเบนซ์ วีรเทพ อาจอาคม ที่นำกิมจิผัดกาดขาว เกรดพรีเมียมของประเทศเกาหลี โดยได้รับการสนับสนุนจาก IIKIM มารังสรรค์เมนูสุดพิเศษ และสาธิตการทำ Richam Sandwich จากเชฟอ๋อง – ธนินทร์ กัณหะเสน Food Consult – Potato Head หนึ่งในผู้ร่วมรายการเชฟกระทะเหล็ก ที่มาร่วมรังสรรค์เมนูแสนอร่อยด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีนำเข้าจากประเทศเกาหลี  

ลูกค้าที่สนใจสินค้านำเข้าคุณภาพดีส่งตรงจากเกาหลี สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ที่ แม็คโครและโลตัส ทุกสาขา หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ Makro PRO และ Lotus’s Smart App ตั้งแต่วันนี้ ถึง 29 ตุลาคม 2567 และเชิญร่วมช้อป ชิม กับงานจัดแสดงสินค้าเทศกาล “Taste of Korea 2024 ” สินค้าคุณภาพนําเข้าจากประเทศเกาหลี ได้ที่ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ ระหว่างวันที่ 4 – 12 ตุลาคม 2567

บมจ.ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ หรือ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จัดกิจกรรม Life Jigsaw Camp เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในงานอาชีพตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน เข้าสัมผัสประสบการณ์ พร้อมรับความรู้เกี่ยวกับการวางแผนสู่การสร้างธุรกิจ เส้นทางในแบบของตนเอง

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวว่า “กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจในอาชีพตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งจัดขึ้นภายแนวคิด “Engaging with a Difference – เป็นคุณในแบบที่แตกต่างไป” เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกใช้ชีวิต เลือกเส้นทางอาชีพของตนเอง เพราะหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต คือการมอบโอกาสทางด้านอาชีพ พร้อมส่งเสริมศักยภาพให้กับทุกคนที่มีความสนใจในสายงานนี้ ให้เติบโตและก้าวสู่การเป็นตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพอย่างยั่งยืน”

ภายในงานผู้ร่วมงานยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ การเปิดกลุ่มพูดคุยพร้อมเวิร์กชอป เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของบุคลากรฝ่ายขายของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จากทั่วประเทศ รวมถึงการให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน และกิจกรรมต่างๆ จากบูธโรงพยาบาลพันธมิตรที่มาร่วมให้ความรู้ และสร้างเครือข่าย ซึ่งช่วยในการเสริมศักยภาพของตัวแทน เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุด สอดคล้องกับหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทฯ คือการทำให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และการสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานเป็นตัวแทนกับ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chubb.com/th/agent-career

บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกอย่าง นีเวีย และยูเซอริน ตอกย้ำเป้าหมายนำพาธุรกิจสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนตัวจริง กับอีกก้าวสำคัญในการปรับฐานการผลิตใหญ่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกสู่การใช้พลังงานทดแทนจากโซลาร์ฟาร์ม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวทางด้านความยั่งยืนแบบบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม โดย ไบเออร์สด๊อรฟ ได้เพิ่มเป้าหมายในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี พ.ศ. 2588

ไบเออร์สด๊อรฟ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดย พอล ไบเออร์สด๊อรฟ ได้คิดค้นพลาสเตอร์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2425 และ ในปี พ.ศ. 2433 ที่ ดร. ออสการ์ โทรโพลวิตซ์ ได้เข้ามาเป็นผู้สร้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้อย่าง NIVEA Cream หรือที่คุ้นเคยกันว่า นีเวียครีมตลับสีฟ้า นอกจากนี้ยังรวมไปถึง NIVEA SUN, Eucerin Lotion และ NIVEA DEO อีกด้วย โดยนีเวียครีมตลับสีฟ้า ได้นำเข้ามาขายที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2469 ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2515 และตั้งโรงงานผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2530 นับจากนั้นมาบริษัทได้พัฒนาจนกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของไบเออร์สด๊อรฟในทวีปเอเชีย ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินงานเพื่อรองรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

อนึ่ง ความท้าทายของการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางของความยั่งยืนที่นอกจากจะต้องอาศัยความมุ่งมั่นแล้ว ยังมีปัจจัยในเรื่องความซับซ้อนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งไบเออร์สด๊อรฟให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยลดขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้แหล่งพลังงานทดแทน การดูแลแหล่งกำเนิดวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่งดิน ผืนป่า ฯลฯ รวมถึงการดูแลชุมชนและท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ไม่เพียงการสร้างอาชีพแต่ยังดูแลผู้คนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมสังคมที่เคารพและยอมรับในความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาศักยภาพและบทบาทของสตรี เด็ก และเยาวชน ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร “การให้ความดูแล” (Care) อันโดดเด่นของไบเออร์สด๊อรฟ

นางสาววราพร ลิขิตจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ไบเออร์สด๊อรฟเราให้ความสำคัญเรื่องของการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตามวัตถุประสงค์การมีอยู่ของแบรนด์ นั่นคือ Care Beyond Skin ที่ให้คุณค่าเหนือกว่าการส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนนี้มาอย่างต่อเนื่องว่าเรามุ่งมั่นและจริงจังในการผลักดันเรื่องความยั่งยืนเข้าในฟันเฟืองต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของเรา ซึ่งตอนนี้ยิ่งให้ความเข้มข้นขึ้นเพื่อสอดรับกับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนล่าสุดของเราอย่าง “Win with Care” ที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าให้กับผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ผ่านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณของเรา ที่ไม่เพียงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่เรายังให้คุณค่ากับทุก ๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วัตถุดิบ แหล่งที่มา คนมากมายที่อยู่ในกระบวนการผลิตและธุรกิจ และการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และมีความโปร่งใส  จะเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ไบเออร์สด๊อรฟไปถึงเป้าหมายการเป็นธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”

สำหรับไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ที่มีฐานการผลิตที่สำคัญของทวีปเอเชีย มีความเคลื่อนไหวเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดรับกับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน โดยนอกเหนือจากการกำจัดและบำบัดของเสียจากกระบวนการผลิตที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดทางโรงงานได้เปิดใช้โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว 100% บนพื้นที่กว่า 5,610 ตารางเมตร (14 ไร่) ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) รวมถึงการเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้งกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์นีเวียที่ปลอดไมโครพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไบเออร์สด๊อรฟไม่เพียงแค่จะบรรลุเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2568 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573 เท่านั้น แต่ยังพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี พ.ศ. 2588

นางสาวสุเรขา วันเพ็ญ ผู้อํานวยการศูนย์การผลิต บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “สําหรับเรา การจะเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น จะต้องทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันอย่างเครือข่ายซัพพลายเออร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของเราด้วยเช่นกัน เราสามารถทําให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีความยั่งยืนมากขึ้นโดยการเลือกใช้วัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตที่มีความเกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้น้อยลง เช่น การใช้เส้นทางการจัดส่งที่ใกล้ขึ้นหรือสั้นลง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทนพลาสติกใหม่ (Virgin plastic) ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทั้งสิ้น ล่าสุดเราเพิ่งเปิดโซลาร์ฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานของไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลก ซึ่งเราสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองได้มากถึง 25% โดยเป็นพลังงานจากโซลาร์ฟาร์ม 10% นั่นทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 800 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยต้นไม้ถึง 50,000 ต้น นอกจากนี้ เรายังมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้แก่พนักงานในโรงงานของเรา รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย”

สำหรับในเรื่องของความยั่งยืน นอกเหนือจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ไบเออร์สด๊อรฟยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรโดยให้ความสำคัญและส่งเสริมความเท่าเทียมและยอมรับความแตกต่างในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบายส่งเสริมพนักงานระดับผู้บริหารแบ่งตามเพศในสัดส่วน 50:50 ที่ทำสำเร็จได้ในปี พ.ศ. 2566 หรือการทำกิจกรรมเพื่อชุมชนท้องถิ่นอย่าง Care Beyond Skin Day ที่พนักงานไบเออร์สด๊อรฟ ทั่วโลก ได้ใช้เวลางานหนึ่งวันเต็มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านการศึกษาและการสาธารณสุข อาทิ โครงการปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียนที่ยากไร้ในประเทศไทย การบริจาคสิ่งของจำเป็นและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณแก่องค์กรสาธารณกุศล เป็นต้น

นับแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ไบเออร์สด๊อรฟ ได้จัดทำโครงการและกิจกรรม CSR แบบบูรณาการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การใช้พลังงานทดแทน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคุณภาพและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและผืนป่าในแหล่งวัตถุดิบ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้กับสตรีและเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและการผลิตทั่วโลก เป็นต้น โดยต่อจากนี้ไบเออร์สด๊อรฟ จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างโครงการใหม่ ๆ ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีและยั่งยืนต่อไป

โครงการ “Phenix” (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ภายใต้การบริหารของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับมูลนิธิพุทธานุสรณ์และเครือข่ายกรมศาสนา จัดพิธีเปิด “เทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง” เนื่องในกิจกรรมณรงค์ถือศีลทานเจ ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมการทำบุญ สร้างทานบารมี สานต่อวัฒนธรรมการถือศีลกินเจ และถวายความศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ฯ ตามจารีตของคนไทยเชื้อสายจีน พร้อมอิ่มอร่อยไปกับเมนูอาหารเจแบบรักษ์โลกรูปแบบใหม่ โดยได้รับเกียรติจากนางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยคณะผู้บริหารฯ โครงการ Phenix อาทิ นายอัศวิน คำแวง กรรมการผู้จัดการ- Phenix บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน), ผู้บริหารจากมูลนิธิพุทธานุสรณ์, นักแสดงสาวดาวรุ่ง อลิศ ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน ในฐานะองค์สมมติพระโพธิสัตว์กวนอิม ประจำปี 2567 ตลอดจนอาจารย์ไวท์ (หมอดูโอปป้า), เจน ญาณทิพย์, นวรัตน์ ยุตะนันท์, ศิลปินเพลงเอกจากเวิร์คพ้อยท์ และ Mister Landscapes International Thailand 2024 ที่มาร่วมสร้างสีสันและเข้ารับประกาศนียบัตรทำความดี ณ Commonspace ชั้น G โครงการ “Phenix”

โดยภายในงานเนรมิตพื้นที่โดยรอบทั้งด้านในและด้านนอกอาคารให้มีบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ที่แสดงถึงความศรัทธาในประเพณีอันทรงคุณค่าของพี่น้องเชื้อสายจีน ตอกย้ำการเป็นแลนด์มาร์คสำคัญแห่งใหม่ใจกลางย่านประตูน้ำ พร้อมอัญเชิญองค์เทพแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นสิริมงคล พระโพธิสัตว์กวนอิมปางสำเร็จธรรม ซึ่งอัญเชิญมาจากเกาะโพวถ่อซาน ทะเลจีนใต้ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธี รับหน้าอันเชิญพระโพธิสัตว์ฯ ขึ้นประดิษฐานบนแท่นพิธี พร้อมร่วมกราบสักการะ พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพร ที่มีความสูงถึง 4 เมตร ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับพระกุมารโพธิสัตว์ และธิดาพญามังกรที่ยืนพนมมืออยู่ข้างพระโพธิสัตว์กวนอิม เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล สร้างพลังบุญให้กับตัวเองและครอบครัว ตลอดจนอิ่มบุญ อิ่มอร่อยร่วมกันในบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ โดยระหว่างการอัญเชิญพระโพธิสัตว์ มีประชาชนให้ความสนในร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว “อลิศ - ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน” ผู้ปฏิบัติหน้าที่องค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมอย่างเป็นทางการ ในประเพณีถือศีลทานเจ ประจำปี 2567 พร้อมร่วมแจกทานอาหารเจเพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นปฐมฤกษ์แห่งการทำบุญสร้างกุศล จำนวน 200 ชุด แก่ประชาชนผู้ร่วมงาน และยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ อิ่มอร่อยไปกับเมนูอาหารเจรสเลิศในรูปแบบกินเจ ไม่จำเจ กว่า 20 ร้านที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยฟิน กินยกชามในแบบรักษ์โลกด้วยภาชนะถ้วยวาฟเฟิลกินได้จาก Mister Cone, กิจกรรมเวิร์คชอปวาดภาพพู่กันจีน แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2567, การมอบรางวัลให้กับศิลปินและดาราที่ร่วมรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกิจกรรมถือศีลทานเจ,  การแจกทานอาหารเจในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ของคณะเจ้าภาพบริเวณหน้าองค์พระโพธิสัตว์ จำนวน 200 ชุด, กิจกรรมแจก “เหรียญพระโพธิสัตว์กวนอิม” เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล จำนวนวันละ 150 เหรียญ ตลอดระยะเวลาการจัดงาน พร้อมร่วมพิธีสวดเจริญพุทธมนต์มหากรุณาธรณีสูตรและทำน้ำพระพุทธมนต์ โดยพระอาจารย์วิศวภัทร มณีปัทมเกตุ อารามวัตรมหายาน มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย, พิธีลอยเทียนบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งได้รับเกียรติจากอาจารย์ไวท์ (หมอดูโอปป้า) และเจน ญาณทิพย์ ร่วมเป็นแขกรับเชิญพิเศษสร้างสีสันภายในพิธีเปิดตัวเทศกาลฯ

ผู้สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการทำบุญครั้งสำคัญในเทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง ได้ตั้งแต่วันนี้ - 11 ตุลาคม 2567 ณ บริเวณ Commonspace ชั้น G โครงการ Phenix Pratunam และรับโปรโมชั่น 2 ต่อสำหรับผู้ที่ช้อปปิ้งในงานหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโครงการ Phenix” ครบ 500 บาท ลุ้นสิทธิแลกรับกระเป๋าเสริมโชค มูลค่า 299 บาทและคูปองอาหาร มูลค่า 50 บาท ติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Phenix Food Wholesale Hub หรืออินสตาแกรม @phenixfoodwholesalehub หรือ เว็บไซต์ www.phenixbox.com 

X

Right Click

No right click