อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้ ลิกซิล กรุ๊ป นำโดย วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ (ที่สองจากซ้าย) ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ และ ธริณี พิมลศรี (ซ้ายสุด) ลีดเดอร์ แบรนด์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชัน ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ ร่วมกับร้านตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ โฮมสุขภัณฑ์, สหไพบูลย์ โฮมเซ็นเตอร์, และ ทรัพย์สกล 1994 มอบสุขภัณฑ์ห้องน้ำจำนวน 160 ชิ้น มูลค่า 400,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย ผ่านมูลนิธิมาดามแป้ง โดยมี นางนวลพรรณ ล่ำซำ (ที่สองจากขวา) ประธานกรรมการ มูลนิธิมาดามแป้ง และ พ.ต.อ. ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ (ขวาสุด) เป็นผู้รับมอบเพื่อประสานไปยังเรือนจำกลางเชียงราย กรมราชทัณฑ์ ในการนำสุขภัณฑ์ทั้งหมดเข้าไปติดตั้งในบ้านน็อคดาวน์ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์
วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ กล่าวว่า “อเมริกันสแตนดาร์ด เข้าใจถึงความยากลำบากที่พี่น้อง จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เราจึงขอร่วมส่งกำลังใจด้วยการมอบอ่างล้างมือจำนวน 80 ชุด และโถสุขภัณฑ์จำนวน 80 ชุด รวมทั้งหมด 160 ชิ้น ผ่านมูลนิธิมาดามแป้งในการส่งต่อความตั้งใจในการช่วยเหลือจากเราไปยังผู้ประสบอุทกภัยให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในเร็ววัน”
อเมริกันสแตนดาร์ดยังพร้อมดูแล เยียวยาลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยจับมือกับ 3 ร้านตัวแทนจำหน่ายตามรายชื่อร้านข้างต้นออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าคนสำคัญด้วยส่วนลดค่าอะไหล่สุขภัณฑ์ 50% ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงาน คปภ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาตามกฎหมาย โดยมีรากฐานแนวคิดมาจากกฎหมายประกันภัยทางทะเลของอังกฤษอันเป็นหลักการสากลที่นานาประเทศใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนากฎหมายประกันภัยและกฎหมายประกันภัยทางทะเล และสำนักงาน คปภ. ได้นำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนากฎหมายการประกันภัยทางทะเลของประเทศไทย เช่นเดียวกัน โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา
ให้ความเห็นชอบก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติต่อไป
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของของบุคลากร รูปแบบและกระบวนการทำงานให้มีความพร้อม คล่องตัว และปรับตัวได้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภายใต้ความมุ่งหมายดังกล่าวจึงได้ส่งเสริมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในด้านต่าง ๆ เข้าร่วมอบรมหลักสูตรอบรมความรู้ที่สายงานกำหนดหรือหน่วยงานภายนอกได้จัดขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะ และศักยภาพของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติภารกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับการอบรมครั้งนี้แบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรก เป็นการอบรมเกี่ยวกับหลักการของกฎหมายว่าด้วย การปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาภาวะกฎหมายอาญามีมากเกินจำเป็นหรือกฎหมายเฟ้อ (Over Criminalization) อันเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรงเท่านั้น โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงกฎหมายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. อาทิ พ.ร.บ. คปภ. พ.ร.บ. ประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กลายเป็นโทษที่ต้องดำเนินการปรับเป็นพินัย ซึ่งไม่ใช่โทษทางอาญาที่มีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกต่อไป
โดยปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน การชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหา การชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพิจารณาและกำหนดมาตรการลงโทษ สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว
ทั้งนี้ การอบรมกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยในครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากวิทยากรของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดทำกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยโดยตรง มาบรรยายให้ความรู้เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้กฎหมายดังกล่าวได้อย่างมั่นใจและเกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเรื่องที่สอง เป็นการอบรมเกี่ยวกับหลักการสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล สำนักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำหนดมาตรฐานของธุรกิจประกันภัยทางทะเลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยทางทะเลของไทยให้เติบโตขึ้นและสามารถแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้
“การจัดอบรมครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายทั้ง 2 เรื่องข้างต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. ที่ต้องปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบแนวทางในการบังคับใช้และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไปในแนวทางเดียวกัน มีมาตรฐาน และเป็นธรรม อันจะส่งผลให้การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพและอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดีเป็นสำคัญ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมเสวนาแนวทางการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานในเมืองหลวงแห่งอนาคต ในหัวข้อเรื่อง “MEA's Sustainable Actions for a Smarter, Sustainable Future” โดยมี คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักกิจกรรมรณรงค์และสื่อสารเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ร่วมเสวนาฯ ในเวทีระดับนานาชาติ Sustainability Expo 2024 พร้อมร่วมจัดแสดงนิทรรศการของ MEA การดำเนินการเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของการไฟฟ้านครหลวง ณ เวที SX Talk Stage ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
MEA ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จำหน่ายดูแลระบบไฟฟ้าสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ MEA ได้ดำเนินกิจการด้วยความตระหนักต่อประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการ MEA GO (Green Organization) สร้างความตระหนักให้แก่พนักงานในการใส่ใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ผ่านกิจกรรม Zero waste การนำขยะที่สามารถนำไปแปลงเป็นพลังงาน (Waste to energy) การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การจัดประชุมที่มีการคำนึงถึงการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Green Meeting) การเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในอาคารของ MEA เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในด้านระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของ MEA ยังคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้านสิ่งแวดล้อม จากการรื้อถอนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพจำนวนมาก โดย MEA ได้ริเริ่มกระบวนการ upcycle ลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า (Insulators) ที่หมดอายุการใช้งาน ให้นำไปใช้งานในหลายรูปแบบ อาทิ การนำไปบดหยาบเพื่อทำวัสดุกันลื่นบนถนน (Anti-skid road ceramic particles) สำหรับลูกถ้วยที่บดละเอียด สามารถนำไปผลิตเป็นแผ่นรองดูดซึมน้ำประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้นำมาทดสอบนำร่องการใช้งานภายในองค์กร ก่อนขยายพื้นที่การใช้งานไปยังเครือข่ายพันธมิตรและชุมชนอื่น ๆ ส่วนเสาไฟฟ้าที่ถูกรื้อถอนจากโครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน ได้มาปักเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า และชายฝั่งย่านบางขุนเทียน รวมระยะทางกว่า 2,500 เมตร พร้อมสนับสนุนการดำเนินการปลูกป่าชายเลนและดูแลบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ปี 2547 – ปัจจุบัน จนสัมฤทธิ์ผลเกิดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งกว่า 380 ไร่
สำหรับด้านระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า MEA เป็นรัฐวิสาหกิจหน่วยงานแรกที่นำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในกิจการ และได้นำเทคโนโลยีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในองค์กรกว่า 10 ปี มีการต่อยอดสร้างนวัตกรรม PLUG ME EV ระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับพื้นที่อาคารสำนักงาน หรืออาคารชุดที่ต้องการรองรับผู้ใช้งานรถ EV จำนวนมาก ช่วยลดต้นทุนกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้า AC ทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงการจัดทำตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย และเที่ยงตรง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค หรือ Charge Sure by MEA รวมถึงดำเนินโครงการที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน MEA รับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 13,735 ราย คิดเป็นกำลังผลิตกว่า 238 เมกะวัตต์ และมีการติดตั้งระบบ Solar Cell ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมเป็นจำนวนกว่า 84 เมกะวัตต์ ทั้งหมดนี้ ช่วยส่งผลลดคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 190,000 tonCo2/ปี เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าสูงสุด MEA ยังมีโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชน ภายใต้โครงการ MEA Energy Mind Award ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อปลูกฝังให้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากร และเยาวชนในสถานศึกษาต่าง ๆ สร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย
ในส่วนของผู้ประกอบการ โครงการ MEA Energy Award เป็นโครงการที่มอบรางวัลให้กับอาคารในประเภทต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด “ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพอากาศได้มาตรฐาน” ซึ่งได้ดำเนินโครงการปีที่ 7 มีอาคาร ผ่านเกณฑ์ประเมินมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานของ MEA ไปแล้วทั้งสิ้น 313 แห่ง ช่วยให้เกิดผลประหยัด 46.33 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่า 180.93 ล้านบาทต่อปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 26,589 tonCo2 ต่อปี ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการที่ MEA กำหนดเป้าหมาย Carbon Neutrality ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 และ กำหนดเป้าหมาย Net Zero Emission การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2608 ดำเนินการขับเคลื่อนจากภายในองค์กรขยายไปสู่ภายนอก และเดินหน้าผลักดันให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามนโยบายของรัฐบาลในอนาคตต่อไป
"Finno Efra Accelerator (FINE Accelerator)" ประกาศผล Startup 12 ทีม เข้าโปรแกรม พร้อมร่วม Bootcamp ขับเคี่ยวเข้มข้นเป็นเวลา 4 เดือน ร่วมกับ Mentor และโค้ชผู้เชี่ยวชาญ เปิดโอกาสได้รับเงินทุนสูงสุด 40 ล้านบาท ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ
หลังจากที่ "Krungsri Finnovate (กรุงศรี ฟินโนเวต)" ได้จับมือกับ "อีฟราสทรัคเจอร์ (Efra Structure)" เปิด “Finno Efra Accelerator Program” ที่เปรียบเสมือนเป็นโรงเรียนสำหรับ Startup ระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้ได้เข้าเรียนรู้และร่วมเวิร์คช้อปในหลักสูตรเพื่อพัฒนาศักยภาพอันหลากหลายและครอบคุลม ซึ่งได้เปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 67 ที่ผ่านมา โดยมี Startup ที่สมัครมากว่า 200 ทีม และด่านการคัดเลือกที่หลากหลาย ทั้งรอบคัดเลือกทั่วไป, Dungeon Pitch และ Selection day จนได้ทั้ง 12 ทีม ดังนี้
"คุณแซม ตันสกุล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด เผยว่า "ขอแสดงความยินดีกับ Startup ทั้ง 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ Finno Efra Accelerator ซึ่งทั้ง 12 ทีมจะต้องเข้า Bootcamp เป็นระยะเวลา 4 เดือน กับ 4 เรื่องสำคัญ คือ 1.) Mentorship กับเมนเทอร์ที่เป็น Top Tech Leader ในประเทศไทย แบบ One On One 2.) Business Class คลาสเรียนที่จะต้องรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ โดยจะมีเทรนเนอร์ในหลากหลายธุรกิจมาสอน 3.) Coaching ที่สามารถมาขอคำปรึกษา จากโค้ชผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านกว่า 100 คน 4.) VC Networking สนับสนุนการเชื่อมต่อระหว่าง Startup กับนักลงทุนและองค์กรต่างๆ ก็จะเป็น 4 เรื่องสำคัญใน Bootcamp ที่จะเกิดขึ้น"
เริ่มเรียน โดยแบ่งเป็น 2 เทอมคือ เทอม 1 เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ปี 2567 และ เทอม 2 เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ปี 2568 และจะไปจบ Demo Day ที่เดือนมีนาคม ปี 2568 เมื่อจบ 4 เดือนแล้ว Startup ทั้ง 12 ทีม จะมีโอกาสได้รับเงินทุนสูงสุด 40 ล้านบาท แต่เงื่อนไขคือต้องผ่าน KPI ที่ตั้งไว้ ส่วนทีมไหนถ้าปีนี้ยังไม่มีรายชื่อใน Finalists อย่าพึ่งรีบถอดใจ เจอกันใหม่ใน Batch หน้านะครับ"
ด้าน "คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสทรัคเจอร์ จำกัด เสริมต่อว่า "Finno Efra Accelerator เป็นโปรแกรมบ่มเพาะ Startup รายใหม่ๆ ซึ่งเป็นกุญแจที่จะช่วยให้ Startup ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น และยังเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการการสร้างระบบนิเวศของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพราะจะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจที่เข้าร่วมสามารถเติบโตได้เร็วขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นโปรแกรมนี้ทำให้เหล่า Startup ได้ทั้งเงินลงทุนและความรู้กลับไปพัฒนาธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะเรากำลังค้นหา Unicorn ที่จะไประดับโลกให้ได้ในอนาคต"
ECOVACS (อีโคแวคส์) บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี Intelligent Home จากประเทศจีน ผู้จัดจำหน่ายหุ่นยนต์ทำความสะอาดคุณภาพสูง ในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก นำโดย นางสาวพรประภา รัชวัฒนะ ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ แบรนด์ ECOVACS ในประเทศไทย รับมอบรางวัลอันทรงเกียรติ ความสำเร็จของหุ่นยนต์ทำความสะอาดอัจฉริยะรุ่นล่าสุด ECOVACS T30S COMBO ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี คว้ารางวัลชนะเลิศในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนเครื่องใช้ไฟฟ้า จากงาน BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024 ซึ่งจัดโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต เป็นประธานมอบรางวัล และได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในวงการธุรกิจ การศึกษา มาร่วมกล่าวเปิดงานพร้อมแสดงความยินดี นำโดย คุณมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) และ ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร ผู้ช่วยคณบดีงานวิชาการ และหัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกล่าวเปิดงานและแสดงความยินดี งานจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา
ECOVACS T30S COMBO นับเป็นการปฏิวัติวงการทำความสะอาดบ้านด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ผสานการทำงานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นและเครื่องดูดฝุ่นแบบด้ามจับเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยเทคโนโลยี TruEdge™ หุ่นยนต์สามารถเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของบ้านได้อย่างทั่วถึง ม็อบถูพื้นยืดหดได้อย่างอิสระ ทำให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่นหรือถูพื้น นอกจากนี้ เทคโนโลยี ZeroTangle™ ยังช่วยแก้ปัญหาเส้นผมพันแปรงที่มักพบในเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป ด้วยระบบหวีคู่อัจฉริยะที่กวาดเส้นผมเข้าสู่ช่องดูดได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การบำรุงรักษาเครื่องเป็นเรื่องง่าย อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบกรองอากาศสี่ขั้นตอนที่ช่วยให้อากาศในบ้านสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และระบบเพิ่มแรงดูดอัตโนมัติที่ปรับการทำงานให้เหมาะสมกับพื้นผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรมหรือพื้นแข็ง โดยยังคงรักษาระดับเสียงให้เงียบที่สุด และด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับรอบทิศทาง 3 มิติ หุ่นยนต์จะสามารถนำทางและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ ทำให้การทำความสะอาดเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ในส่วนของ OMNI STATION ที่มาพร้อมกับเครื่อง ไม่เพียงแต่เป็นจุดชาร์จไฟเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นถังเก็บฝุ่นขนาดใหญ่ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเทฝุ่นบ่อยๆ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ให้มาแบบจัดเต็ม สำหรับจุดที่หุ่นยนต์เข้าถึงยาก เครื่องดูดฝุ่นแบบด้ามจับน้ำหนักเบาที่มาพร้อมกับชุด COMBO จะเข้ามาช่วยเติมเต็มการทำความสะอาดให้สมบูรณ์แบบ ทำให้ ECOVACS T30S COMBO เป็นทางเลือกการทำความสะอาดบ้านที่ครบวงจรอย่างแท้จริง
รางวัลอันทรงเกียรติจาก BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024 นี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ ECOVACS ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ทำให้การทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คุณอนุชา ภิงคารวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารตัวแทน พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีกับคุณสุวภัทร แสงบุญส่ง และคุณจุราพร รายสันเทียะ ตัวแทนประกันชีวิต พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลคุณวุฒิ APFinSA Awards ครั้งที่ 5 ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Financial Services Association – APFinSA) และสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติและเป็นกำลังใจให้แก่ตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพ และยกระดับความเป็นมืออาชีพในการทำงานตามมาตรฐานระดับเอเชียแปซิฟิก โดยรางวัลดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของช่องทางตัวแทนพรูเด็นเชียลฯ ที่ต้องการสยายปีก บุกตลาดช่องทางตัวแทนและขยายการเติบโตในอนาคต