December 05, 2025

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดย โกลบอลมาร์เก็ตส์ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าภาพรวมสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทยยังคงมีความท้าทายจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ สอดคล้องตามแผนธุรกิจของกรุงศรีที่มีเป้าหมายในการเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ รวมถึงขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องดิจิทัล เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

 

นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด  (มหาชน) กล่าวว่า “หากพิจารณาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน เราจะพบว่ามีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบและเป็นความท้าทายต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ จะยังคงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนลูกค้าและผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายดังกล่าวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยเช่นกัน”

 “ในปี 2568 กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ มุ่งสร้างการเติบโตของธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนด 4 กลยุทธ์หลักซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล และ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/2568 ปริมาณธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราการส่งออกและนำเข้าในไตรมาสแรกของปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย 4 กลยุทธ์หลักนี้”

 

กลยุทธ์หลักในการดำเนินงานของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ในปี 2568 ประกอบด้วย

  1. การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG: นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG เพิ่มขึ้น อาทิ ธุรกรรมอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับ ESG (ESG-linked Interest Rate Derivatives) และผลิตภัณฑ์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่อ้างอิงกับ ESG (ESG-linked FX) ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณซื้อขายผลิตภัณฑ์ ESG-linked FX อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
  2. การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่: เพิ่มความสามารถของสกุลเงินเกิดใหม่ (Emerging Currency) โดยในปีที่ผ่านมา กรุงศรีสามารถขยายขีดความสามารถเพื่อรองรับธุรกรรมสกุลเงินเดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) และธุรกรรมปริวรรตเงินตราต่างประเทศให้ครอบคลุมเงินสกุลเปโซเม็กซิโก (MXN) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแก่ลูกค้าที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือ โดยในปี 2567 ธนาคารมีปริมาณธุรกรรมในการใช้ธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
  3. การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล: พัฒนาทั้งในแง่เทคโนโลยี และความสามารถในการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องให้มีความหลากหลาย สะดวก รวดเร็ว และสอดคล้องกับความต้องการ โดยในปี 2567 มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและในไตรมาส 1/2568 มีจำนวนธุรกรรม FX ที่ทำผ่านแพลตฟอร์ม FX@Krungsri สูงถึง 26% ของธุรกรรม FX ที่สามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้
  4. การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่แก่ลูกค้า: มุ่งขยายขีดความสามารถในการให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ ไม่จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปริวรรตเงินตราต่างประเทศและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2567
    กรุงศรีได้ออกผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (Bond Forward) ที่ลูกค้าและนักลงทุนสามารถใช้ในการลดความเสี่ยงด้านตลาดและด้านสภาพคล่องในการกำหนดราคาซื้อขายพันธบัตร

นอกจากนี้ กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ยังได้ให้ข้อมูลภาพรวมของสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดังนี้ นโยบายกำแพงภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์กดดันค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวจะเอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ลดดอกเบี้ยลงต่อในระยะข้างหน้า อีกทั้งความกังวลของตลาดเกี่ยวกับสถานะการคลังสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผู้ค้าสำคัญของสหรัฐฯ มีเวลาที่จะเตรียมตัวตั้งรับด้วยการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศเพื่อชดเชยผลกระทบจากสงครามการค้า แม้ในกรณีที่ความตึงเครียดด้านการค้าคลี่คลายลง การฟื้นตัวของเงินดอลลาร์จะถูกจำกัดด้วยความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป ซึ่งเป็นผลของนโยบายการค้าสุดโต่งและปรับเปลี่ยนไปมา

 

“กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ คาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะกลับมาผันผวนสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และผลต่อต้นทุนพลังงาน โดยประเมินว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ในกรอบกว้างที่ 31.75-34.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานสำคัญที่ว่าสหรัฐฯอาจลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และปัจจัยลบของเงินดอลลาร์ในตลาดโลกยังคงดำเนินต่อไป” นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อํานวยการอาวุโส
สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน)
กล่าว       

“สกุลเงินของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออกสูง รวมถึงเงินบาท อาจอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น เงินเยน และเงินยูโร ขณะที่การค้าโลกเข้าสู่ภาวะซบเซา อนึ่ง คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)อาจลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากระดับ 1.75% ในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจซึ่งเผชิญหลากหลายความเสี่ยงด้านขาลง” นางสาวรุ่ง กล่าว

บริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องเสียงแบรนด์ดังชั้นนำระดับโลก ภายใต้บริษัท Home Hi-Fi เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Wharfedale Pro (วาฟีเดลโปร) 5 ซีรีส์ใหม่ ประกอบด้วย XLA, WLA, WLA-F, DP Amplifier และ GPL Series ในไทยอย่างเป็นทางการ โดยมุ่งตอบสนองช่องว่างทางการตลาดระบบเสียงมืออาชีพที่ต้องการคุณภาพระดับสากลในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมอีเวนต์และบันเทิงในประเทศไทยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดย Wharfedale Pro นำเสนอนวัตกรรม "Enhanced Engineering Precision" ที่ผสานส่วนประกอบจากยุโรปในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมเทคโนโลยีกันน้ำระดับ IPX6 เป็นครั้งแรกในตลาดไทย

Sound Republic วางตำแหน่ง Wharfedale Pro เป็น "Smart Choice for Professional Audio" — ทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับมืออาชีพ โดยมุ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ Sound engineer, ผู้รับเหมาระบบเสียง, ธุรกิจ Event production และสถานประกอบการที่ต้องการระบบเสียงคุณภาพสูงในงบประมาณที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในระดับพรีเมียมแบรนด์เต็มรูปแบบ

นายกฤศนุ งามประเสริฐพงศ์ CEO of Sound Republic กล่าวว่า "เราพบช่องว่างในตลาดไทยชัดเจน ลูกค้ามืออาชีพต้องการเสียงระดับสากล แต่ไม่อยากจ่ายราคาแบรนด์ Tier A เต็มๆ Wharfedale Pro ใช้ไดรเวอร์จาก B&C และ Beyma ระดับเดียวกับแบรนด์ชั้นนำโลก แต่ราคาเข้าถึงได้จริง นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการยกระดับอุตสาหกรรมเสียงไทยให้ก้าวทันโลก"

สิ่งที่ทำให้ Wharfedale Pro โดดเด่นคือการออกแบบระดับ Enhanced Engineering Precision โดยเลือกใช้ Driver จากยุโรประดับโลกทั้ง B&C และ Beyma ผสานเทคโนโลยีเฉพาะตัวอย่าง EVO-FOLD Waveguide ที่ให้การกระจายเสียงแม่นยำแบบ Uniphasic Sound พร้อมการจูน FIR DSP โดยจุดเด่นพิเศษคือรุ่น WLA-28XF ที่มาพร้อมความทนระดับ IPX6 ซึ่งยังไม่มีใครทำได้ในช่วงราคานี้ นับเป็นครั้งแรกที่มาตรฐานระดับนี้ถูกทำให้เข้าถึงได้จริงในตลาดไทย

รายละเอียดผลิตภัณฑ์ทั้ง 5 ซีรีส์ประกอบด้วย:

  1. XLA Series: ระบบ 3-Way Coaxial พร้อม EVO-FLOW waveguide และซับวูฟเฟอร์ 21 นิ้วคู่เทคโนโลยี INFRA BASS ให้เสียงเบสที่ลึกและทรงพลัง
  2. WLA-1 Series: Hybrid Curvature Array ที่ควบคุมการกระจายเสียงได้แม่นยำทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อม EVO-FOLD Waveguide สำหรับการแสดงขนาดกลางถึงใหญ่
  3. WLA-28XF: Line Array มาตรฐาน IPX6 waterproof พร้อมขั้วต่อกันน้ำ เหมาะสำหรับงานกลางแจ้งหรืองานติดตั้งที่ต้องการความทนทาน
  4. DP Amplifier Series: แอมป์ดิจิทัลพร้อม FIR DSP 512 taps, Dante networking capability และ AES/EBU redundancy เพื่อการควบคุมและเชื่อมต่อขั้นสูง
  5. GPL Series: ลำโพง Full-Range และ Coaxial Monitor ที่ใช้ไดรเวอร์ Beyma จากสเปน ให้เสียงแม่นยำคมชัด เหมาะกับงานติดตั้งถาวรทุกประเภท เช่น ร้านอาหาร โรงแรม สถานศึกษา และบ้าน

ในการเปิดตัวครั้งนี้ ยังมีการจัดสัมมนาพิเศษ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก Wharfedale Pro และการสาธิตระบบเสียงจาก XLA Series พร้อมการแสดงสดจากศิลปินชื่อดัง “ปู Blackhead” เพื่อพิสูจน์ศักยภาพการถ่ายทอดเสียงในสภาพแวดล้อมจริง

ผลิตภัณฑ์ Wharfedale Pro ทั้ง 5 ซีรีส์ พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ผ่านตัวแทนจำหน่าย Sound Republic ทั่วประเทศ พร้อมการรับประกันสินค้า บริการหลังการขาย และทีมสนับสนุนทางเทคนิคโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6  หรือ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ Line OA: @SoundRepublic

เตรียมตัวให้พร้อม! ลุ้นไปทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ ดิวเบอร์รี่ แบรนด์คุกกี้และเค้กสอดไส้รสผลไม้ ชูจุดแข็งด้วยแยมผลไม้ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมียมที่ไม่เหมือนใครทำให้ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้เสิร์ฟแคมเปญใหญ่แห่งปี "ดิวเบอร์รี่ชวนฟิน บินฟรีไปญี่ปุ่น" รางวัลใหญ่แจกแพ็กเกจบินลัดฟ้าทัวร์ญี่ปุ่นสุดฟิน ต่อด้วย iPhone 16 สีชมพูสุดคิ้วท์ และของรางวัลสุดพิเศษอีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 559,000 บาท พร้อมเปิดตัวรสชาติใหม่แบบลิมิเต็ด อิดิชั่น "ดิวเบอร์รี่ คุกกี้ และดิวเบอร์รี่ เค้ก รสพีชญี่ปุ่น" ผสานความหวานกำลังดีและความหอมของพีช ส่งต่อรสชาติความอร่อยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ฟิน เหมือนบินไปกินที่ญี่ปุ่น

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ยูอาร์ซี ในฐานะผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย นอกจากการมอบความอร่อยจากสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว การสร้างความตื่นเต้นและความแตกต่างในตลาดก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง การจัดแคมเปญ "ดิวเบอร์รี่ชวนฟิน บินฟรีไปญี่ปุ่น" ในครั้งนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคเข้าถึงตัวสินค้าด้วยการทุ่มทุนมอบรางวัลใหญ่บินตรงไปสัมผัสความเป็นญี่ปุ่น เหมือนกับรสชาติใหม่อย่าง ดิวเบอร์รี่ คุกกี้ และดิวเบอร์รี่ เค้ก รสพีชญี่ปุ่น ที่เราตั้งใจสร้างประสบการณ์รสชาติระดับพรีเมียมที่พิเศษยิ่งขึ้นเพื่อคืนกำไรให้กับผู้บริโภคที่สนับสนุนเราด้วยดีเสมอมา พร้อมทั้งเป็นสื่อกลางที่ช่วยสร้างโมเมนท์ให้ผู้บริโภคได้เชื่อมต่อ แบ่งปันกับเพื่อน ครอบครัว คนพิเศษ ผ่านรสชาติแยมผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของดิวเบอร์รี่”

ร่วมสนุกกับกิจกรรม "ดิวเบอร์รี่ชวนฟิน บินฟรีไปญี่ปุ่น" ง่าย ๆ แค่ซื้อ-ส่ง-ลุ้น-บิน! ไม่มีจำกัดสิทธิ์ เพียงซื้อดิวเบอร์รี่ ทั้งผลิตภัณฑ์ ดิวเบอร์รี่ คุกกี้ หรือดิวเบอร์รี่ เค้ก ทุกรสชาติ ชนิดใดขนาดใดก็ได้ ครบ 20 บาท ก็มีสิทธิ์ลุ้นบินฟรีเที่ยวญี่ปุ่น, ลุ้น iPhone 16 และลุ้นของรางวัลอีกมากมาย โดยไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรม ยิ่งซื้อเยอะ โอกาสฟินยิ่งมาก ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 – วันที่ 25 สิงหาคม 2568

ร่วมสนุกได้ 2 ช่องทาง:

  1. ทางออนไลน์ – : สแกน QR code ตามสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือเพิ่มเพื่อนทางไลน์ไอดี @Dewberry (https://lin.ee/JOEl79v) หลังจากนั้น ลงทะเบียน พร้อมส่งรูปถ่ายใบเสร็จจากการสั่งซื้อดิวเบอร์รี่คุกกี้และ/หรือเค้ก 2568  (สงวนสิทธิ์เฉพาะร้านค้าที่ออกใบเสร็จจากเครื่องพิมพ์ได้เท่านั้น) หลังจากนั้นกรอกเลขที่ใบเสร็จ ซึ่งทุกมูลค่า 20 บาทจากใบเสร็จ หลังหักส่วนลดแล้ว ของผลิตภัณฑ์ดิวเบอร์รี่ คุกกี้ หรือ ดิวเบอร์รี่ เค้ก จะถือเป็น 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นรางวัลชิงโชค โดย 1 ใบเสร็จ
  2. ทางไปรษณีย์ – ผู้ร่วมกิจกรรมส่งซองเปล่าขนม และเขียนหรือพิมพ์ชื่อ- นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์มือถืออย่างชัดเจน พร้อมส่งซองเปล่าของผลิตภัณฑ์ดิวเบอร์รี่ คุกกี้ หรือดิวเบอร์รี่ เค้ก มาที่ ตู้ ปณ.20 ปณศ. คลองจั่น กทม. 10240

ของรางวัลสุดพิเศษ รวมมูลค่ากว่า 559,000 บาท

รางวัลใหญ่: แพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่น ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่น จำนวน 3 รางวัล (รางวัลละ 2 ที่นั่ง) มูลค่ารางวัลละ 80,000 บาท

รางวัลที่ 2: iPhone 16 128GB สีชมพู จำนวน 10 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 29,900 บาท

รางวัลที่ 3: บัตรของขวัญ True Money จำนวน 10 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 2,000 บาท

การจับรางวัลจะแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จับรางวัล iPhone 16 จำนวน 5 เครื่อง ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 และครั้งที่ 2 จะจับรางวัลใหญ่ทั้งหมด ในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ณ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และการประกาศผู้โชคดีแคมเปญ "ดิวเบอร์รี่ชวนฟิน บินฟรีไปญี่ปุ่น"  ได้ทางเฟสบุ๊ก: www.facebook.com/dewberrycookiesthailand หรือสอบถามเพิ่มได้ที่ Line Official @Dewberry

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

KBTG Techtopia ปี 3 กลับมาเขย่าโลกเทคโนโลยีอีกครั้ง โดยมาในธีม At World’s Beginning เมื่อโลกใบเดิมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเวทีงานประชุมด้านเทคโนโลยีระดับนานาชาติ ที่รวมตัวผู้ทรงอิทธิพลและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำกว่า 80 คนจากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทรงพลังที่สุดแห่งปี เตรียมพบกัน 2 กันยายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อบัตรร่วมงานได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/kbtg-techtopia-2025

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า จากงาน KBTG Techtopia สองปีที่ผ่านมาได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,500 คนในปี 2567 และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิกว่า 70 ท่านจากทั่วโลก แต่ด้วยวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมรสุมภูมิรัฐศาสตร์ พิษเศรษฐกิจ สงครามภาษี ปัญหาด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ไปจนถึงภัยธรรมชาติที่นับวันยิ่งใกล้ตัว ล้วนเป็นเสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีเกิดใหม่มากมาย โดยเฉพาะ AI ที่มีการแข่งขันอย่างสูสีและการพัฒนาแบบก้าวกระโดด หลายครั้งคนในวงการเองยังวิ่งตามเทรนด์ไม่ทัน ไม่รู้ว่าจุดโฟกัสอยู่ตรงไหน ก่อให้เกิดคำถามต่างๆ ตามมามากมาย รวมถึงผลกระทบในแง่บวกและลบต่อชีวิตและสังคมในวงกว้าง

ด้วยเหตุนี้ KBTG จึงเล็งเห็นความสำคัญในการจัดงาน KBTG Techtopia ปีที่สาม ในธีม At World’s Beginning เมื่อโลกใบเดิมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชวนทุกคนหันกลับมามองจุดเริ่มต้น สำรวจปัญหาและทรัพยากรโลก กับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี ภายในงานจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 80 คนที่จะมาแชร์ความรู้และโชว์เทคโนโลยีเพื่อมนุษยชาติ (Technology for Humanity) พร้อมกับมุมมองและแนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้ ปลุกการตื่นรู้สู่การเปิดใจ ปรับตัว และขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่นำโดยคนและทำเพื่อคนอย่างแท้จริง

พลาดไม่ได้! กับไฮไลท์สุดพิเศษในงาน:

  • กระทบไหล่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกกว่า 80 ท่าน! พบกับ Danielle Wood หัวหน้าหน่วยวิจัย Space Enabled และ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัย AI ดาวรุ่งจาก MIT Media Lab, Cindy Chow, Executive Director & CEO จาก Alibaba Entrepreneurs Fund, ยอด ชินสุภัคกุล CEO LINE MAN Wongnai, ปิยะชาติ อิศรภักดี CEO BRANDi and Companies, ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย, รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอีกมากมาย!
  • 3 เวทีสุดอลังการ เจาะลึกทุกประเด็นร้อน! อัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีและสถานการณ์ปัจจุบันในหลากหลายมิติ ทั้งมนุษยชาติ การแพทย์ สิ่งแวดล้อม การศึกษา ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เทคโนโลยีเกิดใหม่ และวิวัฒนาการล่าสุดของ AI ที่คุณไม่ควรพลาด
  • Showcase Exhibition สุดล้ำ! พบกับผลงานล่าสุดจาก KBTG Labs, KX และพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ ที่จะมาโชว์นวัตกรรมสุดล้ำเพื่ออนาคต
  • 8 Playground Workshop สุดเข้มข้น! ปลดล็อกศักยภาพของคุณไปกับเวิร์กช็อปที่ให้คุณได้ลงมือทำจริงกับ Tech Expert
  • และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะสร้างประสบการณ์สุดพิเศษและจุดประกายไอเดียใหม่ๆ ให้กับคุณ

นายเรืองโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า KBTG Techtopia ไม่ใช่เพียงการโชว์นวัตกรรมล้ำสมัย แต่เป็นเวทีที่นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่นำโดยคนและเพื่อคนอย่างแท้จริง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 2 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจำหน่ายบัตรในราคา 1,800 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 2 กันยายน 2568 หรือจนกว่าบัตรจะหมด ผู้ที่สนใจร่วมงานสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/kbtg-techtopia-2025

นายดิชวัฒน์ จันทร์อี่ รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วยนางนิภา ธรรมบวร ผู้ช่วยผู้ว่าการ MEA เข้ารับรางวัลชนะเลิศ รายการ Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 ณ The Athenee Hotel, A Luxury Collection Hotel, Bangkok ในฐานะองค์กรภูมิภาคเอเชียที่มีความโดดเด่นด้านการจัดทำรายงานความยั่งยืนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กรตามมาตรฐานสากล GRI และการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนสังคมขององค์กร ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในการมุ่งมั่นสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนสากลขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยมีองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงบุคคลสำคัญในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนเข้าร่วมเป็นเกียรติในงาน ซึ่งรางวัลที่ MEA ได้รับในครั้งนี้ประกอบด้วย

 

  1. Gold Emblem of Sustainability รางวัลเกียรติคุณ (Hall of Fame) ระดับ Gold สำหรับองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นและได้รับรางวัลต่อเนื่อง 8 ปีจากเวที AREA โดยรางวัลที่ MEA ได้รับรางวัล เช่น ในปี 2018 สาขารางวัล Green Leadership, ปี 2020 สาขารางวัล Investment in People, ปี 2021 สาขารางวัล Social Empowerment และปี 2024 สาขารางวัล Corporate Governance Award และ Corporate Sustainability Reporting
  2. Corporate Sustainability Reporting Award รางวัลการเปิดเผยข้อมูล และแนวทางการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการไฟฟ้านครหลวง ผ่านการจัดทำรายงานความยั่งยืนขององค์กรตามมาตรฐาน Global Reporting Initiatives (GRI)
  3. Social Empowerment Award รางวัลการดำเนินงานด้านการดูแลชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

 

สำหรับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 โดย Enterprise Asia องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งส่งเสริมการทำประโยชน์แก่สังคม และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจของผู้ประกอบการในภูมิภาคเอเชีย เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ถือเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาคในการยกย่ององค์กรต้นแบบที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่องค์กรอื่น ๆ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน ซึ่งรางวัลทั้งสามสาขาที่ MEA ได้รับในปีนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยสอดคล้องกับพันธกิจของ MEA ในการเป็นพลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานครอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับเอเชีย Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 สาขา Social Empowerment จาก MyMo Secure Plus นวัตกรรมความปลอดภัยบน Mobile Banking ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ลูกค้า บูรณาการร่วมกับ แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้และเสริมภูมิคุ้มกันภัยทางการเงิน พร้อมกันนี้ ธนาคารออมสินยังได้รับรางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นและมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติจนได้รับรางวัล AREA มาแล้ว 5 ปี จาก Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนชั้นนำที่ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบในเอเชีย เพื่อเชิดชูและให้เกียรติองค์กรธุรกิจที่มีการดำเนินงานตามแนวทาง ESG และเป็นต้นแบบองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

ธนาคารออมสินถือเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาโหมดปลอดมิจฉาชีพ ภายใต้ชื่อ MyMo Secure Plus เพื่อช่วยดูแลเงินฝากขั้นสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพที่เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตลอดเวลา ออกแบบโดยเน้นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบจำกัดเฉพาะรายการที่จำเป็น อาทิ การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคารและต่างธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และการจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมต่อวัน ทั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารแรกที่ดำเนินกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ผ่าน แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่านช่องทางการสื่อสารที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อนอกบ้าน หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากธนาคารตระหนักดีถึงความสูญเสียของประชาชนและวิกฤตของอาชญากรรมออนไลน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ จึงเป็นความพยายามของธนาคารในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน

รางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability และ Social Empowerment ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงบทบาทของธนาคารออมสินในฐานะ Social Bank ที่ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนการสร้าง Social Impact เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามแนวทาง ESG เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

 

ออเนอร์ (HONOR) สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ด้วยยอดขาย HONOR 400 Series เติบโตสูงสุดถึง 2.6 เท่า ซึ่งพุ่งทะลุเป้าตั้งแต่วันแรกของการพรีออเดอร์ ระหว่างวันที่ 17 – 27 มิถุนายน 2568 บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ สะท้อนพลังความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปรุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมนวัตกรรมการถ่ายภาพด้วย Advance AI อัจฉริยะ ฟีเจอร์ Advance AI Editing มากกว่า 40 แบบ และดีไซน์ที่ผสานความพรีเมียมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยได้อย่างลงตัว

HONOR 400 Series ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าทั่วประเทศ ด้วยยอดพรีออเดอร์ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ และตอกย้ำสถานะของสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปรุ่นที่ทุกคนรอคอย เสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริงต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “คุ้มค่าเกินคาด” กับประสิทธิภาพกล้อง Advance AI สุดล้ำ ที่เปลี่ยนประสบการณ์การถ่ายภาพให้เหนือระดับ พร้อมเก็บทุกรายละเอียดได้อย่างคมชัดในทุกช็อต ไม่ว่าจะเป็นภาพบุคคล วิวทิวทัศน์ หรือสภาพแสงที่ท้าทาย

นอกจากประสิทธิภาพด้านกล้องที่โดดเด่นแล้ว HONOR 400 Series ยังมาพร้อมดีไซน์พรีเมียม น้ำหนักเบา และสเปกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ทั้งหน้าจอคมชัด สีสันสดใส การประมวลผลที่รวดเร็ว และการใช้งานที่ลื่นไหลตลอดทั้งวันด้วยแบตเตอรี่ความจุสูง รองรับการใช้งานแบบมัลติทาสก์ได้อย่างราบรื่น

ความสำเร็จของ HONOR 400 Series ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและนวัตกรรมอันโดดเด่นของ HONOR แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะและผลิตภัณฑ์ล้ำสมัย พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ตรงใจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกคน

HONOR ขอขอบคุณทุกเสียงตอบรับจากลูกค้าทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ HONOR มุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบสมาร์ตโฟนคุณภาพ พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามายกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับทุกท่านอีกครั้งในกิจกรรมพิเศษจาก HONOR ที่เตรียมมอบความประทับใจและเซอร์ไพรส์ใหม่ ๆ ในอนาคต

HONOR 400 Series ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีกล้องล้ำยุค ด้วยกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 200MP Ultra-clear Advance AI ผสานพลังกับฟีเจอร์ Creative Advance AI Editing ที่ให้เลือกใช้งานมากกว่า 40 แบบ พร้อมนวัตกรรมใหม่ล่าสุด AI Image to Video ครั้งแรกของโลกบนสมาร์ตโฟน ที่สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสุดประทับใจได้โดยอัตโนมัติ ตอบโจทย์การสร้างสรรค์คอนเทนต์ในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

HONOR 400 Series วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ โดยรุ่น HONOR 400 Pro มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี Lunar Grey และ Midnight Black ส่วนสี Tidal Blue ต้องรอลุ้นเข้าไทยเร็ว ๆ นี้ ในราคา 19,990 บาท รับสิทธิพิเศษประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และประกันหน้าจอ 6 เดือน และ HONOR 400 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี Desert Gold และ Midnight Black พร้อม 2 สเปกให้เลือกตามการใช้งาน ได้แก่ รุ่น 12GB+512GB ราคา 14,990 บาท และ รุ่น 12GB+256GB ราคา 12,990 บาท รับสิทธิพิเศษประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และประกันหน้าจอ 6 เดือน นอกจากนี้ ยังมีอีกรุ่นอย่าง HONOR 400 Lite 5G มาพร้อม 108MP Ultra-clear Advance AI กับหน่วยความจำ 12GB และพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 256GB มี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สี Marrs Green และ Velvet Grey ราคาเพียง 8,999 บาท รับฟรี HONOR Earbuds X6 มูลค่า 1,699 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ทุกรุ่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ Shopee: https://bitly.cx/tvuj และ Lazada: https://bitly.cx/tvuj

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้ายกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่ ‘มากกว่า’ สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Club of More” ชูจุดเด่น “เป็นสมาชิกวัตสัน คลับ มีแต่ได้กับได้!” สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทั้งความคุ้มค่า สะดวก ครบครัน และความสนุกที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัน ผ่านทั้งหน้าร้านและวัตสันออนไลน์

จากผลสำรวจจากสมาชิกวัตสันคลับกว่า 4,000 คน* ทั่วประเทศไทย พบว่าลูกค้าในยุคปัจจุบันมองหาประสบการณ์การชอปปิงที่คุ้มค่า และตอบโจทย์ชีวิตในทุกด้าน ทั้งส่วนลด คะแนนสะสม และสิทธิประโยชน์พิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่าง ๆ ดังนั้นสมาชิกวัตสัน คลับ ภายใต้แนวคิด “Club of More” จึงถูกออกแบบมา เพื่อส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกที่นอกเหนือสินค้าและบริการ ด้วย 3 สิทธิหลัก

  • More Savings ชอปคุ้มยิ่งกว่าเฉพาะสมาชิกลด 50% ด้วยสินค้าที่ครอบคุลมสุขภาพ และความงามกว่า 1,500 รายการ และ Everyday Club Price ชอปได้ทุกวันการันตีที่มาเมื่อไหร่ก็ราคาเดิมทุกวันกว่า 100 รายการ
  • More Exclusive สิทธิประโยชน์และดีลส่วนลดหลากหลายจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าทั้งหมวดสุขภาพ ความงามและไลฟ์สไตล์ เพียงแลกคะแนนผ่าน Club Reward เริ่มต้นที่ 10 คะแนน ก็สามารถรับดีลส่วนลดได้เลย พร้อมทั้งเอาใจสายท่องเที่ยว Asian One Pass เที่ยวอยู่ก็ชอปได้ เมื่อเดินทางและแสดงบัตรสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่านแอพวัตสัน เพื่อสะสมคะแนน และใช้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ใช้ได้กับร้านวัตสันทั่วเอเชีย (ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไตหวัน, อินโดนีเซีย, จีน, ฮ่องกง, ตุรกี และฟิลิปปินส์)
  • More Experience มอบประสบการณ์ที่มากกว่าการชอปปิง ด้วยกิจกรรมเวิร์กชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบเฉพาะสำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ เท่านั้น

อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “วัตสันมุ่งพัฒนา การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้เป็นมากกว่า Loyalty Program โดยออกแบบแต่ละสิทธิประโยชน์บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ทั้งความคุ้มค่า การใช้งานสะดวก หรือความพิเศษที่สมาชิกจะได้รับ พร้อมยกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่มากกว่า เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกทุกคนจะได้รับการบริการหรือสินค้าที่ตรงใจมากที่สุด ซึ่งเราเชื่อว่าวัตสัน คลับ จะช่วยให้ทุกการชอปปิงของสมาชิกกับวัตสันเต็มไปด้วยคุณค่าและรอยยิ้มอย่างแท้จริง”

วัตสัน ยังคงเดินหน้ามอบความพิเศษที่มากกว่าผ่าน Watsons Club - Club of More ให้สมาชิกเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มค่าได้แล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 68  ไปจนถึง 23 กรกฎาคม 2568 นี้! ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศและวัตสันออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store

พร้อมดึง Global Tech ร่วมพัฒนาหลักสูตร ตอบโจทย์ความต้องการอุตสาหกรรม

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมสุขภาพไทยในเวที ASEAN Forum 2025 โดยมี ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล Chief Executive Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และเอสเพอรานซ์ และ Chief Science Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัวแทนร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในเวทีเสวนาหัวข้อ “Exploring High Value-Added Tourism in ACMECS” ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ

การเสวนาในครั้งนี้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High Value-Added Tourism) โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญของประเทศไทยและกลุ่มประเทศสมาชิก ACMECS พร้อมทั้งเน้นย้ำบทบาทของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์และศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการผสานเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการบริบาลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยให้ทัดเทียมมาตรฐานระดับสากล

เวที ASEAN Forum 2025 จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ACMECS เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

X

Right Click

No right click